Group Blog
 
All Blogs
 

Transformer 2 : Revenge of the Fallen สนุกมากแต่....

Transformer 2 : Revenge of the Fallen 





Transformer ภาค 2 ผมได้ดูไปเมื่ออาทิตย์ที่แล้วครับ ครั้งนี้ลงทุนไปดูที่โรง IMAX ที่ห้างสยามพารากอน เพราะขนาดจอหนังที่ใหญ่และฉากที่ถูกเพิ่มเข้ามาประมาณ 5 ถึง 6 ฉากเพื่อจอ IMAX โดยเฉพาะ ซึ่งไม่มีให้ดูในโรงธรรมดาทั่วไป


หนังเปิดเรื่องมาพร้อมกับ sub title ที่หายไปประมาณห้านาที (ตอนนั้นนึกปลงในใจว่า นี่ตูต้องนั่งดูแบบไม่มี sub จนจบหรือเนี่ย ^_^" เอาเถอะพอทน หนังแอ็คชั่นไม่น่าจะฟังยาก) แต่พอสักพัก sub thai แบบ version จางๆก็โผล่มา อ่านยากนิดนึงครับ ดีใจสุดๆไม่ต้องดูไปแปลไปแล้ว


โดยรวมแล้วหนังทำออกมาได้ตื่นตาตื่นใจกว่าภาคแรก เพราะภาคนี้เราจะได้ดูหุ่นทางฝั่งออโต้บอท กับดิเซฟติคอล แปลงร่างอย่างจุใจตลอดกว่า 2 ชั่วโมงครึ่ง! (ยาวมาก)


เนื้อเรื่องและไอเดียจัดว่าซับซ้อนระดับหนึ่ง แต่ไม่ถึงกับดูยาก (จนทำให้เด็กๆสาวกการ์ตูน Transformers ต้องเกาหัวแกรกๆ ว่าเนื้อเรื่องเป็นยังไง) ดูไปเรื่อยๆประมาณเข้าชั่วโมงที่สองเริ่มเบื่อครับ เพราะช่วงหลังนี้สู้กันอย่างเดียว บางฉากเร็วมากจนสายตาคนแก่อย่างผมมองไม่ทัน (คนที่ไปกับผมบ่นอุบว่าแยกไม่ออก ว่าตัวไหนเป็นตัวไหน ผมบอกก็ดูสีเอา ผู้ร้ายจะไม่มีสี ^_^)


สองชั่วโมงที่เมื่อตากับขา (ใครที่เคยดูโรง IMAX คงนึกออกว่าที่เลย์เอาท์นั่งของโรงนี้เป็นยังไง ใครตัวสูงหน่อยนี่บอกลาเลยครับ รับรองได้นั่งดูแบบทรมานแน่ๆ เพราะที่วางระหว่างเก้าอี้แต่ละแถวน้อยมาก ตอนที่ผมดูคนข้างหลังก็เอาหัวเข่ามากระแทกเก้าอี้เป็นระยะๆ ก็ได้แต่ปลงครับ ไม่งั้นมัวแต่ไปหงุดหงิดจะทำให้ดูหนังไม่สนุกไปเปล่าๆ) 


ดังนั้นพอเกิดอาการเบื่อ + อาการเลี่ยนสายตากับหุ่นของฝ่ายดิเซฟฯจากนอกโลกที่มาสมทบทัพของอีตา Fallen และไอ้ที่อยู่บนโลกทั้งสองฝ่าย ก็เลยเริ่มดูเวลาและบ่นในใจว่าเมื่อไหรจะจบฟะ


โอ๊ยย ....สองชั่วโมงครึ่ง....ในที่สุดก็จบจนได้ เดินออกจากโรงพร้อมกับความสะใจที่ได้ดูน้องหุ่น พี่หุ่น จุใจ แต่ทว่ารู้สึกว่าไม่มีอะไรเหลือให้ติดหัวเหมือนภาคแรก (เหมือนภาคนี้ไมเคิล เบย์จะตั้งใจโชว์หุ่นอย่างเดียว) จากนั้นมานั่งย้อนคิดว่าทำไมมันรู้สึกน่าเบื่อนิดๆ นึกขึ้นได้ อาจจะเป็นเพราะฉากพิเศษที่เพิ่มเข้ามาสำหรับโรง IMAX จึงทำให้หนัง"ยืดออกไปอีก" (ไม่กระชับว่างั้นเถอะ) จึงทำให้รู้สึกเบื่อ


ผมชอบภาคแรกมากกว่าครับ ลงตัวดี กระชับด้วย (ก่อนดูภาคสอง ผมก็เอาดีวีดีภาคแรกมาทบทวนอีกครั้ง เพื่อจะได้ต่อเรื่องภาคสองได้ง่ายๆ) แต่หุ่นภาคสองนี่เจ๋งครับ ชอบเจ้าดีวาสเตเตอร์ (ไอ้หุ่นตัวดูดทรายและทุกอย่างที่ขวางหน้า) กับ เจ็ทไฟว์ ตาเฒ่าเครื่องบินรบมากที่สุด


ภาคสองไมเคิลเบย์ใส่มุขตลกเข้ามาเพียบ ทำให้หนังมีทั้งอารมณ์ มันส์ ขำและสะใจ ส่วนฉากรักก็ไม่มีอะไร ดาดๆตามภาษาหนังบู๊สไตล์ไมเคิลเบย์ นั่นแหล่ะครับและแน่นอนมีภาคต่อไปชัวร์ๆ


สรุป 


1ภาคต่อไป (ภาคสาม) จะออกมาเป็นยังไงเนี่ย เพราะภาคนี้ไมเคิล เบย์เล่นใส่มาแบบไม่อั้นแบบนั้น
2ภาคแรกมีปัญหาที่หุ่นเข้าสู้ในเมืองดังนั้นจึงจับตาดูหุ่นในฉากต่อสู้ได้ฉากเพราะตึก ราม บ้านช่องมันบดบัง ทำให้ผู้สร้างรู้สึกอึดอัด แต่ภาคสองนี่ใส่เต็มๆเพราะฉากต่อสู้เด่นๆส่วนใหญ่อยู่ที่ป่าและทะเลทราย
3หนังแบบนี้ แนวนี้มีแต่ท่านเบย์เท่านั้นที่ทำได้ ไม่มีใครเผาป่า ถล่มภูเขา ขุดกระท่อมได้มันส์เท่าคุณเบย์อีกแล้ว
4ฮาร์ดดิสที่ใช้เก็บข้อมูลหนัง และภาพที่เรนเดอร์ใช้ไปทั้งหมดประมาณ 300 เทอราไบต์เลย... ^_^" แต่ไม่รู้ว่า CPU เป็นแบบ parallel processor ไหม....
5อยากดู version ที่ไม่ใช่ IMAX ด้วยครับ แต่งบบันเทิงหมดแล้ว ใครที่ดู version โรงทั่วไปมาแชร์ด้วยนะครับ



ขอบคุณที่เข้ามาอ่านครับ
Free TextEditor




 

Create Date : 01 กรกฎาคม 2552    
Last Update : 1 กรกฎาคม 2552 15:42:07 น.
Counter : 1584 Pageviews.  

Dark City -เมืองเปลี่ยนสมอง หนังไซไฟที่สนุกมาก!!


Dark City หรือชื่อไทยคือ เมืองเปลี่ยนสมอง มนุษย์ผิดคน เป็นหนังไซไฟที่เคยลงโรงเข้าฉายในบ้านเราเมื่อ ปี ค.ศ. 1998 โดยฝีมือการกำกับและ
เขียนบทโดย Alex Proyas (เกิดที่อียิปต์และย้ายไปอยู่ที่ออสเตรเลียเมื่ออายุสามปี)

ข้อเขียนนี้ไม่ได้ Spoil หนังครับ สามารถอ่านได้อย่างสบายใจ
                





ผมเพิ่งได้ดู Dark City ซ้ำรอบสองเมื่อวานนี้เองครับ จากดีวีดีราคาไม่แพงที่บริษัท ค่ายหนัง Right pictures นำออกมาขายใหม่ในรูปแบบดีวีดีราคาถูกพร้อมกล่องที่เป็นJacket สวมทับอีกที (ตอนที่เห็นครั้งแรกนี่ดีใจมากครับ เพราะคงไปหาวีดีโอเทปแบบเก่ามาคงไม่ได้แล้ว แต่นี่มา
เป็นแบบดีวีดีเลย ว๊าว เจ๋ง)


ต้องขอบอกว่าตอนที่ดูครั้งที่สองนี้ลืมเนื้อหาไปประมาณ 90 เปอร์เซ็นต์ของเนื้อหาทั้งหมดแล้วครับและที่สำคัญตอนจบที่ทำให้อึ้ง  ทึ่ง (ไม่มีเสียว เพราะไม่ใช่หนังชมพู) ผมก็จำไม่ได้แล้ว ดังนั้นการได้ดูครั้งล่าสุดนี้ย่อมทำให้ให้รู้สึกตื่นเต้นไม่ต่างไปจากครั้งแรก และดูรู้เรื่องกว่าครั้งแรกด้วยเพราะตอนนั้นยังเป็นเด็กวัยละอ่อนอยู่ครับ เนื้อหาของหนังมันซับซ้อนระดับหนึ่งตอนนั้นก็เลยดูแล้วงงๆ

                Dark City เปิดเรื่องออกมาด้วยการทำให้คนดูตั้งคำถามตามสไตล์หนังแนวไซไฟ (เรื่องนี้เรียกว่า Dark Sci-fi ดูจะเหมาะกว่า) ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอกและการปรับสภาพที่หนังมักพูดถึงบ่อยๆคืออะไร


        ในทางวิธีสร้าง plot นิยายแนวไซไฟ เราเล่นกับคำถาม What…if หรืออะไรจะเกิดขึ้นถ้า


                จะเกิดอะไรขึ้นถ้า เมื่อคุณตื่นขึ้นมาพบว่าคุณได้กลายเป็นคนใหม่

                จะเกิดอะไรขึ้นถ้า มีคนขโมยความทรงจำของคุณไปเพื่อทดลองในลองในเรื่องบางอย่าง

                จะเกิดอะไรขึ้นถ้า คุณจำไม่ได้ว่าจะเดินทางไปหาดทรายที่คุณคุ้นเคยได้อย่างไร

                จะเกิดอะไรขึ้นถ้า เมืองของคุณไม่คยมีกลางวันเลย
        จะเกิดอะไรขึ้นถ้ามีบางอย่างที่คุณไม่รู้จักจับคุณทดสอบโดยเปลี่ยนความทรงจำเพื่อการดำรงไว้ซึ่งเผ่าพันธ์ของมันที่กำลังดับสูญ ตลอดเวลา 90 นาทีที่นั่งดู บอกได้คำเดียวว่าสนุกมากครับ แต่ท่านใดที่ชอบแนวบู้ล้างผลาญคงไม่ชอบเรื่องนี้ เพราะ Dark City เป็นหนังแนวไซไฟที่ทำให้เราต้องคิด

ตามไปกับเรื่องตลอดเวลา และการคิดตามที่ว่านี้ก็เป็นสิ่งที่ทำให้เราสนุกกับหนัง (เหมือนเรื่อง Knowing ที่ สนุกมาก แต่มีหนังสือหนังรายสัปดาห์เล่มหนึ่งดันมีข้อเขียนวิจารณ์จากนักเขียนประจำ คนหนึ่งที่เฉลยว่าสิ่งที่มีเตือนมนุษย์โลกคืออะไร เลวร้ายมาก... ไม่รู้ว่า บก. ปล่อยงานแบบนี้มาได้ไง!)

                กลับมาที่ Dark City ครับ เทคโนโลยีหรือความรู้ที่นำมาใช้กับหนังที่พอจะเกิดขึ้นได้ในโลกของเรา (ไม่รู้ว่าปีไหนล่ะ แต่ผมคิดว่าคงอีกไม่นาน)  คือการปลูกถ่ายความทรงจำอันใหม่ให้กับมนุษย์  ซึ่งเป็นแนวคิดหลักที่นำมาใช้ตลอดทั้งเรื่องตอนจบ หนังสรุปถึงแนวคิดที่ค้องการนำเสนอได้ดีครับ ตัวเอกของเรื่อง (พระเอกนั่นแหล่ะ) บอกกับตัวร้ายว่า “คุณไม่มีทางหาสิ่งที่คุณ
ต้องการในนี้ (พระเอกชี้ไปที่หัวตัวเอง) ได้หรอก เพราะมันไม่ได้อยู่ในนี้” มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่ต่างจากสิ่งมีชีวิตอื่น (นอกโลก) ตรงที่มีจิตวิญญาณความเป็นมนุษย์นี่แหล่ะ เรื่องนี้ดูแบบมีปรัชญาแฝงก็ได้นะครับ

                ลืมบอกไปครับว่า  Alex Proyas เป็นผู้กำกับคนเดียวกันกับเรื่อง I, Robot , Knowing (เรื่องนี้ผมชอบมาก โดยเฉพาะฉากเครื่องบินตกต่อหน้าต่อตานิโคลาส เคส), Garage Days (เรื่องนี้ไม่คุ้นว่าเคยฉายในเมืองไทย), The Crow (ชื่อไทยคือ อีกาพญายม)
                 ไม่ควรพลาด Dark City ครับ ถ้าใครชอบแนวไซไฟ...ลืมบอกไปครับยุคนั้นมีอีกเรื่องครับเรื่อง Thirteen Floors เรื่องนี้ plot สนุกมากซับ

ซ้อน แต่ตอนนี้ยังไม่มีค่ายหนังใดนำมาปั๊มลงDVD ขายใหม่....







Free TextEditor




 

Create Date : 30 มิถุนายน 2552    
Last Update : 1 กรกฎาคม 2552 15:39:49 น.
Counter : 1500 Pageviews.  

แนะนำหนังแนว sci-fi ที่นักเขียนเรื่องแนว sci-fi ไม่ควรพลาด

แนะนำหนังแนว sci-fi ที่นักเขียนเรื่องแนว sci-fi ไม่ควรพลาด


Free Image Hosting

นักอยากเขียน และนักที่ตั้งใจจะเป็นนักเขียนแนวไซไฟต้องอ่านหนังสือแนว sci-fi เยอะๆครับ และสิ่งหนึ่งที่ช่วยสร้างหรือจุดประกายจินตนาการเพื่อใช้ในงานเขียนนิยายและเรื่องสั้นแนวไซไฟ นั่นคือดูหนังแนวไซไฟครับ
เรื่องที่แนะนำให้ดู เท่าที่พอนึกออกมีตามนี้ครับ

1 Back to the future ทั้งสามภาพ เรื่องนี้จะได้วิธีการวาง plot การเดินทางข้ามเวลาที่สลับซับซ้อน... ดูหนังเรื่องนี้ครั้งแรกต้องอุทานออกมาเลยว่า คิด plot ได้สุดยอด เนื้อเรื่องโยงใยเป็นใยแมงมุม เหตุการณ์ทุกเหตุการณ์ มีผล่อกันหมด และที่สำคัญ สนุกทั้งสามภาคเลยครับ


2 ID4 ยานอวกาศมนุษย์ต่างดาวบุกโลก ด้วยมุมมองภาพที่ไม่เคยมีหนังเรื่องไหนสร้างขึ้นมาก่อน แหงนหน้าขึ้นฟ้าคุณจะเจอยานอวกาศลำบ๊ะเอ๊ก ลอยอยู่เหนือยอดตึก โอ๊ว...สุดยอดครับ


3 The matirx เมื่อคอมพิวเตอร์ AI ครองโลก... สุดยอดหนังแนว sci-fi ปรัชญา และการเขียนโปรแกรมแบบ OOP


4 Time machine การเดินทางข้ามเวลาแบบที่นึกไม่ถึง ผ่านยานเวลาที่ออกแบบมาได้คลาสสิคสุดๆ


5 Star Trek


6 Fifth Element



7 Bicentennial man


8 Gataca เรื่องนี้นำเสนอเรื่อง ยีน เด่น ยีนด้อย และสิ่งที่เปลี่ยนแปลงโชคชะตามนุษย์นั้นไม่ใช่สิ่งที่ติดมาตัวเรา


แค่นี้ก่อนครับ เดี๋ยวคราวหน้าจะมาแนะนำต่อ









Free TextEditor




 

Create Date : 30 ธันวาคม 2551    
Last Update : 30 ธันวาคม 2551 11:41:53 น.
Counter : 1245 Pageviews.  

TIME MACHINE

TIME MACHINE
สร้างจากนิยายของ H. G. Wells


//en.wikipedia.org/wiki/The_Time_Machine


หนังแนว Sci-fi แบบ Time travel ที่ดูสนุก และให้อะไรติดหัวหลังดูจบ และกลิ่นอายของนิยายวิทยาศาสตร์ยุคโบราณ
เราไม่สามารถเปลี่ยนอดีตได้แต่แก้ไขอานาคตให้เป็นไปตามที่เราต้องการได้
ยาน Time Machine ที่สร้างออกมาแบบคิดไม่ถึง และการเดินทางข้ามเวลาแบบที่ถ่ายภาพโดยเปลี่ยนสภาพแวดล้อมรอบยานโดยที่คุณไม่เคยเจอในหนังเรื่องไหนมาก่อน
ฉากสวยๆของดวงจันทร์ที่ถล่ม ใน POV ที่มองขึ้นไปจากพื้นโลก
จบก็ดีตามที่คาดไว้ครับ
ติดที่คำถามเดียว มนุษย์ขาวที่อยู่ใต้ดินในเรื่อง เป็น symbolic ของ God หรือเปล่าหว่า?

แผ่นลิขสิทธิ์ราคาแค่ 180 กว่าบาทกับ DVD แบบ Dual layer ภาพชัดแจ๋ว เสียงเยี่ยม หามาดูได้เลยครับ



Free Image Hosting




Free TextEditor




 

Create Date : 25 ธันวาคม 2551    
Last Update : 25 ธันวาคม 2551 11:09:12 น.
Counter : 483 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  

เครื่องจักรอาวุโส
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 4 คน [?]







สวัสดีครับ
ขอบคุณทุกท่านที่แวะเข้ามาเยี่ยมนะครับ





blog อีกที่ของผมครับ http://pongcp.wordpress.com


สงวนลิขสิทธิ์ ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2539 ห้ามผู้ใดละเมิด ไม่ว่าการลอกเลียน หรือนำส่วนหนึ่งส่วนใดของข้อความใน blog แห่งนี้ไปใช้ ทั้งโดยเผยแพร่และเพื่อการอ้างอิง โดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษร จะถูกดำเนินคดี ตามที่กฏหมายบัญญัติไว้สูงสุด ท่านใดที่ต้องการเอาบทความไปใช้ช่วยทำ link มาที่ blog นี้ด้วยครับ









Google




blog counter

blog counter



Friends' blogs
[Add เครื่องจักรอาวุโส's blog to your web]
Links
 
MY VIP Friends


 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.