ป่วย ในฤดูหนาวของผู้สูงอายุ และจะดูแลเรื่องยาให้กับผู้สูงอายุอย่างไร??
วันที่มีอากาศหนาวเย็น รวมถึงการนอนที่รับอากาศเย็นเข้าไป หรืออาศัยอยู่ในที่ที่มีความชื้นและอากาศเย็นมากๆก็สามารถทำให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ ขึ้นได้ซึ่งโรคที่อาจจะเกิดกับผู้สูงอายุอันเกิดมาจากอากาศหนาวเย็นนั้นมีดังนี้ไปดูกันเลย!! 1. อุณหภูมิในร่างกายต่ำเกินไป ผู้สูงอายุเป็นกลุ่มผู้ป่วยที่อาจเกิดปัญหาอุณหภูมิในร่างกายต่ำเกินไปขึ้นได้ง่ายโดยเฉพาะในบางรายที่ช่วยเหลือตนเองได้น้อย ในบางพื้นที่ของประเทศที่มีอากาศหนาวมากๆโดยเฉพาะถ้าต่ำกว่า 15-18 องศาเซลเซียสอาจทำให้เกิดภาวะนี้ได้ การดูแลป้องกันคือ การพยายามรักษาความอบอุ่นของร่างกายสม่ำเสมอรับประทานอาหารครบถ้วน และพยายามหลีกเลี่ยงการอยู่ในที่อากาศหนาวจัด 2. โรคภูมิแพ้ สิ่งแวดล้อมในปัจจุบันทำให้คนที่เป็นโรคภูมิแพ้อยู่เดิมมีโอกาสได้รับการกระตุ้นจากสิ่งที่แพ้มากขึ้นโดยอาจมีอาการคันจมูก คันตา จามมีน้ำมูกใสๆ คัดจมูกอยู่ตลอดได้ผู้ป่วยบางรายมีผื่นนูนคันเวลาอากาศเย็น โดยมักมีอาการในช่วงที่มีอากาศเปลี่ยนอาจมีตุ่มนูนคันขึ้นในบริเวณที่ถูกอากาศเย็นได้ ในช่วงนี้ควรดูแลสุขภาพให้ดีหลีกเลี่ยงอากาศที่หนาวจัด สวมใส่เครื่องนุ่งห่มที่อบอุ่นบางรายถ้ามีอาการมากอาจต้องรับประทานยาแก้แพ้อากาศเพื่อลดอาการลง 3. โรคไข้หวัดใหญ่ อาการของไข้หวัดใหญ่ได้แก่ ไข้ ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามกล้ามเนื้อ ซึ่งมักมีอาการมากในช่วง 3-4 วันแรก หลังจากนั้นอาจมี เจ็บคอไอแห้งๆ คัดจมูกน้ำมูกไหล โดยทั่วไปมีอาการอยู่ประมาณ 7-10 วันผู้สูงอายุอาจมีอาการไม่ชัดเจน บางครั้งอาจมีไข้ อ่อนเพลียซึมสับสนหรือการช่วยเหลือตนเองได้ลดลง จึงควรฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ด้วย 4. ผิวหนังแห้งลอก และคัน ในช่วงอากาศหนาวความชื้นในอากาศมักลดลง ความชื้นที่ผิวหนังของเราก็จะลดลงไปด้วย อาจทำให้ผิวแห้งคันและลอกได้ ซึ่งมักก่อให้เกิดปัญหากับคนที่ผิวแห้งหรือผู้สูงอายุที่มีต่อมไขมันทำงานลดลงและความชื้นของชั้นผิวหนังน้อยอยู่แล้ว การป้องกันและแก้ไข คือ การใช้สบู่อ่อนๆไม่ขัดผิวมาก ไม่ควรแช่น้ำอุ่นนานๆ อาจอาบน้ำลดลงเป็นวันละครั้ง และทาครีมหรือน้ำมันทาผิวหลังอาบน้ำขณะที่ผิวยังหมาดๆ อยู่ 5. โรคไข้หวัด โดยส่วนมากนั้นโรคไข้หวัดจะสามารถหายไปได้ใน 1 สัปดาห์ โดยไม่มีภาวะแทรกซ้อน การดูแลรักษาตอนที่ไม่สบายได้แก่การพักผ่อนให้เพียงพอ หลีกเลี่ยงการออกกำลังหรือทำกิจกรรมบางอย่างที่ไม่จำเป็นดื่มน้ำมากๆ โดยเฉพาะน้ำผลไม้ รับประทานยาลดไข้พาราเซตามอล ยาลดน้ำมูกและยาแก้ไออย่างไรก็ตาม การรับประทานยาเหล่านี้ไม่ได้ลดจำนวนวันของอาการไม่สบายลง อย่าลืมดูแลผู้สูงอายุอย่างใกล้ชิดด้วยนะคะเพราะบางครั้งผู้สูงอายุอาจไม่รู้ตัว หรือไม่ได้บอกว่าตนกำลังมีอาการอะไรอยู่ซึ่งอาจทำให้รักษาได้ไม่ทันท่วงที และเป็นปัญหาเรื้อรังต่อไปได้ เรามาดูวิธีดูแลเรื่องยาให้กับผู้สูงอายุกันต่อเลย ผู้สูงอายุส่วนมากมักมีโรคประจำตัว และต้องทานยาอย่างต่อเนื่องเป็นประจำทุกวัน ดังนั้นการทานยาที่ถูกต้องและเหมาะสม จึงเป็นสิ่งที่ต้องให้ความสำคัญซึ่งหลักการให้ยากับผู้สูงอายุ ควรให้ถูกต้องกับคน ถูกชนิดยา ถูกขนาดที่ควรทานถูกทาง และถูกเวลาด้วย แนวทางในการปฏิบัติในการให้ยาในผู้สูงอายุ 1. ผู้ดูแลควรศึกษาถึงรูปร่าง ลักษณะและสรรพคุณของยาแต่ละชนิดที่รับประทานอยู่ และแนะนำผู้สูงอายุด้วย 2. เขียนขนาดและวิธีรับประทานตัวโตๆติดบนฉลากยา 3. อาจใส่กล่องแยกชั้นยาเช่น เช้า กลางวัน เย็น ก่อนนอน (ก่อนหรือหลังอาหาร) 4. สถานที่เก็บยาควรให้ปลอดภัยและเก็บไว้ห่างจากมือเด็ก 5. ถ้าเป็นไปได้ผู้ดูแลผู้สูงอายุควรหยิบยาให้รับประทานเองกับมือวิธีนี้จะปลอดภัยที่สุด 6. ผู้ดูแลควรหมั่นพาผู้สูงอายุไปพบแพทย์เป็นประจำตามกำหนดนัดหรือไปก่อนกำหนดนัดเมื่อมีอาการผิดปกติ ข้อควรปฏิบัติเกี่ยวกับการใช้ยาเมื่อไปพบแพทย์และรับยาจากเภสัชกร ผู้สูงอายุหรือผู้ดูแลผู้สูงอายุเมื่อไปพบแพทย์ต้องแจ้งให้แพทย์ทราบเกี่ยวกับเรื่องยาที่ใช้อยู่อาการผิดปกติที่เกิดขึ้น ปัญหาเกี่ยวกับการกลืนยา (ถ้ามี)เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดจำเป็นอย่างยิ่งที่ผู้สูงอายุหรือผู้ดูแลต้องรู้ว่ายานั้นใช้อย่างไรและปฏิบัติตามวิธีที่แนะนำอย่างเคร่งครัด คำถามที่ผู้สูงอายุหรือผู้ดูแลผู้สูงอายุควรถามเมื่อรับยาจากเภสัชกรไม่ว่าจะเป็นที่โรงพยาบาลคลินิก หรือร้านยา ได้แก่ ยานี้แก้อะไร ยานี้กินอย่างไร ถ้าลืมกินยาจะทำอย่างไร เกิดอาการข้างเคียงอะไรไหม จะต้องใช้ยาไปนานเท่าไร จะเก็บยานี้ไว้ที่ไหน
Create Date : 12 มีนาคม 2561 |
Last Update : 12 มีนาคม 2561 11:43:59 น. |
|
0 comments
|
Counter : 778 Pageviews. |
|
|
|