:: Bienvenue à Aum&Cédric Blog ::

Group Blog
 
<<
มิถุนายน 2552
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
282930 
 
23 มิถุนายน 2552
 
All Blogs
 
**My Life…แต่เล็กจนโต :: ภาคสี่**

ความเดิมจากตอนที่แล้ว จบช่วงประถมศึกษาตอนปลาย (อายุราวๆ แปดเก้าขวบ)
รีบมาเล่าต่ออย่างรวดเร็ว เพราะเรื่องมันยาว เหอๆๆ คาดว่าอาจจะต้องเขียนอีกหลายตอน
เข้าเรื่องเลยดีกว่า หลังจากลาออกจากโรงเรียนเดิม ซึ่งเป็นโรงเรียนเอกชนเล็กๆใกล้บ้าน

ทีนี้อุ้มจะไปต่อโรงเรียนมัธยมที่ไหนดีหนอ ปู่เริ่มคิดหนัก (ผู้ปกครองเรานี่นา)
ปู่เลยส่งอุ้มไปสอบเข้าโรงเรียนรัฐบาลใกล้บ้าน ที่เป็นโรงเรียนหญิงล้วนชื่อดังที่สุด
ในย่านฝั่งธน (อยู่ตีนสะพานพุทธ) ปู่บอกว่าสอบติดไม่ติดค่อยว่ากันอีกที ลองไปสอบดูก่อน
อีกอย่าง บ้านเราอยู่ไม่ไกลจากโรงเรียนเท่าไหร่ อุ้มเลยได้สิทธิ “จับฉลากเข้าเรียน” สมัยก่อนเค้ามีนิ

โรงเรียนให้โควต้าเด็กจับฉลากไม่เยอะหรอก แต่ก็ยังดีที่ยังได้มีโอกาสไปเสี่ยงดวงกับคนอื่นเค้าบ้าง
อุ้มไปสอบกับ บัว ลูกพี่ลูกน้องห่างๆ (ที่โตขึ้นดันบังเอิญมาเจอกันที่ฝรั่งเศส และปีที่แล้วก็แวะมาหา)
ตอนไปสอบก็สอบคนละห้องกัน บัวมีคุณแม่เค้าไปเป็นเพื่อน ส่วนอุ้มมีพี่สาวทั้งสอง(ลูกพี่ลูกน้องสนิท)
ตามไปช่วยเป็นกำลังใจ ใช้เวลาสอบไม่นาน ประมาณครึ่งวัน แต่เวลานั่งรอเรียกไปจับฉลากนี่ดิ โคดนาน
โชคไม่ดีด้วย ดันเป็นห้องสุดท้ายที่มีโอกาสได้ไปจับฉลาก เพราะโควต้าเด็กจับฉลากมีแค่ร้อยกว่าคนเท่านั้น
แต่เด็กที่มาสอบ ที่อยู่ใกล้โรงเรียน และมีสิทธิจับฉลาก มีเยอะมาก ปีนั้นมีเด็กมาสอบเป็นพัน มหาศาลจริงๆ
อาจารย์เลยต้องใช้วิธีจับฉลากเบอร์ห้องสอบก่อนที่จะประกาศเรียก เราได้เรียกห้องสุดท้าย แทบจะไม่มีหวัง

อุ้มยังจำตอนที่เดินต่อแถวไปจับฉลากที่หอประชุมโรงเรียนได้ ตอนที่อยู่หน้าหอประชุมได้ยินเสียงประกาศ
เหลือฉลากสีแดง(ที่แปลว่าผ่าน) อยู่แค่สิบกว่าใบเอง ก็แอบคิดว่าน่าจะยังมีโอกาส แหม พอเข้าไปข้างในนั้น
ต๊กกะใจ แถวที่ต่อมันโคดจะยาว ระยะทางเข้าหอประชุมจนถึงบนเวทีจับฉลาก แถวยาวเป็นงูเลื้อยเลยค่ะ
ในแถวก็ได้ยินเสียงประกาศอยู่เรื่อยๆ “เหลือฉลากสีแดงอีกแค่แปดใบ เจ็ดใบ หกใบ...” เอิ๊กก จะมีบุญมั้ยตู

ตอนอุ้มขึ้นเวทีไปจับฉลากนั้น เหลือฉลากสีแดงอยู่แค่ “ใบเดียว” ใบสุดท้าย ยังเหลือเด็กอีกเพียบ
มองเห็นกะละมังอยู่สองใบ ข้างในมีตลับพลาสติกหลากสีเหลืออยู่ไม่มากนัก บนเวทีมีทางขึ้นสองข้าง
แยกเป็นสองแถว (ขึ้นกันคนละมุม) เด็กที่มีสิทธิหยิบตลับพลาสติกแยกกันคนละกะละมัง จับพร้อมๆกัน
และเวลาจับเราก็ต้องหันหน้าไปทางอื่น มีอาจารย์สองคน ยืนคุมคนละมุม จับตลับคนละอันแล้วก็ส่งให้เค้า
ก่อนจับฉลากอุ้มยังจำได้ว่าคิดในใจว่า “เพี้ยงขอให้ได้ทีเถิด” แล้วก็ควานหาตลับด้านซ้ายเจอได้มาหนึ่งอัน

ตอนนั้นลุ้นกันน่าดูเลยค่ะ มองเห็นพี่สาวสองคนที่มาเป็นเพื่อนยืนให้กำลังใจข้างล่าง เห็นบัวและคุณแม่บัว
(ที่ได้จับฉลากไปก่อนหน้าอุ้มนานแล้ว แต่ได้ “สีน้ำเงิน” แปลว่าไม่ผ่าน) แต่ก็ยังรอเป็นกำลังใจลุ้นไปกับอุ้ม
อาจารย์ฝั่งตรงข้ามหมุนเปิดตลับพลาสติกออกเป็น “สีน้ำเงิน” เพื่อนฝั่งตรงข้ามจับไม่ผ่าน เดินลงเวทีไป
เหลือตลับของอุ้ม อาจารย์หมุนเปิดออกมาประกาศว่าเป็น... “สีแดง” พร้อมกับเสียงกรี๊ดดดของคนข้างล่าง

พี่สาวทั้งสองคนของอุ้ม และบัว ดีอกดีใจกันยกใหญ่ อุ้มเองบอกตามตรง ยัง “งงๆ”อยู่เหมือนเคย กร๊ากก
(ได้ข่าวว่า เป็นโรค งง ทุกงานนะคะเนี่ย) ที่ยังจำได้คือเสียงร้องไห้ของคนที่มาต่อแถวข้างหลังอุ้ม เศร้าเลย
และเสียงผู้ปกครองของลูกๆที่มาสอบแต่ยังไม่ทันได้จับฉลากก็หมดสิทธิโวยวายกันใหญ่ด้วยความผิดหวัง
อาจารย์คุมฉลาก เปิดตลับพลาสติกที่เหลือในกะละมังให้ทุกๆคนดู ว่าเหลือแต่สีน้ำเงิน ไม่มีสีแดงเหลือแล้ว

ส่วนตัวอุ้มโดนสั่งให้เดินไปหลังเวที เพื่อไปลงชื่อ มีอาจารย์มากุมมือแสดงความยินดี ถามว่าอุ้มมือเย็นรึเปล่า
อาจารย์คนนั้นบอกว่าอุ้มโชคดีมากๆ จับฉลากได้คนสุดท้าย ยังเหลือคนรอจับอีกเยอะ เฮงมากๆเลยนะเนี่ย
ตอนนั้นอุ้มยังคุมสติได้นะ มือไม่เย็น ไม่ได้ตื่นเต้นอะไร ลงชื่อตัวเองเสร็จแล้ว ก็เดินออกด้านหลังหอประชุม

พอเดินไปเจอหน้าพี่สาวทั้งสองคนที่รอรับอุ้มอยู่ด้วยความดีใจ เข่าอุ้มก็อ่อนพับ เดินไม่ออกตรงนั้น ฮ่าๆๆ
(ไรวะ อยู่ตั้งนานเพิ่งจะรู้สึกตื่นเต้นที่จับฉลากได้ ก๊ากๆๆ) ระหว่างทางกลับบ้านก็คิดแผนจะไปหลอกปู่กัน
กลับถึงบ้านเจอหน้าปู่ ปู่ก็ถามทันที “เป็นไงอุ้ม ทำสอบได้มั้ย” อุ้มก็ตอบไปว่า “คงสอบไม่ได้แล้วล่ะปู่”
แล้วก็ทำหน้าเศร้าๆ ปู่เลยปลอบใจ “เอาน่าไม่เป็นไร” อุ้มก็รีบเปลี่ยนจากหน้าเศร้าเป็นหน้ายิ้มเจ้าเล่ห์
“สอบไม่ได้ เพราะจับฉลากได้แล้วไงปู่ ฮ่าๆๆ” ปู่บอก “จริงเหรอวะ” ใช่แล้วปู่ คนสุดท้ายด้วยแล่ะ เย้ๆๆ

หลังจากนั้นอุ้มก็เริ่มวุ่นวายกับการเตรียมตัวเข้าเรียนโรงเรียนใหม่ ต้องไปซื้อเครื่องแบบนักเรียนใหม่
(ซึ่งดันไปซื้อผิดระเบียบต้องเอาไปเปลี่ยนใหม่หมด) กระเป๋า รองเท้า (ยี่ห้อที่มีของแถมดีๆด้วยนะ ฮ่าๆๆ)
ไปมอบตัวกับผู้ปกครอง (แน่นอนต้องเป็นคุณปู่อยู่แล้ว) ซื้อหนังสือ สมุด เครื่องเขียน ของใช้จิปาถะ
เป็นช่วงเวลาที่ตื่นเต้นมากๆ ก่อนเปิดเทอมเข้ามัธยมต้น เหมือนได้เริ่มต้นชีวิตใหม่หมด โรงเรียนใหม่
เพื่อนใหม่ อาจารย์ใหม่ สังคมใหม่ เสื้อผ้า รองเท้า หนังสือ สมุด ทุกอย่างใหม่เอี่ยมอ่อง (เห่อของใหม่จริงๆ)

วันแรกที่ไปเรียน พี่สาวคนกลางเดินไปส่งขึ้นรถเมล์ ตื่นเต้นมากมาย (กลัวลงผิดป้ายไม่ใช่อะไร ก๊ากๆๆ)
ครั้งแรกในชีวิตที่ได้ขึ้นรถเมล์คนเดียวนะคะ ขอบอก เดินไปเข้าแถวหน้าเสาธง อยู่ชั้นมอหนึ่งห้องสอง
(มัธยมต้นมีสิบสองห้อง ห้องละหกสิบคน เด็กเยอะจริงๆค่ะ) เด็กจากโรงเรียนเอกชนเล็กๆอย่างอุ้มเนี่ย
จะไม่ให้ตื่นเต้นที่ต้องปรับตัวกระทันหันแบบนี้ได้ยังไงไหว แต่อุ้มปรับตัวได้ดีและไวเกินคาดเหมือนเคย
(แถวๆบ้านเค้าเรียกจิ้งจกกลับชาติมาเกิด) ไม่ทันไรก็เริ่มชินกับชีวิตประจำวันใหม่ๆ ไปกลับโรงเรียนได้ปกติ
เริ่มเรียกคุณครูมัธยมว่า “อาจารย์” (ทำไมต้องเป็นอาจารย์?? ตอนประถมยังเรียกครูว่า “ครู”อยู่เลยอ่ะ)
ได้เพื่อนใหม่ๆ เพื่อนที่สนิทกันมักจะนั่งใกล้ๆกัน (อุ้มได้เป็นแกงค์หลังห้อง เพราะนั่งหลังห้องไงล่ะ ฮ่าๆๆ)

ห้องเรียนของอุ้มเป็นเด็กที่จับฉลากได้เหมือนกันหมดทุกคน อาจารย์เค้าเลยจับเรามารวมตัวกัน
จะได้ง่ายต่อการดูแล เพราะอาจารย์ก็ไม่ทราบว่าเราเรียนเก่งกันรึเปล่า ไม่ได้ตรวจข้อสอบพวกเรานี่เนอะ
อีกอย่างเด็กที่ได้โชคช่วย มากับดวงอย่างพวกเรา ใช่ว่าจะฉลาดเสมอไป เลยต้องคุมพวกเราเข้มกันน่าดู

แต่อุ้มกลับชอบนะ แม้จะมีแต่อาจารย์ดุๆ (หรือโคดจะดุ) เจ้าระเบียบ อุ้มว่าดีซะอีก ทำให้เราเรียนง่ายขึ้น
ยิ่งอาจารย์ดุเท่าไหร่ เราก็ยิ่งต้องพยายามขึ้นเท่านั้น อาจารย์ยิ่งเคี่ยวเข็ญ เรากลับยิ่งอดทน มีกำลังใจ (ซะงั้น)
อุ้มยอมรับเลยว่าอุ้มโชคดีมากๆ ที่ได้มาเรียนโรงเรียนนี้ ระบบการเรียนการสอนดี ระเบียบแม้จะมีมาก(เกิน)
แต่กลับทำให้เราเรียนรู้ที่จะใช้ชีวิตอยู่ในสังคม ที่บางครั้งต้องรู้จักการเคารพกฏ กติกา ทำให้เราไม่เหลวไหล
แม้บางครั้งจะรู้สึกกดดันอยู่บ้าง แต่อุ้มเชื่ออยู่เสมอว่าถ้าเราอดทน อดกลั้น ทำตัวตามระเบียบก็จะไม่มีปัญหา

ช่วงชีวิตที่อุ้มเรียนมัธยมต้นนั้น อุ้มเต็มใจที่จะบอกว่า อุ้มมีความสุขดี มีเพื่อนดีๆ มีอาจารย์ และโรงเรียนดี
อุ้มมีเพื่อนที่สนิทมากๆอยู่สามคน เก๋ เจริญ และกุง เราทั้งสี่คนยังติดต่อ และคบเป็นเพื่อนกันจนถึงทุกวันนี้
มีเหตุการณ์ และวีรกรรมหลายอย่างที่อุ้มกับเพื่อนทำร่วมกันและยังประทับใจอยู่เสมอ ทั้งในเวลาเรียนและ
นอกเวลาเรียน ไม่ว่าจะเป็นการแอบอ่านหนังสือการ์ตูนใต้ลิ้นชัก หรือแม้แต่สอดไส้การ์ตูนไว้ในหนังสือเรียน
การแอบหลับสับประหงกหลังห้องเรียนช่วงบ่ายหลังกินข้าว (ก็หนังท้องมันตึง หนังตามันก็หย่อน ฮ่าๆๆ)
การแอบลอกการบ้าน และข้อสอบ (อย่าไปบอกอาจารย์เชียวนา) การหนีเที่ยวไปกินไอติมก่อนกลับบ้าน
และนัดกันไปเดินเที่ยวห้าง เล่นสเกตน้ำแข็งกันเกือบจะทุกวีกเอนด์ (อดข้าวกลางวันเก็บเงินไปเที่ยวนะนั่น)

ยังจำเรื่องขำๆได้ คือระหว่างคาบคณิตศาสตร์และคาบพละ ต้องมีการเปลี่ยนเครื่องแต่งกายไปเรียนกีฬากัน
อุ้มกับเพื่อนๆแทนที่จะเปลี่ยนชุดกันตามปกติ เราก็เล่นเป่ายิ้งฉุบแล้วคนแพ้ก็ถอดเสื้อผ้าออกกันคนละชิ้น
คนที่แพ้ก็เกือบจะเปลือยเลยล่ะค่ะ เหลือแต่เสื้อทับ (สมัยนั้นยังไม่ได้ใส่ “เฟริสบรา”) จู่ๆก็มีอาจารย์เข้ามา
ไม่ได้ตกใจหรอกค่ะที่เห็นอาจารย์ เพราะต้องเปลี่ยนเสื้อผ้ากันอยู่แล้ว แต่อาจารย์สั่งให้ปิดหน้าต่างทันที
เพราะมีเจ้าอาวาส วัดข้างๆ โทรมาบอกว่า เณรหนุ่มๆนั่งเรียนกันอยู่“เห็นหมดเลย” อ้าว ทำบาปซะแล้วเรา

อีกเรื่องอุ้มเคยมีเพื่อนร่วมห้องฝากมาบอกว่า เค้าแอบชอบอุ้ม อุ้มน่ารักดี (เล่นเอาตกอกตกใจทำตัวไม่ถูก)
อุ้มก็เลยตอบกลับไปว่า ขอบคุณที่ชมว่าอุ้มน่ารักนะ แต่อุ้มชอบผู้ชาย ก๊ากๆๆ (รึว่าเราทำตัวเหมือนทอม??)
เรียนโรงเรียนผู้หญิงล้วนนี่ต้องทำใจ เรื่องทอมดี้เป็นเรื่องธรรมดา เพราะเริ่มเป็นวัยรุ่นกันแล้วก็อยากมีแฟน
ตอนนั้นอุ้มอายุแค่ สิบเอ็ดสิบสอง แต่ก็เริ่มสนใจหนุ่มๆอยู่บ้างเหมือนกันนะ อิๆๆ (ดีกว่าสนใจทอมกับดี้ 555)

หลังจากที่เคยอ้วนแสนอ้วน และพ่วงความดำ สมัยเรียนประถมปลาย อุ้มก็เริ่มยืดตัว ผอมลงสมัยมัธยม
ดีกรีความน่ารัก พอประมาณ เพราะมีหนุ่มมาจีบคนแรก สมัยอยู่มัธยมปีที่สอง (ไวไฟไม่ใช่เล่นนะเรา)
โดนจีบที่ร้านอาหารตอนไปทานข้าวกับครอบครัว มีลูกพี่ลูกน้อง(ทางกฏหมาย) ชื่อ กอลฟ์ เป็นพ่อสื่อพ่อชัก
จำได้ว่าเค้าคนนั้นชื่อ “ต้น” และไอ้กอล์ฟมันดันไปให้เบอร์โทรที่บ้านกับเค้า เค้าเลยโทรมาหาอุ้ม ว้ายย เขิน

ชายจีบหญิงสมัยก่อน มักจะเป็นมุขเสี่ยวๆ ประมาณว่า โทรมาถามว่าทำอะไรอยู่ กินข้าวหรือยังคะ
กินอะไรทำไมถึงน่ารัก (ทำเอาอ้วกจะแตก) ลงท้ายจบที่ คิดถึงจังอยากเจอ นอนหลับฝันถึงผมบ้างนะ (แหวะ)
ช่วงนั้นใครมาถามอะไรอุ้ม อุ้มจะตอบไปว่า “ถามต้นดูสิคะ” กร๊ากก มุขโคดเก่าเลย เพราะต้นมันรู้ไปหมด

แต่เค้าก็โทรมาจีบได้ไม่นาน เพราะไม่เคยไป “เดท” กับเค้าเลย พอรู้ว่าเราไม่ปลื้ม เค้าก็เลิกโทรมาเอง อิๆๆ
คนที่อุ้ม “เดท” ด้วยคนแรกไม่ใช่ ต้น แต่เป็น “ตูน” เพื่อนชายจากโรงเรียนรัฐบาลชายล้วน ฝั่งพระนคร
ความจริงเราไปเดทกันด้วยความบังเอิญมากกว่า เพราะอุ้มจำได้ว่าวันนั้นเป็นวันที่ต้องไปรับสมุดพกช่วงเช้า
หลังจากนั้นก็ไม่รู้จะไปไหน อุ้มก็ไปเดินเล่นที่ห้าง และไปเจอ ตูน โดยบังเอิญที่นั่น เรารู้จักกันมาก่อนแล้ว
เพราะตูนเป็นเพื่อนของลูกพี่ลูกน้องที่สนิทกันเหมือนพี่สาวคนกลางของอุ้ม เค้าเคยแวะมานั่นคุยหน้าบ้านย่า
อุ้มกับตูนเลยคุ้นหน้าคุ้นตากัน ก็เลยแวะทักกัน แล้วตูนก็ชวนอุ้มไปเดินเที่ยวห้างด้วยกันสองต่อสอง อะจี๋ยๆ

จะเรียกว่า “เดท” ก็ไม่เชิงนะ เพราะเราไม่ได้นัดเจอกัน ไม่ได้เป็นแฟนกัน และไม่ได้ตั้งใจมาเที่ยวด้วยกัน
แต่ตูนพยายามจะทำให้เป็นเหมือนเดท ด้วยการขอจับมืออุ้ม (อุ้ยตายว้ายกรี๊ดด) แต่อุ้มมีหรือจะยอม อุเหม่
ใส่ชุดนักเรียนอยู่นะว้อย อีกอย่างเค้าก็ไม่ใช่แฟนเรา เป็นสาวเป็นนางมีอย่างที่ไหน ชิๆๆ (เสียภาพพจน์หมด)
โชคดีที่มีเพื่อนของตูนเข้ามาทักพอดี อุ้มเลยถือจังหวะปลีกตัวกลับบ้าน แยกย้ายกันไป ไม่มีอะไรในกอไผ่
เคยได้เจอเค้าหลังจากนั้นครั้งคราว ได้กลับบ้านด้วยกันสองสามหน ซึ่งก็เหมือนเคย เจอกันโดยบังเอิญเสมอ
อุ้มเองก็ไม่ได้คิดจะสานต่อ ตูนเองก็คงเช่นกัน (แม้จะยอมรับก็เหอะ ว่าอุ้มเองก็มีใจให้เค้าอยู่บ้างอ่ะนะ อิๆๆ)

สมัยนั้นนอกจากต้นกับตูนแล้ว ก็ยังมีเพื่อนของพี่ชาย(ลูกพี่ลูกน้อง) ที่เรียนช่างกลเทคนิคมาชอบเหมือนกัน
แต่เค้าก็แค่ชอบๆน่ะ มีแซวๆกันบ้าง แต่ก็ไม่ได้มาจีบ คนที่จีบอุ้มกลับเป็นเพื่อนของพี่สาวคนกลาง(คนเดิม)
พี่สาวคนกลางอัธยาศัยดี ประกอบกับเรียนโรงเรียนสหศึกษา เพื่อนเลยเยอะเป็นพิเศษ (โดยเฉพาะหนุ่มๆ)
ตอนนั้นอุ้มน่าจะขึ้นมอสามแล้ว เค้าขับมอเตอร์ไซค์มารับอุ้มไปเรียนหนนึง ดันไปเจอป้าอุ้มที่ตลาดพอดี
(ซวยจริงๆวุ้ย) ป้าอุ้มเลยแอบไปเมาท์แซวอุ้มที่บ้าน ทำให้อุ้มรู้สีกไม่ดีน่ะ (เสียภาพพจน์เด็กเรียนอย่างอุ้ม)

อุ้มเลยต้องบอกให้เด็กช่างกลคนนั้นเลิกติดต่อกับอุ้ม จะบอกว่าให้เค้าเลิกกับเราก็ไม่ได้ เค้ายังไม่ใช่แฟน
แต่เค้าก็ไม่เข้าใจน่ะ ว่าทำไมจู่ๆ อุ้มถึงไม่อยากเจอเค้าอีก ด้วยความที่รำคาญคำตื้อของเค้า ทำไงก็ไม่เข้าใจ
จะอ้างว่าเค้าไม่ดี เราเข้ากันไม่ได้ ผู้ใหญ่ห้าม ก็ดูแปลกๆ เพราะเรายังไม่ได้เป็นแฟนกันนี่หว่า มันพูดยาก
จะทำยังไงดี เค้าถึงจะยอมเลิกโทรมา เลิกมาแอบเฝ้าหน้าบ้าน (สมัยนั้นแฟชั่นหนุ่มๆเค้าไม่ได้เห็นหน้า
ก็ขอแค่ได้เห็นหลังคาบ้านสาวก็ยังดี) เลิกขับมอไซค์มารับไปโรงเรียน (อึดอัดจะแย่นะนั่นขอบอก)
เรื่องของเรื่องคือ อุ้มไม่ได้ชอบเค้าเลย คบเค้าเพราะเกรงใจพี่สาว เพราะเป็นเพื่อนพี่สาวและพี่เป็นแม่สื่อให้
สุดท้ายเลยต้องต่อว่าเค้าแรงๆ แบบเสียๆหายๆ (ไม่รู้ตอนนั้นทำไปได้ยังไง ไม่มีเหตุผลเอาซะเลยว่ะ เฮ้อ แย่วุ้ย
เอาเป็นว่า ครั้งแรกที่ได้รู้จัก “การหักอก” ผู้ชายมันเป็นอย่างนี้นี่เอง ไม่ได้รู้สึกดีแม้แต่น้อย แต่จำเป็นต้องทำ

หลังจากนั้นแม้จะมีหนุ่มๆมาแซว หรือมาดักรอหน้าโรงเรียนอยู่บ้าง (สมัยก่อนอุ้มเป็นนักกีฬาเล่นบาสฯ)
ต้องมีซ้อมตอนเย็น แต่ไม่เคยเถลไถลไปกับหนุ่มคนไหน (มารู้ทีหลังว่าหนุ่มๆที่มาเฝ้าเป็นเพื่อน ไอ้กอล์ฟ
แหม มันทำตัวเป็นพ่อสื่อที่ดีเสมอต้นเสมอปลาย ด้วยการเอาอุ้มไปโฆษณาที่โรงเรียนมันเสร็จสรรพ์ ไอ้นี่)
เกือบต้องมีเรื่องทะเลาะกับแม่ เพราะมีหนุ่มๆมาดักเฝ้าหน้าโรงเรียน และมีที่โทรมาหาด้วยที่บ้าน(ไม่รู้ใคร)
แม่กลัวอุ้มจะใจแตกซะก่อน (เนื้อหอมเกินไปหน่อย??) เถียงกับแม่แทบตาย ว่าให้เชื่อใจลูกตัวเองซะบ้าง
แม่คงได้ยินน้องสาวตัวเอง (น้า) แอบเมาท์อุ้มบ่อยๆ ว่าเป็น โอกุ้ย (อิหมวยดำ) เรียนหนังสือจะไม่รอดเอา
จบมอสาม อาจจะไม่มีปัญญาได้เรียนต่อโรงเรียนเดิม อาจจะต้องหาโรงเรียนพาณิชย์ให้มันเรียน หรือ...
(มันอาจจะไปติดผู้ชาย ใจแตก ท้องก่อนเรียนจบ ฯลฯ อันนี้เติมเอาเอง เหอๆๆ) ทำอุ้มเสียความรู้สึกอยู่น่ะ

พอเริ่มเป็นวัยรุ่น แอบมีเรื่องถกเถียงกับแม่บ้างเป็นของธรรมดา แต่กับพ่ออุ้มเข้ากันดีเป็นปี่เป็นขลุ่ย
ทุกๆวันเสาร์พ่อเลิกพาอุ้มไปดูงูที่สวนลุมแล้ว กร๊ากก พอเริ่มมีห้างมาเปิดแถวๆปิ่นเกล้า เราก็ชอบไปเดินกัน
พ่อชอบพาอุ้มไปดูหนังโรง ที่โรงหนังเวลโก (ตอนหลังโดนไฟไหม้ เลยกลายเป็นเมเจอร์ปิ่นเกล้าไปแล้ว)
อุ้มจะมีความสุขมากๆที่ได้ไปเที่ยวห้างกับพ่อ เคยดูหนังทีเดียวสามสี่เรื่อง ได้กินสุกี้เทกซัส และเคเอฟซีด้วย
ก่อนกลับบ้านก็แวะซุปเปอร์ซื้อของไปตุน อยากกินขนมอะไรก็หยิบได้เต็มที่ พ่อตามใจอุ้มมากๆ เลิฟพ่อสุดๆ

ส่วนกับคุณน้องชายตอนนั้นยังเด็ก น้องอยู่กับเหน่ะ (ยาย) ทุกๆวันศุกร์แม่จะขับรถมารับอุ้มที่บ้านย่า
และแวะรับน้องที่บ้านยาย(ตอนนั้นแม่ขับรถเป็นแล้วและมีรถโตโยต้าเก่าๆสีแดง) จากนั้นก็จะฝ่ารถติด
บนถนนเพชรเกษมไปจนถึงบ้านสายสี่ทุกวัน (ติดกระหน่ำน่าเบื่อมากๆ) แม่เลยมักจะซื้อเทปให้อุ้มกับน้อง
ทุกๆเย็นวันศุกร์เราจะได้เทปใหม่ อัลบั้มใหม่เป็นของขวัญจากแม่ และได้กินบะหมี่หมูแดงที่แม่ซื้อมาให้ด้วย

สำหรับช่วงมอต้น ชีวิตโดยรวมมีแต่เรื่องดีๆ เรื่องที่ทำให้เสียใจมากๆ มีแค่เรื่องเดียว คือ การสูญเสียคุณปู่
ก่อนถึงงานแซยิดปู่ไม่นาน ปู่ล้มป่วยหนัก จนตัวผอมลงมาก ขยับตัวไม่ได้ อุ้มได้เห็นปู่ครั้งสุดท้ายบนเตียง
คืนนั้นป้าขึ้นมาปลุกอุ้มกับพี่สาวคนกลางบนห้องนอนชั้นบนด้วยน้ำตา ได้ยินเสียงปนสะอื้น “ปู่เสียแล้ว”
อุ้มลงไปกราบเท้าปู่ จุดธูปและเทียนนำทางให้ปู่ บรรยากาศในบ้านมีแต่ความเศร้าโศก ปู่เป็นเสาหลักของบ้าน

วันรุ่งขึ้นอุ้มไม่ได้มีโอกาสอาบน้ำแต่งตัวให้ปู่ เพราะติดสอบที่โรงเรียน ยอมรับว่า ทำสอบไม่รู้เรื่องเลยค่ะ
ช่วงกลางวันแวะอ่านหนังสือเตรียมสอบต่อช่วงบ่ายก็เอาแต่ร้องไห้ สอบเสร็จกลับบ้านไม่เจอปู่ก็ใจหาย
ที่เตียงนอนก็ไม่มีปู่แล้ว คนที่บ้านพาปู่ไปเตรียมรดน้ำที่วัด อุ้มยังจำกลิ่นน้ำมันใส่ผมปู่ที่ยังติดหมอนได้ดี

อุ้มรักปู่มากนะ แม้จะไม่เท่าย่า แต่ปู่เป็นร่มโพธิ์ร่มไทรของบ้านเรา เป็นเสาหลัก เป็นผู้ปกครองที่ดีของหลาน
ปู่เคยพาอุ้มจูมือไปมอบตัวที่โรงเรียน อุ้มเป็นหลานคนเดียวที่ปู่ยอมให้เข้าไปเล่นบนเตียงในห้องนอนปู่กับย่า
ปู่สอนอุ้มให้ตี “ขิม” เพราะเป็นเครื่องดนตรีที่ปู่ว่าเหมาะกับลูกครึ่งจีนอย่างอุ้มเพราะเป็นเครื่องดนตรีผสม
เวลาสอนดนตรีหลาน ถ้าเล่นผิดโน้ตทีไรจะโดนปู่ตีทุกที จนไม่มีหลานคนอื่นๆอยากเรียนดนตรีกับปู่อีกเลย
เพราะกลัวเจ็บกัน ยกเว้นอุ้มที่ยังเรียนขิมกับปู่ทุกเย็น และยอมให้ปู่ตีจนร้องไห้ทุกวัน (หรืออุ้มมันซาดิสต์??)

ปู่สอนอุ้มขัดรองเท้านักเรียนด้วยน้ำยากีวี่ กับถุงเท้าเก่าๆ ต้องขัดและเป่าด้วยปากให้แวววาว เหมือนทหาร
ปู่สอนให้อุ้มทำข้าวผัด และเคล็ดลับความอร่อยคือการใส่ผงกระหรี่นิดนึง กลิ่นข้าวผัดจะได้หอมยวนชวนกิน
ปู่ไม่ชอบดูละครน้ำเน่า แต่ถึงเวลาสามทุ่มก็มานั่งรอหน้าทีวีประจำ ปู่เป็นนักดนตรีไทยเดิมที่แอบล้อเลียน
เพลงไทยสมัยใหม่ว่าเนื้อร้องไม่สละสลวย ร้องวนไปวนมา ไม่ได้สาระ (แต่ก็ยังอุตส่าห์แอบฟังเพื่อเอามาด่า)


อุ้มมีความทรงจำดีๆ เกี่ยวกับปู่หลายเรื่อง อุ้มรักปู่ และยังแอบเก็บปู่ไว้ในใจเสมอมา อุ้มยังคิดถึงปู่อยู่บ่อยๆ
ลิงค์ประวัติของคุณปู่อุ้มค่ะ ค้นเจอในกูเกิ้ล แถมมีรูปปู่ใส่เครื่องแบบทหารเรือด้วยล่ะ เท่ห์ซะไม่มี ปู่เรา อิๆๆ

//mulinet3.li.mahidol.ac.th/elib/cgi-bin/opacexe.exe?op=dig&db=MUSIC&pat=&cat=aut&skin=u&lpp=16&catop=&scid=zzz&ref=A:@285&nx=1&lang=1

สมัยนั้น ละครเรื่องคู่กรรม (ที่พี่เบิร์ดเล่นกับกวาง กมลชนก) ดังมาก เพราะอุ้มตีขิม เพื่อนๆจึงเรียกว่า “อัง”
(มาจาก อังศุมาลิน แต่ชื่อจริงอุ้มนั้นคือ อังคณา ฮ่าๆๆ ได้อยู่ๆ) ชอบดูเหมือนกันนะ เสียแต่ละครมันยืดไปนิด
ช่วงนั้นมีละครฮิตๆประเภท “มึงตบกูจูบ” อยู่หลายเรื่อง อย่างจำเลยรัก (เวอร์ชั่นลิขิต) และละครช่องสาม
อย่าง “มนต์รักอสูร” (พิศาล) หรือ “รอยมาร”(พี่ตั้วกับส้มโอ เรื่องนี้อุ้มปลื้ม พระเอกซาดิสต์ได้ใจ ฮ่าๆๆ)
ละครแนวผีๆกุ๊กกิ๊กอย่าง “รัตติกาลยอดรัก” “ผีกุ๊กกิ๊ก” “ผีขี้เหงา” หรือแนวผี (จริงๆ) อย่าง “สุสานคนเป็น”
“แม่นาคพระขโนง” หรือ “ทายาทอสูร” (คุณยายวรนาฏเวอร์ชั่นชไมพรเธอช่างหลอกหลอน)

ละครวัยรุ่นช่วงเย็นๆ (ห้าหกโมงเย็น) อุ้มก็ชอบดูเหมือนกันนะ ดูไปแล้วก็กินข้าวไป สมัยก่อนที่ฮิตๆกัน
ถ้าจำไม่ผิดคือเรื่อง“กว่าจะสวมหมวกขาว” ทำให้เด็กสาวๆฝันอยากเป็นนางพยาบาลกันเกือบทุกคน ก๊ากๆๆ
“สายฟ้าสลาตัน” ที่ทำให้หนุ่มๆบ้าการแข่งมอเตอร์ไซค์ “หน้ากากแก้ว” เรื่องนี้ชอบสนุกมากๆ รู้จักละคร
มาก่อนการ์ตูนญี่ปุ่น(เรื่องเดียวกัน)ซะอีก และเรื่อง “อรุณสวัสดิ์” เพราะพระเอกหล่อ (ศรราม) นั่นเอง อิๆๆ

ถ้าเป็นช่วงค่ำๆ ละครแนวสร้างสรรค์จะมีไม่กี่เรื่อง ถ้าจำไม่ผิดมีเรื่อง “บัวแล้งน้ำ” “ผู้หญิงแถวหน้า”
“ข้าวนอกนา” กับ “เวลาในขวดแก้ว”นอกนั้นก็มีแนวกุ๊กกิ๊กขำๆอย่าง “ตำรับรัก” “แต่งกับงาน”
“ปัญญาชนก้นครัว” “เขาวานให้หนูเป็นสายลับ”หรือแนวย้อนยุค “อีสา” “แผลเก่า”“ขมิ้นกับปูน”
ชักจะเยอะแล้ว ตามไปอ่านที่ลิงค์นี้ละกันนะ รวบรวมไว้ดีมากๆ อ่านแล้วนึกถึงละครเก่าๆสมัยยี่สิบปีก่อน
//www.oknation.net/blog/print.php?id=227840

นอกจากอุ้มจะติดละคร(ทั้งรอบเย็นรอบค่ำแล้ว) ยังบ้าอ่านหนังสือการ์ตูนอย่างเป็นล่ำเป็นสัน
สมัยนั้นกระแสฮิตหนังสือการ์ตูนตาหวานมาแรงมากๆ แถวมีฉากทะลึ่งๆให้เราได้แอบอ่านในห้องเรียน 555
ที่ชอบอ่าน (ถ้าจำไม่ผิด) คือการ์ตูนเรื่อง “ตำนานรักห้องสมุด” ของ ไซโต้ จิโฮ (แหม มันจำชื่อนักเขียนได้)
และเรื่อง “ไซเฟอร์” ที่แอบอดข้าวกลางวันเก็บเงินไปซื้อแบบยกเซตที่ร้านหนังสือการ์ตูนแล้วแบกกลับบ้าน
หนังสือการ์ตูนผู้ชายที่อ่านและติดใจมากๆคือเรื่อง “จอมเกบลูส์” มีชกต่อยกันและมีมุขตลกๆให้ขำๆสนุกดี

เรื่องแอบอดข้าวกลางวันนี่ ทำมาโดยตลอด เพราะไม่ได้เงินค่าขนมมากนัก (ได้วันละประมาณ 40 บาท)
แรกๆขึ้นรถเมล์ไปเรียน เจอรถติดมากๆเข้า อุ้มเลยเดินเอาดีกว่า สบายๆถึงโรงเรียนเร็วกว่าขึ้นรถซะด้วย
แถมมีเวลากินข้าวเช้าที่โรงอาหารก่อนไปเข้าแถวเคารพธงชาติสวดมนต์ตอนเจ็ดโมงครึ่งอีกตะหาก
พอตอนกลางวันก็ไปหมกตัวอยู่ห้องสมุด อ่านหนังสือเข้าไป จะได้ไม่คิดว่าตัวเองหิวข้าว (ทำไปได้วุ้ย)
ส่วนใหญ่จะชอบอ่านหนังสือวรรณกรรมแปลเยาวชน หรือเรื่องสั้น (ที่ใช้เป็นหนังสืออ่านนอกเวลาอ่ะค่ะ)
ยกตัวอย่างเช่นเรื่อง “น้ำพุ” “ผู้หญิงคนนั้นชื่อบุญรอด” (ตอนมยุราเล่นละครก็ได้ดูนะ ชอบมากมาย)
“ต้นส้มแสนรัก” (เรื่องนี้อ่านแล้วน้ำตานองหน้า) “แมงมุมเพื่อนรัก” (อ่านแล้วคิดว่าแมงมุมมันน่ารัก ก๊าก)

ถ้าวันไหนไม่ได้อ่านหนังสือ(ขนาดได้เวลานอนก็ยังอุตส่าห์แอบอ่านมืดๆจนทำให้สายตาเสีย ฮือๆๆ)
ก็จะนอนฟังเพลง(กล่อมตัวเอง) ตอนนั้นยังไม่มี “ซาวน์เบาท์” มีแต่วิทยุธรรมดา แล้วเสียบหูฟังเอา ฮ่าๆๆ
เพลงของค่ายแกรมมี่ยังมีให้ฟังอยู่เรื่อย แต่ค่ายคู่แข่งอย่าง อาร์เอสฯ กับคีต้า(ปิดไปแล้ว) มาแรงไม่แพ้กัน
เพราะมีโปรโมตรายการเพลงที่ฉายมิวสิควีดีโอให้ดูช่วงเย็นๆอยู่เสมอ ทำให้ฟังติดหู วัยรุ่นก็เลยชอบ อิๆๆ
สมัยนั้นใครไม่รู้จัก “พี่ติ๊นา” “พี่เจ เจตริน” “พี่อ้อม สุนิสา” “ต่อกับต๋องวงทู” “พี่เต๋า สมชาย”
“นุ๊ก สุทธิดา” “แรพเตอร์” “บอยเสกาท์” “พี่ทัช ณ ตะกั่วทุ่ง” แล้วล่ะก็ เชยระเบิดระเบ้อ กร๊ากก

อุ้มเรียนจบชั้นมัธยมที่สามตอนอายุ สิบสาม (เลขสาม) ตอนเรียนจบมีการเขียนสมุด “เฟรนด์ชิพ”
แลกกันกับเพื่อนๆ สมัยนั้นเค้าพิ่งจะเริ่มฮิตเขียนกันค่ะ แถมได้เขียนข้ามโรงเรียนให้โรงเรียนชายล้วนด้วย
มีหนุ่มๆเค้าฝากมาให้เขียน (บอกแล้วว่าเนื้อหอม กร๊ากก) แต่จำไม่ได้แล้วว่าเอาสมุดไปทิ้งไว้ไหนอ่ะดิ เหอๆๆ

ไว้ตอนหน้ามาต่อช่วงมัธยมปลายละกันนะคะ อุ้มจะได้เรียนที่เดิมหรือย้ายที่เรียน จะเอนท์ติดมั้ยหนอ??
รออ่านละกันเน้อ เดี๋ยวไปรวบรวมความทรงจำ(เหมือนเคย) แล้วจะเอามาเล่าทันทีที่เขียนเสร็จละกันเน้อ

ปอลอ มีรูปในกระเป๋าสตางค์สมัยอยู่มอต้นอยู่สองใบ (เป็นรูปเล็กๆเคลือบพลาสติกไว้) หน้าตาช่างเอ๊าะ ฮ่าๆๆ

Photobucket

Photobucket


college song


Create Date : 23 มิถุนายน 2552
Last Update : 23 มิถุนายน 2552 23:36:07 น. 4 comments
Counter : 831 Pageviews.

 
เขียนเล่าซะอย่างยาว เหอๆๆ ตอนหน้าจะพยายามโม้ให้น้อยกว่านี้ อิๆๆ


โดย: aumdeeda วันที่: 23 มิถุนายน 2552 เวลา:23:38:56 น.  

 
เพิ่งสังเกตว่านิยมชูสองนิ้วมาตั้งแต่สมัยโน้นนนน


โดย: deeda IP: 86.208.61.138 วันที่: 24 มิถุนายน 2552 เวลา:1:23:13 น.  

 
((เพลงเพราะๆๆ ทั้งน้าน))

โอ้โห้..คุณอุ้ม ดีจังเลยค่ะ เขียนแบบนี้เก็บไว้ได้อ่านตลอดไปเลยนะ
แถมอนาคตลูกกหลานของคุณอุ้ม ก็จะได้เข้ามาอ่านประวัติได้ด้วย..

ว่างๆ จะเข้ามาเก็บตก ตามอ่านประวัติของเถ้าแก่คนเก่งคนนี้นะคะ
ขอบคุณมากๆ ที่แวะเข้าไปหา แล้วทำให้เราได้ตามเข้ามาอ่านเรื่องราว ความทรงจำดีๆ นี้จ้า


โดย: YGHarding วันที่: 26 มิถุนายน 2552 เวลา:1:46:18 น.  

 
อร๊ายย ชอบรูปคุณพี่สมัยคอซองจังค่ะ
แต่เดี๋ยวต้องขอแปะไว้ก่อนนะคะ ค่ำๆจะกลับมาอ่านต่อค่ะ

ป.ล. แล้วแผลดีขึ้นหรือยังคะ


โดย: chictuary IP: 98.151.17.177 วันที่: 26 มิถุนายน 2552 เวลา:22:31:04 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

aumdeeda
Location :
Ouagadougou Burkina Faso

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




อดีตคนโรงแรม
ที่ได้พบรักกับหนุ่มชาวฝรั่งเศส
ไกลถึงกรุงบรัสเซลส์เบลเยี่ยม
จากนั้นได้ผันตัวมาเป็นเถ้าแก่เนี้ย
ร้านขายอาหาร ณ เมืองอาเมียง
ทางเหนือของประเทศฝรั่งเศส
ปัจจุบันย้ายมาทำธุรกิจที่ประเทศ
"บูร์กินาฟาโซ"
ในทวีปอัฟริกาตะวันตก
Friends' blogs
[Add aumdeeda's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.