ในความเป็น...มาลา คำจันทร์ จาก...นิตยสารศรีสยามปีที่ 1 ฉบับที่ 14 ประจำวันพฤหัสบดีที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2540 (หน้า 18-19) สัมภาษณ์พิเศษ หลายคนอาจเริ่มรู้จักชื่อของ มาลา คำจันทร์ เนื่องเพราะรางวัลซีไรต์ที่ได้รับจากเรื่อง เจ้าจันทร์ผมหอม ซึ่งในช่วงเวลานั้นค่อนข้างจะสร้างทั้งความสนใจและแปลกใจอยู่ไม่น้อย ด้วยหลายกระแสเสียงที่กล่าวถึงเนื้องานมักว่าภาษาของเขาแปลก ยากนักต่อการเข้าใจได้ถ่องแท้ และเมื่อวันเวลาผ่านไปกระแสเสียงนั้นจึงสรุปว่างานเขียนส่วนใหญ่ของ มาลา คำจันทร์ โดดเด่นอยู่ที่การใช้ภาษาที่ไม่เหมือนใคร จนอาจเรียกว่าเป็นเอกลักษณ์ของนักเขียนผู้นี้ก็ว่าได้-- ใคร ๆ เขาก็ว่าอย่างนั้นนะ คือมันออกมาเป็นอย่างนั้นเอง ไม่ได้ตั้งใจเพราะเราโตมากับภาษาแบบนั้น แต่มันก็ไม่ได้ตัดขาดโดยสิ้นเชิงกับภาษาไทยกลาง ก็เลยลำบากหน่อย เวลาคิดเวลาเขียนอะไรออกมาก็เป็นภาษาพื้นบ้านทั้ง ๆ ที่พยายามจะเบรกตัวเองอยู่ เหมือนกับว่าผมเติบโตมากับความเป็นพื้นบ้าน อย่างเวลาได้ยินเสียงเพลงแทนที่เราอยากจะเต้น จะดิ้นส่าย แต่กลับกลายเป็นฟ้อนแบบบ้านเรา ห้ามไม่ได้ พยายามจะดัดก็ดัดไม่ไป งานก็คงจะเป็นอย่างนี้ พยายามจะฝืนตัวเองเหมือนกัน แต่ไม่ค่อยราบรื่น ประดักประเดิด เหมือนไม่ใช่เรา เป็นอะไรก็ไม่รู้ ...ส่วนคำวิจารณ์ ตลอดมานี่ก็แทบจะไม่มีผลอะไร จะว่าไม่มีก็ไม่ใช่นะ แต่ผมก็เป็นผมเอง ตรงไหนเห็นด้วยกับเขา ก็เออออ ใช่นะมันอย่างนั้นอย่างนี้ เรื่องหน้าจะได้ไม่แสดงข้ออ่อนด้อยอย่างนี้ออกมาอีก แต่ถ้าตรงไหนเราไม่เห็นด้วยก็ผ่านไปเฉย ๆ แต่ผมก็ขอบคุณนักวิจารณ์นะว่าเป็นเหมือนกระจกสะท้อนให้เราเห็นภาพตัวเอง ปัจจุบัน มาลา คำจันทร์ ใช้ชีวิตนักเขียนอิสระอย่างสมถะอยู่ ณเมืองเหนือ ในจังหวัดซึ่งใครหลายคนใฝ่ฝันถึงอย่างเชียงใหม่ ช่วงนี้ผมก็เขียนหนังสืออย่างเดียว ชีวิตที่นี่สงบสุขดีมากครับ สิ่งแวดล้อมที่บ้านก็เอื้อต่อการเขียนหนังสือมาก จะนั่งเขียนทั้งวันก็ได้ แต่ส่วนมากผมจะทำงานตั้งแต่ตีสามถึงหกโมงเช้า หลังจากนั้นร่างกายจะล้าต้องพักผ่อน นอนบ้างอ่านหนังสือบ้าง สาย ๆ ก็จะงีบสักพัก หรือไม่ก็เที่ยวป่าเที่ยวเขา และเมื่อถามถึงนวนิยายเรื่อง ไพรอำพราง ที่มานั้นกลับไม่ได้มาจากป่าเขาเพียงประการเดียวอย่างที่เข้าใจ เขาเล่าว่า แรกสุดก็สงสัยเกี่ยวกับเรื่องโรคฝีดาษ ไข้ทรพิษที่ระบาดในสมัยนั้น คือเราเกิดไม่ทัน แต่ก็สงสัยว่าทำไมมันร้ายกาจรุนแรงขนาดนั้น เลยไปค้นคว้าศึกษาจากเรื่องไข้ทรพิษ ทีนี้จากความสนใจตรงนี้ก็ขยายกว้างออกไปอีก เกี่ยวกับชีวิตชาวบ้านป่าเขาสมัยนั้น เขามีความเป็นอยู่กันอย่างไร ทีนี้พอเกิดแรงบันดาลใจจากจุดนี้ เมื่อกลายเป็นไพรอำพราง ก็แทบไม่เหลือเค้าของแรงบันดาลใจเดิม คือที่เปลี่ยนก็เพราะ จากจุดบันดาลใจมันทำให้เรา...ก็เหมือนจุดเริ่มต้นของการระเบิด พอมันระเบิดออกไป เราก็ยังควบคุมทิศทางของพลังงานไม่ได้ พอมันเบิกกว้างออกไปมาก ๆ เราก็หากรอบไปใส่ ว่าเราอาตรงนี้ ๆ มาสร้างเป็นเรื่องดีกว่า อย่างไพรอำพรางนี่ จากจุดแรกที่สนใจเรื่องไข้ทรพิษหรือฝีดาษ เมื่อสมัย 70-80 ปีก่อนก็เลยเริ่มเอามาเขียน จนกลายเป็นว่าเราแสดงถึงวิถีชีวิตของคนสมัยนั้น ในเรื่องของความเชื่อ ความล้าหลัง อะไรต่าง ๆ ดีกว่า ความเป็นนักเขียนแม้จะผ่านงานเขียนมามากมาย ก็มักอยากทดลองคิดทดลองเขียนเรื่องในแนวอื่นหากเป็นไปได้ สำหรับ มาลา คำจันทร์ เองก็เช่นกัน นอกเหนือจากงานแนวสะท้อนวิถีชีวิตพื้นบ้าน ความรู้สึกนึกคิดแล้ว... อยากเขียนนิยายที่ไม่อิงพล็อต คือไม่ต้องอาศัยเหตุการณ์สำคัญที่ฟาดฟันต่อเนื่องกัน หรือปะทุอารมณ์ อยากเขียนถึงสังคมวิทยาชนบท ในยุคสมัยปัจจุบันที่อะไรต่าง ๆ ประดังประเดเข้ามา และความเป็นชนบทจะต้านไหวหรือไม่ จะทรงตัวอยู่ในสภาพอย่างไร อยากเขียนนะ แต่เข้าใจว่ามันคงไม่มีจุดดึงดูดอะไร ก็ยังพยายามที่จะเอามาผสมผสาน ทำอย่างไรจึงจะน่าสนใจจุดนี้ยังคิดกับมันไม่ลงตัว ...ทุกวันนี้ยังรักที่จะเขียนนิยายอยู่นะ งานอื่น ๆ ก็รัก แต่รักไม่เท่า ความสุขของเราอยู่ตรงนี้มากกว่า คิดว่าจะเขียนไปเรื่อย ๆ จนกว่าวันหนึ่งคนอ่านจะบอกว่า-ลุง พอเถอะ ก็คงจะต้องวาง แก่ตัวลงอีกหน่อยอยากบวช คือเป็นความคิดฝันตั้งแต่สมัยเด็ก ๆว่าอยากเป็นนักเขียนแล้วก็บวช...อาจจะเป็นแบบเพ้อฝัน คือความตั้งใจอยากจะธุดงค์ไปเรื่อย ๆเข้าป่าแล้วก็หายไปเลย ที่คิดอย่างนี้อาจจะเป็นเพราะ แต่ก่อนที่ช่วงเหตุการณ์บ้านเมืองยังไม่สงบ ยังมีพรรคคอมมิวนิสต์ ผมก็อยากเข้าป่า แต่ก็กลัวว่าไปอย่างนี้จะไม่ปลอดภัย ถ้าห่มผ้าเหลืองไปคงปลอดภัยกว่า...อยากจะอยู่กับป่าเขาลำเนาไพร อยากใช้ชีวิตที่สุขสงบ ตายเมื่อไหร่--ช่างมัน ตอนนี้ก็อ่านหนังสือธรรมะไปเรื่อย ๆไม่ได้ไปวัดไปวาอะไรหรอก เห็นหนังสือธรรมะก็อ่านทุกเล่มเท่าที่จะพบ ส่วนใหญ่จะสนใจงานเชิงความคิดที่บอกกล่าวเรื่องราวความคิดของคนประวัติศาสตร์ หลาย ๆ คนที่ผมอ่านก็เช่น งานของกลุ่มนักคิดของพวกอินเดียนแดง เผ่านั้นเผ่านี้ของทิเบต งานไทยก็อ่านของท่านธรรมปิฎก พุทธทาส อาจารย์ธีรยุทธ บุญมี อาจารย์นิธิ เอียวศรีวงศ์ ผมว่างานเหล่านี้ตอบคำถามบางคำถามที่เราแสวงหามาตลอดแล้วไม่พบ ก็มาพบในงานเหล่านี้ ความฉงนฉงายต่อความเป็นมนุษย์ ความมืดดำก่อนกำเนิด เราหาคำตอบไม่เจอในงานอื่นๆ ก็เรียกว่าสามารถสนองตอบความอยากรู้อยากเห็นในสิ่งที่ลึกลับมืดมนแก่เราได้ เมื่อมนุษย์ผจญชีวิตมาถึงจุด ๆ หนึ่งมักมองเห็นการดิ้นรน แสวงหา หรือเสพสุขคือความว่างเปล่าไร้แก่นสาร--หาใช่ความต้องการที่แท้จริง เพราะคนเราจะสุขอย่างอิ่มเอมได้ก็เพียงแค่มีคำตอบว่า พอ อยู่ในจิตใจ |
พ ชมภัค
Rss Feed Smember ผู้ติดตามบล็อก : 4 คน [?] เป็นคน...ยาก ยากเป็น...คน คน...เป็นยาก โดยเฉพาะถ้าคิดจะบรรลุจุดมุ่งหมาย ...ยากยิ่งกว่ายาก หนทางที่เต็มไปด้วยขวากหนาม ล้วนจำเป็นต้องเสียสละ เสียสละ...และเสียสละ --------------------พระสนมเฉียนเฟย----------- ** ** ** ** ** อย่าได้คิดจะยอมแพ้และละทิ้งไปง่าย ๆ แบบนี้... ก็อย่างที่ฉันบอกนั่นแหละ ถ้าไขว่คว้าความฝันนี้ไม่ได้... ก็เปลี่ยนเป็นความฝันอื่นเสียก็สิ้นเรื่อง ยิ้มสักครั้งสิ ความสำเร็จ ชื่อเสียงไม่ใช่ปลายทาง ทำให้ตัวเองมีความสุขต่างหาก... ถึงจะเรียกว่าคุณค่าและความหมาย ....ไม่ต้องกลัวหัวใจจะแหลกสลาย.... ----------------โจว เจี๋ยหลุน (Jay Chou)------- Group Blog All Blog
Friends Blog
Link |
||
Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved. |