อินเดีย - วันที่สอง สิริกุรี - สิกขิม

เผลอหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ มาตื่นอีกทีก็เกือบๆจะ 7 โมงเช้า รถยังวิ่งอยู่บนถนนที่มีไร่ชาเลียบขนานไปสองข้างทาง กะเหรี่ยงไทยตื่นตาตื่นใจ  คว้ากล้องออกจากกระเป๋ากดชัตเตอร์ไม่ยั้งอย่างเมามัน รถก็วิ่งปาดซ้ายปาดขวาสลับกับเสียงกดแตรที่เริ่มจะชินหู ชุมชนสองข้างทางเริ่มหนาตาขึ้น จำนวนคนและจำนวนรถก็มากขึ้น ตามกำหนดการ เราจะถึงท่ารถ Tenzing Norgey Bus Stand ในเวลา 7 โมงเช้า



ประมาณ 8 โมงเช้า รถก็วิ่งเข้าสู่เมืองสิริกุรี และเข้าจอดที่ด้านหน้าบริษัท Gupta Travel Agency นี่คือแลนด์มาร์กที่เราจะต้องจำให้แม่น เพราะตั๋วขากลับระบุให้มาขึ้นรถตรงนี้ สิริกุรีจะมีท่ารถอยู่หลายที่ ขึ้นอยู่กับว่าเราเดินทางกับบริษัทอะไร มองไปนอกรถ เหล่ารถรับจ้างเริ่มทะยอยกันเข้ามารายล้อมรถทัวร์ สารพัดรูปแบบ ทั้งสามล้อ รถกะป๊อ สองแถว สารพัดรถรับจ้าง



ภาพความวุ่นวายของท่ารถริมถนนใหญ่



แชร์จิ๊บที่คนทั่วๆไปเค้ารีวิวกันไว้ว่า จะแยกไปดาร์จีลิ่งหรือไปสิกขิม มันจะจอดกันริมถนนตรงท่ารถที่นี่แหละค่ะ ลงรถทัวร์ก็จะมีหน้าม้าเดินมารับเราถึงรถเลย แต่จากประสพการณ์ที่สนามบินกัลกัตตา เลยทำให้กะเหรี่ยงไทยออกอาการเก๊กอีกรอบ ทำเนียนเหมือนคนเคยมาหลายรอบแล้ว ฝรั่งที่มารถคันเดียวกันมาสะกิดถามว่า ยูจะไปไหน? อ๋อ!!! ไอจะไปสิกขิมเด้อ ยูล่ะจ๊ะ? กะเหรี่ยงไทยเริ่มออกอาการกะลิ้มกะเหลี่ย เผื่อโชคดีจะได้เพื่อนไปร่วมทริปในสิกขิม เพราะถ้าจะเที่ยวยาวหลายๆวันในบางที่ของสิกขิม เช่น ลาชุง ยุมถัง ลาเชน หรือแม้กระทั่งทะเลสาบชางกู่ อย่างน้อยต้องมีเพื่อนร่วมทางเที่ยวกันสองคนขึ้นไป บริษัททัวร์ถึงจะจัดทริปให้ได้ แอบมีความหวังสว่างๆแว๊บๆขึ้นมาทันที


ไอจะไปดาร์จีลิ่งก่อนอ่ะ คำตอบจากชายหนุ่มทำเอาความหวังที่โผล่มาแว๊บๆของกะเหรี่ยงไทยดับวูบทันที ว้า!! ไอนึกว่ายูจะไปดาร์จีลิ่งก่อนแล้วค่อยแวะสิกขิมซะอีก ไม่เปลี่ยนใจเหรอ แน่ะ!!! ยังมาโน้มน้าวจิตใจตรูซะอีก ขอบคุณนะค้า ทริปนี้อิชั้นกะว่าจะปักหลักอยู่สิกขิมก่อน ถ้าผิดหวังแล้วค่อยแวะดาร์จีลิ่งที่หลังค่ะคุณ ว่าแล้วก็ร่ำลากันแล้วเดินแบกเป้แหวกหน้าม้าเอเยนต์รถรับจ้างออกมาหารถรับจ้างแยกไปสิกขิมเอง


แชร์จิ๊บจะหน้าตาประมาณในภาพนะคะ หน้ารถเค้าจะมีป้ายกระดาษเขียนเสียบเอาไว้ว่า ดาร์จีลิ่ง บางคันก็เขียนว่าสิกขิม เอเย่นต์ที่เข้าไปถามเราตอนลงรถก็จะเอาเรามาส่งกับรถแบบนี้แหละค่ะ เราจะตามเค้ามาหรือเดินมาที่รถเองก็ได้ ไม่แน่ใจว่าคนที่หาผู้โดยสารมานั่งรถได้ เจ้าของรถอาจจะมีให้คอมมิชชั่นนะคะ แต่ค่าโดยสารผู้โดยสารก็จ่ายที่คนขับเอาเอง ตอนรถวิ่งเข้าจอดเทียบท่ารถ เราสังเกตเห็นรถพวกนี้จอดอยู่ข้างทางรอรับผู้โดยสารอยู่แล้ว



โซเซออกมาเจอแชร์จิ๊บคันที่เล็งๆเอาไว้แล้ว เดินเลียบๆมองก็มีคนเดินเข้ามาทักทันที เจ๊ไปไหนครับ ไปสิกขิมค้าคุณ คันนี้เลยครับ รถเต็ม 10 คนออกทันที ราคาคนละ 140 รูปี เออว่ะ ราคาพอรับได้ ใกล้เคียงกับที่เคยได้ยินมา แพงขึ้นนิดหน่อยแต่ราคามันก็ต้องมีการปรับเปลี่ยนกันบ้างล่ะ จากข้อมูลเก่าๆมันก็ 100 กว่าๆ รูปีนี่แหละ

ในเมื่อทั้งคันยังไม่มีผู้โดยสาร เราเลยฉวยโอกาสถามทันที ข้างหน้านั่งได้กี่คนอ่ะพี่? ผู้โดยสารสอง คนขับหนึ่งครับเจ๊ กะเหรี่ยงยิงคำถามต่อทันที ไม่มีรับรายทางแล้วให้มาเบียดๆกันเพิ่มอีกคนนะตัวเอง?  ไม่มีหรอกเจ๊ รับประกันครับผ้ม งั้นเค้าขอนั่งหน้านะตัวเธอ เค้าจะจ่ายให้สองที่เลย เอิ่ม..แบบว่า เค้าอ้วนอ่ะ เค้าไม่อยากนั่งเบียดกะใคร    โอเคเจ๊ไปนั่งรอในรถเลยครับ เดี๋ยวคนก็เต็มแล้ว ของเจ๊ 2 ที่ก็ 280 รูปีเน้อ เดี๋ยวคนมาครบแล้วจะมาเก็บตังค์

อันที่จริงอยากนั่งสบายๆไม่เบียดกะใคร แล้วก็เห็นว่าหลายๆท่านที่เคยไปก็แนะนำว่า ควรนั่งหน้าเพื่อความสะดวกสบาย เนื่องจากเส้นทางนี้เป็นเส้นทางคดเคี้ยวไปตามหุบเขา คนพื้นราบอย่างเราอาจเกิดอาการวิงเวียนได้ถ้านั่งแถวหลังๆ และเคยได้ยินว่า เค้าให้นั่งกันแถวละ 4 คน หันไปดูในรถอีกที ตรูว่าอัดกันไปได้แถวละสามคนนี่ก็เก่งแล้วนะ

ระหว่างนั่งรอบนรถ มองกลับไปที่รถทัวร์ที่นั่งมา ก็เริ่มมีคนพาผู้โดยสารเดินมาที่บริเวณที่แชร์จิ๊บจอดอยู่ บางคนก็เป็นคนที่นั่งรถทัวร์มาคันเดียวกับเราจากกัลกัตตา นั่งๆรอไปก็มีคนมาเดินขายของเป็นระยะ เจ๊ๆ รับนาฬิกามั๊ยจ๊ะ ไม่ค่ะพี่ หนูไม่ใส่นาฬิกาค้า  เจ๊ๆ สร้อยสวยๆสักเส้นมะ ม่ายอ่ะพี่ หนูไม่ใส่ค้า  มากันเป็นระยะ ของกินบ้าง หมวกบ้าง ที่แปลกๆที่เจอก็คือ เดินมาขายแว่นตาดำ พอบอกไม่เอาเพราะเจ๊มีแล้ว  พี่เค้าเปลี่ยนสินค้าเป็น Thumb drive หลากหลายสี ไม่เอาค้า เจ๊พกมาเองตั้ง 3 อัน  เหอๆๆๆ กะว่าจะพ้น ที่ไหนได้ ลุงเปลี่ยนโปรดักส์รอบสุดท้ายเป็น Memory Card สำหรับกล้องถ่ายรูป เอาเข้าไป  นี่ถ้าไม่ได้พกมาเองซะมากมายสงสัยจะได้อุดหนุนสินค้าของแกสักชิ้นแน่ๆ



ใช้เวลาไม่ถึง 15 นาที ผู้โดยสารก็เต็มคันรถ แอบหันกลับไปนับว่า 8 คนหลังเค้านั่งกันยังไงหว่า จ๊าก!! แถวแรกเจอหนุ่มอินเดียตัวเท่าๆกับเรานั่งเบียดๆกันไป 4 คน     ส่วนแถวหลังอัดแน่นไปด้วยอินเดียชายหญิงอีก 4 คน นั่งหันหาชนกัน ที่นั่งของเค้าเป็นเบาะแบบนั่งเบียดๆกัน ฝั่งละ 2 คน   หันหน้าชนกัน    ส่วนกะเหรี่ยงไทยนั่งหน้าเชิดเป็นคุณนายอยู่หน้ารถ   แอบรู้สึกละอายใจกับเพื่อนร่วมทางขึ้นมาเล็กน้อย  รถค่อยๆเคลื่อนตัวออกจากท่ารถ ผ่านไปตามชุมชน ใช้เวลาไม่นานภาพความวุ่นวายก็เริ่มเปลี่ยนไปกลายเป็นถนนสายเล็กๆสองเลนที่มีต้นไม้น้อยใหญ่อยู่สองข้างทาง



แอบวี๊ดว๊ายกระตู้วู้อยู่ในใจ    อากาศดีเริ่ดมากกกกกก ลมพัดเย็นสบาย รถน้อยใหญ่รอบๆก็เป็นรถน่ารักๆคันเล็กๆ อย่างเช่นคันนี้ เออ..ดูเผินๆก็แอ๊บว่าเป็นชนบทแบบอังกรี๊ด อังกฤษ ได้อยู่นะเนี่ย  กำลังเคลิ้มๆกับจินตนาการ พี่คนขับก็ปาดวืดดดดดดดดแซงหน้ารถบรรทุกของทหารไปแบบประตูด้านข้างฝั่งเราห่างจากรถทหารไม่เกิน 10 เซนติเมตร พร้อมบีบแตรดังสนั่นป่า   พี่คนขับขา บ้านหนูที่เมืองไทยอ่ะ ถ้าขับยังเงี้ย เค้าเอาปืนลงมายิงกันแล้วนะคะ สติกลับมาในทันที  โอ้ว!! ชีวิตของเราตกอยู่ในเงื้อมือของนักซิ่งแรลลี่บนยอดเขาอีกครั้งแว้วววว!!!!!



รถวิ่งมาสักพัก ก็มาหยุดๆต่อๆกันจนกลายเป็นรถติด เกิดไรขึ้นอ่ะ เค้าดับเครื่องจอดรถกันทุกคันเลย คนขับเริ่มเดินออกจากรถไปชุมนุมกันแถวๆคันหน้าๆที่จอดอยู่ซึ่งเรามองไม่เห็นว่าเกิดอะไรขึ้น ไม่นะ!!!    อย่าบอกว่าเป็นม็อบแขกมาปิดถนนจนไปต่อไม่ได้นะ 


คือก่อนจะเดินทางไปอินเดียในเดือนมีนาคมครั้งนี้ ช่วงเดือนกุมภาพันธ์เกิดการประท้วงทางการเมืองครั้งใหญ่ในดาร์จีลิ่ง จนเป็นเหตุให้ถนนไปสิกขิมซึ่งใช้ทางหลวงร่วมกันกับดาร์จีลิ่งถูกปิดไประยะหนึ่ง แถมม็อบยังลามไปถึงเมืองสิริกุรีจนต้องมีการใช้กำลังเจ้าหน้าที่ทหารและตำรวจเข้าปราบปราม ส่วนดาร์จีลิ่งที่ได้เห็นใน Video Footage ที่เป็นภาพเคลื่อนไหวก็เลวร้ายไม่แพ้ มีเผารถ เผาอาคารทำการของราชการหลายแห่ง เกสต์เฮ้าส์หลายแห่งก็โดนลูกหลงถูกเผาไปด้วย นักท่องเที่ยวต่างชาติบางคนที่ท่องเที่ยวอยู่ในดาร์จีลิ่งช่วงนั้น พอหลุดออกจากดาร์จีลิ่งได้ก็ออกมาโพสต์เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในโลกอินเตอร์เน็ต


นี่ก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่สุดท้ายเราตัดสินใจให้ดาร์จีลิ่งกลายเป็นแผนเที่ยวสำรอง ถ้าหากการเดินทางในสิกขิมของเราไม่สมหวัง แต่ในความเป็นจริง สิกขิมก็เป็นแผนหลักของเราตั้งแต่แรก ดังนั้นจึงไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง และอาจจะไม่แวะดาร์จีลิ่งเลยด้วยถ้าสิกขิมมีอะไรให้เที่ยวมากพอ ก่อนการเดินทางครั้งนี้ เราได้ติดต่อมาทางสถาณกงศุลไทยในกัลกัตตาทางอีเมล์เพื่อสอบถามถึงสถาณการณ์การเมืองในการเดินทางไปสิกขิมและดาร์จีลิ่ง และได้รับอีเมล์ตอบกลับทันที จากคุณทรัพย์สิน ท่านกงสุลไทยประจำกรุงกัลกัตตา คุณทรัพย์สินได้ให้คำแนะนำที่มีประโยชน์หลายอย่างหากเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝัน รวมถึงการแสดงความเป็นห่วงนักท่องเที่ยวไทยทุกคนที่เดินทางในอยู่ในอินเดีย


เป็นเรื่องประหลาดใจอีกอย่างที่ได้ทราบว่า สถานกงสุลไทยแห่งเมืองกัลกัตตาจะดูแลนักท่องเที่ยวไทยที่เดินทางท่องเที่ยวอยู่ในดาร์จีลิ่งซึ่งอยู่ใน West Bengal แต่สถานฑูตไทยในกรุงเดลลีจะเป็นผู้ดูแลนักท่องเที่ยวไทยในสิกขิม ยังไงก็ตาม คุณทรัพย์สินได้ให้เบอร์ติดต่อโดยตรงไว้ด้วย ขอขอบพระคุณอีกครั้งนะคะ     หลังจากเราเดินทางถึงอินเดียแล้วจึงได้แจ้งข่างสารไปยังทางสถานกงสุลไทยในกัลกัตตาไปเป็นระยะ ให้ได้ทราบความเป็นไปในการเดินทางตลอดทริปจนเดินทางกลับเมืองไทยอย่างสวัสดิภาพ


นอกเรื่องไปยาว กลับเข้าเรื่องการเดินทางต่อนะคะ รถเค้าไม่ได้จอดติดม็อบแขกหรอกค่ะ   เค้าจอดติดทางรถไฟ  รอกันไปพักใหญ่ๆเลยค่ะ กว่ารถไฟจะมา ระหว่างนั่งรถทัวร์จากกัลกัตตามาสิริกุรี เราก็เจอทางรถไฟแบบนี้หลายที่เหมือนกัน



รถไฟขบวนแรกวิ่งผ่านไป สักพักก็มีอีกขบวนวิ่งสวนกลับมา จากนั้นกองทัพรถที่จอดรออยู่ก็เริ่มทะยอยเดินทางต่อ



ผ่านทางราบมาแล้ว รถจะเริ่มวิ่งเข้าสู่เส้นทางภูเขาให้เราได้ตื่นตาตื่นใจอีกครั้ง  ถนนขรุขระที่มีการซ่อมแซมไปตลอดทาง ความกว้างของถนนประมาณเส้นทางจากดอยปุยขึ้นไปขุนช่างเคี่ยน ทางโค้งหักศอก ศอก และศอกโค้งๆ    วิ่งเลียบเรื่อยๆไปกับแม่น้ำใหญ่สีเขียวมรกตและหน้าผาสูงชันที่บางช่วงก็พอมีที่กั้นหน้าผาให้อุ่นใจ แต่โดยรวมแทบจะไม่มีให้เห็นเอาซะเลย รถบรรทุกสิบล้อ รถรับจ้าง รถทหาร รถชาวบ้าน รถส่วนตัว แตรรถเสียงดังๆจากรถแต่ละคันที่ขับแซงกันฉวัดเฉวียนอยู่บนไฮเวย์เล็กๆสายนี้


ใครที่เคยนั่งรถเส้นทางเชียงใหม่ - ปาย - แม่ฮ่องสอน หรือจะเป็น เชียงใหม่ - แม่สะเรียง - แม่ฮ่องสอน หรือจะเป็นแม่ฮ่องสอน - ปางอุ๋ง บอกได้เลยว่า เส้นทางเหล่านั้นจะกลายเป็นถนนดีๆที่รถขับขี่กันอย่างปลอดภัยไปเลยเมื่อเทียบกับถนนหนทางแทบจะทุกเส้นในสิกขิม



ตามเส้นทางก็จะมีป้ายข้อความจุ๊กจิ๊กน่ารักๆ หยอกนักขับขี่ขาซิ่งไปเป็นระยะ Enjoy the Valley not Rally-No Rally in the Valley จะได้ผลมั๊ยอ่ะ?



รั้วกั้นขอบถนนและลิงอินเดียไซส์บิ๊กๆที่ออกมาโชว์ตัวกันเป็นระยะๆ



เส้นทางนี้ถ้าวิ่งเข้าสิกขิม เมื่อเริ่มเห็นแม่น้ำใหญ่อยู่เบื้องล่างของหน้าผาทางขวามือของเรา นั่งไปสักระยะคุณจะเห็นสะพานคอนกรีตอย่างดี พาดข้ามแม่น้ำ ตอนเราผ่านไป สะพานนี้ทาสีชมพูๆกับสีเหลืองๆสลับเป็นทาง นั่นคือเส้นทางหลวงจากสิกขิมแยกไปประเทศภูฎานนะคะ ข้อมูลนี้มารู้จากคนสิกขิมในวันเดินทางกลับ สองประเทศนี้เค้ามีความสัมพันธ์ที่ดีกันมานาน ประกอบกับเชื้อพระวงศ์ดั้งเดิมของสิกขิมก็คล้ายๆกับว่าจะมีเชื้อสายเกี่ยวดองกับทางภูฎานด้วย ทางเส้นนี้ไม่แน่ใจว่าคนต่างชาติจะสามารถผ่านได้รึเปล่า เพราะในภูฎานเราต้องใช้บริการบริษัททัวร์จัดการให้ทั้งหมด ไม่สามารถไปเองได้



ชุมชนริมน้ำระหว่างทาง



แม่น้ำ Teesta งูใหญ่ที่ทอดตัวไหลผ่านชุมชนและขนาบไปกับทางหลวงสู่เมืองกังต็อก สิกขิม



เค้าคงจะเอา หิน ดิน ทราย ตรงแถวๆแม่น้ำแบบนี้มาซ่อมทางหลวงแน่ๆ



รถติดบนภูเขา



ฝุ่น ฝุ่น และฝุ่น เอ??? มันเริ่มจะไม่ค่อยอังกฤษแล้ววุ้ย หันมาดูเสื้อที่ใส่อยู่ แค่ตบๆเบาๆก็มีฝุ่นฟุ้งกระจาย แอบเอาทิชชู่ขึ้นมาเช็ดหน้า  ทิชชู่ที่เพิ่งเช็ดหน้าเสร็จเลอะเป็นสีน้ำตาล 



ระหว่างทางเราจะต้องเอาพาสปอร์ตของเราที่มีวีซ่าอินเดีย และเป็นวีซ่าที่มี permit ให้เข้าสิกขิมเรียบร้อยแล้ว มาให้เจ้าหน้าที่ที่ด่านรังโปประทับตราอนุญาติเข้าสิกขิม permit สามารถขอเพิ่มตอนที่ไปขอวีซ่าอินเดียได้เลยนะคะสำหรับคนที่ไม่รู้ บอกกับเจ้าหน้าที่ว่าจะขออนุญาติเข้าสิกขิมด้วย สถานฑูตอินเดียเค้าจะสแตมป์มาเพิ่มในหน้าวีซ่าอินเดียของเราเลย ไม่เสียค่าใช้จ่ายเพิ่ม


ภาพนี้ถ่ายขากลับออกจากสิกขิมค่ะ ถ้าเป็นขาเข้าสิกขิม คุณจะถูกเจ้าหน้าที่อัญเชิญลงจากรถก็ที่ประตูทางเข้านี้แหละค่ะ เพื่อลงไปตรวจหนังสือเดินทาง



แล้วเราจะเจออาคารชั้นเดียวที่มีลิงสีฟ้าใส่หมวกสีเหลืองยืนอยู่ข้างหน้า ภาพนี้ถ่ายจากวันกลับออกจากสิกขิม เพราะฉะนั้น ถ้าเป็นขาเข้าสิกขิม อาคารและลิงจ๋อสีฟ้าตัวนี้จะอยู่ขวามือนะคะ เดินเข้าไปในอาคาร เดี๋ยวเค้าเห็นว่าเราเป็นต่างชาติก็จะชี้ทางเองว่าไปห้องไหน เข้าไปให้เจ้าหน้าที่ลงประวัติ เขียนเอกสาร ประทับตราลงวีซ่าก็เป็นอันเสร็จพิธี เดินออกมาจากอาคาร  อ้าว!!! รถแชร์จิ๊บที่ข้าพเจ้านั่งมาด้วยหายไปไหนแล้วหว่า จำทะเบียนรถไม่ได้ด้วยอ่ะ ตายแล้ว!!!! ตายแล้ว!!!!    ชั้นโดนลอยแพเหรอ?


ยืนรอสักพัก คนขับเดินมาตามหา เค้าต้องไปจอดรถรอไกลหน่อย เพราะว่าแถวๆด่านจะจอดรอนานไม่ได้ รถจะเข้าออกไม่สะดวก I see   เข้าใจแล้วค้าพี่ขา เดินตามพี่คนขับไปที่รถ อินเดียทั้ง 8 ลงมานั่งผ่อนคลายอริยาบทระหว่างรอกะเหรี่ยงไทยคนเดียวในทริปไปจัดการเอกสาร



นั่งรถต่ออีกพักใหญ่ๆ ก็เป็นชั่วโมงๆอยู่นะ ในที่สุดรถก็เริ่มเข้าสู่เมืองกังต็อก จุดหมายปลายทางของเราในสิกขิม โอ้โห!! นี่เค้าสร้างเมืองกันบนภูเขาเลยนี่นา กังต็อกเมื่อแรกเห็น ใหญ่โตและเจริญกว่าที่จินตนาการไว้เยอะ







Free TextEditor


Create Date : 15 พฤษภาคม 2554
Last Update : 15 พฤษภาคม 2554 20:39:35 น. 3 comments
Counter : 2432 Pageviews.  
 
 
 
 
ว้าว
 
 

โดย: Kizt วันที่: 15 พฤษภาคม 2554 เวลา:18:52:35 น.  

 
 
 
ที่นี่ยังดูสะอาดกว่าที่แม่บุญไปอีกค่ะ
 
 

โดย: Maeboon วันที่: 1 กรกฎาคม 2554 เวลา:22:46:52 น.  

 
 
 
หลงรักเมืองนี้ไปแล้วค่ะ
 
 

โดย: bkkplayground วันที่: 3 กรกฎาคม 2554 เวลา:1:42:46 น.  

Name
* blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Opinion
*ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet

bkkplayground
 
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]





MusicPlaylist
Music Playlist at MixPod.com
[Add bkkplayground's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com