อินเดีย - วันที่หก Rumtek Monastery

10 โมงเช้าตามเวลานัด เพื่อนใหม่ก็มารับที่โรงแรม กะเหรี่ยงเตรียมลิสต์ที่เที่ยวไว้ในใจแล้ว ว่าอยากจะไปไหนบ้าง แต่เอาเป็นว่าแล้วแต่เค้าจะพาไปก็แล้วกัน แดดวันนี้แรงมาก อากาศไม่หนาวแต่ก็ไม่ถึงกับร้อน เพื่อนใหม่ชาวสิกขิมบอกว่า ชอบวันที่อากาศเป็นแบบนี้ที่สุด



เมืองกังต็อกในวันที่มีแดดออก อากาศดี อะไรๆก็ดีตามไปด้วย



ผ่านเส้นทางที่มีการซ่อมแซมทางเป็นระยะ



ภูเขาสูงและถนนที่เริ่มจะคุ้นตามากขี้น อยู่เกินหนึ่งเดือนรับรองว่าจำทางได้หมดแน่ๆ



Rumtek Monastery ไม่ได้ไกลจากกังต็อกมากนะคะ แต่ก็เหมือนกับทะเลสาบชางกู่ตรงที่ถนนที่จะไปถึงนั้นมันคดเคี้ยวไปตามภูเขาสูงจนทำให้ต้องเสียเวลาเดินทางเป็นชั่วโมงทั้งๆที่ระยะทางห่างจากเมืองกังต็อกเพียง 24 กิโลเมตร ทางก็จะคล้ายๆกับทางจากสิริกุรีมากังต็อก



แต่มันเป็นวิวที่สวยแปลกตาแบบที่ยังไม่เคยเห็นในอีกฝากภูเขาฝั่งกังต็อกเลยนะคะ เพื่อนสิกขิมบอกว่า ฝั่งนี้เป็นชุมชนเก่าแก่ของสิกขิมและมีคนอาศัยอยู่เยอะ มีทำแปลงพืชผลทางการเกษตรอยู่มากทางฝั่งนี้



ความงามแปลกตาในอีกมุมของสิกขิม ดอกไม้สองข้างทางผลิบานรับฤดูใบไม้ผลิที่มาเยือน



พรมทุ่งดอกไม้ริมทาง Sikkim, Queen of Hills



เพื่อนสิกขิมถามว่า ยูได้เดินตรงถนนข้างบนโรงแรมที่ยูพักบ้างรึเปล่า แถวๆถนนตรงนั้นมีจุดชมวิวที่มองเห็นภูเขาฝั่งนี้ด้วย กะเหรี่ยงบอกไอหยุดแวะดูทุกวันล่ะค้า  เพื่อนสิกขิมถามต่อ ยูสังเกตเห็นนาขั้นบันไดบนภูเขาที่มองเห็นจากฝั่งเมืองกังต็อกมั๊ย ตอนนี้เราอยู่ตรงนั้นแหละ



กังต็อกกับอีกสามวันที่เหลือ คงจะไม่ใช่แค่เหตุบังเอิญอย่างเดียวแล้วล่ะ



รถวิ่งผ่านเนินเขาสวยๆมาสักพักใหญ่ๆ ก็จะเห็น Shambhara Resort ที่เป็นบ้านสีขาวหลังใหญ่ มีรั้วกั้นเป็นสัดส่วนอยู่ด้านซ้ายมือของเรา จากนั้นเราก็จะเจอหลักกิโลของวัดรุมเต็ก


RUMTEK 0 KM แต่ต้องสังเกตกันนิดหน่อย ตอนขับรถผ่านเรายังนึกว่าเป็นกองหินริมทางเลย พอเลยตรงนี้เข้าไปก็จะเริ่มมีธงราวหลากสีอยู่ริมทางให้เห็นกันแล้วค่ะ



ถึงแล้วค่ะ รถมาได้แค่นี้ ต้องหาที่จอดรถเอาใกล้ๆประตูนี่แหละ จากประตูตรงนี้ไปเราจะต้องเดินเข้าไปด้วยตัวเองเท่านั้น ที่นี่นักท่องเที่ยวจะต้องนำเอาพาสปอร์ตติดตัวมาด้วยนะคะ พอเข้าประตูไป ซ้ายมือจะมีเจ้าหน้าที่เฝ้าประตูอยู่ เค้าจะขอตรวจพาสปอร์ตของเราก่อน และลงบันทึกในสมุดของเค้าด้วย เค้าจะลงบันทึกด้วยว่าเราผ่านด่านเข้ามาวันไหนและจากเส้นทางไหน โดยดูจากตราประทับจากด่านที่เราผ่านมาก่อนเข้าสิกขิม แล้วก็ที่ประตูก็จะมีทหารถือปืนทำหน้าเข้มๆเฝ้าอยู่อีกคนหนึ่ง วัดนี้ถ้าไม่มีพาสปอร์ตตัวจริงมาเค้าก็ไม่ให้เราเข้านะคะ ไม่ต้องมาคุกเข่าอ้อนวอนด้วย เพราะยังไงเค้าก็ใจแข็งไม่ให้เข้าไป เหอๆๆๆๆๆ    สงสัยอยู่อย่างนึง ถ้าใช้บริการเฮลิคอปเตอร์จากสนามบินบัคโดรามากังต็อกเลย แล้วเราจะไปประทับตราหนังสือเดินทางที่ไหนกันละเนี่ย หรือว่าที่จุดจอดเฮลิคอปเตอร์ของกังต็อกอาจจะมีเจ้าหน้าที่มาตรวจหนังสือเดินทางและประทับตราให้ก็ได้มั๊ง อืมมม..น่าสนใจหาข้อมูลแฮะ


ตอนกะเหรี่ยงไทยเดินเข้าไป เห็นพวกที่มากับทัวร์จะมีไกด์ทำเอกสารมาให้เรียบร้อยพร้อมพาสปอร์ตตัวจริง เจ้าหน้าที่ลงรายละเอียดแป๊ปเดียวก็เสร็จ ส่วนกะเหรี่ยงไทยโดนแขกกักตัวไว้คุยค่ะ  เค้าไม่ได้กักไว้สอบถามอะไรหรอก  เพียงแต่ภาษาอังกฤษพี่เค้าไม่แข็งแรงก็เลยต้องคุยกันนานหน่อย แต่พอรู้ว่าเรามาจากเมืองไทยเลยยิ่งกักไว้นาน เพราะพี่แกเพิ่งกลับมาจากไปเที่ยวเมืองไทย เอารูปมาโชว์ให้ดูอีกตังหาก ภาพจากมือถือทำให้รู้ว่าเค้ามาเดินช้อปปิ้งแถวๆสยามพารากอน เลยอำไปว่า ยูไปดูปลาฉลามที่ Siam Ocean World ที่พารากอนมาเหรอ ดันไปอำถูกจุดเพราะเค้าพาลูกไปดูมาจริง ที่นี้คุยกันยาวเลย


ทำไมต้องตรวจตรากันเข้มงวดกับการเข้าวัดขนาดนี้? เดี๋ยวจะมาเล่าต่อนะคะ



เลยประตูเข้ามาก็จะเป็นทางเดินเนินเขาสูงชันที่แสนจะท้าทายอีกแล้ว เนินที่ว่านี่สุดสายตายังไม่เห็นตัววัดเลยอ่ะ เพื่อนสิกขิมเดินกันสปีดดีไม่มีตกตามประสาคนท้องถิ่น แต่กะเหรี่ยงไทยค่อยๆเนิบๆเดินช้าถึงช้าที่สุด ถ้าให้เร่งฝีเท้ามากกว่านี้อิชั้นจะเริ่มงอแงไม่อยากเที่ยวแล้วอ่ะ  พอดีว่าเค้าพากันมาหาคนรู้จักของเค้าที่บวชที่นี่ เลยบอกให้เค้าเดินไปก่อน เดี๋ยวไปเจอกันข้างใน พอลับสายตาไปก็เสร็จเรา ทีนี้อิชั้นก็แวะเบี้ยใบ้รายทางได้แระ 


ร้านค้ารายทางมีให้เห็นประปราย



ก่อนจะถึงทางเข้าก็จะเจอ Prayer Wheel กงล้อแห่งมนต์ตราแบบนี้ไปตามทางเดินขึ้น



เวลามาตามวัดธิเบตแบบนี้ ควรจะเดินเอามือหมุนวงล้อไป แล้วก็ท่องมนต์ว่า OM MAMI PADME HUM ซึ่งเป็นคำสวดภาวนา 


ในพระสูตรมหายานได้กล่าวถึงพระอวโลกิเตศวรว่า ทรงถวายมนตร์ของพระองค์แก่พระพุทธเจ้าด้วยพระองค์เอง ส่วนพระพุทธเจ้าก็ทรงมอบภารกิจอันสูงแก่พระองค์ในการช่วยสรรพสัตว์ในจักรวาลให้ได้บรรลุพุทธภาวะ ณ ตรงนี้เอง เทวดาทั้งหลายได้โปรยดอกไม้ลงมาให้แก่ทั้งสองพระองค์ พสุธาไหวสะเทือน อากาศดังกระหึ่มด้วยเสี่ยง โอม มณี ปัทเม หุม


กวีได้เขียนเอาไว้ว่า อวโลกิเตศวรดังดวงจันทร์ แสงนวลได้ดับเพลิงแห่งสังสารวัฏ ดอกบัวแห่งการุณยธรรมที่บานยามค่ำคืน แย้มกลีบกว้างท่ามกลางรัศมีวันเพ็ญ


ดวงมณีในดอกบัว คือ ความกรุณาและปัญญา


ดังนั้นเมื่อเรากล่าวมนตร์ โอม มณี ปัทเม หุม อกุศลจิตทั้งหกซึ่งเป็นสาเหตุแห่งภพทั้งหกของสังสารวัฏจึงถูกชำระล้าง นี่คือสาเหตุว่า เหตุใดการออกเสียงหกพยางค์จึงป้องมิให้ไปเกิดใหม่ในภพทั้งหก และยังขจัดความทุกข์ที่แฝงอยู่ในภพดังกล่าว ขณะเดียวกับที่การกล่าว โอม มณี ปัทเม หุม ได้ชำระล้างขันธ์ทั้งห้า และทำให้ บารมีทั้งหกของโพธิจิตถึงความพร้อมสมบูรณ์ อันได้แก่ ทาน ศีล ขันติ วิริยะ สมาธิ ปัญญา ยังกล่าวด้วยว่า โอม มณี ปัทเม หุม ยังช่วยปกป้องให้พ้นจากอกุศลทุกชนิดและโรคภัยทั้งปวง


ขอบคุณข้อมูลจากหนังสือ ประตูสู่สภาวะใหม่ : คำสอนธิเบตเพื่อเตรียมตัวตายและช่วยเหลือผู้ใกล้ตายของท่านโซเกียล รินโปเช


อย่างเช่นที่คุณลุงคนนี้กำลังทำอยู่


เดินขึ้นมาเหนื่อยๆ แวะดื่มชาก่อนเข้าวัดที่ร้านค้าหน้าวัดใกล้ๆ Prayer Wheel มีแต่คนเค้าแวะมาขากลับ นี่กะเหรี่ยงไทยแวะขาขึ้น  มองย้อนออกไปนอกร้าน เห็นแสงลอดผ่านขวดน้ำอัดลมมาสวยดี ถ่ายเก็บไว้ดูเล่น



ประตูร้านขายของ สีเขียวของสิกขิม



หลวงพี่ที่เจอกันที่ร้านขายของ พอรู้ว่ามาจากเมืองไทย แกเลยบอกว่าชอบดูมวยไทยที่สุด



วัดรุมเต็ก Rumtek Monastery หรืออีกชื่อหนึ่งคือ Dharma Chakra Centre สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 16 โดยท่าน Karmapa Wangchuk Dorje ที่ 9 โดยสร้างขึ้นในช่วงเวลาเดียวกันกับ Phodong Monastery ที่อยู่ทางเหนือของสิกขิมห่างจากกังต็อกประมาณ 28 กิโลเมตร และ Ralang Monastery ซึ่งอยู่ทางทิศใต้ของสิกขิม คนละที่กับ Ralung Monastery ในธิเบตนะคะ แต่ชื่อคล้ายๆกัน



Rumtek Monastery ซึ่งตั้งอยู่บนยอดเขาสูงจากระดับน้ำทะเล 1550 เมตร ได้กลายเป็นศูนย์กลางการเผยแพร่ศาสนาพุทธนิกาย Kagyu อยู่ช่วงระยะหนึ่งและได้ทรุดโทรมลงตามการเวลาและยังได้รับความเสียหายมากจากแผ่นดินไหว จนกระทั่งเมื่อปี ค.ศ 1959 ท่าน Karmapa ที่ 16 ผู้ลี้ภัยทางการเมืองจากธิเบตมายังสิกขิม ได้เริ่มบูรณะ Rumtek Monastery ขึ้นใหม่โดยที่ท่านได้เล็งเห็นว่า ชัยภูมิที่ตั้งของ Rumtek Monastery มีความเป็นศิริมงคลอยู่หลายประการ เบื้องล่างมีลำธารน้ำไหลผ่าน ด้านหลังเป็นเทือกเขาสูงใหญ่ มีเทือกเขาที่ปกคลุมด้วยหิมะเป็นปราการสูงอยู่เบื้องหน้า ตามตำราจีนก็คงจะเข้าทำนองว่ามีฮวงจุ้ยที่ดีนั่นเอง และด้วยการอุปถัมภ์และสนับสนุนของราชวงศ์สิกขิมและรัฐบาลอินเดีย จึงทำให้ Rumtek Monastery ที่กลายเป็นที่ลี้ภัยของท่าน Karmapa ที่ 16 ได้บูรณะจนเสร็จสมบูรณ์ในเวลาเพียง 4 ปี



หลังจาก 4 ปีของการบูรณะพระอารามจนเสร็จสมบูรณ์ ได้มีการอัญเชิญสิ่งศักดิ์สิทธิ์และแท่นประทับของท่าน Karmapa จาก Tsurphu Monastery ในธิเบตมาประดิษฐานที่นี่ด้วย และในวันปีใหม่ของธิเบต (Losar) ตรงกับปี ค.ศ 1966 ท่าน Karmapa ที่ 16 ได้ประกอบพิธีเปิดอย่างเป็นทางการของศูนย์ธรรมจักร Dharma Chakra Centre เพื่อเป็นสถานศึกษาเล่าเรียนทางจิตวิญญานของผู้ที่ต้องการมาศึกษาและปฎิบัติธรรม เพื่อสืบทอดพระพุทธศาสนาต่อไปให้เจริญรุ่งเรืองในภายภาคหน้า



ยังเป็นที่ถกเถียงกันสำหรับผู้ที่ถูกเชื่อว่ากลับชาติมาเกิดลำดับที่ 17 ท่าน Gyalwang Karmapa ในการขึ้นเป็นผู้นำทางศาสนาของนิกาย Kagyu ที่ Rumtek Monastery กับศาลสูงของอินเดีย โดยที่ทางอินเดียอ้างว่าจะทำให้เกิดปมขัดแย้งทางการเมืองที่รุนแรงมากขึ้น และยังมีผู้แอบอ้างว่า เป็น Karmapa อยู่อีกหลายคน กะเหรี่ยงแอบเห็นมีสติ๊กเกอร์เล็กๆติดตามมุมต่างๆในตึกที่ลามะอยู่กันเขียนว่า Support Gyalwang Karmapa


Gyalwang Karmapa ท่านนี้แหละค่ะ ที่องค์ดาไลลามะและลามะอาวุโสหลายๆท่านให้การรับรองในเรื่องการกลับชาติมาเกิด


คำว่า Karmapa มีความหมายว่า The one who carries out Buddha activity หรือ The embodiment of all the activities of the Buddhas แปลว่า ผู้เป็นตัวแทนแห่งพระพุทธองศ์ หรือ ศูนย์รวมจิตวิญญานของพระพุทธองค์ แปลผิดรึเปล่าหว่า?? ไม่ค่อยแน่ใจนะคะ ไม่ถนัดศัพท์เทคนิคเท่าไหร่ ถ้าแปลเพี้ยนไปต้องขอโทษด้วยนะคะ ทักท้วงมาได้



ในประเพณีของธิเบต บุคคลระดับสูงที่ได้รับการยกย่องก็คือลามะชั้นสูง โดยที่ชาวทิเบตเชื่อว่า บุคคลเหล่านี้มีอำนาจจิตสูง เมื่อมรณภาพแล้วก็ย่อมกลับชาติมาเกิดใหม่ได้อีก หรืออีกนัยหนึ่งคือ เป็นผู้ระลึกชาติได้ การกลับชาติมาเกิดชาวธิเบตเรียกว่า ตุลกู Tulku หมายถึงผู้เลือกกลับมาเกิดใหม่เพื่อสืบทอดเจตนารมณ์ของตนเองต่อไปหรือเลือกที่จะมาเกิดเพื่อโปรดสัตว์เพื่อช่วยสัตว์โลกให้พ้นทุกข์ เช่นเดียวกับพระโพธิสัตว์ ก่อนการละสังขารท่านอาจทิ้งปริศนาให้ผู้อยู่เบื้องหลังท่านได้ขบคิดว่าท่านจะไปเกิดที่ไหน จากนั้นหนึ่งในบรรดาผู้ที่ใกล้ชิดที่สุด ลูกศิษย์ ครอบครัวหรือกัลยาณมิตรของท่านอาจจะเห็นนิมิตหรือความฝันบ่งบอกเกี่ยวกับการเกิดใหม่ของท่าน


ท่าน Gyalwang Karmapa ที่ 17 เกิดในครอบครัวชาวธิเบตที่เร่ร่อนอพยพถิ่นฐานไปเรื่อยๆใน Lhatok ทางภาคตะวันออกของธิเบต มีเรื่องเล่าว่า แม่ของท่าน Gyalwang Karmapa เกิดนิมิตประหลาดบ่อยครั้งในระหว่างการตั้งครรภ์  และในวันที่ท่านเกิด นกกาเหว่าได้บินมาเกาะที่หลังคาเต้นท์ที่ทำคลอด และได้มีเสียงลึกลับเหมือนเสียงเป่าสังข์ดังก้องกังวานเป็นเวลานานไปทั่วหุบเขาที่ท่านและครอบครัวอยู่อาศัย ในธิเบต สิ่งที่เกิดขึ้นถือว่าเป็นสัญญานมงคลของการแจ้งข่าวการกลับมาเกิดอีกครั้งของ Tulku


เริ่มออกทะเลไปไกลอีกแล้ว กลับมาเรื่องท่องเที่ยวกันดีกว่า



ทางเข้าตรงนี้เราจะต้องชำระค่าบัตรเข้าชมสถานที่ จากนั้นก็จะมีการเข้าเครื่องสแกนอาวุธและตรวจกระเป๋า ตรวจเข้มพอๆกับที่สนามบินเลยค่ะ



กงจักรและกวางสีทองเป็นสิ่งที่พบเห็นได้ทั่วไปในวัดพุทธในหลายๆประเทศ โดยถือว่าเป็นสัญลักษณ์ของการแสดงพระธรรมเทศนาครั้งแรกของพระพุทธองค์ เป็นปฐมเทศนาคือ ธัมมจักรกัปปวัตตนสูตร แก่ปัญจวคีย์ ถือเป็นวันที่กงล้อแห่งพระธรรมของพระพุทธองค์ได้หมุนไปเป็นครั้งแรก กงจักรเป็นสัญลักษณ์ของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ การมีวินัยในศีล สมาธิ ปัญญา กวางเป็นตัวแทนของการแสดงพระธรรมเทศนาครั้งแรก ในวัดธิเบตเราก็จะเห็นสัญลักษณ์แบบนี้ทุกวัดที่ไปนะคะ



ผ่านด่านสแกนเข้ามาแล้วก็เดินเข้ามาชมภายในอารามกัน แต่ว่าภายในอารามห้ามถ่ายรูปนะคะ ดังนั้นกะเหรี่ยงไทยขอเก็บภาพบรรยากาศรอบนอกมาฝากแทนค่ะ



แท่งหินที่สลักคำสอนของพระพุทธองค์ ทุกวัดมีเหมือนกันค่ะ ไม่แน่ใจว่าเป็นภาษาอะไร



ใกล้ๆกันอีกรูป



ลามะในวัด





ภาพจิตรกรรมฝาผนังที่ประตูทางเข้าพระอาราม ไม่ต้องสงสัยเลยว่านี่คือพระพิฆเนศ



ถ้ามีเวลามากกว่านี้ อยากจะศึกษาว่าทำไมถึงใช้รูปแทนเหล่านี้แทนทวารบาลประตู และมีความหมายว่าอะไร



ลามะน้อยใหญ่นั่งจับกลุ่มกันตรงทางเดินขึ้นไป Golden Stupa


เดินออกประตูด้านข้างเพื่อไปชม Golden Stupa กันค่ะ ทางเดินออกจะมีอยู่ใกล้ๆที่กำแพงด้านข้างทางขวามือของพระอารามหลวงถ้าเรายืนหันหน้าเข้าไปพระอารามนะคะ ประตูตรงนี้ถ้าเดินออกไปแล้ว กลับเข้ามาอีกไม่ได้ พี่ทหารที่เฝ้าอยู่เค้าจะให้เราเดินไปที่ประตูหน้าเพื่อย้อนเข้าไปอีกครั้ง แต่ไม่แน่ใจนะคะว่าจะต้องเสียค่าเข้าใหม่อีกครั้งรึเปล่า



หาทางเดินตรงนี้เจอก็เดินขึ้นไปเลยค่ะ



เห็นป้ายแบบนี้ตรงจุดที่ลามะชอบมานั่งจับกลุ่มกัน ก็เลี้ยวซ้ายขึ้นไปตามป้ายก็จะเจอบันได  ว่าแล้วเราก็ค่อยๆเดินขึ้นไปจนสุดทาง อาคารที่เป็นที่เข้าชม Golden Stupa จะอยู่ซ้ายมือสุดบนขั้นบันไดสุดท้ายค่ะ หน้าประตูจะมีทหารถือปืนยืนเฝ้าหนึ่งคน ตอนกะเหรี่ยงไทยไปถึง ต้องรอให้ลามะผู้ใหญ่ท่านไปเอากุญแจมาเปิดให้เข้าไปชม เค้าล็อคกุญแจกันหลายชั้นมาก ภายในห้ามถ่ายรูปเหมือนกัน ต้องไปถึงก่อน 4 โมงครึ่งนะคะ เพราะว่าที่นี่เค้าปิด 5 โมงเย็น


ขอถ่ายรูปลามะที่ทางเดินขึ้นมาหลายรูป



เอิ่มมมม...อันนี้เป็นแอ็คชั่นจัดให้ของท่านเอง ไม่ได้ร้องขอนะคะ 



ถ่ายรูปลามะมาเยอะเกิ้น!!! กลับมาโดนเพื่อนๆแซวว่า ไปทัวร์เข้าวัดชมพระมาเหรอจ๊ะ   



มาเจอเพื่อนที่พามาอยู่แถวๆนี้พอดี ปล่อยเค้า chat กันไป ส่วนเราก็เดินไปรอเข้า Golden Stupa 


ปล : คนซ้ายสุดเป็นลามะในวัดนะคะ ไม่ใช่เพื่อนอิชั้น ไม่ต้องเดากันค่ะ 



ประตูสีสวยๆและป้ายบอกทาง



Golden Stupa เป็นที่บรรจุอัฐิของท่าน Karmapa องค์ที่ 16 ผู้บูรณะ Rumtek Monastery แห่งนี้ด้วยค่ะ





อาคาร Karma Shri Nalada Institute ที่อยู่ตรงข้ามกับ Golden Stupa



ป้ายห้ามเด็ดดอกไม้ในวัด 



ดอกไม้สวยๆ อีกแล้ว   




พี่ทหารนั่งพักกลางวันตรงเก้าอี้ริมทางเดินลงจากวัด วิวข้างหลังไกลๆนั้นคือเมืองกังต็อก



เพื่อนใหม่เห็นท่าไม่ค่อยจะดี วัดเดียวคุณเธอล่อเดินเที่ยวเกือบสองชั่วโมง แถมไม่มีแววอยากจะกลับด้วย  จะอยู่ยันเย็นเลยรึงัยจ๊ะแม่คุณ!!!!  ไม่ได้การละ เอาที่เที่ยวมาล่อให้ไปต่อดีกว่า ใกล้กันเนี่ยมันคือ Lingdum หรือ Ranka Monastery ยูอยากไปมั๊ยอ่ะ อู้ย!! เอาวัดมาล่อ เราก็ตกหลุมพรางน่ะสิ เริ่มเข้าใจความรู้สึกของฝรั่งเวลามาเมืองไทยแล้วเรียกร้องจะเที่ยวแต่วัดกันละ มะก่อนอิชั้นก็ไม่ค่อยเข้าใจ มันจะไปกันทำไมหลายๆวัดเนี่ย ไอดูแล้วมันก็คล้ายๆกันไปหมดนะยู แต่ตอนนี้กะเหรี่ยงไทยมีอาการนั้นเองซะแล้ว  ถ้างั้นเราไปขึ้นรถไปต่อเหอะ สายแล้วนะ เดี๋ยวไอพาไปวัดอื่นอีกด้วย เหมือนต้องมนต์สะกด กะเหรี่ยงไทยออกอาการเชื่องเป็นลูกแมว ว่านอนสอนง่ายเดินตามออกไปขึ้นรถทันที 



ได้เห็นกังต็อกแบบเต็มๆตาระหว่างนั่งรถเหวี่ยงๆวนๆบนภูเขา ถามเพื่อนว่า ขับถนนโค้งๆแบบนี้ยูไม่มึนกันบ้างเหรอ เค้าบอกเฉยๆ ขับจนชินแล้วอ่ะ รู้จังหวะหักเหวี่ยงหลบซ้ายขวาได้แบบสบายๆ



จะว่าไปแล้ว ก็มีอะไรที่คล้ายๆบาหลีกับซาปาเหมือนกันนะ นาขั้นบันไดที่นี่เนี่ย



กะเหรี่ยงไทยยังติดใจวิวริมทางอยู่ กดชัตเตอร์ไปตลอด คนสิกขิมคงสงสัยว่า บ้านเจ๊เค้าไม่มีภูเขารึงัยฟะ  ทำไมมันถ่ายรูปเอาเป็นเอาตายแบบนี้หว่า เฮ้ย!!! มีดิ!!    ว๊ายเค้ายังไม่ได้ลบรูปทริปแม่ฮ่องสอนเลยนี่นา  ว่าแล้วก็ล้วงหยิบมือถือออกมาเปิดโชว์รูปทุ่งดอกบัวตองบานสะพรั่งบนดอยแม่อูคอจากเหนือสุดไทยแลนด์แดนสยาม


นี่ๆ บ้านเค้ามีแบบนี้ย่ะ  แล้วก็นี่ๆ บ้านยูมีทะเลสาบชางกู่ใช่มะ บ้านไอต้องนั่งรถเหวี่ยงๆโค้งๆแบบที่ยูกำลังขับอยู่เนี่ยขึ้นดอยไปดูทะเลหมอกบนอ่างเก็บน้ำแบบเนี้ย ของยูมีแย็กให้ขี่ ของไอมีม้าให้เช่าเฟ้ย แถมของไอพักค้างคืนได้ด้วย เปิดรูปอ่างเก็บน้ำปางอุ๋งให้คนสิกขิมได้ชื่นชม    วันที่ถ่ายรูปหมอกลงจัดเลยได้ภาพสวยๆอีกตังหาก เล่นเอาคนสิกขิมฮือฮากันทั้งรถ เพื่อนใหม่ถามว่าที่เมืองไทยมีรถให้เค้าเช่าขับไหมถ้าเค้าสนใจจะไปเที่ยวกัน เอิ่มมมม ก็มีให้เช่าขับนะ แต่ยูอย่าซิ่งมากแบบที่ยูกำลังขับแบบนี้ละกัน ยูต้อง Low Speed หน่อยอ่ะ ทำไมล่ะ? คนสิกขิมสงกะสัย อ๋อ!!! ก็บ้านไอน่ะ ถ้าขับรถซิ่งปาดหน้ากันแถมไปบีบแตรไล่บนถนนที่โน่น ยูอาจจะโดนเค้าลากท่อแป๊ปหรือชะแลงมาไล่ตี ไม่ก็เอาปืนไล่ยิงได้นะตัวเธอ 








Free TextEditor


Create Date : 11 มิถุนายน 2554
Last Update : 11 มิถุนายน 2554 18:35:55 น. 2 comments
Counter : 3340 Pageviews.  
 
 
 
 
เป้าหมาย สองปีจะไปเที่ยวอินเดีย ยิ่งดู ยิ่งอยากไป แต่ในใจเค้าก็ กัววว
 
 

โดย: lazy bala P วันที่: 22 มิถุนายน 2554 เวลา:11:47:10 น.  

 
 
 
แขกชาวบ้านที่ไม่ได้ทำมาหากินกับนักท่องเที่ยวจะเป็นคนน่ารักมาก แต่ที่น่าเบื่อคือพวกที่คอยจ้องจะหาผลประโยชน์กับนักท่องเที่ยวอย่างเราๆเนี่ยแหละค่ะ เช่น คนขับแท็กซี่ บริษัททัวร์ โรงแรม แต่ถ้าเทียบกัน เราว่าคนอินเดียน่ารักกว่าคนเวียดนามเยอะ

 
 

โดย: bkkplayground วันที่: 23 มิถุนายน 2554 เวลา:15:18:22 น.  

Name
* blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Opinion
*ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet

bkkplayground
 
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]





MusicPlaylist
Music Playlist at MixPod.com
[Add bkkplayground's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com