Mini Marathon จากสวนลุมพินี สู่ Hongkong Victoria Park
ปีที่ผ่านมา ถือว่าเป็นปีที่ได้ทำอะไรหลายอย่าง หนึ่งในกิจกรรมดีๆที่ได้ทำคือ การเข้าร่วมวิ่งมินิมาราธอนในสนามต่างๆ เอาตามความจริงแล้ว การลงแข่งวิ่งมินิมาราธอน ไม่เคยอยู่ในหัวเลยด้วยซ้ำไป เคยเห็นแต่คนไปแข่งแล้วโพสภาพลงบนเฟสบุ๊คบ้าง ไลน์บ้าง ยังนึกเลยว่าบ้ากันรึป่าวตื่นมาทำไมตี 3 ตี 4 เพื่อมาวิ่ง มาทรมานตัวเองทำไม แม้ปกติจะเป็นคนดูแลสุขภาพวิ่งอยู่บ้าง แต่ก็วิ่งแค่แบบเบาะๆ 20-30 นาที ก็เหนื่อยแล้ว แต่แล้วความคิดนั้นก็เปลี่ยนไป เมื่อเจ้านายและเพื่อนๆที่ทำงานได้จัดกิจกรรมดีๆให้พวกเราได้ออกกำลังกาย ให้พวกเราได้ผ่อนคลายจากวันทำงานเครียดๆและแสนยุ่งเหยิง กิจกรรมแรกที่พวกเราตัดสินใจลงสมัครคืองาน The Kop Run ที่ Central world ความตั้งใจเดิมตอนแรกกะจะลงวิ่งระยะทาง 5 กิโลเมตร ยังคิดในใจเลยว่าจะไหวไหมเนี่ย แต่ด้วยที่เพื่อนๆยุ ก็เลยตัดสินใจเขียนใบสมัครไปทั้งๆที่ตัวเองยังไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าจะวิ่งถึงเส้นชัยหรือป่าว พอเขียนเสร็จก็ฝากน้องแบงค์ น้องที่ออฟฟิศเพื่อเตรียมไปลงทะเบียน แต่เหมือนโชคชะตาฟ้าลิขิต กิจกรรมในครั้งนั้นคนให้ความสนใจมากจนคนลงทะเบียนระยะทาง 5 กิโลเมตรเต็มอย่างรวดเร็ว น้องแบงค์ น้องที่หวังดีไม่อยากให้พี่ๆพลาดกิจกรรมดีๆก็เลยไปเปลี่ยนระยะวิ่งในใบสมัครจากระยะ 5 กิโลเมตร เป็น 10 กิโลเมตรซะงั้น แล้วตรูจะวิ่งไหวมั้ย? แอบคิดในใจ แต่โชคดีที่เพื่อนๆและน้องๆที่ออฟฟิศก็น่ารักกันมาก แต่ละคนให้ความเชื่อมั่นว่าเราต้องทำได้ น้องพี น้องอีกคนที่ออฟฟิศ นำ VCD หนังเรื่อง "42.195 รัก 7 ปี ดี 7 หน" เป็นหนังสั้นที่เล่าเรื่องราวของหญิงสาวธรรมดาคนหนึ่ง (แสดงโดยคุณสู่ขวัญ) ที่เกือบหมดอาลัยตายอยากเนื่องจากสามีเพิ่งเสียชีวิต ในระหว่างที่เดินเรื่อยเปื่อยในสวนลุมก็ได้พบกับพระเอก (แสดงโดยน้องนิชคุณ) ที่วิ่งชนโดยบังเอิญและได้พูดคุยกันจนทำให้นางเอกเกิดแรงบันดาลใจและอยากที่จะวิ่งมาราธอน หนังเรื่องนี้เป็นหนึ่งในหนังที่สร้างแรงบันดาลใจได้เป็นอย่างดี ตัวเรื่องของหนังได้สอดแทรกว่าทำไมพระเอกและนางเอกถึงอยากจะลงวิ่งมาราธอน กับ วลีที่ว่า เมื่อเราวิ่งมาได้สักพักเราจะรู้สึกว่าเราไม่ใช่คนเดิมแล้วนะ บทหนังได้สอดแทรกแรงบันดาลใจรวมถึงความเตรียมพร้อมในการวิ่งได้อย่างกลมกลืนโดยในฉากสุดท้าย จากคนธรรมดาคนหนึ่งที่เกือบหมดอาลัยตายอยากในชีวิต ก็ตัดสินใจเข้าร่วมและประสบความสำเร็จในการวิ่งมาราธอนเพราะเขารู้ดีจุดประสงค์ของการวิ่งมาราธอนครั้งนี้ไม่ใช่แค่อยากวิ่งอย่างเดียวแต่เพราะเธออยากจะลืมสิ่งเก่าๆและได้พบเจอกับชีวิตใหม่ ชีวิตใหม่ที่ดีขึ้น
หลังจากที่เพื่อนๆและน้องๆช่วยกัน build เราก็เริ่มซุ่มซ้อมเตรียมความพร้อมก่อนลงแข่งขันจริง สถานที่ซุ่มซ้อมก็ไม่ได้เป็นที่ไหนไกล สวนลุมพินี ใกล้ๆออฟฟิศเรานี่เอง แม้จะใกล้ที่ทำงานและผ่านสวนลุมอยู่บ่อยๆ แต่เอาจริงๆผมแทบไม่เคยเดินเข้าไปข้างในเลย พอได้เข้าไปข้างในจริงๆ กลับรู้สึกตื่นเต้นและฮึกเหิมอย่างบอกไม่ถูก คงเป็นเพราะได้เจอนักวิ่งเยอะแยะมากมาย หนึ่งรอบของสวนลุมจะประมาณ 2.5 กิโลเมตร ครั้งแรกของผมน่ะเหรอ รอบเดียวก็เหนื่อยจะแย่อยู่แล้ว พวกเราเริ่มซุ่มซ้อมมาเรื่อยๆ จากวันแรกๆได้แค่รอบเดียวก็ค่อยๆเพิ่มระยะทางขึ้นในวันต่อมาเป็น 2 รอบ และมา 3 รอบ จนสัปดาห์สุดท้ายก่อนเข้าร่วมแข่งขันจริงก็วิ่งได้ครบ4 รอบ ทำให้เราเริ่มมีความมั่นใจว่าเราไม่เป็นลมกลางสนามในวันแข่งจริงแน่ๆ
และแล้วการวิ่ง Mini Marathon 10 กิโลเมตรงานแรกในชีวิตของพวกเราก็ได้เริ่มขึ้นที่งาน The Kop Run @ CentralWorld พวกเรารู้สึกตื่นเต้นเป็นพิเศษเพราะเป็นครั้งแรกของพวกเราหลายๆคน ครั้งนั้นได้มีการเตรียมการอย่างดี เข้านอนตั้งแต่หัวค่ำ และตั้งนาฬิกาปลุกตั้งแต่ตี 3 ครึ่ง เพื่อมาอาบน้ำ แปรงฟัน และที่ขาดไม่ได้เลยคือ เสบียง ของกิน ต้องมา ไม่ว่าจะเป็น ขนมปัง แซนด์วิช นม น้ำเกลือแร่ แม้ในช่วงเวลานั้นจะไม่มีความหิวสักนิดเลยก็ตาม แต่ด้วยความที่กลัวจะเป็นลมกลางทางเดี๋ยวจะขายหน้าเค้าไปป่าวๆ ก็เลยต้องอัดเต็มสักหน่อย แต่สงสัยจะจัดเต็มเกินไป ไม่รู้ด้วยว่าเอนไซม์จากนมไปทำปฏิกิริยากับขนมปังหรือจะเป็นเพราะด้วยความตื่นเต้นอย่างไรมิทราบ ก็รู้สึกปวดท้องโดยฉับพลันเหมือนข้าศึกจะบุกในเวลาไม่กี่นาทีก่อนจะเริ่มออกตัวซะอย่างนั้นยังดีที่ทาง Central World มีห้องน้ำบริการที่ลานจอดรถไม่อย่างนั้นไม่อยากจะนึกภาพเลยว่าจะเกิดอะไรขึ้นระหว่างวิ่งการวิ่งครั้งแรกของพวกเราดำเนินไปได้ด้วยดี อาจจะมีเหนื่อยบ้าง หยุดพักบ้าง หรือหยุดถ่ายรูปบ้างตามประสาคนเพิ่งเริ่มวิ่งงานแรก แม้ผมจะเข้าเป็นลำดับท้ายๆใช้เวลาไปประมาณชั่วโมงครึ่ง แต่ก็เป็นความภูมิใจที่ไม่เคยคิดไม่เคยฝันว่าตัวเองจะสามารถวิ่งติดต่อกันได้ 10 กิโลเมตร เป็นชั่วโมงได้นานๆขนาดนี้ ต้องขอบคุณน้องแบงค์ ถ้าวันนั้นน้องไม่แอบไปเปลี่ยนระยะวิ่งในใบสมัครให้ผมก็คงไม่รู้ตัวเองด้วยซ้ำว่าตัวเองจะวิ่งมาได้ไกลขนาดนี้
นับจากงานแรก ชีวิตพวกเราก็พลิกผันเข้าสู่วงการวิ่งอย่างเต็มตัว ก่อนหน้านั้นไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่า ในเมืองไทยจะมีการจัดงานวิ่งได้เยอะแยะมากมายขนาดนี้ ทุกวันนี้ เราจะเห็นได้ว่า มีการจัดงานวิ่งกันแทบทุกสัปดาห์ บางสัปดาห์มีการจัดชนกันหลายงาน พื้นที่วิ่งทับซ้อนกันบ้างก็มี ดูเหมือนว่าพอพวกเราผ่านงานแรกมาได้แล้ว ทุกคนก็เริ่มสนุก เริ่มที่จะกระเหี้ยนกระหือรือที่อยากจะวิ่งในงานต่อไปๆอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นงาน Post Today , งานเมืองไทยมาราธอน, งาน Run for Mom หรือแม้กระทั่งงาน Bangkok Marathon ซึ่งเป็นงานใหญ่ประจำปีของการแข่งขันวิ่งในเมืองไทยนับตั้งแต่งานแรกจนถึงวันนี้ เฉพาะตัวผมเองก็แข่งขันไปแล้วทั้งสิ้น 12 สนาม การตื่นไปวิ่งตี 3 ตี 4 ก็ไม่ได้เป็นปัญหาหรือข้อจำกัดอีกต่อไป
หากพูดถึงสนามที่จัดงานได้ไม่เหมือนใครที่สุดก็คงต้องยกให้เป็นงาน "Midnight Run" งานนี้ถือเป็นสนามที่วิ่งระยะทางไกลที่สุดของผมในปัจจุบัน ด้วยระยะทาง 12 กิโลเมตร และให้เริ่มวิ่งตอนเที่ยงคืน จากปกติในงานอื่นๆจะเริ่มวิ่งตอนตี 5 หรือไม่ก็ 6 โมงเช้า ก็แปลกดี แม้จะไม่ต้องตื่นเช้ามาก แต่การเริ่มวิ่งตอนเที่ยงคืน กว่าจะเข้าเส้นชัยได้ก็เกือบตี2 เรียกได้ว่าวิ่งไปง่วงไปได้เหมือนกัน 555 แต่ก็เป็นสนามที่สนุกและท้าทายงานหนึ่งเลยก็ว่าได้
อีกงานหนึ่งที่จัดได้แปลกแหวกแนวไม่เหมือนใคร คืองาน มินิมาราธอนที่ค่ายทหาร ช.พัน 1 รอ. สนามนี้ แม้จะไม่ได้เป็นงานใหญ่ ไม่ได้มีผู้เข้าร่วมวิ่งมากมาย แต่ก็เป็นงานเล็กๆที่จัดได้ค่อนข้างประทับใจเป็นงานเดียวที่รู้สึกว่าไม่ได้จ้าง Organizer แต่ทำกันเองโดยพี่ๆทหารไม่ว่าจะเป็นจุด Start/Finish ที่ใช้รถเครนมาตั้งแบบแปลกแหวกแนวไม่เหมือนใคร หรือตอนเริ่มstart ที่ใช้วิธีการยิงพลุแทนปืน เส้นทางวิ่งที่ไม่ซ้ำกับงานใดให้ความรู้สึกเหมือนกับไปฝึก รด.อีกครั้ง ทั้งวิ่งผ่านค่ายทหาร ที่พักทหาร บ้านเรือนชุมชน และที่ประทับใจสุดคือการวิ่งลงอุโมงค์เรียกได้ว่าเป็นงานเล็กๆแต่พี่ๆทหารก็ดูแลพวกเราเป็นอย่างดีและจัดงานได้อย่างประทับใจมากๆ
แต่ถ้าให้พูดถึงงานที่ประทับใจมากที่สุด ขอยกให้เป็นงาน "อยุธยา มาราธอน" ถือเป็นสนามต่างจังหวัดสนามแรกของพวกเราเลยก็ว่าได้ และก็ไม่ผิดหวังเลยจริงๆที่เลือกสนามต่างจังหวัดที่นี่เป็นสนามแรก บรรยากาศและเส้นทางวิ่งเรียกได้ว่าเป็นที่สุดของความประทับใจ ตลอดเส้นทางการวิ่งผ่านวัดต่างๆที่เป็นโบราณสถานและมรดกโลก ประกอบกับบรรยากาศยามเช้าและสภาพแวดล้อม ชุมชนที่แปลกตาไปจากที่พบเห็นในเมือง ทำให้พวกเราได้เพลิดเพลินทำให้ตลอดระยะเวลาการวิ่งสนามนี้ ลืมความเหน็ดเหนื่อยไปเลยทีเดียว
สุดท้าย สนามที่โหดที่สุด ขอยกให้เลย คืองาน Hongkong Marathon งานนี้เป็นการ Go Inter ครั้งแรกของพวกเรา ว่างานในเมืองไทยคนวิ่งกันเยอะแล้ว เจองานที่ฮ่องกงนี่ชิดซ้ายไปเลยครับ สนามนี้โหดตั้งแต่การลงทะเบียน พวกเราต้องตื่นกันมาตั้งแต่ 6 โมงเช้า เพื่อมาเตรียมลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์ และก็เป็นไปตามคาด ภายในเวลาไม่ถึงชั่วโมงนับจากที่เปิดลงทะเบียน ก็มีผู้สมัครเต็มตามโควตาของ mini marathon ที่เปิดไว้กว่าสามหมื่นคน เรียกได้ว่าถ้าสัญญาณ 4G หรือ wifi ไม่แรง และมือคีย์ไม่เร็วจริง สมัครไม่ทันแน่นอน การลงทะเบียนที่ว่าโหดแล้ว การวิ่งในสนามนี้โหดยิ่งกว่า เพราะตั้งแต่เครื่องบินพาพวกเราแตะพื้นที่สนามบินฮ่องกง ฝนเจ้ากรรมก็ตกลงมาอย่างต่อเนื่องตลอด 3 วัน ตั้งแต่วันที่ไปรับเบอร์ Bib จนถึงเช้าวันวิ่ง บอกตรงๆตั้งแต่ลงงานวิ่งมาตลอดปีไม่เคยเจองานไหนที่ต้องวิ่งท่ามกลางสายฝนขนาดนี้มาก่อน การวิ่งตากฝนในระยะทางกว่า 10 กิโลเมตร มันไม่ได้เป็นเรื่องง่ายเลย แต่ก็ภูมิใจและเป็นอีกหนึ่งบททดสอบที่ไม่เคยคิดเลยว่าในชีวิตนี้จะมาวิ่งตากฝนได้เป็นชั่วโมงๆ แต่สุดท้ายก็วิ่งฝ่ามาได้และไม่ป่วยด้วย นับเป็นการวิ่งต่างประเทศครั้งแรก และยกได้ว่าเป็น challenge ที่โหดที่สุด สมกับเป็น challenge สุดท้ายของปีจริงๆ
จากงานแรกถึงงานสุดท้ายในปีนี้ จากสวนลุมพินี สู่ Hongkong Victoria Park บางทีก็ยังงงๆกับตัวเองเหมือนกันว่า เรามาถึงจุดนี้กันได้อย่างไร จุดที่ไม่เคยคาดคิดว่าตัวเองจะต้องมาตื่นตี 3 ตี 4 เพื่อมาวิ่งเป็นชั่วโมงๆกับระยะทางกว่า 10 กิโลเมตร จุดที่บางทีต้องมาวิ่งท่ามกลางสายฝน ต้องขอขอบคุณหัวหน้า พี่ๆ น้องๆที่ออฟฟิศทุกคนที่คอยเสริมสร้างกำลังใจเป็นเพื่อนซ้อมวิ่ง และสร้างแรงบันดาลใจมาโดยตลอด ถ้าไม่ได้พี่ๆน้องๆเหล่านี้ผมก็คงไม่สามารถที่จะมาจุดนี้ได้ และแน่นอนกิจกรรมและความประทับใจต่างๆเหล่านี้คงจะยังไม่มีที่สิ้นสุด พวกเราคงจะมีกิจกรรมร่วมกันอย่างต่อเนื่อง และพัฒนาการวิ่งต่อไปไม่มีที่สิ้นสุด นี่เป็นเพียงแค่บททดสอบบทแรก อย่างที่นิชคุณกล่าวไว้ว่า เมื่อเราวิ่งมาได้สักพักเราจะรู้สึกว่าเราไม่ใช่คนเดิมแล้วนะ ไม่เพียงแต่การวิ่งจะทำให้เรามีสุขภาพที่แข็งแรง แต่การวิ่งยังทำให้เราได้เพื่อน ทำให้เรารู้ว่าเราสามารถทำอะไรได้อีกมากมายที่เราไม่เคยคิดว่าจะทำได้อีกทั้งเป็นการฝึกวินัย ทำให้รู้จักวางแผนเพื่อไปให้ได้ถึงเป้าหมายที่เราวางไว้ และนี่คือสิ่งดีๆที่พวกเราได้จากในช่วงปีที่ผ่านมา
Create Date : 31 มกราคม 2559 |
Last Update : 1 กุมภาพันธ์ 2559 21:54:20 น. |
|
3 comments
|
Counter : 2015 Pageviews. |
|
|