ข่าวคราวเรื่องชาวพม่าประท้วง ที่หน้าสถานทูตไทยที่ย่างกุ้ง หน้าด่านแม่สาย และด่านเจดีย์สามองค์ กรณีคำตัดสินประหารชีวิตชาวพม่าสองคน ของศาลชั้นต้นว่าด้วยคดีสังหาร นักท่องเที่ยวชาวอังกฤษที่เกาะเต่า ต้องระวังไม่ให้กลายเป็นเรื่อง น้ำผึ้งหยดเดียว เพราะการชุมนุมเกิดขึ้นขณะที่การเมืองพม่าหลังเลือกตั้งยังไม่นิ่ง อยู่ในกระบวนการเจรจาต่อรอง ระหว่างนางอองซานซูจี ในฐานะหัวหน้าพรรคที่ชนะอย่างถล่มทลาย กับผู้นำกองทัพที่แม้จะแพ้เลือกตั้ง แต่ยังมีอิทธิพลบารมีไม่น้อยในแวดวงการเมืองพม่า
กระทรวงต่างประเทศของพม่ากับของไทย ดูเหมือนจะเห็นตรงกันว่าจะเคารพในกระบวนการยุติธรรมของไทย และเห็นตรงกันว่านี่เป็นแค่จุดเริ่มต้นของการพิจารณาของกระบวนการยุติธรรม หลังจากศาลชั้นต้นมีคำวินิจฉัยแล้ว ก็ยังมีขั้นตอนการอุทธรณ์และฎีกาอีก
จึงเป็นเรื่องของการอธิบายถึงขั้นตอน และรายละเอียดของกระบวนการยุติธรรมไทย ต่อคนพม่าที่รวมตัวเรียกร้องให้มีการรื้อฟื้น การสอบสวนคดีนี้ที่เคยมีคำถามเรื่องความโปร่งใส ในระดับการสอบสวนของตำรวจและอัยการก่อนที่จะไปถึงศาลชั้นต้น
น่าสนใจว่านอกจากในระดับรัฐบาลแล้ว ช่องทางการสื่อสารเรื่องนี้ ก็ทำกันผ่านองค์การสื่อของพม่ากับไทย เพื่อสนับสนุนให้มีความเข้าใจในรายละเอียดของคดีนี้ให้เกิดความกระจ่างด้วย
สมาคมนักข่าวของพม่ามีหนังสือเปิดผนึกถึงสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์ของไทย ขอให้สนับสนุนการทำความจริงให้ปรากฏในคดีนี้
สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์ไทยตอบยืนยันว่า สื่อไทยได้ใช้กระบวนการทำข่าวเชิงสืบสวนสอบสวนคดีนี้มาตั้งแต่ต้น และจะเดินหน้าทำหน้าที่อย่างโปร่งใสชัดเจน เพื่อให้ข้อเท็จจริงเป็นที่รับทราบของสาธารณชน ทั้งไทยและพม่าและทั่วโลก
ขณะเดียวกันคณะกรรมการช่วยเหลือประชาชนทางกฎหมายของสภาทนายความแห่งประเทศไทย ออกแถลงการณ์ยืนยันขอให้ชาวพม่ามั่นใจในกระบวนการยุติธรรมของไทย และได้ตกลงรับให้ความช่วยเหลือ ตามคำขอของเอกอัครราชทูตพม่าประเทศประเทศไทย ตั้งแต่ต้นจนถึงขณะนี้
คณะกรรมการฯเชื่อว่าในการพิจารณาข้อเท็จจริงต่าง ๆ ที่ผ่านการพิจารณาของศาลชั้นต้นมาแล้วนั้น เมื่อขึ้นสู่การพิจารณาของศาลอุทธรณ์หรือแม้แต่ศาลฎีกาในลำดับต่อไป คณะทำงานเชื่อมั่นว่าความกระจ่างในข้อเท็จจริง จะได้รับการพิจารณาและวินิจฉัยจากศาลสูงโดยชอบด้วยหลักตินิธรรม
ในคำแถลงนั้นมีการยืนยันว่าวันที่ 30 ธันวาคมนี้มีการนัดหมายพบปะระหว่างคณะทำงาน และนายกฯสภาทนายความกับท่านทูตพม่า บิดามารดาและญาติของจำเลยทั้งสอง เพื่อปรึกษาหารือชี้แจงขั้นตอนรายละเอียด ประเด็นข้อต่อสู้ที่จะหยิบยกขึ้นมาอุทธรณ์ ในการพิจารณาอุทธรณ์ให้ผู้ที่เกี่ยวข้องทราบ
เรื่องทำนองนี้เคยเกิดขึ้นในความสัมพันธ์กับประเทศอื่นมาแล้วเช่นกัน เพราะกระบวนการกฎหมายที่ต่างกัน และประสบการณ์ของแต่ละประเทศในเรื่องอย่างนี้ก็ไม่เหมือนกัน ประกอบกับหากมีความสงสัยคลางแคลง ในบางด้านของกระบวนการยุติธรรมของอีกประเทศหนึ่ง การแสดงออกในทางลบก็ย่อมเกิดขึ้นได้ง่าย
ที่สำคัญคือกรณีนี้ต้องไม่ถูกฝ่ายไม่หวังดี ไม่ว่าจะเป็นบางส่วนของการเมืองหรือความมั่นคง นำไปขยายผลให้เกิดความขัดแย้งเพิ่มเติม โดยเฉพาะสถานการณ์การเมืองและสังคมของพม่า ขณะนี้ยังอยู่ในจังหวะของการต่อรองทางการเมืองระหว่างพรรค NLD ของอองซานซูจีกับผู้นำกองทัพว่าด้วยการตั้งรัฐบาลใหม่
หากเรื่องนี้บานปลายกลายเป็นความขัดแย้ง ที่ถูกใช้เป็นปมสร้างสถานการณ์โดยฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง, ก็อาจจะทำให้เรื่องที่ควรจะแก้ไขด้วยการชี้แจงอธิบายได้นั้น กลายเป็นความบาดหมางระหว่างประเทศที่ไม่ควรจะเกิดขึ้น
ท่าทีของอองซานซูจีที่กำลังจะมีบทบาทเป็นผู้นำทางการเมืองของพม่า กับผู้นำกองทัพพม่าที่ยังต้องการจะมีสมการแห่งอำนาจ จึงเป็นเรื่องสำคัญยิ่ง... จำเป็นที่ผู้นำไทยจะต้องต่อสายเพื่อชี้แจงอธิบายข้ามพรมแดน
และองค์กรอาชีพทั้งหลายของสองประเทศ จะต้องสื่อสารกันเพื่อให้เกิดความเข้าใจ และแน่นอนเพื่อให้ความถูกต้องเป็นธรรม เกิดขึ้นอย่างชัดเจนสำหรับทุกฝ่าย โดยเคารพในกระบวนการยุติธรรมของไทย และผลการวินิจฉัยทุกขั้นตอนที่อธิบายเหตุและผล ได้อย่างเปิดเผยและโปร่งใสไร้ข้อสงสัยใด ๆ/จบ
.................................................................................................................................
คดีเกาะเต่า... สะท้อนความตกต่ำ โดย : ปกรณ์ พึ่งเนตร
ขอขอบคุณผู้เขียนเรื่องนี้และขอนำมารวบรวมไว้เพื่อการศึกษาต่อไป
ก่อนอื่นผมขอแสดงจุดยืนไว้ ณ ที่นี้ก่อนว่า รู้สึกไม่สบายใจ
และไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง กับการชุมนุมเคลื่อนไหวคัดค้าน คำพิพากษาประหารชีวิตสองแรงงานชาวเมียนมา ในคดีฆาตกรรมสองนักท่องเที่ยวชาวอังกฤษ เหตุเกิดที่เกาะเต่า จ.สุราษฎร์ธานี เมื่อ 15 ก.ย.ปีที่แล้ว
เพราะกระบวนการยุติธรรมแต่ละประเทศมีความศักดิ์สิทธิ์ เมื่อมีคำพิพากษาออกมาก็ควรยอมรับ อย่างน้อยก็ยอมรับในกระบวนการยุติธรรม ส่วนความรู้สึกไม่เห็นด้วยนั้นมีกันได้ การต่อสู้ก็ต้องว่ากันต่อไปตามกระบวนการ เพราะคดียังไม่จบ เพิ่งเสร็จจากศาลชั้นต้นเท่านั้น
การคัดค้าน ชุมนุมประท้วง หรือวิจารณ์อย่างเสียๆ หายๆ แบบไม่เป็นธรรม ไม่ว่าจะคนไทยหรือชาวต่างประเทศ เท่ากับเป็นการแทรกแซงกระบวนการยุติธรรมซึ่งเป็นหนึ่งในสามอำนาจอธิปไตย โดยเฉพาะกับคนต่างด้าว ท้าวต่างแดนด้วยแล้ว โดยมารยาทเขาไม่แทรกแซงกัน
กล่าวสำหรับคดีเกาะเต่า พวกที่ประท้วงๆ กันอยู่ ต้องไม่ลืมว่า ดีเอ็นเอ ของจำเลย 2 คน ตรงกับที่สารคัดหลั่งที่พบบริเวณช่องคลอด ทวารหนัก และอวัยวะอีกหลายอย่างของเหยื่อ คือ นักท่องเที่ยวสาวชาวอังกฤษ
ขณะที่โทรศัพท์ของผู้ตายอีกคนหนึ่ง คือ นักท่องเที่ยวหนุ่ม ก็ถูกพบในครอบครองของจำเลย 1 ใน 2 คน
ฉะนั้นคดีนี้ จำเลยชาวเมียนมาทั้งคู่ต้องเกี่ยวข้องกับการข่มขืนและฆาตกรรมไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ที่สำคัญดีเอ็นเอนั้นเก็บเป็นหลักฐานก่อนการจับกุมจำเลยทั้ง 2 คน การจะมาบอกว่าเป็น แพะหรือที่บางคนล้อเลียนว่า แพะม่า (แพะชาวพม่า) ก็ดูจะเกินเลยความจริงมากไป
บอกตรงๆ ถ้าวิจารณ์ในมุมอื่น เช่น สองคนนี้ตกเป็นแพะ เพราะรับผิดไปทั้งหมด ทั้งๆ ที่น่าจะมีคนอื่นร่วมกระทำความผิดอีก แต่ตำรวจตัดตอน ไม่ยอมสาวไปให้ถึง...อย่างนี้ยังพอรับฟังได้
ที่สำคัญ เจ้าหน้าที่หน่วยสก๊อตแลนด์ยาร์ดจากอังกฤษ ก็บินมาติดตามคดี และร่วมพิจารณาหลักฐานของตำรวจไทยหลายครั้ง แต่ละครั้งก็ยิ้มแป้น พึงพอใจกลับไปทุกที
ตรงข้ามกับสื่ออังกฤษบางสื่อที่จ้องเล่นงานท่าเดียว ที่ทีมโฆษกตำรวจแถลงเมื่อวานนี้ ตั้งคำถามว่าการปลุกกระแสเป็นเรื่องการเมืองผสมด้วยหรือไม่ ก็ฟังดูแล้วเข้าเค้า
อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาอีกมุมหนึ่งก็ต้องยอมรับว่า คดีเกาะเต่าสะท้อน ความตกต่ำ ในแง่ความน่าเชื่อถือของกระบวนการยุติธรรมไทยอย่างรุนแรง โดยเฉพาะสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เรียกว่าคนทั่วไปพร้อมจะเชื่อว่าผู้ต้องหาที่ตำรวจจับกุม เป็น แพะ แทบทุกกรณี
ขณะที่คดีตำรวจจับแพะก็ยังมีให้เห็นอย่างดาษดื่น หลังจากคดีสะเทือนวงการอย่างคดี เชอรี่แอน ในอดีต จนถึงปัจจุบันก็ยังมีคดีจับแพะอยู่เนืองๆ
กล่าวเฉพาะคดีเกาะต่า สาเหตุที่ทำให้คดีนี้ขาดความน่าเชื่อถือมีอยู่หลายประการ ซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากการทำงานของกระบวนการยุติธรรมลำดับต้นอย่างตำรวจทั้งสิ้น ได้แก่
1. เรื่องสิทธิ์ของผู้ต้องหา เพราะมีการอ้างข้อมูลว่าช่วงแรกไม่มีการจัดทนายความให้ และไม่มีบุคคลที่ผู้ต้องหาไว้ใจเข้าร่วมรับฟังการสอบสวน
2. ปัญหาเรื่องล่ามแปลภาษา ตำรวจไม่ใช้ล่ามอาชีพ หรือผู้เชี่ยวชาญด้านภาษาตัวจริง แต่กลับใช้บุคคลที่ไม่ได้รับการยอมรับว่ามีความเชี่ยวชาญ ซ้ำยังมีชาติพันธุ์เป็นปรปักษ์กับผู้ต้องหาด้วย
3. มีการร้องเรียนเรื่องซ้อมทรมานผู้ต้องหา แต่ไม่ได้รับการตรวจสอบอย่างทันท่วงที ด้วยกระบวนการที่ทุกฝ่ายยอมรับ โดยเฉพาะการไม่นำแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเข้าตรวจสอบอย่างเปิดเผย โปร่งใส
4. มาตรฐานการเก็บรวบรวมพยานหลักฐานของตำรวจ โดยเฉพาะการเก็บดีเอ็นเอ ถูกท้วงติงว่าไม่ได้มาตรฐานสากล ไม่พบดีเอ็นเอของผู้ต้องหาหรือจำเลยบนด้ามจอบที่คนร้ายใช้เป็นอาวุธสังหารเหยื่อ อย่างไรก็ตาม ประเด็นนี้ศาลให้น้ำหนักการเก็บหลักฐานดีเอ็นเอว่าถูกต้องตามมาตรฐานสากล
ทั้งหมดนี้คือประเด็นที่ตำรวจละเลย ตั้งแต่ปัญหาการ ปิดที่เกิดเหตุ ในวันแรกแล้ว ทำให้การทำคดีขาดความน่าเชื่อถือ จนบานปลายกลายเป็นกระแสคัดค้านคำพิพากษาในปัจจุบัน... ได้เวลาปฏิรูปตำรวจกันอย่างจริงๆ จังๆ เสียที!/จบ
.................................................................................................................................