(ตอนพิเศษสุดริมรั้ว) รอบรั้วหัวใจ




ตอนพิเศษ รอบรั้วหัวใจ

งานมงคลสมรสถูกกำหนดขึ้นในอีกสามเดือนต่อมา บ้านทวีกิจไพศาลถูกใช้เป็นสถานที่ประกอบพิธีไทยในช่วงเช้าหลังจากนั้นจะมีงานเลี้ยงรับรองที่ธาราเพื่อให้พนักงานจากสองฝ่ายและแขกบางส่วนที่ไม่สามารถไปร่วมงานฉลองสมรสที่เขาค้อในอีกสามวันถัดไปช่วงสองสามวันนี้ เจ้าบ่าวเจ้าสาวต่างวุ่นวายกับกิจของตนจนไม่ได้พบปะกันเลย ครั้งสุดท้ายที่พบกันคือเมื่อวานซืนที่ฝ่ายชายมาช่วยแทนดาวขนข้าวของชุดท้ายไปไว้ที่เรือนหอ

บ้านทวีกิจไพศาลเอิกเกริกครื้นเครงอีกครั้งเพราะเป็นการรวมตัวอีกครั้งของญาติมิตรและเพื่อนๆ เจ้าสาวที่มาช่วยเตรียมงาน งานนี้จัดเป็นพิธีไทยแท้ตามความประสงค์ของคุณลำเภา เน้นความประณีตของศิลปะไทยและฝีมือเชิงช่างล้วนๆ โดยไม่ได้ว่าจ้างออแกไนเซอร์ทุกอย่างล้วนมาจากแรงกายแรงใจของเพื่อนฝูงญาติพี่น้องกับกลุ่มอาจารย์และนักศึกษาคหกรรมที่เคยเป็นลูกศิษย์ลูกหาของคุณลำเภามาช่วยด้วย

บริเวณงานประดับดอกไม้สดและงานเจียนใบตองทั้งหมดบรรดาดอกไม้ใบไม้ล้วนมีชื่อมงคลตามตำราโบราณ ตรงทางเดินปูนจากประตู้รั้วมาจนถึงหน้ามุขมีตัวหงส์ประดิษฐ์จากใบตองเรียงกันจำนวนหกคู่สนามหญ้าตัดเตียนเขียวขจีตั้งโต๊ะและเก้าอี้กลางแจ้งโดยอาศัยร่มเงาจากไม้ใหญ่ไม่ต้องตั้งเต็นท์ขัดขวางทัศนียภาพฟากหนึ่งตั้งซุ้มอาหารที่คุณลำเภาประกอบเองทั้งหมดรายการของคาวหวานล้วนมีความหมายมงคล ไม่ไกลกันกันเป็นเวทียกพื้นจัดไว้สำหรับวงดนตรีไทยและการแสดงข้างเวทีมีจอขนาดใหญ่ถ่ายทอดสดพิธีการข้างใน

หน้ามุขกับชายคาบ้านตลอดจนหน้าต่างประตูทุกบ้านติดม่านดอกรักสลับบานไม่รู้โรยถักลายตาข่ายอันมีความหมายเป็นมงคลว่า‘รักไม่รู้โรย’ตามจุดต่าง ๆ ตั้งพุ่มแจกันดอกไม้ปักแซมด้วยผลไม้มงคลแกะสลักลวดลายวิจิตรบรรจงทุกอย่างล้วนรังสรรค์อย่างละเอียดประณีตอาบมนตร์ขลังแห่งวัฒนธรรมการกินอยู่อย่างไทยที่ใครได้มาสัมผัสก็จะต้องประทับใจ

ห้องโถงใหญ่ถูกกำหนดให้เป็นส่วนพิธีการทั้งสู่ขอและรดน้ำภายในห้องตกแต่งพานพุ่มดอกบัวสีชมพูกับใบตองปะดิษฐ์บนเพดานสูงห้อยเครื่องแขวนทรงกลมหุ้มตาข่ายมะลิปล่อยชายอุบะระย้า แต่ละพวงแขวนไล่ระดับสูงต่ำอย่างลงตัวสุดโถงตั้งโต๊ะรดน้ำสองชุด ด้านหน้าห้อยปิดด้วยตาข่ายดอกรักร้อยเป็นม่านผืนใหญ่ชายยาวจรดพื้นมีอ่างเคลือบลอยดอกบัวตั้งพานทองแต่งด้วยมาลัยกรองเก้าชายรองรับน้ำสังข์ ฉากหลังตั่งรดน้ำประดิดประดอยจากดอกบานไม่รู้โรยดอกพุดและบัวเป็นลวดลายไทยสุดอลังการ มีสายมะลิร้อยสลับกลีบกุหลาบดัดคดโค้งเป็นตัวอักษรชื่อย่อของคู่บ่าวสาว ข้างโต๊ะรดน้ำคือพานขนาดใหญ่ใส่ของชำร่วยเป็นผอบเบญจรงค์ห้าสีบรรจุในกล่องผ้าไหมสวยหรูมีบุหงาแห้งห่อผ้าตาข่ายใส่ในผอบที่วาดลวดลายไทยอ่อนช้อยล้อมรอบอักษรย่อชื่อบ่าวสาวของชำร่วยนี้คุณลำเภาสั่งทำจากศูนย์ศิลปาชีพ นอกจากจะสวยงามน่าใช้แล้วยังทรงคุณค่าของอัตลักษณ์ไทย

“พวกเราไปนอนก่อนนะยัยพลูด่างอ้อ...แล้วก็อย่านอนดึกนัก เดี๋ยวตาคล้ำ...มากส์หน้าหน่อยก็ดีนะ”

หนึ่งในเพื่อนเจ้าสาวที่มาปักหลักช่วยงานกันล่วงหน้าสามวันสามคืนบอกทิ้งท้ายแล้วก็พากันไปนอนเอาแรงคงเหลือเพียงว่าที่เจ้าสาวที่เพิ่งจะวางมือจากการกรองมาลัยหญิงสาวขยับตัวจากความเมื่อยขบเพราะนั่งหลังขดหลังแข็งตั้งแต่ตอนเย็นเพื่อร้อยมาลัยกลมชายเดียวสามพวงสองพวงแรกตั้งใจเอาไปกราบบิดามารดาและคุณย่าเพื่อเป็นการขอบพระคุณที่เลี้ยงดูมาจนถึงเวลาออกเหย้าออกเรือนส่วนอีกพวกหนึ่งตั้งใจจะมอบให้พี่ชาย

ภายในห้องหนังสือเทียมภพนั่งเปิดอัลบั้มภาพถ่ายเก่า ๆ ที่รื้อมากองไว้บนโต๊ะด้วยอารมณ์ผ่อนคลายและออกจะใจ

หายนิด ๆที่เวลาช่างผ่านไปเร็วเหลือเกิน เผลอหน่อยเดียววันพรุ่งนี้ก็มาถึงน้องสาวคนเล็กจะได้ออกเหย้าออกเรือนเป็นฝั่งฝาแทบไม่น่าเชื่อว่าสาวน้อยขี้แงและเอาแต่ใจในวันวานกำลังจะมีครอบครัวเป็นของตัวเองมือขาวสะอาดดึงภาพถ่ายใบหนึ่งออกมา ใบถ่ายใบนั้นคือตัวเขาเมื่อครั้งยังเด็กโอบอุ้มหนูน้อยตัวแดงๆ เมื่อแรกเกิด

“พี่หมากขา...”เสียงออดอ้อนมาพร้อมกับลำแขนกลมกลึงที่ตวัดโอบรอบคอแผ่วเบาเทียมภพวางรูปในมือลงแล้วโอบ

ตัวคนเกิดทีหลังเอาไว้แนบอกพร้อมกับกดจมูกลงบนขมับนวลอย่างอ่อนโยน

“ทำไมยังไม่ไปนอนอีกเดี๋ยวเจ้าสาวก็กลายเป็นหมีแพนด้านะ”

“น้องพลูเพิ่งเอาพวงมาลัยไปไหว้พ่อกับแม่แล้วก็คุณย่าเอ...ดูอะไรอยู่คะเนี่ย” หญิงสาวเปิดอัลบั้มภาพถ่ายแล้วก็ยิ้มออกมาเป็นรูปของหล่อนทุกวัยไล่ตั้งแต่ตอนเป็นทารกจนถึงตอนจบปริญญาตรี สาวน้อยนั่งอิงอกพี่ชายแล้วดูรูปพวกนั้นด้วยกันพลางผลัดกันเล่าเรื่องอดีตอย่างเพลิดเพลิน

“ดูสิ...เมื่อวานยังร้องงอแงจะเอาตุ๊กตาอยู่เลยพรุ่งนี้ก็ต้องจากอกพี่ไปเป็นของคนอื่นแล้ว”

“น้องพลูยังเป็นน้องของพี่หมากอยู่วันยันค่ำ...”แทนดาวเลื่อนตัวลงไปนั่งกับพื้นแล้วจับมืออุ่นของพี่ชายมาแนบแก้ม

“ตลอดชีวิตนี้...น้องพลูสำนึกเสมอว่าสองมือนี้เองที่อุ้มชูดูแลมา หล่อหลอมให้น้องพลูเติบโตขึ้นมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีจนประสบความสำเร็จได้เพราะพี่ชายที่ชื่อเทียมภพชาตินี้ไม่วันทดแทนบุญคุณหมด” หญิงสาวปล่อยให้น้ำตาไหลรินเป็นสายความใจหายบังเกิดขึ้นเมื่อตระหนักว่านับแต่พรุ่งนี้จะต้องโบยบินจากอ้อมอกที่คอยปกป้องดูแลมาตั้งแต่อ้อนแต่ออกไปอยู่ณ บ้านหลังใหม่

“พี่ก็ดีใจที่มีน้องสาวคนนี้หนูคือของขวัญจากสวรรค์ คือดวงดาวที่พาความสดใสมาสู่ครอบครัวของเราพี่มีความสุขที่ได้เฝ้าดูหนูค่อย ๆ เติบโต ได้อาบน้ำ ป้อนข้าว หัดพูด หัดเดิน ได้อบรมสั่งสอนจนถึงวันที่หนูมีครอบครัว...ถึงวันนี้พี่ก็หมดห่วง”ปลายนิ้วอุ่นค่อย ๆปาดเช็ดน้ำตาให้เฉกเช่นที่เคยทำมาเสมอตั้งแต่เมื่อครั้งเยาว์วัย

“แทนดาว...ต่อไปหนูจะเป็นแทนดาว ธาราพิศุทธิ์ จะเป็นภรรยาของสามีที่จะรักและดูแลหนูต่อจากพี่วันหนึ่งหนูจะต้องเป็นแม่คน ในฐานะพี่ชาย...ก็จะให้โอวาท...”แทนดาวมองหน้าพี่ชายแล้วตั้งใจฟังด้วยท่าทีสงบนิ่ง

“การเป็นภรรยาที่ดีไม่ใช่แค่ทำงานบ้านเป็นปรนนิบัติเก่งเพียงเท่านี้ แต่หนูต้องเป็นได้ทั้งคู่คิด เป็นเพื่อนบางครั้งก็ต้องเป็นแม่ อย่าเอาแต่ใจ อย่าใช้อารมณ์ คิดทุกครั้งก่อนพูดหรือทำอะไร การเป็นสามีภรรยามันไม่ได้ราบรื่นเหมือนตอนเป็นแฟนต้องรู้จักการประนีประนอม เอาใจเขามาใส่ใจเราหนูจงปฏิบัติต่อสามีเหมือนกับที่ปฏิบัติกับพ่อแม่ กับพี่ จงรักและซื่อสัตย์ไว้ใจและให้เกียรติซึ่งกันและกัน น้องพลู...พี่เชื่อว่าหนูจะต้องเป็นภรรยาที่ดีและเป็นแม่ซึ่งจะเป็นต้นแบบที่ดีให้กับลูก”

น้ำเสียงอบอุ่นอ่อนโยนสั่งสอนน้องสาวคนเดียวด้วยความปรารถนาดีจากก้นบึ้งของหัวใจเทียมภพให้ข้อคิดในการครองเรือนที่ได้ประสบการณ์ตรงจากการใช้ชีวิตคู่มาถ่ายทอดให้น้องฟังแทนดาวซึมซับทุกคำพูดไว้ในหัวใจ สองมือน้อยประนมขึ้นจรดหว่างอกใบหน้างดงามแฉล้มปนทั้งรอยสุขและรอยอาลัย

“น้องพลูจะจดจำคำสั่งสอนของพี่หมากและจะปฏิบัติให้เกิดผลแต่ในทางที่ดีพี่หมากขา...ไม่มีสักวินาทีเดียวหรือแม้สักลมหายใจที่น้องพลูไม่รักพี่ พี่หมากเป็นยิ่งกว่าพี่ชายคือพ่อ คือแม่ คือทุก ๆ อย่างที่ผู้ชายทั้งโลกนี้เป็นไม่ได้ทุกสิ่งทุกอย่างที่เคยทำให้น้องพลูมาตั้งแต่เกิดจวบจนวินาทีนี้น้องพลูขอกราบขอบพระคุณด้วยหัวใจ สองมือ และพวงมาลัยนี้ค่ะ”

แทนดาวก้มลงกราบกรานแทบเท้าของคนเป็นพี่ด้วยความสำนึกในบุญคุณและรักในสายเลือดเปี่ยมล้นเทียมภพรับพวงมาลัยน้อยที่กรองจากใจของน้องแล้วลูบศีรษะเล็กอย่างอาทรจากนั้นก็ช้อนร่างเล็กที่สะอึกสะอื้นมากอดไว้แนบตัวชายหนุ่มสุดกลั้นกับอารมณ์ลึกซึ้งที่น้องสาวแสดงกตเวทิตาต่อตนเสมอบิดาบังเกิดเกล้าก็เก็บกลั้นอาการไว้ไม่อยู่ปล่อยให้น้ำตาไหลรินออกมาด้วยความตื้นตันเช่นกัน

เป็นเวลาดึกมากแล้วที่เทียมภพเดินกลับเข้าห้องหลังจากไปส่งน้องสาวเข้านอน ชายหนุ่มวางพวงมาลัยชายเดียวไว้บนโต๊ะหัวเตียงแล้วเดินเข้าไปดูลูกในห้องเด็กที่เปิดประตูเชื่อมถึงกันได้รมย์นลินเห็นสามีเดินเข้ามาก็วางมือจากการพับผ้าอ้อม หล่อนเข้าอกเข้าใจว่าเขารู้สึกอย่างไรเมื่อครู่ก็แทบกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ตอนที่เห็นภาพความรักความผูกพันของสองพี่น้อง “เจ้าปูนหลับสนิทเลยนะ...ซนมาทั้งวันแล้ววันนี้เจ้าฉุนกวนคุณมากหรือเปล่า”เทียมภพก้มลงหอมแก้มบุตรชายคนโตแล้วก็จูบกระหม่อมบุตรชายคนที่สองที่เพิ่งคลอดได้เพียงเดือนเศษเด็กชายผ่านภพ ทวีกิจไพศาล หรือน้องยาฉุน

“ก็พอดูค่ะกลางวันก็ไม่ค่อยจะนอน ก็ตาปูนน่ะสิคะ...ชวนน้องเล่นทั้งวัน เดี๋ยวก็แอบเข้ามาดูขนาดให้แป๋มพาไปเล่นไกล ๆ ยังร้องจะมาหาน้อง ไม่ต้องหลับต้องนอนกัน นี่กินนมเสร็จก็เพิ่งจะหลับไปเมื่อกี้เองค่ะ”

“เหนื่อยแย่เลยพักผ่อนบ้างนะครับ ปล่อยให้เด็กดูบ้างก็ได้” เทียมภพจูบแก้มภรรยาอย่างแสนรัก

“ไม่เป็นไรหรอกค่ะเหนื่อย...แต่ก็มีความสุขที่ได้ดูแลลูก ๆ ได้ดูแลคุณแฟงบอกแล้วไงคะ...ว่าจะทำหน้าที่ให้ดีที่สุดสมกับความรักที่คุณและครอบครัวมอบให้”

“ผมโชคดีเหลือเกินที่มีภรรยาเเสนดีอย่างคุณและที่สำคัญ...มีลูก ๆ ที่ทำให้ผมได้มีโอกาสเป็นพ่อคน ขอบคุณนะครับแฟง...ที่มีลูกชายน่ารักให้ผมขอบคุณที่ดูแลพวกเขาเป็นอย่างดี”

รมย์นลินมองสามีอย่างเทิดทูนแล้วมองบุตรชายทั้งสองด้วยความรักอันมากประมาณสุดประเมินได้ตั้งแต่แต่งเข้ามาในบ้านหลังนี้ ไม่มีวินาทีเดียวที่จะรู้สึกเสียใจหล่อนได้รับความรักและเมตตา ได้รับเกียรติเชิดชู เทียมภพเป็นสามีที่ประเสริฐหญิงสาวตั้งปณิธานแน่วแน่ว่าจะฟูมฟักเลี้ยงดูสายเลือดของทวีกิจให้ดีที่สุดให้เติบโตสง่างามเฉกเช่นเดียวกับบิดาของพวกเขา

“เดี๋ยวพอเจ้าฉุนครบขวบ...เรามีคนที่สามกันนะ”

“สองคนยังป่วนไม่พออีกหรือคะ”เสียงออดอ้อนพูดชิดริมหูเล่นเอาคนฟังต้องอุทานอย่างตกอกตกใจ

“น่านะ...เจ้าสองตัวนี้แต่งเมียทีก็เสียเงินหลายอยู่นะผมอยากได้ลูกสาวสักคนเอาไว้ดูแลพ่อแม่เวลาที่แกประจบฉอเลาะน่ะนะ...มันชื่นใจมีความสุขอย่าบอกใครเหมือนน้องพลูน่ะ...ตอนเล็ก ๆ ขี้อ้อนอย่างกับอะไร ไปอยู่ไหนได้ไม่นานต้องรีบกลับบ้านเพราะคิดถึงอีกอย่าง...พอออกเรือนก็จะได้เรียกสินสอดเอาเงินเข้าบ้านมั่ง”

“แล้วถ้าได้ผู้ชายอีกล่ะคะ”

“ผมไม่ถอดใจง่ายๆ หรอก ก็ทำไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะได้ลูกสาวนั่นล่ะ” คำตอบมาพร้อมกับประกายตาแพรวพราวรมย์นลินเลยรีบเปลี่ยนเรื่อง ดึงตัวสามีกลับมาคุยกันต่อในห้องเพราะกลัวลูกตื่น

“เมื่อพักใหญ่พี่ชลโทรมาหาแฟงแล้วก็อยากคุยกับน้องพลูแฟงลงไปที่ห้องหนังสือยังเห็นว่าคุณคุยกับเธออยู่”

“ชะ...อดรนทนไม่ไหวหรือไงพรุ่งนี้ก็จะได้เข้าหออยู่แล้ว” ชายหนุ่มอดค่อนแคะว่าที่น้องเขยไม่ได้

“นี่...พี่ชลแค่จะถามน้องพลูว่าจะให้ขนเปียโนของเธอไปที่บ้านวันไหนจะได้ว่าจ้างรถ”

“บอกมันว่าไม่ต้องผมจะจัดการเอง”

“ว่าแต่...คุณวางใจได้เลยนะคะแฟงรับรองเลยว่าน้องพลูจะไม่มีวันเสียใจที่ได้แต่งงานกับพี่ชายของแฟงพี่ชลรักน้องพลูมากและพร้อมจะทำทุกอย่างเพื่อเธอให้ดีที่สุดเท่า ๆ กับที่คุณเคยทำคุณหมากเชื่อแฟงไหมคะ”รมย์นลินมองหน้าสามีพร้อมกับบีบมืออย่างต้องการยืนยันคำพูดของตัวเองเทียมภพยิ้มให้อย่างอ่อนโยนแล้วตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่เปี่ยมไปด้วยความมั่นใจเช่นเดียวกัน

“ครับ...ผมเชื่อร้อยเปอร์เซ็นต์”

ความโกลาหลวุ่นวายภายในบ้านทวีกิจไพศาลเริ่มต้นขึ้นตั้งแต่เวลาสามนาฬิกา ช่างแต่งหน้าที่นัดไว้มาถึงพร้อมลูกมืออีกเกือบสิบชีวิตเพราะต้องแต่งหน้าทำผมให้กับบรรดาเพื่อนเจ้าสาวและญาติๆ ด้วย นอกจากนี้ยังมีเจ้าหน้าที่อาวุโสจากกรมศิลป์ซึ่งให้ความเคารพนับถือคุณลำเภาเป็นการส่วนตัวมาช่วยแต่งองค์ทรงเครื่องเจ้าสาวเนื่องจากงานนี้ท่านตั้งใจให้หลานคนเล็กเป็นดูงามสง่าแบบสตรีมีบรรดาศักดิ์ในยุคโบราณซึ่งการ 'นุ่งยก ห่มตาด’ ครบเครื่องล้วนมีองค์ประกอบยิบย่อยมากมายจึงต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญโดยเฉพาะ

เจ้าสาวถูกช่างสามคนจับแต่งตัวอีรุงตุงนังไปหมดผมยาวสลวยหวีแสกกลางกระหม่อมแล้วรวบเป็นหางม้าทิ้งตัวข้างหลังติดรัดเกล้าลายพิกุลทองแท้ครึ่งซีกกับปิ่นใบไม้ไหวใบหน้าเฉิดโฉมราวรูปวาดแต่งแต้มอย่างพิถีพิถันให้เข้าบุคลิกและสีอาภรณ์เสริมความงามสง่าชวนให้หลงใหลขั้นตอนนี้ยังไม่ยุ่งยากเท่ากับการนุ่งผ้าจับจีบหน้านางแบบที่เรียกว่า‘นุ่งยก’ คุณลำเภาเปิดกรุเลือกผ้าไหมยกดอกลำพูนสอดดิ้นทองลายโบราณสีฟ้าอมเทา ส่วนท่อนบนห่มสไบอัดจีบสีบัวโรยเฉียงบ่าแล้วห่มทับด้วยผ้าสะพักกรองทองถักตาชุนปักดิ้นทองเป็นลวดลายวิจิตรด้วยมือตลอดผืนอันเป็นงานประณีตศิลป์ที่ชมได้ยากในปัจจุบัน อาภรณ์ทั้งสองชิ้นนี้คุณลำเภาขอให้อาจารย์ท่านหนึ่งซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านผ้าไทยช่วยออกแบบและตัดเย็บขึ้นใหม่ทั้งหมดส่วนเครื่องประดับก็ยกมาเต็มเครื่องเช่นกันไม่ว่าจะเป็น สร้อยสังวาล หัวเข็มขัดฝังอัญมณีแบบโบราณ ทับทรวง ปะวะหล่ำกำไล ต่างหูทรงพุ่มทั้งหมดนี้เป็นเครื่องทองของเก่าของคุณลำเภาทั้งสิ้นที่ตั้งใจยกให้หลานสาวคนเล็ก

พอได้ฤกษ์ยามเวลาเจ็ดนาฬิกาห้าสิบเก้านาทีขบวนขันหมากที่ทางฝ่ายเจ้าบ่าวแต่งมาเต็มยศตั้งแถวกันมาตั้งแต่หัวถนนใหญ่ก็เริ่มเคลื่อนพลมีวงกลองยาวตีฆ้องร้องรำนำหน้าขบวนกันมาบรรดาเพื่อนฝูงญาติมิตรร่ายรำร้องโห่ฮิ้วลั่นซอยเป็นระยะทางเกือบสองกิโลเมตรในขบวนประกอบด้วยเครื่องขันหมากครบถ้วนตามประเพณีไทยแท้ มี ‘ขันหมากเอก’ อันประกอบด้วย พานใส่หมากดิบแปดผล พลูสี่เรียง ถุงเล็กถุงน้อยบรรจุถั่วงา ข้าวเปลือก ข้าวตอกและใบเงิน ใบทอง ใบนาค พานสินสอด พานแหวนพานเชิญขันหมาก เตียบเครื่องคาวหวานและต้นกล้วยต้นอ้อยอย่างละคู่ ตามด้วย ‘ขันหมากโท’ มีตะลุ่มใส่ขนมมงคลทั้งเก้าชนิดและผลไม้มงคลรวมไปถึงของไหว้บรรพบุรุษแต่ละพานประดับตกแต่งด้วยดอกรักสลับมะลิและใบตองประดิษฐ์เพิ่มความประณีตงดงาม

อันบรรดาข้าวของประกอบขบวนรวมทั้งเครื่องทองของหมั้นนับสิบรายการต้องใช้คนลำเลียงเป็นจำนวนมากจนแถวยาวเหยียดและจำเป็นต้องขอกำลังเจ้าหน้าที่นอกเครื่องแบบมาดูแลรักษาความปลอดภัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งบรรดาสินสอดที่ทางเจ้าบ่าวเตรียมมาชนิดที่ออกปากได้เลยว่า‘สมเกียรติ’อย่างที่เทียมภพประกาศก้องต่อหน้าธารกำนัลในวันขอแต่งงานที่ภูเคียงดาวว่า

“จัดหนัก...จัดเต็มนะโว้ย ไม่งั้นไม่ให้เข้าบ้าน”

เจ้าบ่าวอยู่ในชุดสูทสากลสีฟ้าอมเทาผูกไทสีเดียวกับสไบของเจ้าสาว ทรงผมตัดแต่งเรียบร้อยหวีปัดข้าง ผิวพรรณสีทองแดงเนียนละเอียดแลดูผุดผ่อง ในมือถือพานธูปเทียนแพมีเพื่อนเจ้าบ่าวกางร่มให้ กว่าที่กระบวนแห่จะเคลื่อนมาถึงหน้าบ้านก็ใช้เวลาเกือบชั่วโมงเพราะด่านประตูนับสิบที่ต่อเรียงกันตลอดทั้งซอยพอใกล้ถึงหน้าบ้านก็เหลือเพียงสามประตูสำคัญ คือ ประตูชัยประตูเงิน และประตูทอง ซึ่งประตูสุดท้ายแทนขวัญกับญาติผู้หญิงถือเข็มขัดทองกั้นไว้ไม่ยอมให้ไปง่ายๆ จึงเกิดการเจรจาต่อรองกันสนุกสนานเฮฮาตามธรรมเนียม

“ท่านแห่ขบวนตีฆ้องร้องป่าวเอิกเกริกมาแต่ไกลมาหาใคร มีธุระอะไรหรือคะ”

“เขาว่าลูกสาวบ้านนี้สวยปานเทพธิดาเชื้อชาติผู้ดีมีตระกูล เลยอยากสู่ขอไปเป็นลูกสะใภ้ วันนี้เป็นวันดีจะมาเป็นทองแผ่นเดียวกันขนแก้วแหวนเงินทองมากองมาให้ ขอให้เปิดทางด้วยเถิด”

“ค่าผ่านประตูทองไม่ใช่แค่ซองเงินแต่เจ้าบ่าวต้องพิสูจน์ว่ารักเจ้าสาวจริง ๆ”

“ก็ได้... แทนดาวผม...รัก...คุณ !”

เจ้าบ่าวตะโกนลั่นจนมั่นใจว่าได้ยินไปถึงข้างบนแล้วเสียงกลองยาวกับเสียงโห่ร้องก็ดังอึกทึกมากกว่าเดิม เถ้าแก่อนันต์เจรจากับคนกั้นประตูสำเร็จแล้วก็หยิบ‘ซองพิเศษ’ ส่งให้ น้องหยินบุตรสาวของวิบูลกิจหรือเฮียบิ๊กแต่งชุดไทยน่ารักรับหน้าที่เชิญขันหมากและล้างเท้าให้เจ้าบ่าวก่อนขึ้นบ้าน

ข้าวของต่างๆ ถูกลำเลียงเข้ามาในห้องโถงพร้อมกับเจ้าบ่าวและญาติทั้งสองฝ่าย เจ้าพิธีจัดเรียงของเป็นหมวดหมู่ดูละลานตาเสียงฮือฮาดังอื้ออึงขึ้นเมื่อพานสินสอดทั้งหลายถูกเปิด พานคู่ตรงกลางวางแหวนแต่งงานถัดไปเป็นปึกธนบัตรนับสิบมัดวางซ้อนกันบนพานใหญ่สองพาน สายสร้อยเพชรนิลจินดาบรรจุในกล่องกำมะหยี่เปิดอ้าอวดประกายเลื่อมพรายอีกทั้งทองรูปพรรณและทองคำแท่งเหลืองอร่ามเรืองรอง พานข้าง ๆ มีกุญแจรถยนต์สองดอกกับม้วนโฉฯและเอกสารสิทธิ์ต่างๆ รัดด้วยมาลัยบานไม่รู้โรย

คนที่พออกพอใจมากที่สุดคงไม่พ้นเทียมภพที่ออกอาการปลื้มจนหุบยิ้มไม่ลงที่ว่าที่น้องเขยและพวงตำแหน่งพี่เขยให้เกียรติน้องสาวของตนสมกับที่วางใจยกให้ไปดูแลผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายนั่งเรียงตามลำดับพร้อมหน้าพร้อมตา อาคันตุกะทุกคนพร้อมใจกันแต่งกายด้วยผ้าไหมและชุดไทยแบบต่างๆ เข้ากับรูปแบบงาน เจ้าบ่าวรู้สึกตื่นเต้นมากยิ่งขึ้นเมื่อนั่งอยู่กลางวงล้อมของสักขีพยานอันทรงเกียรติขณะที่การเจรจาสู่ขอก็เริ่มขึ้น

“วันนี้ฤกษ์ดีครอบครัวทวีกิจไพศาลและธาราพิศุทธิ์จะได้มาเกี่ยวดองเป็นทองแผ่นเดียวกัน กระผม...อนันต์นิธิกร เป็นเถ้าแก่ฝ่ายเจ้าบ่าว ถือเอาฤกษ์มงคลมาสู่ขอหนูแทนดาวไปเป็นแม่ศรีเรือนให้ชลธีไปเป็นศรีสะใภ้ของคุณวารี โดยนำสินสอดทองหมั้นมามอบให้คุณเที่ยงธรรมกับคุณดวงทิพย์ตามจำนวนที่ตกลงไว้ขอเชิญท่านตรวจนับจำนวนสินสอดด้วยครับ”

ท่านรัฐมนตรีอนันต์เปิดการเจรจาตามขนบจากนั้นก็เป็นพิธีปูเรียงสินสอดและตรวจนับพอเป็นพิธีให้ญาติผู้ใหญ่ได้รับทราบทั่วกันแล้วคุณดวงทิพย์ก็บอกให้บุตรชายไปพาตัวน้องสาวลงมาอันที่จริงแล้วหน้าที่นี้ควรจะเป็นมารดา แต่นางทราบดีว่าบุตรสาวรักและผูกพันกับคนเป็นพี่มากเพียงใด

เทียมภพเดินยิ้มค้างไปเคาะประตูเรียกน้องสาวนางฟ้าของเขาสวยสมราวเทพธิดาอัปสรสวรรค์ ความอิ่มเอมยามที่ได้เห็นรอยยิ้มเปี่ยมสุขก็ยิ่งทำให้นึกหวงแหนจนไม่อยากปล่อยไปจากอ้อมอก ภาพเด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ ที่คอยพันแข้งพันขากระเง้ากระงอดอ้อนอ้อนลอยซ้อนอยู่บนใบหน้างามลออเด็กผู้หญิงคนนั้นเจริญวัยเป็นสตรีสวยสะคราญ งามพร้อมไปด้วยรูปสมบัติและคุณสมบัติสมควรแก่การออกเรือนไปเป็นศรีภรรยาของบุรุษซึ่งเขายอมรับแล้วว่าคู่ควรเหมาะสมด้วยประการทั้งปวง

“พี่มารับแล้วครับ...เจ้าหญิงแทนดาว”

“น้องพลูตื่นเต้นมากเลยค่ะกลัวทำอะไรผิดอีก” เสียงใสติดประหม่าชัดเจนเทียมภพบีบมือเย็นเฉียบของน้องสาวแน่นแล้วปลอบประโลมอาการสั่นไหวด้วยการกดจมูกโด่งกับหน้าผากนูนแผ่วเบาเขาขอทำหน้าที่ให้สมบูรณ์จนวินาทีสุดท้ายก่อนที่จะส่งต่อหน้าที่นี้ให้อีกคนที่กำลังรออยู่ข้างล่างนั่น

“ทำใจให้สบายวันนี้เป็นวันสำคัญของหนู ไม่ต้องกังวลนะครับ...พี่จะอยู่ใกล้ ๆ”

แทนดาวยึดมือพี่ชายไว้มั่นแล้วค่อยๆ เดินไป มืออีกข้างจับสไบกรองเอาไว้แน่น รู้สึกว่าตัวเกร็งจนเมื่อยขบ พอเท้าเปล่าเปลือยสัมผัสบันไดขั้นสุดท้ายก็เกิดเสียงฮือฮาพร้อมกับเสียงกดชัตเตอร์จากช่างภาพแขกที่เฝ้าดูอยู่ต่างก็ยกโทรศัพท์ขึ้นบันทึกภาพเช่นกัน

สายตาคมวับดุจพญาเหยี่ยวทอประกายลึกล้ำยามมองร่างอรชรดุจกินรีเดินนวยนาดเข้ามาชลธีกระพริบตาไล่ความพร่ามัวที่บังเกิดอยู่เบื้องหน้าดังม่านหมอกภาพที่เห็นเบื้องหน้าคือเทพธิดาจุติหรือสาวน้อยแสนงอนที่เขารู้จัก ร่างสง่างามดุจหงส์ไม่ปานในชุดไทยถักทอวิจิตรตระการตาเกินคำพรรณนาความงามพิลาสของเจ้าสาวสะกดทุกการเคลื่อนไหว ฉับพลันบทชมโฉมนางบุษบาในวรรณคดีเรื่องอิเหนาก็ลอยผ่านมาในห้วงความคิด

พักตร์น้องละอองนวลเปล่งปลั่งดังดวงจันทร์วันเพ็งประไพศรี

อรชรอ้อนแอ้นทั้งอินทรีย์ ดังกินรีลงสรงคงคาลัย

“มิน่าเล่า...ไอ้จรกากับอิเหนาถึงทำศึกชิงนางกันวิหยาสะกำถึงกับสลบแค่ได้เห็นรูปวาดนางบุษบาคนนี้ เหมือนเวทิวุฒิ อชิตะ และเราที่เคยลงสนามรบ”

ชายหนุ่มรำพึงอยู่ในใจแล้วความหวงแหนก็วิ่งแล่นไปทั่วอกเมื่อสังเกตว่าหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่ชะเง้อชะแง้แลมองเจ้าสาวกันคอยาวเป็นยีราฟดังนั้นร่างสูงจึงรีบลุกพรวดพราดโดยไม่สนใจท่าทีตกอกตกใจของผู้หลักผู้ใหญ่ที่จู่ ๆเจ้าบ่าวก็ทะลึ่งตัวจนเกือบจะตวัดเอาพานแหวนล้มคว่ำ ร่างสูงสง่าก้าวเท้ายาว ๆ เข้าไปหาสองพี่น้องเทียมภพสบตาน้องเขยและพี่เขยอย่างนึกขันที่เก็บอาการไม่อยู่

“วิ่งหัวซุนมาเลยนะแก”

“ฉันมารับแทนดาวไปกันเถอะครับ...นางฟ้าของพี่” คำพูดหวานหูเรียกเสียงขันในคอเจือความพอใจจากเทียมภพแต่คนถูกชมกับมีอาการหายใจติดขัด พวงแก้มนวลออกชมพูเข้มขึ้นด้วยริ้วความเหนียมอาย เทียมภพยิ้มปลอบน้องก่อนส่งมือบอบบางให้น้องเขยน้ำเสียงและแววตาฉายความยินดีและใจหายไปพร้อมกัน

“ฝากหัวใจดวงนี้ไว้กับนายด้วยนะ...ดูแลให้ดี”

“ไม่ต้องห่วง...เพราะเธอก็คือดวงใจของฉันเหมือนกัน”

ชลธีรับมือนุ่มมากุมไว้ด้วยอาการถนอมประกายตาทอแสงอ่อนทอดมองเจ้าสาวไม่กระพริบ มืออีกข้างโอบประคองเอวบางพาเดินไปด้วยกันเทียมภพยืนน้ำตารื้นมองสองคนเดินห่างออกไป ใบหน้าหล่อเหล่าสำอางอาบไปด้วยความชื่นมื่นขณะมองมือน้อยๆ ของน้องสาวสุดที่รักถูกกำกระชับมั่นเป็นสัญลักษณ์ว่าคนที่กำลังจับจูงไปจะไม่มีวันปล่อยมือหล่อนตราบชั่วชีวิต

เสียงหวีดหวิวเป่าปากโห่ร้องดังมาจากกลุ่มเพื่อนทั้งสองฝ่ายที่เห็นอาการถนอมรักของเจ้าบ่าวชลธียิ้มแก้มปริแล้วค่อย ๆ ประคองร่างบางให้นั่งลงตรงกลางวง มืออุ่นยังคงกอบกุมมือเย็นชื้นไว้มั่นแทนดาวอยู่ในอาการขัดเขินเหลือกำลังจึงเอาแต่นั่งพับเพียบเรียบร้อย ก้มศีรษะน้อย ๆรอฟังเจ้าพิธีบอกขั้นตอนต่อไป

“ใจร้อนจังนะชล”ท่านอนันต์แซวเสียงดังเรียกเสียงหัวเราะครืน เจ้าสาวเลยยิ่งอายม้วนหน้าแดงเข้าไปอีก

พิธีการดำเนินต่อไปตามลำดับจนมาถึงตอนสวมแหวนเจ้าบ่าวหยิบแหวนทองประดับเพชรวงเดิมค่อย ๆ สวมลงบนนิ้วนางข้างซ้ายอีกครั้งแต่ครั้งนี้เป็นที่ประจักษ์ชัดต่อหน้าสักขีพยานนับสิบ เสียงปรบมือเกรียวกราวจากคนที่ชมพิธีอยู่ข้างในและที่นั่งดูถ่ายทอดสดอยู่ข้างนอกก็ดังขึ้นพร้อมกัน

“ในที่สุด...เวลาที่พี่รอคอยก็มาถึงวันนี้แหวนวงนี้เป็นตัวแทนความรักและซื่อสัตย์ ความมานะพากเพียรของคู่รักคู่หนึ่งผู้ซึ่งเป็นบุพการีที่ให้กำเนิดพี่มาน้องพลูครับ...ขอให้ความรักของเรามั่นคงเป็นนิรันดร์ดุจเพชรเม็ดนี้”

ใบหน้าคมคายเอียงกระซิบบอกให้ได้ยินกันสองคนจึงดูเหมือนเจ้าบ่าวกำลังบรรจงจูบแก้มเจ้าสาวกิริยานี้เรียกเสียงปรบมือได้อีกหน แทนดาวก้มกราบลงแทบตักกว้างด้วยหัวใจเปี่ยมความซาบซึ้ง

“ขอบคุณค่ะน้องพลูจะมั่นคงต่อความรักที่พี่ชลมอบให้ จะภักดีต่อสามีคนนี้ตราบชั่วชีวิต”ประโยคแรกที่ออกมาจากกลีบปากสีชมพูกุหลาบเรียกร้อยยิ้มพิมพ์ใจจากเจ้าของนัยน์ตาสีเหล็กจากนั้นจึงยกมือนุ่มขึ้นจุมพิต

ก่อนพิธีรดน้ำสังข์จะเป็นการเลี้ยงเพลพระสงฆ์จำนวนเก้ารูปแม้จะเข้าสู่พิธีสงฆ์แต่เจ้าภาพก็ยังไม่ละทิ้งความพิถีพิถัน เครื่องประเคนทั้งหลายแหล่จัดวางในขันโตกประดับใบตองอาหารและขนมจัดใส่ชุดถ้วยเบญจรงค์ พอตอนตักบาตรก็เกิดเสียงเชียร์จากญาติฝ่ายหญิงให้จับปลายทัพพีตามความเชื่อที่ว่าถ้ามือใครอยู่เหนือใคร คนนั้นก็จะอยู่เหนือกว่าอีกคน แต่มือแข็งแรงของชลธีกลับวางทับมือนุ่มนำจับทัพพีตักข้าวอย่างคล่องแคล่วแล้วบอกกับเจ้าสาวแสนสวยด้วยน้ำเสียงรื่นเริง

“จะไม่มีช้างเท้าหน้าช้างเท้าหลัง ไม่มีใครเหนือใคร แต่เราจะเดินไปพร้อมกันนะครับ”

จนกระทั่งจบพิธีสงฆ์รับศีลรับพรปิดท้ายด้วยพิธี‘ซัดน้ำ’ ตามขนบโบราณ ก็เป็นเวลาที่คู่บ่าวสาวจะได้เดินทักทายแขกเหรื่อ บรรยากาศหวานชื่นรายล้อมด้วยญาติมิตรและอาคันตุกะผู้ทรงเกียรติทั้งพ่อค้านักการเมืองมากันมืดฟ้ามัวดินจนสนามหญ้าขนาดใหญ่แลดูคับแคบไปโข วงมโหรีปี่พาทย์ขับกล่อมบทเพลงไพเราะรื่นหูสลับกับการแสดงร่ายรำนาฏศิลป์บ้างก็พักผ่อนอิริยาบถด้วยการเดินชิมอาหารคาวหวานที่หารับประทานยากแล้วในปัจจุบัน เจ้าบ่าวเจ้าสาวยังคงเดินยิ้มรื่นทักทายผู้มาร่วมงานทั้งไทยและเทศ แทบทุกคนออกปากชมคู่แต่งงานใหม่ว่าเหมาะสมและสง่างามถ้าใครสังเกตแต่แรกก็จะพบว่าเจ้าบ่าวยังไม่ยอมปล่อยมือเจ้าสาวเลยตั้งแต่เช้า จนผ่านไปพักใหญ่ทั้งคู่จึงมีเวลาเป็นอิสระ

“พี่ชลเคยกินขนมนี่ไหมคะ...สามเกลอเป็นขนมโบราณค่ะ หากินยากมาก” แทนดาวป้อนขนมที่ว่าให้ ชลธีเคี้ยวช้า ๆแสดงสีหน้าออกจะเฉย ๆ เพราะไม่ชอบกินขนมเป็นทุนเดิม

“เพิ่งเคยได้กินนี่แหละทำไมถึงเรียกสามเกลอล่ะ”

“ก็เวลาทอด ถ้ามันติดกันสามชิ้นแบบนี้แปลว่าคู่บ่าวสาวจะไม่แยกจากกันถ้าติดสองชิ้นเขาว่าจะมีลูกยาก ถ้าไม่เกาะกลุ่มกันเลยก็หมายความว่าจะอยู่ด้วยกันไม่ยืด”

“จะยากอะไรเวลาทอดก็เอาไม้จิ้มฟันยึดให้มันติดกันสิ” ชายหนุ่มหัวเราะ

“ส่วนนี่ก็โพรงแสม ทรงคล้ายเสาบ้านแต่น้องพลูกว่าก็เหมือนทองม้วนนั่นล่ะประมาณว่าขึ้นบ้านใหม่ไรงี้ ส่วนเจ้ากลม ๆ สีสดพวกนี้เรียกว่าขนมพระพายแปลว่าความรักเหนียวแน่นเหมือนแป้งข้าวเหนียวที่ใช้ปั้นไงคะ ส่วนนี่...เชื่อว่าพี่ชลไม่เคยได้ยินชื่อหรอกหันตรา...แปลว่าผู้หญิงคนนี้ถูกตีตราจองเอาไว้แล้ว”

“โห...พี่ไม่เคยได้ยินสักอย่างที่ธาราก็มีขนมไทยนะแต่ก็ไม่มีพวกนี้เลยถ้าเป็นพวกตระกูลทองทั้งหลายนี่ก็รู้จักอยู่บ้าง ถ้าตอนอยู่ใต้ก็รู้จักพวกขนมลา ขนมพอง ขนมบ้าเอาไว้ตอนไปตรังจะพาไปชิมร้านดั้งเดิม เปิดขายมาตั้งร้อยสิบห้าปีแน่ะ ตั้งแต่คุณตาทวดพี่ยังเด็กอยู่เลย”

“น้องพลูโชคดีที่เกิดเป็นหลานคุณย่าท่านได้วิชาถ่ายทอดมาจากในวัง เคยเป็นช่างหวานเก่าก่อนมาแต่งงานกับคุณปู่เมื่อก่อนน่ะ...น้องพลูเกลียดจะตายเวลาถูกใช้ให้ทำขนมพวกนี้ แต่วันนี้เพิ่งรู้ว่าทุกอย่างล้วนมีความหมายและยังหากินยากด้วยเอาไว้ตอนอยู่ที่...บ้านของเรา...น้องพลูจะทำให้พี่ชลกินบ่อย ๆ” หญิงสาวตาเป็นประกายเมื่อพูดคำว่า‘บ้านของเรา’ ชายหนุ่มยิ้มอบอุ่นแล้วรวบตัวเจ้าสาวมากอดอย่างสุดรัก

“เมื่อก่อนพอพูดถึงบ้านพี่จะคิดถึงแค่สถานที่พักผ่อนหลับนอน ชีวิตพี่มีแต่งานรัดตัวแต่จากนี้ไป...พอพูดถึงบ้าน พี่จะเห็นแต่ภาพน้องพลูนั่งเล่นเปียโนปลุกพี่ไปทำงานตอนเช้า ชงกาแฟดำให้ วุ่นวายทำขนมโบราณ ความสุขแบบนี้...เงินมหาศาลแค่ไหนก็ซื้อไม่ได้”

พิธีการดำเนินมาถึงขั้นตอนหลั่งน้ำพระพุทธมนต์ท่านรัฐมนตรีอนันต์เจิมหน้าผาก คุณเที่ยงธรรมกับคุณวารีคล้องมาลัยสองชายคุณลำเภาสวมมงคลแฝดบนศีรษะของทั้งคู่และเริ่มรดน้ำสังข์เป็นคนแรก

“จงร่วมครองรัก ครองเรือนกันด้วยความสุขร่มเย็น ราบรื่น มีชีวิตที่สมบูรณ์พูนสุขชั่วกาลนานมากมีด้วยสินทรัพย์ พรั่งพร้อมด้วยศฤงคาร ความทุกข์อย่าได้ใกล้ความไข้อย่าได้มีนะหลานย่า” แทนดาวกลั้นน้ำตาไม่อยู่เมื่อผู้เป็นย่าได้อำนวยพรให้ชลธีต้องหันมาปาดเช็ดน้ำตาจนเกิดภาพที่น่าประทับใจ

“จงสร้างครอบครัวเป็นปึกแผ่นมั่นคงเจริญด้วย ลาภ ยศ สรรเสริญ ขอให้รักกันมั่นคงดุจหินผา ยืนยาวดุจปลายฟ้า หวานชื่นปานน้ำผึ้งสวรรค์ลูกเต็มบ้านหลานเต็มเมือง” คุณวารีอวยพรให้บุตรชายและลูกสาวคนใหม่ จากนั้นพวกผู้ใหญ่ท่านอื่นและบรรดาอาคันตุกะก็มาต่อแถวรอรดน้ำกันยาวเหยียด

“วันนี้เป็นวันที่ดีในการเริ่มต้นชีวิตครอบครัวขอให้คุณชลกับน้องพลูครองคู่กันด้วยความรักยืนยงคงมั่นไปตลอดชั่วชีวิต น้องพลู...ใครที่อยู่ใกล้เราแล้วไม่รัก...คนนั้นหัวใจขึ้นสนิมแน่พี่ต้องขอบคุณน้องพลูที่นำพาความรักมาให้ อย่าจ้องผมแบบนั้นสิคุณชลที่พูดนี่หมายถึง...คนโน้น” อชิตะรีบดักคอเมื่อเห็นตาวาวโรจน์ของเจ้าบ่าวแล้วต่อมาก็พยักพเยิดไปทางแทนขวัญที่ถ่ายรูปอยู่ไม่ไกล

“อ้อ..ผมหวังว่าจะได้ยินข่าวดีเร็วๆ นี้นะครับ” ชลธีค่อยยิ้มได้สนิทใจหน่อย

“เดือนเก้าปีหน้า...บอกคุณก่อนเลยนะเนี่ย”

“จริงเหรอคะ? น้องพลูดีใจจัง”

“อย่าเอะอะไป...เจ้าตัวเขายังไม่รู้”หมอหนุ่มยกนิ้วแตะปากเป็นเชิงปรามว่าอย่างเพิ่งพูด

เทียมภพมารดน้ำเป็นคนท้ายๆ เพราะมัวติดคุยกับผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง ตอนรินน้ำรดฝ่ามือน้อง เจ้าตัวดันออกอาการตาแดงรื้นอย่างห้ามไม่ได้แม้จะพูดแค่ไม่กี่คำแต่ก็ยิ่งทำให้เจ้าสาวน้ำตาไหลไม่หยุดจนต้องปลอบกันอยู่นาน

“แทนดาว...พี่รักหนูนะวันนี้พี่มีความสุขมากที่เห็นหนูได้เป็นฝั่งเป็นฝา”

พอรดน้ำสังข์กันครบทุกคนแล้วก็เกิดการชิงดีชิงเด่นระหว่างเจ้าบ่าวเจ้าสาวกันอีกเมื่อตอนที่รดน้ำอยู่มีญาติคนหนึ่งมากระซิบข้างหูแทนดาวว่าให้ลุกขึ้นยืนก่อนตามเคล็ดที่ว่าใครลุกขึ้นก่อน...คนนั้นจะได้เป็นใหญ่ในบ้าน อีกคนจะอยู่ใต้อาณัติไปตลอดชีวิตแต่ชลธีรู้ทันรีบกดบ่าเจ้าสาวไว้ไม่ยอมให้ลุกก่อนแต่ค่อย ๆประคองตัวให้ลุกขึ้นพร้อมกัน

จบพิธีรดน้ำก็ถึงช่วงพิธีรับไหว้ผู้ใหญ่ซึ่งออกจะใช้เวลาสักหน่อยเนื่องจากญาติโกทั้งสองฝ่ายมากันครบองค์ทั้งสายยิ่งทางฝ่ายเจ้าบ่าวเรียกว่าขึ้นเครื่องบินเหมาลำกันมาเลยทีเดียวนอกจากนี้แล้วคุณกระสินธุ์ยังมีความประสงค์จะจัดเลี้ยงฉลองสมรสให้หลานชายและหลานสะใภ้ที่ตรังด้วยเพราะพื้นเพของเจ้าบ่าวเป็นคนที่โน่นและมีญาติพี่น้องอีกหลายคนที่ไม่สะดวกเดินทางมาในวันนี้

“ถ้าประจิมยังอยู่คงจะดีใจมากชล...เธอเหมือนพ่อจริง ๆ รักแทนดาวให้เหมือนกับที่พ่อเธอรักแม่ลุงกับประจิมนอนวัดมาด้วยกัน มันสู้จนฝ่าด่านหินอย่างตาของมาเธอได้เธอต้องรักษาความรักนี้เอาไว้ให้ดีนะ” ท่านอนันต์รับไหว้แล้วให้พร

“ครับท่าน”

เจ้าสาวน้ำตารื้นอีกครั้งตอนก้มกราบบุพการีความโหยหาอาลัยยิ่งเกาะกินหัวใจ ตั้งแต่เล็กจนโตไม่เคยออกจากอกพ่อแม่ ไม่รู้ว่าวันข้างหน้าจะเป็นเช่นไรจากนั้นก็หันไปไหว้พี่ชายกับพี่สาว ฝ่ายแรกยังไม่พูดอะไรเพราะตื้นตันจนคิดคำพูดดี ๆไม่ออก ส่วนปลายเดือนก็ให้โอวาทสั้น ๆ

“สามีภรรยาก็เหมือนลิ้นกับฟัน ถ้าสองอย่างทำงานไม่ประสานกันก็อาจขบลิ้นตัวเองให้เป็นแผลจงใช้สติในการแก้ปัญหาโดยคิดเสมอว่าเราพึ่งรักกัน เติมความรักให้กันอย่างสม่ำเสมอ ผึ้งฝากน้องสาวด้วยนะคะ...คุณชล”ปลายเดือนหันมาฝากฝังกับเจ้าบ่าวแล้วส่งกล่องผ้าไหมสีแดงให้น้องข้างในเป็นเครื่องประดับมรกตทั้งชุด ประกอบด้วยสร้อยกับต่างหูสีเขียวใส

“พี่รู้มาว่าคุณอาวารีเคยให้กำไลมรกตเราพี่เลยไปสั่งทำเพิ่มจะได้เข้าชุดกัน” ปลายเดือนลูบศีรษะน้องเบา ๆ แทนดาวกราบตักพี่สาวด้วยความซาบซึ้ง

“ไม่น่าเชื่อเลยนะเนี่ย...เมื่อวันก่อนยังวิ่งเปียแกว่งอยู่เลยวันนี้ได้เป็นเจ้าสาว คุณชลต้องทำใจนะ...น้องสาวผมทั้งดื้อ เอาแต่ใจแต่...เอาไปแล้วต้องเลี้ยงดูให้ดีถ้าวันไหนยัยพลูวิ่งโร่ร้องไห้มาฟ้องพวกผม...คุณโดนเล่นงานแน่ ๆพวกเราจะคอยจับตาดู” วิบูลกิจหรือเฮียเบิ้มพี่คนโตของตระกูล บ. ขู่เสียงดังพี่น้องอีกสามคนพยักหน้ารับเป็นลูกคู่

“พวกเฮียรักเรามากนะน้องพลูขอให้มีแต่ความสุข มั่งคั่ง แล้วก็มีเจ้าตัวเล็กมาเป็นเพื่อนเล่นหนูบัว หนูบุษไว ๆล่ะ” บุรนันท์อวยพร ทั้งสองไหว้พร้อมกับรับของขวัญจากเฮียทั้งสี่เป็นหงส์คู่ทำจากทองคำแทนดาวสวมกอดพี่ชายต่างสายเลือดทั้งสี่คนด้วยความรักและตื้นตันจากนั้นก็เหลือพี่ชายแท้ ๆ อีกเพียงคนเดียวที่ยังไม่ได้รับไหว้

“ฉันไม่รู้จะให้อะไรแกนะของมีค่าที่สุดในชีวิตก็ยกให้ไปแล้ว ถ้าจะมีของที่อยากให้ล่ะก็...คงเป็นไอ้นี่...”เทียมภพยื่นอะไรบางอย่างให้น้องเขย ชลธีกวาดตาอ่านอย่างรวดเร็ว

“เฮ้ย...ฉันคืนแกไปแล้วเงินก็ได้คืนหมดแล้ว แกจะมาให้ฉันอีกทำไม”

“ยัยพลูมีสิทธิ์ในทวีกิจอยู่แล้วในฐานะทายาทโดยชอบธรรมแต่แกก็เห็นว่าน้องฉันไม่มีหัวทางนี้ ถือว่าช่วยกันทำมาหากินก็แล้วกันทวีกิจ...ต้องการแก” เทียมภพสบตาเพื่อนแน่วแน่

“ได้...เพื่อน้องพลูฉันจะรักษาส่วนนี้ไว้แล้วทำให้มันงอกงาม”

ช่วงบ่ายแก่เจ้าบ่าวกับเจ้าสาวก็เดินทางไปยังโรงแรมเพื่อร่วมงานเลี้ยงรับรอง ทางเข้าด้านหน้าติดภาพแต่งงานของทั้งคู่ จอโทรทัศน์หลังเคาท์เตอร์ประชาสัมพันธ์ก็เปิดภาพพรีเว้ดดิ้งของบ่าวสาวเช่นเดียวกันพอเข้ามาในห้องจัดเลี้ยง พนักงานพร้อมใจกันยืนตั้งแถวปรบมือต้อนรับเกรียวกราว บนเวทีกว้างมีนักดนตรีจากวงสยาม ออร์เคสตร้ากำลังเล่นเพลงรักหวานซึ้งจนแทนดาวยิ้มแก้มแทบปริที่เห็นเพื่อนร่วมวง รอบห้องบอลรูมขนาดใหญ่ประดับตกแต่งด้วยโทนสีชมพูน่ารักเอาใจเจ้าสาวบนเพดานเขวนรูปดาวหลากขนาดห้อยเล่นระดับสูงต่ำกันไป มีคือช็อคโกแลตทำเป็นรูปดอกไม้ปักแซมกับดอกไม้จริง

“นี่พี่ไม่ได้สั่งนะทีมออแกไนเซอร์เขาเซอร์ไพรส์ให้พี่เอง เชฟห้องขนมรู้ว่าน้องพลูชอบช็อคโกแลตก็เลยจัดให้”ชายหนุ่มบอกเจ้าสาวที่ออกอาการตื่นเต้นละลานตากับบรรยากาศ จากนั้นก็พาไปนั่งบนโซฟาที่จัดไว้มีนายทะเบียนรออยู่พร้อมแล้ว

“ได้ฤกษ์สมควรแล้วเชิญคุณชลธีกับคุณแทนดาวจดทะเบียนสมรสกันได้แล้วครับ”

ชลธีพยักหน้าแล้วเซ็นชื่อลงไปโดยไม่ลังเลจังหวะนี้เกิดแสงแฟลชวูบวาบจากช่างภาพสื่อมวลชลที่ได้รับอนุญาตให้เข้ามาทำข่าวพอชายหนุ่มส่งปากกาให้ แทนดาวก็มองหาพี่ชายอย่างขอความเห็นเทียมภพยิ้มให้น้องสาวอย่างอ่อนโยนแล้วพยักหน้าเบา ๆเพียงแค่นั้นแทนดาวก็รู้สึกมั่นใจที่จะเซ็นชื่อลงไป

“แทนดาว ธาราพิศุทธิ์น้องพลูเป็นภรรยาของพี่อย่างถูกต้องตามประเพณีและกฎหมายแล้วนะครับยินดีต้อนรับสู่อาณาจักรของธารา...สู่บ้านของเรา” สองคนสบตากันนิ่งนานแทนดาวรู้สึกดีใจและภูมิใจอยู่ลึก ๆ ต่อไปนี้หล่อนคือนางแทนดาว ธาราพิสุทธิ์ภรรยาของชลธี ธาราพิสุทธิ์โดยสมบูรณ์ทุกประการ

เสียงปรบมือดังก้องไปทั่วห้องทั้งสองยกทะเบียนสมรสให้ถ่ายรูป ชลธีจับมือข้างซ้ายของเจ้าสาวโชว์แหวนแต่งงาน จากนั้นบรรดาสื่อจากสำนักข่าวๆ ต่างก็มารุมล้อมถ่ายรูปและสัมภาษณ์ แทนดาวไม่รู้ว่าพูดอะไรไปบ้าง ได้แต่รอจังหวะตอบ‘ค่ะ ค่ะ’เพราะไม่ค่อยถนัดออกสื่อปล่อยให้ฝ่ายชายเป็นคนตอบเสียมากกว่า

“คุณชลเจอเจ้าสาวที่ไหนเมื่อไหร่กันคะ ได้ข่าวว่าคุณเทียมภพกีดกันอยู่นานกว่าจะยอมให้แต่งไม่ใช่เหรอคะ”

“ตอบข้อแรกก่อนนะครับ จริง ๆแล้วผมเจอแทนดาวตั้งแต่ยังแบเบาะ แหม...ฟังดูเลี้ยงต้อยยังไงก็ไม่รู้ผมกับพี่ชายแทนดาวเป็นเพื่อนกันก็เลยได้เจอกันส่วนไอ้ที่ว่าถูกกีดกันเนี่ย...ก็เป็นธรรมดาที่พี่ชายเขาจะหวงน้องมาก ผมก็หวงน้องนะ...ยังยอมรับเทียมภพเป็นน้องเขยได้เลยลูกสองแล้วนั่นไง”

งานเลี้ยงกระชับแต่เต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งความรักและความอบอุ่นผูกพันผู้ร่วมงานส่วนใหญ่เป็นพนักงานของธารากับทวีกิจและญาติ ๆ ของสองฝ่าย เจ้าบ่าวกับเจ้าสาวยังคงแช่มชื่นไม่มีเหนื่อยยิ่งเจ้าบ่าวนี่ยิ้มจนแก้มจะแตกเพราะเดินไปทางไหนก็มีแต่คนชื่นชมเจ้าสาวของเขาพอได้อยู่กันสองคนก็อดไม่ได้ที่จะแสดงความรักฉันสามีภรรยาหมาด

“น้องพลูสวยจัง...เหมือนนางละครเลยใคร ๆ ก็อิจฉาพี่กันทั้งนั้น...รู้ไหม” ปลายนิ้วอุ่นเชยคางมนขึ้นมาจุมพิตแล้วระเรื่อยไปที่พวงแก้มจนมาหยุดชิดตรงริมฝีปาก

“วันนี้พี่ยังไม่ได้จูบเจ้าสาวคนสวยเลยนะ”

“ก็เมื่อกี้ไงคะ”

“ไม่ใช่แบบนั้น..แบบนี้ต่างหากล่ะ”หน้าคมเข้มก้มลงมาใกล้หมายจะมอบจุมพิตแสนหวาน แต่เสียงเล็ก ๆ ตะโกนร้องห้ามมาแต่ไกลพร้อมกับร่างน้อยๆ ของเด็กชายภาพฟ้าวิ่งตึกตักเข้ามาเกาะขาคุณลุง ชลธีอุ้มหลานน้อยขึ้นมา

“อย่าจับอาปู”เด็กชายตีมือคุณลุงแปะ ๆ

“นี่...ลุงกับอาพลูแต่งงานกันแล้วนะเจ้าปูนแล้วอีกหน่อยก็ต้องมีน้องให้เรา เอาไว้รอหวงน้องโน่น...ไม่ใช่มาหวงอา”

“ไม่เอาน้อง อาปูเป็นของปูน”เด็กชายทำเสียงไม่พอใจแล้วก็ทำท่าโผจะไปหาคุณอาสาวสวยแต่ชุดที่สวมใส่ทำให้ไม่สะดวกที่จะอุ้มหลานเพราะเครื่องทรงที่เป็นโลหะต่างๆ อาจจะไปโดนเนื้อบาง ๆ ได้

“ปูนแดงอย่าดื้อนะครับมาหาคุณแม่เดี๋ยวนี้”

“ไม่ ! จะหาอาปู” เด็กน้อยเริ่มโยเย

“มานี่เลยไอ้ยุ่งอาพลูไม่ใช่ของเราแล้วนะ โน่น...ของลุงชลเขานะ” เทียมภพรับตัวบุตรชายที่ยังดีดดิ้นมากอดไว้ภาพนี้เรียกเสียงหัวเราะเอ็นดูจากทุกคน

“อาพลูรักปูนแดง ยาฉุน หนูบัวหนูบุษ มากกว่าใครในโลก มากกว่าลุงชลอีกนะ...อย่าอิจฉาลุงชลเลยนะครับ” แทนดาวปลอบหลานที่ยังดิ้นทุรนทุรายจะมาหาให้ได้

“เจ้านี่...ถ้ามันมีน้องผู้หญิงคงหวงมากเหมือนที่แกหวงน้องพลูแหง”ชลธีว่า

“มันคือสิ่งที่เจ้าปูนต้องทำ...ถ้ามันมีน้องสาว”เขาหันไปพูดกับภรรยาที่อมยิ้มกับความนัยที่แฝงในประโยค

“อีกประเดี๋ยวแฟงคงกลับพร้อมคุณผึ้งนะคะคงไม่ได้ไปส่งตัว ทิ้งหนูบัว หนูบุษ ยาฉุนไว้กับพี่เลี้ยง แฟงขอให้มีความสุขสดชื่นในชีวิตรักกันทั้งคู่นะคะ”รมย์นลินถือโอกาสอวยพรพี่ชายและลูกศิษย์สาวที่ตอนนี้กลายมาเป็นพี่สะใภ้

“ขอบคุณนะคะพี่แฟงงานนี้เป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาได้...ส่วนหนึ่งก็เพราะพี่แฟงนะคะว่าแต่...เราจะลำดับญาติกันยังไงดี น้องพลูมีศักดิ์เป็นพี่สะใภ้ส่วนพี่แฟงก็เป็นพี่สะใภ้เหมือนกัน แล้วพี่หมากกับพี่ชลใครเป็นพี่เขยหรือน้องเขยกันแน่คะ” ทุกคนต่างใช้ความคิดกับคำถามนี้การลำดับญาติอาจจะสับสนเล็กน้อยในความสัมพันธ์ที่ซับซ้อน

“ไม่มีปัญหาไอ้ชลมันแก่กว่าพี่สามเดือน พี่จะยอมให้มันเป็นพี่เขยแต่ลูกของน้องพลูต้องเรียกพี่ว่าลุงนะ เพราะพี่เป็น

พี่ชายเรา”ทุกคนพยักหน้าหงึกหงักไม่รู้ว่าเข้าใจน้อยหรือมาก แต่ไม่ว่าจะเรียกอย่างไร ความรักความผูกพันในสายใยก็ยังคงเหนียวแน่นเช่นเดิม

เมื่อถึงฤกษ์ส่งตัวเจ้าบ่าวกับเจ้าสาวก็ถูกจับแยกกันคุณวารีพาลูกสะใภ้ไปกราบพระพุทธรูปเพื่อความเป็นสิริมงคลก่อนแล้วจึงพาไปยังห้องหอซึ่งเป็นห้องนอนเดิมของชลธีแต่ได้รับการตกแต่งและเปลี่ยนเฟอร์นิเจอร์ใหม่ทั้งหมดทั้งคู่นั่งพับเพียบเรียบร้อยอยู่ปลายเตียง คุณหลีกับคุณธงช่วยกันปูที่หลับที่นอนตามเคล็ดที่ว่าคนปูเตียงต้องเป็นคู่สามีภรรยาที่มีชีวิตครอบครัวอบอุ่นสมบูรณ์ ไม่มีเรื่องทะเลาะเบาะแว้งกันมีเกียรติเป็นที่นับหน้าถือตาและมีบุตรที่ดีมีสัมมาชีพ ทั้งสองท่านจัดวางข้าวของประกอบพิธีทั้งห้าชนิดลงบนที่นอนแล้วก็นอนลงบนเตียงพร้อมกับพูดแต่เรื่องมงคล

“ป๊าเอ๊ย...เมื่อกี้ม๊าฝันว่าเห็นลูกเต็มบ้านหลานเต็มเมือง ข้าทาสบริวารรายล้อม”

“ป๊าก็ฝันเห็นเงินทองกองอยู่หน้าบ้านเต็มไปหมดข้าวเต็มยุ้ง น้ำเต็มโอ่ง”

จากนั้นก็ฟังผู้ใหญ่ให้โอวาท เริ่มด้วยคุณเที่ยงธรรมที่ให้โอวาทบุตรสาวโดยให้หลักธรรมเดียวกับที่บิดาของนางวิสาขาให้โอวาทบุตรสาวในวันวิวาห์คุณดวงทิพย์ก็ฝากฝังลูกสาวคนเล็กให้ช่วยดูแลและสั่งสอนถึงหน้าที่ภรรยาที่ดีคุณวารีดูจะปลื้มอกปลื้มใจกว่าใครที่ได้สะใภ้เล็กสมใจนึก แถมยังออกอาการ ‘ลำเอียง’ ไปทางลูกสาวคนใหม่มากกว่า

“จงรักทะนุถนอมรักษาน้ำใจกัน เสียสละซึ่งกันและกัน ชล...น้องยังเด็กกว่าลูกมาก ลูกต้องใจเย็น ต้องยกอำนาจให้เธอเป็นแม่บ้านที่ลูกจะต้องเกรงใจและไว้วางใจว่าจะดูแลทุกอย่างในบ้านให้เรียบร้อยดีแต่น้องเป็นเมียไม่ใช่ทาสนะ เพราะฉะนั้นอย่ากดขี่ให้อยู่แต่ในครัวห้ามพูดจาใส่อารมณ์กับน้อง ต้องเอาใจและตามใจเมื่อสมควร”

“คุณแม่กำลังจะบอกผมว่ารักชีวิต...อย่าคิดเถียงเมีย ใช่ไหมครับ” คำพูดของเขาเรียกเสียงขำขันจากทุกคนในห้องคุณวารีแอบค้อนลูกชาย พอพวกผู้ใหญ่หมดหน้าที่ของตนแล้วก็ทยอยกันออกไปจากห้องคงเหลือแต่เทียมภพที่อยู่รอเป็นคนสุดท้าย ชายหนุ่มมีสีหน้าอ่อนโยน นัยน์ตาวิบวับไปด้วยรอยปรีติ

“ไอ้ชล...เราเป็นเพื่อนกันมาร่วมยี่สิบปีเป็นคู่กัดกันมาร่วมสิบปี ต่อจากนี้เราต้องเป็นญาติกันตลอดไป น้องพลู...แต่นี้ไปพี่ไม่มีสิทธิ์ใดๆ ในตัวหนูอีกแล้ว พี่จะไม่ใช่คนที่คอยปกป้องดูแลเราอีกต่อไป หนทางข้างหน้าจะมีชลธีเป็นคนนำทางชีวิตของหนูจงยึดคำสั่งสอนที่พี่ได้ให้ไว้นำไปปฏิบัติให้เกิดผล เชื่อพี่เถอะนะว่า...หนูเป็นผู้หญิงที่โชคดีที่สุดในโลกจริงๆ”

เสียงกลั้นสะอื้นมาพร้อมไหล่บางสั่นเทาขณะกราบลงบนตักอุ่นของพี่ชายเทียมภพช้อนประคองใบหน้าแดงปลั่งขึ้นมาจูบหน้าผากและแก้มทั้งสองข้างอย่างอ่อนโยนเช่นวันวาน

“ขอบใจนะหมาก...ที่ยอมให้ฉันได้ดูแลผู้หญิงคนนี้ขอบใจที่เลี้ยงดูประคบประหงมเธอมาอย่างดี ฉันจะทำหน้าที่ทุกอย่างแทนนายพร้อม ๆกับทำหน้าที่ของสามีที่ดี ฉันไม่รับปากว่าจะทำให้เธอมีความสุขมากที่สุดได้แค่ไหนแต่สิ่งที่รับปากได้คือ...จะไม่มีวันปล่อยมือเธอ” สองหนุ่มสวมกอดกันต่างฝ่ายต่างตบบ่ากันเบา ๆ อย่างให้คำมั่นสัญญา

“พี่หมาก...”

แทนดาวร้องหาพี่ชายที่กำลังจะเดินออกไปจากห้องด้วยความอาลัยเกิดความกลัวบางอย่างขึ้นในใจเฉียบพลัน แต่เมื่อพี่ชายหันมายิ้มอบอุ่นให้อย่างเคยความกังวลต่าง ๆ จึงค่อย ๆ จางไปพร้อมกับประตูห้องที่งับปิดลง หญิงสาวหันมามองหน้าเจ้าบ่าวสดๆ ของตนด้วยสายตาหวาดหวั่น ไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นพูดกับเขาอย่างไร ซึ่งชลธีพอจะอ่านอากัปกิริยานี้ออกจึงค่อยๆ ประคองร่างบางขึ้นมานั่งบนเตียงที่ปูไปด้วยกลีบดอกไม้และธนบัตรที่ผู้ใหญ่โปรยไว้สองมือโอบบ่าให้เข้ามาแนบใจแต่สักเดี๋ยวร่างน้อยก็ขืนตัวออกแล้วลงไปนั่งพับเพียบบนพื้นอย่างเดิมแล้วปลดมาลัยกลมออกจากข้อมือเขาจำได้ว่าแทนขวัญเป็นคนนำมาให้ก่อนออกมานี่เอง

“เมื่อคืนก่อนไปกราบลาคุณย่าท่านก็เลยถือโอกาสอบรมสั่งสอนเรื่อง...การเป็นแม่ศรีเรือน” หญิงสาวกระเถิบกายเข้าไปใกล้อีก

“มีอยู่ตอนหนึ่งที่ท่านกำชับน้องพลูให้ทำในคืนวันส่งตัวนั่นคือร้อยมาลัยพวงนี้มาให้พี่ชล น้องพลูขอฝากเนื้อฝากตัวและฝากชีวิต ถ้าบางครั้งทำผิดไปหรือทำหน้าที่บกพร่องไปบ้าง...ก็ขอให้พี่ชลอภัยและช่วยกล่อมเกลาในสิ่งที่ถูกที่ควรน้องพลูขอยึดเอาพี่ชลเป็นที่พึ่งทั้งทางกายและใจ เป็นที่ปรึกษาและเป็นผู้นำน้องพลูจะเป็นศรีภรรยาที่ซื่อสัตย์และรักสนิทแนบแน่นต่อสามีเพียงคนเดียว”

สองมือน้อยก้มกราบหน้าตักกว้างชลธีรับมาลัยน้อยไว้ด้วยอารมณ์ละมุนละไมแล้วลูบหลังไหล่ของภรรยาด้วยหัวใจรักลึกซึ้งเกินคำบรรยายจากนั้นจึงประคองร่างอรชรให้ขึ้นมานั่งเคียงข้างกันอย่างเดิม ความงามละเมียดอ่อนช้อยทั้งรูปโฉมและกิริยายิ่งเกาะเกี่ยวหัวใจของชายหนุ่มมิให้หนีไปไหนได้สองแขนแกร่งโอบกอดหญิงสาวไว้แทนความในใจว่าจะรักและปกป้องคุ้มครองตลอดไป

“ชีวิตของพี่นับจากนี้จะมีแต่ศรีภรรยาที่ชื่อแทนดาวน้องพลูจะเป็นทั้งแม่ศรีเรือน เป็นขวัญและกำลังใจ เป็นบ้าน เป็นความรักสุดท้ายเราจะรักกันจนแก่เฒ่า เมื่อลูก ๆ ของเราเติบโตขึ้นภูเคียงดาวจะเป็นที่พักพิงสุดท้ายของเรา”

ในความอบอวลของกลิ่นอายแห่งรักสองจ้องตากันลึกซึ้ง ชายหนุ่มค่อย ๆ ถอดมาลัยสองชายที่คล้องคอออกแล้วเชยคางมนขึ้นมาสบตาใบหน้างดงามหมดจดเอียงอายเพราะจินตนาการออกเลยว่า ค่ำคืนแรกในวันวิวาห์จะเป็นเช่นไรจะเหมือนในนิยายที่เคยอ่านหรือไม่

“ชุดของน้องพลูเครื่องเยอะจัง...เดี๋ยวพี่จะช่วยถอดให้นะ”

คนฟังขนลุกเกรียวเมื่อมือหนาปลดเปลื้องเครื่องประดับทับทรวงออกจนหมดพอจะช่วยถอดอาภรณ์สไบกรองและผ้านุ่ง หญิงสาวก็รีบบ่ายเบี่ยงเพราะความเขินขัดเต็มทีแต่เจ้าบ่าวมือไวกว่ารวบตัวเจ้าสาวหมาด ๆ มานั่งตัก ปลายจมูกโด่งกดลงบนไหล่เปลือยแล้วสูดเอาความหอมจากเรือนกายเข้าปอดเต็มเฮือก

“จะไปไหนล่ะครับ...ยังถอดไม่เสร็จเลย”น้ำเสียงแหบต่ำสร้างความรัญจวนให้คนฟัง แทนดาวขยับยุกยิกให้หลุดจากพันธนาการ

“น้องพลูจัดการตัวเองได้ค่ะพี่ชลไปอาบน้ำก่อนเถอะค่ะ”

“อยู่นิ่ง ๆ ก่อน”เขาเอ็ดเสียงต่ำแล้วเริ่มแกะเข็มกลัดที่ตรึงผ้าตามจุดต่าง ๆ ออก นัยน์ตาสีเหล็กทอดมองดูเจ้าสาวโฉมงามล้ำดังนางละครเอวองค์สมส่วนดุจกินรีดังบทกลอนพรรณนาเอาไว้ แทนดาวกอดผ้าไว้แน่นกลัวมันจะหลุดเลื่อนไปถึงแม้ว่าจะสวมทั้งชุดชั้นในและเสื้อเกาะอกสีเนื้อแต่ก็ยังไม่กล้า หัวใจดวงน้อยสั่นระรัวเพราะความตื่นเต้นและกลัวในสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น

“กลัวอะไรครับน้องพลู เราแต่งงานกันแล้วนะพี่อดทนรอมาสี่ปีเพื่อให้ค่ำคืนนี้มีความหมายอย่างที่น้องพลูเคยบอกไง”เขาทวงสัญญากลาย ๆ แต่สาวเจ้ายังอิดเอื้อน

“งั้นขอไปอาบน้ำก่อนได้ไหมคะ เหนียวตัวจะแย่แล้ว”

“พี่อาบก่อนก็แล้วกัน...ไม่นานหรอก”เขาพิศวงหน้าที่เต็มไปด้วยความตระหนกก่อนจะจุ๊บแก้มนุ่มอย่างเข้าอกเข้าใจแล้วลุกออกไปหล่อนยังต้องการเวลาและเขาก็พร้อมที่จะให้ จะไม่มีวันที่จะข่มเหงรังแกแม้ว่าจะเข้าพิธีแต่งงานกันแล้วเรื่องแบบนี้ต้องค่อยเป็นค่อยไป

ดูเหมือนว่าเจ้าสาวจงใจใช้เวลาในการอาบน้ำทำลายสถิติโลกพอออกมาก็พบว่าเจ้าบ่าวนอนนิ่งสนิท แทนดาวถอนใจโล่งอกแล้วก้าวเร็ว ๆไปปิดไฟกลางห้องเหลือเพียงไฟหน้าโต๊ะเครื่องแป้งพอมองเห็นหญิงสาวจัดการรวบรวมบรรดาเครื่องทองที่ถอดกองไว้ไปเก็บในตู้เซฟรวมกับของสินสอดอื่นๆ จากนั้นก็ย่องเงียบกริบขึ้นมานอนเคียงข้างเจ้าบ่าวโดยไม่ลืมหยิบเจ้าเปื่อยตุ๊กตาเน่าคู่ใจมากอดคืนแรกของการร่วมห้องกับเพศตรงข้ามชวนให้ข่มตาหลับยากนัก เลยพลิกตัวหันไปมองคนข้างๆ ในความลางเลือนยังพอมองเห็นซีกหน้าคมสันและจมูกโด่งดุจเจ้าชายแขกปลายนิ้วเรียวอดไม่ได้ที่จะเอื้อมไปแตะผิวเนียนละเอียดสีทองแดง

“ใช้โฟมล้างหน้ายี่ห้ออะไรนะ....ผิวเนียนจังอยู่ในที่มืดยังหล่อเลย นี่มัน...อิมราน อับบาสชัด ๆ” หญิงสาวพูดเบา ๆขณะที่ปลายนิ้วก็ไล้แก้มและจมูกโด่งเรียวไปมา และในวินาทีนั้นเอง ร่างที่กำลังหลับนิ่งก็คว้าเอามือนั้นแล้วจับตัวพลิกกอดในท่าตะแคงข้าง

“จะลักหลับพี่หรือไง”

“เปล่านะคะ...น้องพลูแค่จะดูว่าอะไรติดหน้าพี่ชล”

“ฮึ...แถสีข้างถลอกเลยนะครับ”จมูกโด่งกดลงบนแก้มเนียนอย่างมันเขี้ยว คนถูกจับได้รีบหลับตาแน่นตัวแข็งทื่อไม่กล้ากระดุกกระดิก

“ไม่ต้องเกร็งขนาดนี้ก็ได้พี่...จะให้เวลาน้องพลู”

“พี่ชลพูดจริงเหรอคะ”ร่างเกร็งรีบพลิกตัวกลับมาประสานตากับคนพูด

“จริงสิคะพี่เข้าใจว่าน้องพลูยังต้องการเวลาอีกสักนิดหน่อยในการเตรียมตัวเตรียมใจพี่รอเรามาได้ตั้งสี่ปี...รออีกสามสี่วันจะเป็นไรไป”

“หือ...สามสี่วันเองเหรอคะ”

“ใช่...เสร็จงานเลี้ยงที่ภูเคียงดาวเมื่อไหร่...ก็เมื่อนั้น”

“รอกลับจากตรังไม่ได้เหรอคะ”

“ไม่ได้ค่ะ...นานไปพี่จะขาดใจตายเสียก่อน ห้ามต่อรองอะไรอีกแล้วแล้วก็นอนซะ..พรุ่งเช้าจะได้ลงไปใส่บาตรกัน”ชลธียื่นคำขาดแล้วดึงเจ้าเปื่อยเหวี่ยงไปทางปลายเตียง หญิงสาวทำเสียงไม่พอใจ

“อือ...เจ้าเปื่อย”

“นี่...แต่งงานแล้วก็กอดสามีสิคะจะไปกอดตุ๊กตาทำไม” เขาเอ็ดเบา ๆ แล้วจับแขนเรียวมาพาดลำตัว แทนดาวไม่กล้า

ขัดขืนอีกศีรษะเล็กหนุนเกยซอกไหล่พร้อมกับรัดเอวหนาแน่นขึ้นจนได้รับไออุ่นจากอ้อมอกที่จะปกป้องดูแลตลอดไป

เช้าแรกของชีวิตคู่ดูวุ่นวายพอดูสำหรับแม่บ้านมือใหม่ถึงแม้ว่าคุณวารีจะเอ่ยปากว่าไม่ต้องทำอะไรแต่ลูกสะใภ้ก็อดไม่ได้ที่จะจับงานโน่นนี่โดยเฉพาะอย่างยิ่งการปรนนิบัติดูแลสามีไม่ให้ขาดตกบกพร่องตามโอวาทของคุณแม่เริ่มด้วยการตระเตรียมเสื้อผ้าให้ตอนเช้า จากนั้นก็รีบลงมาจัดการอาหารการกินโดยเป็นลูกมือช่วยแม่สามีทำข้าวต้มพอคุณผู้ชายลงมานั่งประจำที่ก็จัดแจงเสิร์ฟกาแฟดำกับขนมปังปิ้ง

“วันนี้มีข้าวต้มกุ้งค่ะน้องพลูปรุงเองเลยนะ”

“กินได้หรือเปล่า” ชายหนุ่มมองข้าวต้มหน้าตาน่ากินแล้วแกล้งถามออกไป

“ไม่เบิ้ลสองชามให้เหยียบเลย” คนพูดทำหน้าง้ำส่วนคนฟังหัวเราะร่วน

“มานี่ซิ...มอร์นิ่งคิสกันก่อนค่ะ”เขาเกี่ยวเอวภรรยามานั่งตักแล้วแตะริมฝีปากกับกลีบปากบางแผ่วเบาหญิงสาวยังคงมีท่าทีเอียงอายอยู่นั่นเอง

“กฎของบ้านนี้หนึ่ง...เช้ามาจะต้องมอร์นิ่งคิสกับแบบนี้ สอง...คิส คิส กันระหว่างวันสาม...กู้ดไนท์คิสกันก่อนนอน กฎนี้จะต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัดเข้าใจไหมครับ...คุณผู้หญิง”

“กฎอะไร...เอาเปรียบกันชัด ๆ”

“ถ้าไม่ปฏิบัติตามจะถูกจับปรับและลงโทษโดยการขังไว้ในห้องนอน และ...” คนขู่ทำตาพราว

“หยุดนะ...ไม่ต้องพูดเลยกินข้าวได้แล้วค่ะ เดี๋ยวก็เย็นหมดหรอก” หญิงสาวขืนตัวออกจากอ้อมกอดมานั่งข้าง ๆ พอจะจับช้อนตักข้าวก็ยังไม่วายถูกกวน

“ป้อนหน่อยสิครับ”

“เรื่องเยอะจริง...คุณผู้ชายคนนี้”คนตัวเล็กบ่นแต่ก็ยอมทำตาม

“ตอนนี้ยังอยู่กันสองคนต้องอ้อนเมียเอาไว้มากๆ เพราะอีกหน่อยพอมีเจ้าตัวเล็กแล้วคงอ้อนแบบนี้ไม่ได้ ลูกแย่งเวลาไปหมด”นัยน์ตาสีเหล็กเจือไปด้วยความสุขเมื่อพูดถึงลูกจนคนฟังอดยิ้มตามไม่ได้

หลังอาหารเช้า สองสามีภรรยาก็ช่วยกันแกะห่อของขวัญมากมายก่ายกองจากเพื่อนฝูงญาติมิตร ส่วนใหญ่ก็จะเป็นของขวัญที่มีความหมายมงคลกับชีวิตคู่แทนขวัญให้รูปถ่ายอัดกรอบสีชมพู ในภาพชลธีกำลังบรรจงจูบแก้มแทนดาวในวันแต่งงานของเทียมภพนั่นเอง

“น่ารักดีนะคะ...น้องพลูจะเอาไปไว้ที่บ้านภูเคียงดาว”หญิงสาววางกรอบรูปรวมกับของชิ้นอื่นที่แยกไว้รอขนไปบ้านที่เขาค้อ ส่วนกล่องสุดท้ายเป็นของปาลิดาพอแกะออกมาชลธีก็ถึงกับหัวเราะลั่นส่วนแทนดาวหน้าแดงเป็นลูกตำลึงสุก

“ลูกปลานะลูกปลา...ชุดนอนแบบนี้ใส่แล้วจะได้นอนได้ยังไง”

“เสร็จแล้วใช่ไหมจ๊ะมีคนฝากการ์ดอวยพรมาให้น้องพลูด้วย” หญิงสาวรับการ์ดใบนั้นมาเปิดอ่านทันทีแล้วก็นิ่งงันไปบนการ์ดมีลายมือหวัด ๆ ที่คุ้นเคยเขียนข้อความสั้น ๆ ว่า

“พี่ทำตามสัญญาแล้วนะครับของขวัญสำหรับว่าที่นักเปียโนระดับโลก...พี่หมาก”

แทนดาวหันมามองหน้าสามีที่ยืนอมยิ้มอยู่ข้างๆ สักเดี๋ยวเขาก็เดินนำไปยังห้องที่เคยใช้เป็นที่ซ้อมเพลงและเก็บเครื่องดนตรีของรมย์นลินโดยเฉพาะในห้องกว้างมีแกรนด์เปียโนสีขาวหลังใหญ่ตั้งอยู่แทนที่เปียโนสีดำของรมย์ลินที่ย้ายออกไปแทนดาวอ้าปากค้างกับของขวัญแต่งงานจากพี่ชาย หญิงสาวเดินเงียบ ๆ เข้าไปใกล้แล้วแตะมือลงบนเนื้อไม้สีขาวอย่างระมัดระวังปลายนิ้วกดคีย์ไล่เสียงดูเพื่อให้มั่นใจว่าเป็นเรื่องจริงไม่ใช่ฝัน

“พี่หมาก...” น้ำตาหยดเล็ก ๆไหลออกมาด้วยความตื้นตัน ร่างบางทรุดตัวลงนั่งบนม้าบุนวมสีขาวเข้าชุดกันฝ่ามือยังคงลูบไล้ของขวัญไม่หยุด มันเป็นยี่ห้อเดียวกับที่นักเปียโนอาชีพฝีมือระดับโลกใช้หล่อนเคยปรารถนาจะครอบครองสิ่งนี้มานานนับตั้งแต่เริ่มรู้จักกับเครื่องดนตรีชนิดนี้เดินผ่านทีไรก็ได้แต่มองตาเป็นมัน แต่พี่ชายเคยบอกไว้ว่าฝีมือยังไม่เข้าขั้นอย่าริอ่านใช้ของแพง

“ไอ้หมากมันสั่งมานานเป็นเดือนแล้วแต่เพิ่งขนมาไว้ที่นี่ไม่กี่วันก่อนพี่เลยให้เขาย้ายเปียโนของน้องพลูไปไว้ที่ภูเคียงดาว พอน้องพลูไปที่นั่นจะได้มีเล่น”ชายหนุ่มคุกเข่าลงหน้าภรรยาแล้วใช้นิ้วกรีดน้ำตาแห่งความปลาบปลื้ม

“พี่หมากรักน้องพลูทุกลมหายใจจริงๆ”

“พี่เองก็รู้สึกเหมือนกันว่าจะรักน้องพลูได้เท่ากับที่พี่ชายเรารักไหม”

“แค่ที่เป็นอยู่ก็มากมายแล้วค่ะน้องพลูไม่ต้องการอะไรอีก” หญิงสาวลูบแก้มของสามีอย่างแสนรักแล้วเริ่มบรรเลงบทเพลงรักหวานที่ชื่อ‘รักเธอผู้เดียว’ที่เคยเล่นให้เขาเมื่อนานมาแล้ว

งานเลี้ยงฉลองสมรสเป็นไปอย่างอบอุ่นท่ามกลางบรรยากาศโอบล้อมขุนเขาทะเลหมอกเจ้าบ่าวเจ้าสาวยิ้มแย้มสดชื่นอย่างเคย ชลธีอยู่ในสูทสากลเสื้อเชิ้ตกับกางเกงสีขาวสวมทับด้วยเสื้อนอกสีครามผูกโบสีเดียวกัน ส่วนแทนดาวสวมชุดยาวพลิ้วฟูฟ่องสีขาวแอบเพิ่มลูกเล่นตรงชายกระโปรงที่ย้อมเป็นเป็นสีครามเช่นเดียวกับเสื้อเจ้าบ่าวบนศีรษะสวมมงกุฎลิลลี่ ออฟ เดอะ วัลเลย์สีขาวบริสุทธิ์ ผมยาวปล่อยทิ้งตัวตามธรรมชาติดัดม้วนเป็นลอนอ่อน

งานนี้ไม่มีพิธีรีตองอะไรมากนักเพราะคนที่มาส่วนใหญ่จะเป็นเพื่อนฝูงต่างกับวันแต่งงานที่มีแต่แขกผู้ใหญ่แต่กระนั้นก็ยังมากจนต้องแบ่งไปพักที่รีสอร์ทข้างเคียง บ้านพักสีลูกกวาดทุกหลังประดับไฟหลากสีตระการตาตรงระเบียงชมวิวตั้งเวที ส่วนลานกว้างตรงกลางมีเค้กขนาดใหญ่เป็นรูปบ้านสีชมพู รายละเอียดอื่นๆ ไม่ได้ใช้ดอกไม้สดหรืองานประดิดประดอยเหมือนวันแต่ง แต่ใช้ขนมหลากชนิดสีสันสดใสเพื่อแทนความหวานชื่นเช่น พุ่มแจกันมาการอง ฉากถ่ายรูปตกแต่งด้วยอมยิ้ม ม่านลูกกวาดหลากสีแม้กระทั่งชื่อของเจ้าบ่าวเจ้าสาวก็ทำมาจากช็อคโกแลตขาว

พอตกกลางคืนก็มีการเปิดหนังสั้นที่เจ้าบ่าวแอบทำเซอร์ไพรส์อีกแล้วบนจอขนาดใหญ่เล่นภาพนิ่งและภาพเคลื่อนไหวของเจ้าสาวตั้งแต่เมื่อแรกรู้จักกันแทนดาวน้ำตาซึมด้วยความประทับใจ ตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมาชลธีแอบเก็บภาพของหล่อนเอาไว้แทบจะทุกเหตุการณ์ ไล่ตั้งแต่คลิปที่ขอเป็นแฟนวันขอหมั้นครั้งแรก วันขอแต่งงานบนดาดฟ้า ภาพไปเที่ยวตามที่ต่าง ๆ วันรับปริญญา วันแสดงคอนเสิร์ตจนถึงครั้งล่าสุดที่เขาคุกเข่าสวมแหวนแต่งงานที่ภูเคียงดาวแห่งนี้

“การค้นพบความรักที่ดีที่สุดสามารถละลายหัวใจที่ด้านชา...” ชายหนุ่มเริ่มกล่าวกับแขกที่มาร่วมงานแสงไฟสาดส่องจับจ้องสองร่างที่ยืนกุมมือกันแน่นบนเวที

“สำหรับผม...ความรักเคยตายจากไปจนเหลือแต่หัวใจที่มีแต่ความทุกข์และรู้สึกผิดผมไม่เคยกล้าที่จะมีความรักอีกเลยจนลืมไปแล้วว่าความรู้สึกนั้นเป็นยังไงแต่พอวันหนึ่งผมได้เจอกับเด็กสาวที่ยืนอยู่ข้าง ๆ วินาทีนั้นผมรู้ตัวเลยว่า...ได้ฟื้นคืนจากความตายแล้วผมให้นิยามเธอว่าเป็นดอกไม้แห่งพฤษภาซึ่งแปลว่า...ความสุขที่หวนคืนมาใช่แล้วครับ...แทนดาวคือคนที่เข้ามาเติมเต็มชีวิตของผมให้สมบูรณ์ หัวใจของผมกลับมีชีวิตชีวาขึ้นมาอีกครั้ง...”เสียงปรบมือเกรียวและเสียงเป่าปากจากพรรคพวกที่รอจังหวะนี้อยู่

“ขอบคุณครอบครัวที่ฟูมฟักดูแลผู้หญิงคนนี้จนเติบโตเป็นสุภาพสตรีที่งามพร้อมทั้งกายและใจโดยเฉพาะพี่ชายของเธอหรืออีกตำแหน่งคือน้องเขยของผม ที่ทุ่มเทแรงกายแรงใจอย่างหนักในการปกป้องหวงแหนน้องสาวเพื่อให้มาเป็นเจ้าสาวของผมในวันนี้...ขอบคุณนะไอ้หมาก”คราวนี้เสียงหัวเราะเฮฮาดังลั่นพร้อมกับเสียงปรบมือถูกอกถูกใจไม่เว้นแม่กระทั่งคนที่ถูกกล่าวถึง

“และที่สำคัญเหนือสิ่งอื่นใด...ขอบคุณเจ้าสาวที่เป็นความสุขเป็นขวัญกำลังใจ เป็นจุดหมายในชีวิตที่ทำให้รู้ว่าผมมีลมหายใจอยู่เพื่อใคร ทะเลแห่งนี้จะมีแต่ดาวดวงนี้ประดับใจ”ประโยคสุดท้ายเขาหันมาพูดกับเจ้าสาวที่ยืนน้ำตาซึมแล้วก้มลงหอมแก้มเบา ๆ เรียกเสียงปรบมือด้วยความประทับใจ

“ในโลกนี้มีสามสิ่งที่ดินฉันรักคือ บุพการี พี่หมาก และสุภาพบุรุษที่ยืนข้าง ๆ นอกจากโลกที่มีแต่เสียงดนตรีแล้ว...ดิฉันก็ไม่ได้สนใจอะไรอีกจนกระทั่งผู้ชายคนนี้เปิดรั้วเข้ามาในหัวใจและพาดิฉันก้าวออกไปจากโลกของตัวโน้ต เขาพาดิฉันไปพบกับอีกสิ่งหนึ่งที่ไพเราะและงดงามไม่แพ้เสียงดนตรีนั่นคือ...ความรัก” ทั้งคู่หันมาประสานสายตากันอย่างซาบซึ้ง

“ความรักและปรารถนาดีที่พี่ชลมีให้ดิฉันมาตลอดตั้งแต่เริ่มรู้จักกันไม่เพียงแต่ทำให้ดิฉันรัก...แต่ทั้งเทิดทูนและภูมิใจ เพราะไม่เคยคาดคิดว่าในชีวิตจะได้พบกับผู้ชายที่จะรักผู้หญิงคนหนึ่งได้มากขนาดนี้มากจนเปลี่ยนหัวใจของดิฉันให้เป็นสีน้ำเงิน...สีของท้องทะเลหรืออีกชื่อหนึ่งคือ...ชลธี”

แทนดาวชูนิ้วข้างที่สวมแหวนเพชรรูปหัวใจสีน้ำเงินให้ทุกคนดูหล่อนไม่เคยถอดมันออกอีกเลยตั้งแต่ได้รับสวมกลับคืน นัยน์ตาสีเหล็กแดงเรื่อและพร่ามัวไปด้วยหน่วยน้ำใสเอ่อล้นขอบจนหยาดหยดเงียบๆ เขารวบตัวเจ้าสาวมากอดแนบแน่นด้วยความรักสุดหัวใจ

“น้องพลู...เล่นเพลงให้พี่ฟังสักเพลงนะครับ”เสียงนุ่มกระซิบบอกแล้วจูงมือเจ้าสาวไปยังเปียโนบนเวทีชายหนุ่มหยิบกระดาษแผ่นเล็กออกมาจากกระเป๋า แทนดาวอ่านชื่อเพลง ‘รักเธอผู้เดียว’ ที่เขาขอแล้วยิ้มให้ทั้งปากทั้งตาจากกนั้นก็เริ่มบรรเลงชลธีจับไมค์ขับขานบทเพลงรักนี้ด้วยตัวเองเป็นครั้งแรกที่แทนดาวได้ฟังเขาร้องเพลงและไม่คิดว่าจะร้องเพราะ ค่ำคืนนี้จึงอบอวลไปด้วยความประทับใจไม่รู้ลืม

บ้านสีชมพูเด่นตระหง่านบนเนินถูเขาสูงอาบไล้ด้วยแสงจันทร์ผ่องและดวงดาวนับร้อยบรรยากาศบนหุบเขาเงียบสงัด แต่กระนั้นก็สัมผัสได้ถึงความสุขหอมหวาน ณ ที่แห่งนี้ แสงไฟในนอนใหญ่ดวงเดียวที่ยังเปิดสว่างจ้าลอดออกมายังชานระเบียงชั้นสองเผยให้เห็นร่างสองร่างยืนแนบชิดเจ้าสาวในชุดฟูฟ่องสีขาวอิงแอบอยู่กับอกกว้างของบุรุษใบหน้าคม แขนแข็งแรงของเขาโอบรัดร่างเล็กปกป้องจากอากาศหนาวยามดึกทั้งคู่ทอดสายตาออกไปยังท้องฟ้ากำมะหยี่สีดำสนิท

“ไหน...น้องพลูมาจากดาวดวงไหน” เสียงทุ้มกระซิบถาม

“โน่นค่ะ...เล็กๆ ริบหรี่ โดดเดี่ยวและห่างไกลจากดวงอื่น”

“มิน่าล่ะ...ถึงใช้เวลาเดินทางมายังโลกตั้งสิบสามปี”ชายหนุ่มหมุนไหล่คนในอ้อมแขนให้หันหน้ามา นัยน์ตาอบอุ่นทอดมองวงหน้าวิไลด้วยสายตาเปี่ยมรัก

“ถ้ามาเร็วกว่านี้คงจะดีจะได้เจอพี่ชลตั้งนานแล้ว”

“เจอตั้งนาน...แล้วมันดียังไง?” เขาถามต่อ

“ก็...พี่ชลจะได้...ไม่มีคนอื่น”ตอบออกไปแล้วก็ต้องหลบตาวูบ

“แน่ะ...ไม่พูดถึงอดีตสิคะวันนี้ เวลานี้ และวันข้างหน้าจะมีแต่เรา ดูสิ...พระจันทร์สวยออก นวลผ่องเชียวแต่...ไม่ได้เสี้ยวของน้องพลูเลย” ประกายตาหวานเชื่อมทำให้คนถูกมองเริ่มใจสั่น

“พี่ชลก็ช่างสรรหาคำพูดเชยๆ เหมือนในละครมาได้อยู่เรื่อยเลยนะคะ”

“อ้าว...ทีน้องพลูยังชอบอ่านนิยายกับดูละครเกาหลีเลยพี่ก็ต้องฝึกไว้บ้าง...จะได้คุยกันรู้เรื่อง” เขาตอบพลางเชยคางเล็กให้แหงนหน้าขึ้นมาแล้วบรรจงมอบจุมพิตแสนหวานให้เนิ่นนาน

“หนาวเหรอคะ...ตัวสั่นเชียวเราเข้าไปข้างในกันนะ”

วงแขนแข็งแรงรวบช้อนร่างบางขึ้นมาอุ้มง่ายดายแล้วพาไปวางลงบนเตียงกว้างอย่างทะนุถนอมปลายนิ้วอุ่นเกลี่ยไรผมให้พ้นทางแล้วหอมแก้มสีกุหลาบทั้งสองข้างจนมาหยุดที่ริมฝีบางละไมอีกครั้งแต่คราวนี้เต็มไปด้วยความเรียกร้องและดื่มด่ำ เป็นนานกว่าที่เขาจะถอนจุมพิตชายหนุ่มค่อย ๆ ถอดมงกุฎดอกไม้ออกจากกลุ่มผมสวยมืออีกข้างลูบไล้นวลเนื้อผุดผ่องที่พ้นขอบเสื้อแบบเปิดไหล่ แทนดาวรู้ตัวว่าไม่อาจะจะหลบเลี่ยงได้อีกต่อไปถึงเวลาแล้วที่หล่อนจะต้องเป็น ‘ภรรยา’ ของเขาโดยสมบูรณ์

สองมืออบอุ่นค่อยๆ เอนร่างบางให้นอนราบบนฟูกนุ่ม สองแขนกางคร่อมกักตัวเจ้าสาวให้อยู่ใต้อก สายตาฉ่ำเปิดเผยความปรารถนาไม่ปิดบังบังเกิดความอุธัจขัดเขินให้คนใต้ร่างจนต้องเบือนหน้าซ่อนความอายปลายจมูกโด่งจรดตรงไรคางแล้วไซร้หากลีบปากหวานฉ่ำจนพานพบเพื่อที่จะมอบจุมพิตแห่งความเสน่หาแต่เสียงเล็กก็กระซิบลอดไรฟันออกมา

“I’m scared…”

“I’ll be gentle”

นัยน์ตาสุกใสทรงอัลมอนด์แสดงแววตระหนกอย่างเห็นได้ชัดเสียงเล็กสั่นเครือคล้ายจะร้องไห้ ชลธีเข้าใจดี ครั้งแรกของประสบการณ์ทางเพศย่อมก่อให้เกิดความกังวลสารพัดอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

“ไม่ต้องกลัวนะครับ...ทุกอย่างมันจะเป็นไปตามธรรมชาติเราจะมีความสุขฉันสามีภรรยาทั่วไป มันคือสิ่งวิเศษที่ธรรมชาติสร้างมาให้ทำตัวตามสบายแล้วปล่อยใจไปกับมัน”

สิ้นเสียงปลอบโยนริมปีปากหยักก็แตะจูบตรงไหล่เนียนแล้วลากไล้ไปยังลำคอขาวผ่องลมหายใจอุ่นรดจุดอ่อนไหวจนหญิงสาวต้องหลับตาแน่น และเมื่อริมฝีปากร้อนรุมประทับแนบลงบนกลีบปากอ่อนบางและบังคับให้เผยอแย้มจุมพิตเปี่ยมเสน่หาก็ป้อนความดื่มด่ำล้ำลึกทำให้เจ้าของกลีบปากบางระทดระทวยปลายเล็บมนกดจิกลงบนกล้ามเนื้อแน่นโดยไม่รู้ตัว แต่คนถูกหยิกกลับรู้สึกฮึกเหิมมากขึ้นเมื่อถูกเร้าอกแทบจะมอดไหม้เพราะไฟปรารถนาแผดเผา ความแข็งขึงพุ่งผงาดจนมิอาจผ่อนปรนต่ออารมณ์

ชุดแต่งงานหรูหราถูกปลดเปลื้องจนเหลือเพียงซับในชิ้นน้อยปกปิดความงดงามรอยความอุธัจกระจายไปตามเส้นเลือดจนแดงระเรื่อไปทั้งสรรพางค์ กายกำยำอาบสีทองแดงแห่งเลือดเนื้อบุรุษยันตัวลุกขึ้นออกจากร่างกึ่งเปลือยไปปิดไปกลางห้องเพื่อให้หญิงสาวรู้สึกผ่อนคลายเหลือเพียงรัศมีจันทร์นวลสลัวส่องให้เห็นสองร่างตระกองกอดรัด พอร่างตึงแน่นไร้อาภรณ์ทาบทับลงมาแทนดาวก็สะดุ้งตัวน้อย ๆกระถดถอยเมื่อปลีน่องเรียวสัมผัสกับความกำยำล่ำสันของบุรุษเพศชลธีสกัดกั้นความตระหนกของคนใต้ร่างด้วยการกดประทับจูบดูดดื่มแนบแน่น

“น้องพลูขา...ขอให้พี่ชลได้แสดงความรักที่มีต่อหนูพี่จะทะนุถนอมอ่อนโยนที่สุดขอให้ไว้ใจแล้วพี่จะพาน้องพลูไปพบกับความสุขลึกซึ้งของความรัก”

เสียงกระเส่าออดอ้อนชิดริมหูแล้วกดประทับจูบอีกครั้งในขณะที่ปลายนิ้วเรียวสอดเกี่ยวตะขอเสื้อตัวจิ๋วออกง่ายดายแล้วเลื่อนไปดึงเกี่ยวอีกชิ้นน้อยรูดลงใบหน้าหวานแดงซ่านเมื่อรู้สึกว่าท่อนขาหนาหนักกำลังแยกเรียวขาสล้างให้ห่างออกจากกันถึงจะดับไฟมืดแต่นวลจันทร์ยังคงสลัวเลือนพอให้เห็นเรือนกายอาบแสงเหลืองมัวชลธีจดจ้องภาพเบื้องหน้าอย่างหลงใหลใคร่เชยชม สรีระโสภาสมสตรีสมบูรณ์แบบ ผิวพรรณเนียนละเอียดนุ่มดั่งเนื้อแพรเอวเล็กคอดกิ่ววาดเว้ารับกับสะโพกกลมมน เนินเนื้อที่สองแขนพยายามปิดป้องยิ่งเย้ายวนตาพาให้ใจไหวซ่าน

“สวยเหลือเกินน้องพลู พี่ไม่นึกเสียดายเวลาที่รอคอยน้องพลูจนถึงเดี๋ยวนี้มันช่างคุ้มค่าและมีความหมาย”

มืออุ่นค่อย ๆ แกะแขนเรียวที่กอดอกอยู่ออกช้าๆ บัวบงกชกลมกลึงชูช่อสล้างท่ามกลางแสงจันทร์เรืองรอง เกสรสีแดงทับทิมยวนตา ยามเมื่อมืออุ่นสัมผัสลูบไล้บัวน้อยก็ทำให้ร่างอรชรบิดเร่ากับสัมผัสแสนรัญจวนปลายเล็บมนยิ่งจิกลึกลงบนเนื้อหนาให้สาสมกับความหวามไหวที่ได้รับ

“I love you...my May lily”

เสียงกระซิบกระซาบปลอบโยนเมื่อร่างบางสะดุ้งสุดตัวยามถูกรุกล้ำด้วยรสสัมผัสความเครียดขึงแห่งบุรุษชลธีปลอบโยนด้วยสัมผัสจากอ้อมแขนที่กกกอดร่างสั่นรึงตรึงไว้ใต้อก ปากหยักร้อนรุมปิดกลั้นเสียงสะอื้นแผ่วสองร่างกอดรัดสอดประสานผนึกแนบเป็นหนึ่งเดียว เจ้าของร่างหนาพยายามเกร็งสุดกำลังไม่ให้เผลอไผลบุ่มบ่ามไปตามอารมณ์ดำฤษณาดุจเปลวเพลิงสุริยะจนสักครู่เมื่อความอึดอัดค่อยคลายลงจึงค่อยเปลี่ยนท่วงท่าทำนองความอภิรมย์

เวลาเคลื่อนคล้อยครึ่งคืนผ่านพ้น ผกายามราตรีคงจะหุบดอกหลับใหลใต้ฟ้ากลางคืน เว้นแต่เพียงลิลลี่ ออฟ เดอะวัลเลย์ที่ยังคงเบ่งบานอาบรับแสงจันทร์ผ่องเจ้าดอกไม้น้อยทรงระฆังคว่ำต้องน้ำค้างยามดึกดึงดูดให้เจ้าผีเสื้อกลางคืนบินมาเกาะกลีบดอกบอบบางสีขาวบริสุทธิ์ผีเสื้อสยายปีกโอบล้อมป้องกันเจ้าดอกไม้จิ๋วมิให้ต้องลมแรงจนบอบช้ำดอกไม้แห่งพฤษภาจึงห่มความสุขอบอวลอยู่ภายใต้ปีกอุ่นของเจ้าผีเสื้อ

ร่างที่ซุกตัวใต้ผ้านวมผืนหนาบิดไปมาเมื่อแสงแดดอ่อนยามสายแยงตาพร้อมกับผ้าม่านโปร่งที่แหวกออกด้วยมือใครคนหนึ่ง ทีแรกคนที่นอนงัวเงียสะดุ้งว่าจะมีใครเข้ามาทำร้ายแต่พอนึกว่าในบ้านหลังนี้มีเพียงตนกับ ‘สามี’ เท่านั้นก็ค่อยคลายใจ

“คนสวย...ตื่นหรือยัง ไปกินข้าวเช้ากัน”

เสียงปลุกมาพร้อมกับจุมพิตที่หน้าผากแผ่วเบาแทนดาวเปิดเปลือกตาจนสุด อากาศเย็นสบายยามเช้าทำให้ยังไม่อยากลุกแต่พอเหลือบไปมองนาฬิกาก็พบว่าเป็นเวลาแปดโมงแล้วเลยรีบเด้งตัวขึ้นแทบจะทันที

“พี่ชลอ่ะ...ทำไมไม่ปลุกน้องพลูล่ะคะสายป่านนี้แล้วคุณแม่ต้องนึกตำหนิเอาแน่เลยที่ลูกสะใภ้ยังนอนก้นโด่ง”

“ไม่ต้องห่วงคุณแม่หรอกท่านพาคุณย่าไปเที่ยวไหนแล้วก็ไม่รู้ ป่ะ....ล้างหน้าล้างตาแล้วลงไปกินข้าวกัน พี่ให้ที่ครัวยกข้าวมาที่นี่”ชลธีมอบยิ้มเอ็นดูให้ภรรยาที่วุ่นวายกับการหนีบผ้าห่มกะเร้อกะรังเพื่อซ่อนเรือนร่างให้พ้นสายตาเขา

“อุ๊ย !” หญิงสาวอุทานเบา ๆเมื่อขยับตัวจะลงจากเตียงก็รู้สึกเจ็บแปลบตรงกลางลำตัว ใบหน้าหวานเบ้นิด ๆ นัยน์คมดุจเหยี่ยวกวาดตามองดูบนที่นอนก็พบ‘ร่องรอย’สาเหตุ สายตาที่ทอดมองภรรยาจึงเต็มไปด้วยความอ่อนโยนและภาคภูมิใจมากยิ่งขึ้น

“พี่ขอโทษนะที่ทำให้น้องพลูเจ็บว่าแต่...น้องพลูมีความสุขใช่ไหมคะ” คำถามซ่อนความหมายกระตุ้นให้ใบหน้างามหมดจดเกิดริ้วแดงขึ้นเมื่อคิดถึงเรื่องราวสุดโรแมนติกเมื่อค่ำคืนที่ผ่านไปหมาดๆ

“ถามก็อะไรก็ไม่รู้น้องพลูไม่ตอบหรอก”

“ถึงไม่ตอบพี่ก็รู้ ดูนี่สิ...ข่วนพี่เสียตัวลายไปหมด”เขาเลิกเสื้อขึ้นเผยให้เห็นรอยเล็บเป็นทางยาวหลายรอยบนผิวเนื้อแทนดาวอุทานในลำคอแล้วแตะปลายนิ้วเบา ๆ บนรอยพวกนั้น

“ตายจริง...น้องพลูไม่รู้ตัวเลยเจ็บมากไหมคะ” ชายหนุ่มส่ายหน้าแทนคำตอบแล้วจับมือนุ่มขึ้นมาจุมพิต

“เดี๋ยววันนี้จะจับตัดเล็บให้กุดเลยไม่งั้นก็คงจะถูกหยิกถูกข่วนเนื้อหลุดกันบ้าง” เขาส่งยิ้มล้อเลียนให้คนที่ยังนั่งก้มหน้างุดด้วยความอายจากนั้นมือหนาก็กระตุกผ้าห่มที่ห่อร่างยวนตาออกอย่างว่องไวแล้วก็อุ้มไปเข้าห้องน้ำแทนดาวร้องโวยวายเพราะคนขี้แกล้งจัดการลอกคราบตัวเองแล้วลงมาแช่ในอ่างด้วยกัน

“พี่ก็ยังไม่ได้อาบน้ำเหมือนกันเพราะฉะนั้นเรามาอาบพร้อมกันจะได้ไม่เสียเวลาและไม่เปลืองทรัพยากร”สิ้นคำร่างเล็กก็ถูกกระตุกเข้าไปในก้อมกอด จมูกโด่งและมือไม้เริ่มซุกซนแทนดาวรู้ทันทีว่าอะไรจะเกิดขึ้นต่อไปนี้

“นี่มันยังเช้าอยู่เลยนะคะ”

“แล้วยังไงล่ะ พี่จะรักน้องพลูวันละสองเวลาเช้า-เย็นเลย”ริมฝีปากบางถูกจุมพิตเนิ่นนานจนความรู้สึกหวามไหวเรียกร้องสอนให้แทนดาวตอบสนองอย่างเต็มอกเต็มใจชลธียิ้มในตาเมื่อรับรู้ว่าอีกฝ่ายได้เรียนรู้วิธีแสดงความเสน่หาระหว่างสามีภรรยา เป็นจริงอย่างที่ชลธีบอกความสุขในเพศรสเป็นสิ่งวิเศษที่ธรรมชาติสร้างสรรค์มาซึ่งแทนดาวก็พร้อมที่จะเรียนรู้บทรักที่สามีสอนให้

พอสายอีกหน่อยทั้งคู่ก็ตามไปสมทบกับพี่น้องคนอื่นๆ ที่เตรียมตัวไปเที่ยวสวนผักกัน เด็กชายภาพฟ้าออกอาการลิงโลดที่จะได้ไปเที่ยวอีกอย่างหนึ่งที่เปลี่ยนไปก็คงจะเป็นท่าทางสงบเสงี่ยมไม่แสดงอาการเหวี่ยงใส่คุณลุงเพราะหวงแหนคุณอาสาวอย่างเคย

“คุณหมากบอกตาปูนเมื่อวานว่าถ้าอยากมีน้องผู้หญิงก็ต้องำม่ดื้ แล้วลุงชลกับอาพลูจะมีน้องผู้หญิงให้”คำตอบของรมย์นลินทำเอาพวกผู้ใหญ่ขำกริ๊ก

“เจ้าปูนอยากได้น้องผู้หญิงน่ารักๆ แบบหนูบัว หนูบุษ นี่อยากได้มากขนาดยอมเปิดทางให้แกเลยนะ เพราะฉะนั้น...รีบ ๆผลิตเลย” เทียมภพหัวเราะร่าจนคนอื่น ๆ หัวเราะตามแล้วทุกคนก็พากันเคลื่อนย้ายไปขึ้นพาหนะเตรียมเดินทางเหลือไว้แต่สองสามีภรรยาข้าวใหม่ปลามัน แทนดาวยังคงอายหน้าแดงที่ถูกพี่ชายแซว

“น้องพลูครับ...จะหาว่าพี่เห็นแก่ตัวไปไหมถ้าจะบอกว่าพี่อยากมีลูกเลย”

พออยู่กันสองคนเขาก็เปิดปากคุยถึงเรื่องนี้แทนดาวหยุดคิดชั่วครู่การมีลูกฟังดูเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่และมาพร้อมกับความรับผิดชอบมากมายในขณะที่ตนยังต้องการทำตามความฝัน หญิงสาวนึกถึงรมย์นลินกับปลายเดือนทั้งคู่ทำหน้าที่แม่ควบคู่ไปกับงานที่ตนเองรักแล้วทำไมหล่อนจะเลือกทำทั้งสองอย่างควบคู่กันไม่ได้

“ตามใจพี่ชลค่ะ...น้องพลูจะไม่คุมกำเนิด”

“ขอบคุณครับ...อีกไม่นานครอบครัวของเราจะสมบูรณ์ไม่ต้องกังวลนะครับ ถึงน้องพลูจะมีลูกแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าพี่จะบังคับให้เราอยู่บ้านเลี้ยงลูกดูแม่พี่สิ...เลี้ยงพี่กับแฟงไปด้วย ทำงานไปด้วย ยังประสบความสำเร็จเลย”ชายหนุ่มยิ้มให้อย่างเข้าอกเข้าใจ

“ไม่นาน...ภูเคียงดาวแห่งนี้จะมีแต่เสียงหัวเราะเสียงร้องไห้ เสียงอ้อนเรียก พ่อจ๋า แม่จ๋า อาจจะได้เห็นเด็กผู้ชายวิ่งโครม ๆ อยู่บนบ้านต้นไม้หรือเด็กผู้หญิงนั่งดีดเปียโนตามรอยคุณแม่ ปูนแดงกับยาฉุนจะได้มีพรรคพวกชวนกันลิงทโมนนึกภาพดูสิครับ...ว่ามีความสุขขนาดไหน” แทนดาวนึกภาพตามแล้วยิ้มบาง ๆ

“แล้วพี่ชลอยากได้ลูกชายหรือหญิงคะ”

“อืม...ได้หมด ถ้าเป็นผู้ชายเขาจะชื่อ...แทนชลส่วนผู้หญิงชื่อ...รุ้งธารา”

“นี่เตรียมตั้งชื่อไว้รอเลยเหรอคะนี่แต่ก็เพราะดีค่ะ...น้องพลูชอบ พอรู้อย่างนี้แล้ว...น้องพลูอยากให้เขามาเกิดเร็ว ๆจัง จะเป็นแทนชลหรือรุ้งธาราก็ได้ อ้อ...พี่ชลจะโกรธไหมคะ ? ถ้าน้องพลูจะบอกว่า เวลาใส่บาตรตอนเช้า น้องพลูอธิษฐานให้ลูกของพี่ชลที่...ไม่มีโอกาสได้เกิดมาน้องพลูบอกให้เขามาเกิดมาเป็นลูกของเราค่ะ”แทนดาวบอกสามีด้วยน้ำเสียงและสายตาที่ละมุนละไมยิ่งนัก คนฟังจูบหน้าผากนูนอย่างรักใคร่

“น้องพลู...จะหาผู้หญิงคนไหนที่มีจิตใจโอบอ้อมและละเอียดอ่อนเท่าน้องพลูไม่มีอีกแล้วพี่ว่า...ป่านนี้นะ ไม่ใครก็ใครคงมาถึงแล้วล่ะ”

“หา...อะไรจะรวดเร็วขนาดนั้นคะ”

“ไม่แน่หรอก ไม่เมื่อคืน...ก็เมื่อเช้านี้แหละ”

คำตอบมั่นอกมั่นใจทำให้คนฟังยิ้มกว้างชลธีมอบจูบหวานจับจิตให้ภรรยาสุดที่รัก ภาพครอบครัวสุขสันต์พร้อมหน้าจะไม่ใช่แค่จินตนาการอีกต่อไปรอบรั้วหัวใจแห่งนี้จะละลานตาไปด้วยดอกไม้แห่งความรักที่สองคนช่วยกันรดน้ำดูแลจนผลิดอกงามสะพรั่งและพร้อมที่จะงอกเมล็ดพันธุ์ใหม่ในเวลาอันใกล้นี้




Create Date : 05 มิถุนายน 2559
Last Update : 5 มิถุนายน 2559 17:42:03 น.
Counter : 965 Pageviews.

0 comment
(ตอนพิเศษสุดริมรั้ว) ภูเคียงดาว_ครึ่งหลัง


      ตอนพิเศษ ภูเคียงดาว_ครึ่งหลัง
             งานเลี้ยงฉลองรับปริญญาของแทนดาวเป็นไปอย่างอบอุ่นที่ภัตตาคารอาหารจีนของบุรนันท์หรือเฮียเบิ้มเฮียเบิ้มใจดีเปิดห้องจัดเลี้ยงชั้นสองจัดงานให้น้องสาวเต็มที่แถมยังลงมือทำอาหารทุกชนิดเองมีซุ้มลูกโป่งกับซุ้มดอกไม้ไว้ให้ถ่ายรูปด้วย บนโต๊ะตัวใหญ่มีกล่องของขวัญหลายกล่องวางรวมกับช่อดอกไม้หลากแบบหลายสีสันบัณฑิตใหม่กำลังสนุกสนานกับการแกะของขวัญโดยมีเด็ก ๆ คอยนั่งลุ้นตาแป๋ว ผู้อาวุโสกับบรรดาเฮียทั้งสี่ให้สตางค์กล่องที่อชิตะให้มาเป็นกระเป๋าผ้าพิมพ์ลายลิ่มเปียโนสีดำสลับขาวทั้งใบ รมย์นลินให้ชุดครีมบำรุงผิวยี่ห้อหนึ่งส่วนกล่องใบใหญ่อีกใบส่งมาจากปลายเดือน เป็นกระเป๋าถือทำจากหนังสีส้มอิฐยี่ห้อดังที่สาวสังคมมักนิยมหิ้วกัน

“ว้าว...นี่มันเบอร์กิ้น ถ้าวันไหนหิ้วเบื่อแล้วโละให้ขวัญนะ” แทนขวัญทำตาโตกับของขวัญชิ้นนี้

“ไม่มีทาง เมื่อสองปีก่อนไปฝรั่งเศสกับพี่ผึ้งกว่าเจ๊แกจะได้ซื้อกระเป๋านี่นะ...ต้องเทียวเข้าเทียวออกไปตีสนิทกับคนขายอยู่สามวันถึงยอมหยิบออกมาขายให้”

“แหม...พี่พลูไม่รู้อะไร ช้อปที่โน่นไม่ปล่อยกระเป๋ารุ่นนิยมกันง่ายๆ หรอก ถึงจะมีเงินแต่ก็ใช่ว่าจะได้ซื้อ เขาต้องเล่นตัวจนมั่นใจว่าคนซื้อไฮโซจริงแล้วก็จะไม่เอาไปขายต่อเหมือนของมือสองตามตลาดนัด”

“เอางี้...ถ้าขวัญเรียนจบกลับมาพี่จะซื้อให้นะแต่...คงไม่ใช่รุ่นแพงขนาดนี้หรอก”

“ขวัญพูดเล่นหรอกค่ะระหว่างกระเป๋ากับกล้อง...ขวัญเลือกกล้องดีกว่า กระเป๋าใช้หิ้วไปหิ้วมาโก้ ๆแค่นั้นแต่กล้องใช้เก็บภาพความทรงจำดี ๆ ได้ด้วย”

“น้องพลู...มานี่สิลูก”

แทนดาวเก็บกระเป๋าลงกล่องอย่างเดิมแล้วเดินไปหามารดา คุณดวงทิพย์รุนหลังบุตรสาวให้นั่งลงข้างๆ คุณวารี สาวน้อยนั่งเอามือประสานกันตักอย่างเรียบร้อย หลังตรง ค้อมศีรษะนิด ๆ ดูมีมารยาทงามตาอย่างคนที่ได้รับการอบรมมาอย่างดี

“ขอมือหน่อยสิจ๊ะ”

แทนดาวยื่นมือข้างเดียวกับที่สวมกำไลหยกที่อาม่ามอบให้เป็นของขวัญคุณวารีหยิบวัตถุบางอย่างจากถุงผ้ากำมะหยี่ออกมา เป็นสร้อยข้อมือประดับมรกตน้ำงามเจียระไนเป็นรูปหยดน้ำเล็กๆ เรียงแถวกันตลอดสาย แต่ละเม็ดล้อมด้วยเพชรสีขาวเนื้อสะอาดใส นางบรรจงสวมใส่ข้อมือนุ่มนิ่มของสาวน้อยหากจะมองผิวเผินก็เหมือนก็ผู้ใหญ่ให้ของลูกหลาน แต่ผู้อาวุโสที่นั่งรายล้อมรอบ ๆต่างก็ทราบถึงนัยยะที่ซ่อนอยู่ สะใภ้ของคุณหลีคนหนึ่งแอบกระซิบกระซาบกับสะใภ้อีกคน

“ดูสิ...ของกำนัลเลอค่ารับขวัญว่าที่ลูกสะใภ้”

“ของขวัญสำหรับบัณฑิตใหม่ มรกต...อัญมณีของคนที่เกิดเดือนพฤษภาเขาว่าคนเกิดเดือนนี้เป็นคนอัธยาศัยดี เป็นศิลปินรักดนตรี มีจิตใจเข้มแข็ง มรกตจะช่วยเสริมให้หนูมีแต่ความอุดมสมบูรณ์ร่ำรวย มีอำนาจปกป้องคุ้มครองให้พ้นจากสิ่งชั่วร้ายต่าง ๆ ได้”

“ขอบคุณค่ะ...อาวารี” แทนดาวนบไหว้อย่างนอบน้อมของขวัญมูลค่าสูงเช่นนี้ย่อมทำให้เกิดความเกรงใจที่จะรับไว้ แต่พอหันไปมองก็พบว่าคนอื่นๆ รวมทั้งคุณพ่อ คุณแม่ หรือแม้ชลธีต่างก็พึงใจที่เป็นเช่นนี้

“ต๊าย..ยังจะเรียก...อา...อยู่อีกต่อไปนี้ต้องเรียกว่า...แม่...นะคะ”

แทนดาวมองไปทางพี่ชายอย่างขอความเห็นและเมื่อฝ่ายนั้นพยักหน้าเห็นด้วย สาวน้อยก็เอ่ยปากชัดถ้อยชัดคำ

“ค่ะ...คุณแม่”

เสียงหัวเราะดังขึ้นรอบวง หญิงสาวรู้สึกกระดากอายเมื่อทุกคนจับจ้องมองปฏิกิริยาของตนยิ่งพอเห็นสายตาคมวับจากใครบางคนก็เริ่มร้อน ๆ หนาว ๆ ในดวงตาสีเหล็กฉายประกายความพึงพอใจแจ่มแจ้ง

พออิ่มหนำสำราญกับอาหารรสเลิศดีแล้วก็ต่อด้วยบรรยากาศสนุกสนานครื้นเครงกับการขับขานบทเพลง พวกเด็ก ๆวิ่งเล่นไล่จับกันสนุกสนาน พวกสุภาพบุรุษจับกลุ่มถองน้ำเมาส่งเสียงเฮฮา อชิตะก็ร่วมวงอยู่ในนั้นด้วยแต่โดยพื้นแล้วไม่ใคร่ถนัดเรื่องดื่มกินสังสรรค์จึงจิบไปสองแก้วพอเป็นพิธีต่างจากเฮียสี่ บ. กับสองคู่ดูโอที่ดวดกันแก้วต่อแก้วยิ่งเทียมภพแล้วต้องเรียกว่าซดโฮกหมอหนุ่มปลีกตัวไปยังหญิงสาวในเครื่องแต่งกายทะมัดทะแมงที่กำลังดูรูปภาพจากกล้องคู่ใจสีหน้าและท่าทางกระตือรือร้นอยู่ตลอดเวลาเรียกรอยยิ้มจากคนมองได้แทบจะทันที

“เหนื่อยไหมครับ”

เสียงทักเรียบ ๆหากแต่เจือด้วยความห่วงใยบาง ๆ ทำให้แทนขวัญต้องวางกล้องในมือลงเงยหน้ามามองคู่สนทนาใบหน้าสะอาดสะอ้านดูออกสีแดงเรื่อหน่อย ๆ จากฤทธิ์แอลกอฮอล์ที่ดื่มเข้าไป โดยเฉพาะบริเวณไรคางลงไปถึงลำคอหญิงสาวขยับตัวไปชิดโซฟาอีกด้านเพื่อเว้นที่ให้เขานั่งลงบนโซฟาตัวเดียวกัน

“ไม่เท่าไหร่หรอกค่ะ เคยเจองานถ่ายพรีเว้ดดิ้งยิ่งกว่านี้อีกทั้งร้อน...ทั้งเหนียว”

“เห็นบอกว่ารับจ๊อบด้วยนี่น้องขวัญถนัดถ่ายภาพแนวไหนกันล่ะ” อชิตะชวนคุยด้วยท่าทีสบายๆ กอปรกับสรรพนามบุรุษที่สองเรียกคู่สนทนาว่า ‘น้องขวัญ’ ทำให้คนฟังรู้สึกผ่อนคลายขึ้น ตอนแรกคิดว่าคุยกับแพทย์จะมีแต่เรื่องเครียดเหมือนเวลาไปโรงพยาบาล

“ถ่ายได้หมดค่ะ แต่ที่ถนัดแล้วก็ทำผลงานได้ดีต้องเป็นภาพพอทเทรทค่ะถ่ายภาพนิ่งบุคคล ถ่ายนางแบบ หรือวัตถุ ฟังดูเหมือนง่ายนะคะ...ถ่ายภาพนิ่งกับคนเนี่ยแต่สำหรับขวัญแล้วยากที่สุด ยากมาก เพราะภาพแบบนี้ไม่ใช่สักแต่ว่าถ่ายออกมาแล้วภาพสวยอย่างเดียวแต่ต้องถ่ายทอดอารมณ์ ความรู้สึกออกมาด้วย ตอนนี้ขวัญฝึกงานอยู่กับพี่ช่างภาพคนนึงคุณหมออชิต้องเคยได้ยินชื่อแน่นอนค่ะ พี่คนนี้ถ่ายภาพคนดังในแวดวงบันเทิง...”

หญิงสาวบอกชื่อช่างภาพผู้มีชื่อเสียงคนนั้นด้วยความชื่นชมเสียงแจ๋ว ๆ ทำให้คนฟังเพลิดเพลินจนลืมว่าตอนนี้กำลังจับจ้องสาวน้อยไม่วางตาสองมือขาวสะอาดเปลี่ยนจากสานกันบนตักในตอนแรกมาเป็นวางพาดเหยียดยาวไปตามขอบโซฟาสองขายืดออกไปข้างหน้าจนไม่เหลือเค้าของคุณหมอเจ้าของบุคลิกนิ่มนวล

“ฟังดูน่าสนุกดี ถ้าผมมีงานมาเสนอ...น้องขวัญจะสนใจไหมที่โรงพยาบาลกำลังจะทำปฏิทินฉลองสามสิบปี ตอนนี้ก็กำลังติดต่อช่างภาพอยู่ไม่รู้ว่าน้องขวัญอยากรับงานนี้หรือเปล่า ค่าจ้างอาจจะไม่มากเท่างานที่ทำอยู่นะ”คำบอกเล่าของหมอหนุ่มทำให้คนฟังตาลุกวาวขึ้นมาทันที ความกระตือรือร้นแสดงออกมาอย่างวัยรุ่นไฟแรงที่ตื่นตัวอยู่เสมอ

“สนใจสิคะ ขวัญไม่คิดมากหรอกว่าจะได้ค่าตอบแทนกี่มากน้อยงานฟรียังเคยรับเลยค่ะ สมัยเรียนก็มีรับงานเล็ก ๆ อย่างวันเกิดคนนั้นคนนี้ งานบุญงานบวชถือว่าสะสมประสบการณ์เก็บโปรไฟล์ไปก่อน”

“มีความคิดดี ๆ แบบนี้ อีกหน่อย...ก็คงจะได้เป็นช่างภาพมีชื่อเสียงไม่แพ้พี่คนนั้นแน่”

“ยังอีกไกลค่ะขวัญต้องเรียนรู้อีกเยอะ ว่าแต่...คุณหมออชิรักษาคนไข้ในโรงพยาบาลเคยเจอผีหรือเรื่องลี้ลับอะไรไหมคะ”

หมอหนุ่มหัวเราะกับคำถามนี้ด้วยหน้าที่การงานที่ต้องพัวพันกับคนเกิด แก่ เจ็บ ตาย ไม่เว้นแต่ละวันก็เลยยุ่งมากจนไม่มีเวลากลัวทั้งยังชาชินกับการทำงานในยามวิกาลเพียงคนเดียวจนบางครั้งก็ไม่แน่ใจว่าแยกแยะคนเป็น ๆ กับภูตผีวิญญาณออกจากกันได้หรือไม่

“ถามเหมือนใบพลูเลยนะครับ ผมไม่เคยเจอสักทีหรือว่าเจอแต่ไม่รู้ว่าเป็นผีหรือเปล่า แต่ประเภทมาแลบลิ้นปลิ้นตาเหมือนในหนังน่ะ...ไม่มีหรอก”

แทนขวัญหัวเราะแก้เก้อแล้วเผลอยกมือลูบเส้นผมที่ตอนนี้ปล่อยสยายเคลียหลังล้อมรอบกรอบหน้าเรียวให้ดูหวานน่ามองยิ่งขึ้นลักษณะนี้สร้างความประทับใจให้คู่สนทนาอยู่ไม่น้อย ถึงสาวน้อยจะมีความเป็นตัวของตัวเองสูงแต่ก็ยังแฝงลักษณะอ่อนหวานของสตรีทั่วไปที่พึงเป็น

“คุณหมออารมณ์ดีจัง ทีแรกนึกว่าจะมีแต่เรื่องวิชาการอยู่อย่างนี้แล้วดูไม่เหมือนคุณหมอเลยนะคะนี่ถ้าไปอยู่เกาหลีก็คงได้เล่นซีรีย์ไปแล้ว”

“เสียอย่างเดียว...ผมเล่นละครไม่เป็นอ้อ...อาจจะมีบทเหมาะ เช่น เล่นเป็นคนใบ้หรือเป็นตัวอะไรก็ได้ที่ไม่ต้องมีบท

พูดคุยกับน้องขวัญนี่สนุกจัง จากมึน ๆ อยู่เมื่อกี้ก็ตาสว่างเลย อยู่ด้วยแล้วสบายใจนะ” อชิตะหัวเราะเบา ๆ น้ำเสียงครึกครื้นหากแต่วลีสุดท้ายฟังดูคล้ายจะทิ้งนัยยะอะไรบางอย่างแต่แทนขวัญก็ไม่ทันได้คิดอะไรเมื่อเขาลุกขึ้นยืนแล้วเปลี่ยนไปคุยเรื่องอื่นกะทันหัน

“เรื่องถ่ายปฏิทิน...ผมจะพาไปคุยรายละเอียดที่โรงพยาบาลพรุ่งนี้น้องขวัญสะดวกไหมครับ...สักสิบโมง คุยเสร็จแล้วก็จะได้ไปกินข้าวกลางวันต่อ”

“เอ่อ...ขวัญว่างอยู่แล้วล่ะค่ะแต่คุยงานอย่างเดียวก็น่าจะพอ ขวัญไม่อยากรบกวนเวลาของคุณหมอ”

“ไม่รบกวนหรอกครับ”

“แต่...” หญิงสาวรู้สึกเกรงใจจริงๆ ที่เขามาเป็นธุระปะปังในกิจของตน

“น้องขวัญ...รู้ไหมว่าเวลาผู้ชายชวนไปกินข้าวนั่นหมายความว่าเขาอยากทำความรู้จักเราให้มากกว่านี้ อย่าปฏิเสธเลยครับ...มันไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไรตกลงนะครับ...พรุ่งนี้สิบโมงผมไปรับที่บ้าน”

“ไม่ต้องหรอกค่ะ... ขวัญรู้จักโรงพยาบาล”

“ได้ยังไงล่ะ ผู้ชายที่ไหนกัน...ชวนสาวไปออกเดทแต่ไม่บริการแบบนั้นใช้ไม่ได้นะครับ”

แทนขวัญมองตามหมอหนุ่มที่เดินไปลาผู้อาวุโสแล้วขอตัวกลับไปด้วยความรู้สึกหลากหลายพยายามเรียบเรียงคำพูดที่ได้รับฟังเมื่อครู่ ไม่รู้ว่าควรจะรู้สึกอย่างไรระหว่างดีใจที่มีงานแถมยังมีคนเลี้ยงข้าว หรือตะขิดตะขวงใจกับคำพูดปะแล่ม ๆของหนุ่มมาดเนิร์ดคนนี้

วันรุ่งขึ้นอชิตะมาตรงเวลาเป๊ะแต่แทนขวัญยังแต่งตัวไม่เรียบร้อย หญิงสาวมองเสื้อผ้าหลายชุดที่วางเรียงกันบนเตียงอย่างตัดสินใจไม่ถูกว่าจะต้องแต่งกายอย่างไรถ้าอยู่ที่บ้าน มารดาก็เป็นคนจัดการให้ แทนดาวก็ออกจากบ้านไปซ้อมคอนเสิร์ตแต่เช้าส่วนรมย์นลินพี่สะใภ้ก็ลงไปดูแลคุณย่าตามกิจวัตรประจำวัน

“น้องขวัญ...คุณหมออชิมาแล้วนะคะพี่ให้รอที่ห้องนั่งเล่น กำลังคุยกับคุณย่าไปพลาง ๆแล้วนั่น...ยังไม่แต่งตัวอีกเหรอจ๊ะ” รมย์นลินมาตามน้องสาวก็เห็นว่ายังสวมเสื้อคลุมผ้าขนหนูอยู่

“ขวัญไม่รู้จะใส่ตัวไหนปรกติออกจากบ้านก็เสื้อยืดกางเกงยีนส์แค่นั้น”

“ไปกับคุณหมอ...พี่หมายถึงจะไปพบผู้ใหญ่ควรสวมเสื้อสีสุภาพหน่อย วันนี้ยังไม่ได้ออกภาคสนามไม่ใช่เหรอ ? พี่ว่าสวมกระโปรงจะดีกว่า เดี๋ยวพี่หาชุดสวย ๆของน้องพลูมาให้ แล้วก็แต่งหน้าเสียหน่อยให้ดูมีสีสันขึ้น”

รมย์นลินย์ยิ้มน้อย ๆ เมื่อเข้าใจปัญหาของน้องสาว ประกายแย้มยิ้มนั้นซ่อนความหมายบางอย่างแทนขวัญมองตัวเองในกระจกแล้วเริ่มลงมือแต่งแต้มสีสันบนใบหน้าถึงการจับแปรงพู่กันจะไม่ถนัดเท่าจับกล้องแต่ด้วยความเป็นผู้หญิงก็เลยพอทำเป็นอยู่บ้าง

“ทำไมมันฟูฟ่องแบบนี้ล่ะคะพี่แฟง ขวัญไปคุยงานเท่านั้นเองนะคะแล้วต้องใส่ไอ้นี่ด้วยเหรอ” แทนขวัญออกอาการแสยงนิด ๆเมื่อเห็นชุดที่พี่สะใภ้หยิบมา คิดว่ามันออกจะ ‘มากไป’ สักหน่อย ไหนจะที่คาดผมโบผ้าสีฟ้าประดับอีกชิ้น

“ก็จะได้เข้าชุดกันไงคะ สวมเสื้อสีครีมทับด้วย ดูน่ารักเหมาะกับการไปออกเดทเลยค่ะ”

“เอ๊ะ...ขวัญไปคุยงานนะ อย่าเข้าใจผิดสิคะ” แทนขวัญรีบแย้ง

“นั่นล่ะค่ะ ไปพบผู้ใหญ่แต่งตัวเรียบร้อยถูกกาลเทศะเข้าไว้ดีกว่าไหน...พี่หวีผมให้นะ”

รมย์นลินจัดแจงแต่งตัวให้น้องสาวเสร็จในเวลาไม่นานแทนขวัญรู้สึกเหมือนขาจะก้าวไม่ค่อยไปเมื่อถูกสายตาทอแสง

อ่อนโยนหลังกรอบแว่นจับจ้องตั้งแต่ประตูจนมานั่งลงใกล้ๆ กัน

“ทำตัวดี ๆ ล่ะเจ้าขวัญอย่าก่อเรื่องให้คุณหมอเขา เจ้าขวัญกับเจ้าพลูเหมือนกันอยู่อย่าง...ทำอะไรหยิบโหย่งกระดกกระด้นโด่ ฝากคุณหมอดูแลด้วยนะ”คุณลำเภาฝากฝังหลานสาวกับหมอหนุ่มที่ค้อมศีรษะรับปากเป็นมั่นเหมาะ

“รับรองว่าจะดูแลอย่างดีครับ”

พออยู่ด้วยกันบนรถตามลำพัง แทนขวัญก็พยายามทำตัวให้หดลีบที่สุดบอกไม่ถูกว่ารู้สึกอย่างไร ณ ตอนนี้ สายตาราบเรียบหลังกรอบแว่นของอชิตะทอดมองคนข้างๆ นิ่งอยู่ชั่วขณะ สีหน้าระบายรอยยิ้มเสริมให้ใบหน้าสะอาดสะอ้านแลดูอ่อนเยาว์ขึ้น

“วันนี้ดูเป็นผู้หญิงจังเลยนะครับ”

คำทักทายประโยคแรกทำให้คนให้ฟังตึงขึ้นมาเล็กน้อยแทนขวัญไม่รู้หรอกว่าผู้ชายควรจะต้องใช้คำพูดอย่างไรในการเริ่มบทสนทนากับผู้หญิง แต่ที่แน่ๆ ประโยคเมื่อกี้มันฟังไม่ค่อยรื่นหูนัก

“วันอื่นดูเป็นผู้ชายเหรอคะ ถึงขวัญจะชอบแต่งตัวเซอร์ ๆ แต่ก็ไม่ได้เป็นทอมนะ”

“ผมก็ไม่ได้หมายความอย่างนั้นนี่ครับ อย่าทำหน้างอสิ ก็วันนี้ดูแปลกตาไปเปลี่ยนแนวจากตากล้องกระฉับกระเฉงเป็นเจ้าหญิงผู้เลอโฉมก็เลยไม่ชินตาไอ้ครั้นจะชมว่าสวยตรง ๆ ก็กลัวน้องขวัญจะหาว่าผมเกี้ยว”

“คนเป็นหมอเนี่ย...พูดอะไรเข้าใจยากจังนะคะ”หญิงสาวค้อนหน้าหงิก จะชมว่าสวยก็บอกตรง ๆ ไม่ได้เสียทีเดียว ต้องพูดวกอ้อมให้ต้องย้อนกลับมาตีความกันทีหลัง

“งั้นพูดตรง ๆ ก็ได้ วันนี้น้องขวัญสวยจังขอบคุณนะครับ...ที่แต่งตัวสวย ๆ ออกมากับผม”

ในเนื้อเสียงอ่อนโยนแฝงรอยประทับใจของคนพูดทำให้คนถูกชมรู้สึกขนลุกซู่นัยน์ตาดำขลับแอบชำเลืองมองมองซีกหน้าคนข้าง ๆ แล้วความขัดเขินบวกประหม่าก็บังเกิดขึ้นจนหันต้องหันมองออกไปนอกหน้าต่างทั้งคู่ไม่พุดอะไรกันอีกจนมาถึงโรงพยาบาลประชาเวช สายตาหลายคู่จากพยาบาลและแพทย์ด้วยกันมองมาแปลกๆ จนหญิงสาวยิ่งรู้สึกอึดอัด การเดินเคียงข้างบุรุษที่ทรงความภูมิฐานเช่นนี้ทำให้อยากจะแปลงร่างเป็นแมลงวันบินตามเขาไปเสียยังจะดีกว่า

“คนนี้น่ะเหรอ ?”

แทนขวัญได้ยินเสียงใครคนหนึ่งพูดไล่หลังมาหลังจากที่แวะทักทายกลุ่มพยาบาลตรงจุดประชาสัมพันธ์ความข้องใจเกิดขึ้นจนอดไม่ได้จะรั้งแขนหมอหนุ่มให้หยุดคุยกันก่อน

“พวกเขามองขวัญแปลก ๆ ค่ะ ขวัญรู้สึกแบบนั้น”

“ไม่มีอะไรหรอกนะ พี่ ๆ เขาคงตกอกตกใจกันเล็กน้อย เพราะผมไม่เคยพาใครมาที่นี่เลยไม่เคยเดินกับใครนอกจากญาติกับคนไข้ แต่ต่อไป...เขาก็จะได้เห็นจนชิน” อชิตะพูดเนิบๆ ตามแบบฉบับ สายตาอบอุ่นบวกน้ำเสียงอ่อนโยนพูดให้กำลังใจแต่ก็ทำให้คนฟังหน้าร้อน

“ไปต่อเถอะครับ ท่านรอง ผ.อ. รออยู่” ชายหนุ่มเดินนำไปขึ้นลิฟท์สำหรับเจ้าหน้าที่พอเดินผ่านวอร์ดก็ยังมีสายตาและเสียงทักทายไม่ขาด บางคนก็ใจกล้าก็ถามกันตรง ๆว่าพาใครมา อชิตะก็ตอบเพียงสั้น ๆ ประกอบรอยยิ้มสุภาพว่าเป็นช่างภาพ

ทั้งคู่เดินมาถึงห้องทำงานของของพบแพทย์หญิงท่านหนึ่งสตรีร่างเล็กบอบบางหน้าตาใจดีสวมแว่นตากรอบทองรีบละมือจากคอมพิวเตอร์เบื้องหน้ามาส่งยิ้มให้แล้วรีบเชื้อเชิญให้นั่งแทนขวัญแอบสังเกตว่าท่านรองผู้อำนวยการโรงพยาบาลมีใบหน้าที่ช่างละม้ายคล้ายกับอชิตะหลายจุดทีเดียว

“น้องขวัญ...นี่อาจารย์หมองามตา” หญิงสาวยกมือไหว้อย่างนอบน้อม

“สวัสดีจ้ะหนูขวัญ เป็นไงคะ..พี่อชิแกล้งอะไรหรือเปล่า”คำทักทายเป็นกันเองของแพทย์หญิงงามตาทำให้หญิงสาวรู้สึกสะดุดอยู่ในใจ ทั้งสรรพนามที่ใช้เรียกตนหรือเรียกบุตรชายก็ดีทำให้รู้สึกว่ารู้จักมักคุ้นกันมานานเหมือนญาติจนน่าแปลกใจ

“ทุกอย่างเรียบร้อยดีค่ะ...คุณหมอ”

“อุ๊ย...เรียกป้าดีกว่าจ้ะพี่อชิเล่าให้ฟังหรือยังว่าป้าเป็นคนทำคลอดพี่สาวหนู...ใบพลูน่ะค่ะ” ความรู้ใหม่ทำให้สาวน้อยต้องหันไปมองคนข้างๆ ที่ส่งยิ้มรออยู่ก่อนแล้ว อชิตะเลิกคิ้วน้อย ๆ เหมือนจะถามว่า

“แปลกใจไหมล่ะ”

“หนูไม่ทราบมาก่อนเลยค่ะ พี่ใบพลูก็ไม่เคยเล่าให้ฟัง”

“เอ...เห็นว่าจบการถ่ายภาพเหรอจ๊ะ ลูกสาวบ้านนี้เก่งศิลปะกันทุกคนเลยเนอะ”ท่านรองฯ ยังชวนคุยต่อด้วยท่าทางเป็นมิตร จนกระทั่งอชิตะเห็นว่าผู้อาวุโส ‘ซัก’ ผู้น้อยจนพอใจก็ขอตัวออกมา

“เดี๋ยวว่าง ๆ จะมาคุยใหม่นะครับขอพาน้องขวัญไปคุยงานก่อน”

เขาลุกขึ้นเป็นสัญญาณให้คนข้าง ๆลุกตามออกมา สายตาขี้สงสัยของแทนขวัญสะดุดเข้ากับกรอบรูปไม้ขนาดกลางบนตู้หนังสือข้างหลังโต๊ะทำงานในภาพเป็นรูปครอบครัวของแพทย์หญิงหน้ามหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในต่างประเทศ ชายหนุ่มที่อยู่ตรงกลางคืออชิตะในชุดครุยยืนกอดใบปริญญาบัตรทุกคนสวมแว่นสายตา พอออกมาจากห้องนั้นเลยอดไม่ได้ที่จะเหลียวกลับมาอ่านป้ายชื่อที่ติดไว้บนประตูบานเลื่อนว่ารศ. พญ. ดร. งามตา รัษฎากร

“เมื่อกี้ก็ลืมบอกเรื่องสำคัญไป อาจารย์หมอเป็นแม่ผมเอง”หมอหนุ่มชิงตอบข้อสงสัยในแววกังขาจากสายตาคู่นั้น เพียงเท่านี้แทนขวัญก็ถึงบางอ้อว่าทำไมท่านจึงเรียกตนอย่างสนิทสนมตอนนี้จึงมีอีกคำถามหนึ่งเกิดขึ้นในใจ

“เขาพาเรา...มาพบแม่ของเขาหมายความว่ายังไงกัน ?”

“ท่านดูใจดีจังเลยนะคะ”

“คุณแม่เป็นคนใจดีและใจเย็นเหมือนพี่นี่แหละ อ้อ...พี่ขอแทนตัวเองแบบนี้นะเพราะเมื่อกี้อาจารย์หมอยังให้น้องขวัญเรียกท่านว่าป้าเลย ส่วนน้องขวัญก็เรียกพี่ว่าพี่อชิด้วยนะ...จะได้สนิทสนมกันมากขึ้นที่พามานี่ก็อยากแนะนำให้คุณแม่รู้จักกับ...หลานสาวคุณอาเที่ยงธรรม”

คำตอบนั้นทำให้คนฟังแอบใจแห้งเหี่ยวอยู่นิดๆ ซึ่งแทนขวัญก็ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงต้องรู้สึกแบบนั้นด้วย แต่ถ้าจะคิดมากไปเองก็คงไม่งามนักอชิตะอาจจะแค่เห็นว่าหล่อนเป็นคนตระกูลทวีกิจเลยพามาแนะนำตัวพอเป็นพิธี หรือใจจริงแล้วอยากให้เขาแนะนำในฐานะอื่นมิใช่เพียงแค่คนรู้จัก

“แล้ววันนี้พี่อชิไม่ออกตรวจเหรอคะ”แทนขวัญถามต่อ

“วันนี้พี่ลาครับ ตั้งใจมาดูแลน้องขวัญเต็มที่”

“คะ แทนขวัญหยุดอยู่กับที่แล้วเอียงหน้ามองคนพูดเหมือนได้ยินไม่ค่อยถนัด

“ก่อนออกมาพี่บอกคุณย่าแล้วไงว่าจะดูแลน้องขวัญอย่างดีวันนี้พี่ก็เลยลางานมาไง เอาล่ะ..คราวนี้ไปคุยเรื่อง

งานจริงๆ สักที”

การเจรจาผ่านไปได้ด้วยดีและใช้เวลาไม่นานนักเพราะรูปแบบการถ่ายภาพก็เป็นแนวที่แทนขวัญถนัดอยู่แล้วจากนั้นทั้งคู่ก็ออกไปออกไปรับประทานอาหารที่ห้างสรรพสินค้าใกล้ ๆ เขาทำให้หญิงสาวประหลาดใจอีกหนตอนที่เลือกเข้าร้านอาหารเกาหลีเจ้าประจำที่ต้องแวะมาทุกครั้งเวลาลงมากรุงเทพแถมยังสั่งอาหารเมนูโปรดให้เสียด้วย

“พี่อชิทราบได้ยังไงคะ ? ว่าขวัญชอบกิน”

“หืม...บังเอิญจัง เห็นในรูปมันน่ากินดีก็เลยสั่งให้ไม่รู้ว่าเป็นของชอบของน้องขวัญ” สายตาอ่อนโยนหลังกรอบแว่นซ่อนรอยขบขันรอยยิ้มอบอุ่นระบายอยู่บนใบหน้ากระจ่างโดยไม่รู้ตัวยิ่งพอนึกถึงอุบัติเหตุที่ทำให้ได้รู้จักหล่อนในวันนั้นก็ยิ่งยิ้มกว้างขึ้น

“ขวัญคิดว่า...มันจะบังเอิญเกินไปหน่อยไหม” หญิงสาวก้มหน้าจิบน้ำชาเพื่อหลบสายตาแปลกๆ หลังเลนส์ใส

“เออนี่...พี่อยากได้กล้องตัวเล็กๆ ใช้งานง่ายสักตัว อีกสองเดือนต้องไปอบรมที่ต่างประเทศ กล้องที่ใช้อยู่มันใหญ่ไปพกไม่สะดวกน้องขวัญช่วยดูให้พี่หน่อยได้ไหมครับ” คำถามนี้ปลุกความกระตือรือร้นของคนที่นั่งเงียบราวมีใครไปกดเปิดสวิตช์แล้วจากนั้นบทสนทนาระหว่างมื้ออาหารก็มีแต่เสียงแจ๋ว ๆของแทนขวัญที่สาธยายรายละเอียดกล้องถ่ายรูปรุ่นต่าง ๆ ให้คู่สนทนาฟัง พอรับประทานเสร็จทั้งคู่ก็ไปเลือกดูกล้องโดยมีแทนขวัญเป็นผู้เชี่ยวชาญเลือกรุ่นที่ตอบโจทย์ความต้องการของหมอหนุ่มทุกประการ

“น้องขวัญ...เอาไอศกรีมไหมครับ” อชิตะถามอีกขณะกำลังจะเดินผ่านร้านไอศกรีมที่มีลูกค้าต่อคิวอยู่สี่ห้าคนร้านนี้ลูกค้าสามารถเลือกส่วนผสมเองได้ตามใจชอบ แทนขวัญพยักหน้าเร็ว ๆแล้วไปยืนต่อคิว พอถึงตาตัวเอง...ชายหนุ่มกลับสั่งแทนอย่างคล่องแคล่ว

“สตรอว์เบอรี่โยเกิร์ตท้อปปิ้งอัลมอนด์กับคาราเมล”

“โห...พี่อชิ...อย่าบอกนะคะว่าสั่งไปงั้นๆ แล้วบังเอิญตรงกับที่ขวัญชอบ” คนขี้สงสัยดักคอ

“แล้วน้องขวัญอยากให้มันเป็นความบังเอิญหรืออยากให้พี่รู้จริงๆ ว่าเราชอบหรือไม่ชอบอะไร”

“หมายความว่ายังไงคะ ?”

“ก็หมายความว่า ถ้าอยากให้รู้จริงๆ...ก็ต้องให้เวลาพี่ในการศึกษา น้องขวัญจะโอเคหรือเปล่าครับ”

คำถามทีเล่นทีจริงบวกกับประกายตาบางอย่างทำให้คนถูกถามอึ้งอีกรอบมือถือโคนไอศกรีมค้างอยู่ในท่านั้นขณะที่ในหัวเต็มไปด้วยคำถามมากมาย หญิงสาวจ้องมองอีกฝ่ายนิ่งนานเหมือนรอให้เขาทวนคำพูดอีกครั้งหมอหนุ่มไม่ว่าอะไรต่อนอกจากคว้าข้อมือข้างที่ว่างให้เดินต่อไป

“ขวัญเดินเองได้ค่ะ”แทนขวัญหยุดและพยายามปลดมือออก

“คราวก่อนน้องขวัญจูงมือพี่คราวนี้ขอทำหน้าที่นั้นเป็นการตอบแทนความมีน้ำใจเอื้อเฟื้อต่อคนสายตาสั้นนะครับพี่จะบอกอะไรให้อีกอย่างนะ...ทีแรกตั้งใจจะไปทำเลสิกให้สายตากลับมาปรกติ แต่พอคิดๆ ดูอีกทีแล้วเนี่ย...สวมแว่นแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน เผื่อวันไหนแว่นหายหรือหักอีกน้องขวัญจะได้จูงมือพี่แบบวันนั้นไง”

แทนขวัญได้แต่อ้ำอึ้งไม่คิดว่านายแพทย์มาดนิ่งจะมีกลเม็ดเด็ดพรายในการจีบสาวได้...จะว่าเนียนก็เนียนจะว่าเชยก็เชยสะบัดทีเดียว แต่อารมณ์ข้องใจที่เขา ‘บังเอิญ’ รู้รสนิยมส่วนตัวของตนยังคงค้างคาใจ หล่อนเชื่อว่าเรื่องนี้ต้องมีเงื่อนงำและต้องได้รับการพิสูจน์โดยเร็วดังนั้นก่อนกลับจึงแกล้งชวนเขาไปซื้อของที่มั่นใจว่าอีกฝ่ายไม่รู้แน่

“ขอแวะซื้อการ์ตูนแป๊บนึงนะคะเล่มใหม่วางแผงวันนี้พอดี”

“เรื่องอะไรเหรอ”ชายหนุ่มทำหน้าอยากรู้มากซึ่งก็เข้าทางคนพูด

“อ้าว ! ขวัญก็นึกว่า...บังเอิญ...พี่อชิจะรู้เสียอีก”

หญิงสาวแกล้งลงเสียงหนักขณะมองอีกฝ่ายอย่างกดดันเพื่อให้ตอบคำถามหมอแว่นทำท่าครุ่นคิดทบทวนอย่างหนักแล้วก็ส่ายหน้าอย่างจนปัญญาจริง ๆ

“เรื่องนี้พี่ยอมแพ้ มองข้ามไปได้ยังไง...น้องพลูก็ไม่ได้บอก”

“นึกแล้วเชียว พี่พลูนะ...พี่พลู!”

การถ่ายรูปในวันถัดมาดูเหมือนจะเรียบร้อยดีแต่ทว่ามีอุปสรรคเล็กน้อยแต่ก็หนักพอดูนั่นก็คือ ฝนเจ้ากรรมดันเทลงมาแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยแทนขวัญที่กำลังถ่ายภาพกลางแจ้งต้องหยุดทุกอย่างรีบวิ่งเข้ามาหลบในเพิงพักใกล้ ๆไอ้ครั้นจะวิ่งฝ่าสายฝนเข้าตึกไปก็ยากยิ่ง เพราะถ้ากล้องโดนฝนก็จะเสียหายหนักมากหญิงสาวพยายามเอาตัวบังกล้องถ่ายรูปสุดหวงไม่ได้โดนละอองน้ำ

“น้องขวัญ...พี่มารับแล้ว ”

เสียงตะโกนเรียกชื่อแข่งกับสายฝนทำให้แทนขวัญยิ้มอย่างมีความหวังอชิตะเดินกางร่มคันใหญ่ฝ่าสายฝนมายังเพิงพัก หญิงสาวถอดเสื้อแจ็คเก็ตหุ้มห่อกล้องแสนรักเอาไว้มิดชิดตัวเปียกไม่เป็นไร แต่กล้องห้ามมีอันเป็นไป

“มาอยู่ข้างหลังพี่...จะได้ไม่โดนสาด”

อชิตะเดินเยื้องไปข้างหน้านิดหน่อยใช้ร่างสูงบังตัวแทนขวัญไว้หญิงสาวกอดกล้องแน่นขณะเดินตามเขาอย่างใกล้ชิดน้ำฝนที่เจิ่งบนพื้นทำให้ลื่นจนเกือบเซ ดีที่เขาจับแขนไว้ได้แล้วเลยจูงมือเดินไปอย่างระมัดระวัง

“ขอบคุณนะคะ”แทนขวัญเอ่ยขอบคุณจากใจจริงที่เขาเสียสละเอาตัวบังละอองฝนให้จนตัวเองเปียกแทน อชิตะถอดแว่นตาที่มีหยดน้ำฝนมาเกาะมาเช็ดกับเสื้อเชิ้ตที่เปียกเป็นวงกว้าง

“ไม่เป็นไรครับพี่ห่วงว่ากล้องจะเสียหาย ได้ข่าวว่าแพงมากนี่...พี่คงจ่ายค่าซ่อมให้ไม่ไหว”ชายหนุ่มบอกยิ้ม ๆ พลางสวมแว่นตากลับที่เดิม แทนขวัญค้อนขวับ

“สงสัยคงไม่จบวันนี้แน่ค่ะ ฟ้ารั่วแบบนี้แสงไม่พอแน่ต้องรอลุ้นว่าฝนหยุดแล้วจะมีแดดไหม”

“ไม่เป็นไรหรอกครับมีเวลาเหลือเฟือ ฝนตกหนัก ๆ แบบนี้ทุกวันก็ดีเหมือนกัน ถึงงานไม่เสร็จ...แต่ก็ทำให้พี่ได้เจอน้องขวัญถี่ขึ้น” อชิตะพูดเรียบเรื่อย ไม่สนใจคนฟังว่าจะกระอักกระอ่วนกับคำพูดกำกวมมากน้อยเพียงใด

ในเมื่อฝนฟ้าไม่ใคร่เป็นใจงานถ่ายภาพจึงต้องยืดต่อเป็นวันที่สอง แทนขวัญถึงกับยกมือไว้ขอพรจากศาลพระภูมิว่าขออย่าให้ฝนตกและดูเหมือนว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็อำนวยพรตามคำขออย่างดีแดดใสเปรี้ยงตลอดวันเช่นนี้ย่อมเป็นสุดยอดปรารถนาของช่างภาพทุกคน

“ภาพสวยมากเลยน้องขวัญหามุมกล้องเก่งจัง ขนาดรูปถังขยะยังสวยเลย” อชิตะมายืนดูแทนขวัญเปิดดูภาพจากคอมพิวเตอร์พกพาคำชื่นชมแกมขบขันของหนุ่มมาดเนิร์ดทำให้เจ้าของผลงานต้องหันกลับมามองตาเขียว

“ขวัญลองวัดแสงต่างหาก...ไม่ได้ถ่ายจริง”พอพูดจบก็จามฟิดจนตัวโยก

“หวัดถามหาแล้วล่ะสิแต่ไม่น่าห่วง ฉีดวัคซีนสักเข็มก็หาย”

“ขวัญไม่ฉีดยานะ” หญิงสาวรีบออกตัวทำให้คนฟังหัวเราะออกมาเบาๆ

“น้องขวัญกับน้องพลูนี่กลัวทั้งเข็ม..กลัวทั้งผีเหมือนกันเลยนะว่าแต่วันนี้...พี่เหลือคนไข้นัดอีกคนเดียว เดี๋ยวจบเคสแล้วไปหาอะไรกินกันนะครับ”

“คงไม่ได้หรอกค่ะขวัญบอกที่บ้านว่าถ่ายรูปเสร็จจะกลับเลย ไม่ได้บอกว่าจะไปไหนต่อ...เดี๋ยวป้าทิพย์ดุเอา”

“ครับผม” หมอหนุ่มตอบรับเพียงสั้นๆ

แทนขวัญเอารูปให้เจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบโปรเจคเลือกจนพอใจก็เตรียมเก็บของกลับบ้านพอดีกับที่อชิตะเดินกลับเข้ามาในห้องพักแพทย์ที่อนุญาตให้หญิงสาวใช้เป็นห้องทำงานชั่วคราว

“ขวัญเสร็จงานแล้วนะคะพี่อชิ เหลือแค่แต่งภาพเสร็จแล้วจะเอาซีดีมาให้”

“จะรีบไปไหนล่ะจ๊ะไปกินข้าวกับป้าก่อนสิคะ เดี๋ยวให้พี่อชิไปส่ง”

ทีแรกหญิงสาวพูดโดยไม่หันกลับไปมองจึงไม่รู้ว่าอชิตะไม่ได้มาคนเดียวพอหันกลับมาก็ต้องรีบยกมือไหว้แพทย์หญิงงามตามารดาของเขาสตรีร่างเล็กยิ้มแย้มแจ่มใสใจดีจนแทนขวัญรู้สึกผิดที่ต้องตอบปฏิเสธ

“ขวัญต้องขอประทานโทษจริง ๆ ค่ะวันนี้เรียนคุณป้าว่าจะกลับบ้านทันทีพอถ่ายงานเสร็จขวัญไม่ได้บอกล่วงหน้าไว้ก่อนว่าจะไปไหน...เดี๋ยวท่านจะตำหนิเอาค่ะ”

“ไม่ต้องกังวลเรื่องนั้นเลยป้าโทรบอกคุณดวงทิพย์แล้วเมื่อกี้ว่าจะพาหนูขวัญไปกินข้าวด้วย ไปนะคะ...หมออชิจองโต๊ะไว้แล้วด้วย”

แทนขวัญมองหน้าอชิตะอย่างรู้ทัน ส่วนคนชวนก็ยิ้มอย่างสมหวังที่สาวน้อยไม่อาจปฏิเสธได้อีกต่อไปพอไปถึงร้านอาหารก็พบว่าไม่ได้มีแค่สามคนแต่ยังมีชายวัยเลยกลางคนมาด้วยแต่ไม่ว่าจะเป็นใครหญิงสาวก็ยกมือไหว้อัตโนมัติก่อนที่อชิตะจะแนะนำเสียอีก

“หลานสาวอาธรรมครับพ่อ...ชื่อแทนขวัญ”

“อ้อ...คนนี้นี่เอง ไหน...อชิเขาว่าหนูได้ทุนไปเรียนถ่ายภาพที่เมืองนอกเลยเหรอ”

คุณบันลือชัยมีท่าทางใจดีมากเช่นกันแล้วจากนั้นบทสนทนาสัพเพเหราก็ดำเนินไปเรื่อย ๆ โดยมีอชิตะคอยช่วยตอบคำถามเวลาที่หญิงสาวตื่นเต้นหรือประหม่าจนพูดไม่ออกแทนขวัญพยายามคิดกลาง ๆว่าที่เขาพามาพบครอบครัวอาจจะเป็นเพียงแค่ความสนิทสนมของผู้ใหญ่ มิใช่การ ‘ดูตัว’ หรือ ‘เปิดตัว’ อะไรทำนองนั้น ความคิดวอกแวกเล็ก ๆกลับทำให้เกิดริ้วความประหม่าบนวงหน้าเนียนอย่างช่วยไม่ได้ และมันก็ไม่พ้นสายตาคนละเอียดอย่างหมอหนุ่มไปได้

“ไม่ต้องเขินหรอกครับ ทำตัวสบาย ๆดูทีแล้วพ่อกับแม่พี่จะเอ็นดูน้องขวัญพอดู”

“รู้ได้ยังไงคะ...ว่าท่านเอ็นดู”

“คอยดูต่อไปสิ”

“อชิพาน้องขวัญไปเที่ยวบ้านบ้างสิลูกไปกินข้าวที่บ้านบ้าง อีกตั้งสองเดือนกว่าจะเดินทางไม่ใช่เหรอ”

แพทย์หญิงงามตาบอกลูกชายด้วยอาการยิ้มแย้มเต็มที่แล้วท่านทั้งสองก็ผลัดกันชวนคุยต่อเรื่อยๆ อชิตะเหลือบมองสาวน้อยที่นั่งฟังอย่างเรียบร้อยพร้อมกับขยิบตาสีหน้าสุภาพเรียบเรื่อยตอนอยู่โรงพยาบาลดูลิงโลดราวหนุ่มน้อยวัยใส

“เห็นไหมล่ะ”

นับจากวันนั้นดูเหมือนว่าหมอหนุ่มแว่นหนาคนนี้ได้เข้ามาอยู่ในวงเวียนชีวิตของช่างภาพสาวไปโดยปริยายเขาถามตัวเองหลายครั้งจนมั่นใจว่าแทนขวัญคือคนพิเศษ สตรีที่เขาพึงใจไม่ต้องมากด้วยคุณคุณสมบัติครบครันหรือความมีวัยวุฒิและคุณวุฒิเสมอกันแต่สิ่งสำคัญที่คน ๆ นั้นจะต้องมีคืออยู่ด้วยแล้วสุขกายสบาย ซึ่งแทนขวัญจะช่วยระบายชีวิตอีกมุมหนึ่งให้มีสีสันสดใสความร่าเริงและเป็นตัวของตัวเองเหมือนเส้นสีในสายรุ้งที่ดึงดูดให้เขาตกหลุมรักจนมิอาจปีนขึ้นได้อีกแล้ว

จนก่อนถึงวันเดินทาง ทั้งคู่ก็ไปรับประทานอาหารเย็นด้วยกันและนั่งฟังเพลงเป็นการเลี้ยงอำลาแทนขวัญรู้สึกใจหายที่จะไม่ได้เจอกันอีกนานนับปีแต่ก็พยายามฝืนยิ้มสดใส

“ขอบคุณที่มาส่งนะคะแล้ว...พรุ่งนี้พี่อชิจะไปส่งขวัญไหม”

“พี่จะไปส่ง”ชายหนุ่มตอบเสียงนุ่มแล้วเอื้อมมือไปหยับบางสิ่งจากที่นั่งด้านหลัง

“จำสิ่งนี้ได้หรือเปล่าครับ ตอนงานแต่งคุณหมากน้องขวัญลืมมันไว้กับพี่ ก็เลยเก็บเอาไว้เผื่อได้เจอเจ้าของอีก”

ในมือของเขาคือช่อดอกไม้เจ้าสาวแห้งกรอบจนเป็นสีน้ำตาลน้ำเสียงสุภาพอ่อนโยนและสายตาประหลาดล้ำลึกทอดมองสาวน้อยตรงหน้าอย่างมีความหมายจนแทนขวัญเริ่มใจสั่นรัวขึ้นเหมือนใครไปปรับปุ่มเพิ่มระดับนัยน์ตาสุกสกาวจ้องมองช่อดอกไม้แห้งกรอบที่แย่งมาได้เมื่อหลายเดือนก่อนอยู่นาน ถึงแม้ว่ามันจะเหี่ยวแห้งไปตามธรรมชาติแต่ว่าในความรู้สึก ณ ตอนนี้ สีสันของมันยังคงสดใส กลิ่นหอมอ่อน ๆยังคงโชยกรุ่นกำจาย ที่เขาว่า...ความรักเหมือนน้ำทิพย์ชโลมใจ ทำให้สรรพสิ่งดูงดงามและมีชีวิตชีวาไปหมดนั้นมันคือความรู้สึกที่เป็นอยู่ในขณะนี้หรือไม่

“ขวัญนึกว่าพี่อชิจะทิ้งไปแล้วซะอีกวันนั้นก็ลืมไปเสียสนิทเลย”

“พี่ทิ้งไม่ได้หรอกครับเพราะดอกไม้ช่อนี้เราถึงได้มาพบกัน รู้จักกันในวันนี้น้องขวัญยังจำคำถามของพี่ได้ไหม ที่ถามว่า...จะเต็มใจหรือเปล่าถ้าพี่จะขอเวลาในการศึกษาและทำความรู้จักตัวน้องขวัญให้มากกว่านี้”

มือขาวสะอาดวางทาบบนมือนุ่มที่กำช่อดอกไม้อยู่สัมผัสแผ่วเบาและอ่อนโยนนำพาความรู้สึกอบอุ่นอวลอยู่ในหัวใจดวงน้อย ดวงตาประกายลึกซึ้งสองคู่สบตากันนิ่งนานจนฝ่ายชายเริ่มเปลี่ยนอิริยาบถอชิตะดึงแว่นสายตาออกจากใบหน้าสะอ้าน เผยให้เห็นนัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มปราศจากสิ่งบดบังใบหน้าขาวสะอาดก้มต่ำลงมาทุกทีจนในที่สุดปลายจมูกใหญ่ก็แตะลงบนหน้าผากมนแผ่วเบาแทนขวัญตัวชา มือไม้เกร็งไปหมด รู้สึกร้อนผ่าวบริเวณที่ถูกสัมผัสยิ่งพอเงยหน้ามาประสานกับประกายตาระยับไร้กระจกเลนส์บังแบบนี้ก็ยิ่งใจหวิว

“ตกลงนะครับ ?”

“ไปศึกษาวิธีการใช้กล้องให้ปรุก่อนเถอะค่ะแล้วค่อยมาศึกษาตากล้อง”

แทนดาวนั่งดูน้องสาวจัดข้าวของชุดสุดท้ายลงกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ลักษณะซึมเซาเช่นนี้ชวนให้สงสัยว่าคนที่สนุกสนานเฮฮาน่าจะมีอาการดีอกดีใจหรือตื่นเต้นบ้างที่ต้องออกเดินพรุ่งนี้แล้วแต่ทว่าแทนขวัญยังคงเก็บข้าวของไปแบบเรื่อย ๆ เฉื่อย ๆ

“เช็คของดีแล้วนะน้องขวัญ แล้วก็รีบเข้านอนเถอะพรุ่งนี้ต้องออกแต่หัวเช้า”

“ถ้าลืมอะไรไว้ก็ฝากพี่พลูเก็บตกให้ด้วยก็แล้วกันพี่พลูจะไปเมื่อไหร่นะ”

“ก็กำหนดการเดิมแหละ ไป ๆ มา ๆเหลือพี่กับเฮียบุ้งไปกันสองคน พี่แฟงใกล้คลอดเต็มที พี่หมากเลยไปไม่ได้อ้อ...ว่าจะชวนพี่ผึ้งแวะไปหาน้องขวัญด้วยกัน” แทนดาวช่วยน้องสาวลากกระเป๋าเดินทางไปกองรวมกับใบอื่นๆ ตรงมุมห้อง

“พี่พลูว่าเฮียบุ้งจะขอพี่ผึ้งแต่งงานไหม”

“ไม่รู้สิแต่พี่ก็จะยุให้เฮียบุ้งขอ เดี๋ยวพี่ผึ้งเจอหนุ่มฝรั่งแล้วใจเขว”

“ไม่น่าเชื่อเลยนะคะ พี่ผึ้งกับเฮียบุ้ง...ต่างกันสุดขั้วยังลงเอยกันได้”น้ำเสียงของลูกผู้น้องฟังดูเบื่อหน่ายและตัดพ้ออยู่ตัวเองน้อย ๆจนคนฟังจับอาการได้และมั่นใจว่าคนพูดย่อมมีอะไรในใจแทนดาวดึงมือน้องสาวให้นั่งลงเพื่อที่จะได้พูดกันเปิดอกตามประสาผู้หญิง

“น้องขวัญ...พี่อชิจริงจังกับน้องขวัญมากนะแล้วเราล่ะ...รู้สึกยังไง”

มาถึงวันนี้แทนขวัญไม่อาจปฏิเสธตัวเองได้อีกแล้วว่าคิดกับหนุ่มมาดเนิร์ดพิเศษกว่าบุรุษคนอื่น แต่ความกังวลใจบางอย่างเป็นเครื่องกีดขวางจนไม่กล้าที่จะเปิดใจได้เต็มที่นักหญิงสาวพิจารณาแล้วว่า ช่างภาพกับแพทย์มันไม่น่าจะไปด้วยกันได้ อชิตะมีหน้าที่รับผิดชอบยิ่งใหญ่โดยไม่อาจละทิ้งส่วนแทนขวัญ...การถ่ายภาพคืองานที่ต้องการอิสระ สามารถท่องไปได้ในทุก ๆ ที่หล่อนคงไม่อาจขอให้เขาละทิ้งหน้าที่เพื่อออกตะเวนไปทั่วร้อยเอ็ดเจ็ดคุ้งน้ำด้วยกันความสัมพันธ์จึงควรสิ้นสุดเพียงเท่านี้ เมื่อหล่อนก้าวขึ้นเครื่องบินในวันรุ่งขึ้นทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นตลอดสองเดือนจะเป็นเพียงแค่ความทรงจำดี ๆ

“ขวัญก็อยากจะรู้สึกดี ๆกับพี่อชิให้มากกว่านี้ แต่พี่พลูก็เห็นไม่ใช่เหรอ...ว่าเราคงไปด้วยกันไม่ได้พี่อชิควรจะเจอคนที่สมน้ำสมเนื้อกันมากกว่านี้ขวัญไม่มีอะไรที่เหมาะกับเขาเลยนะคะ” แทนดาวบีบมือน้องอย่างให้กำลังใจกึ่งปลอบอย่างคนที่เข้าอกเข้าใจและผ่านประสบการณ์ที่คล้ายๆ กันมาก่อน

“น้องขวัญ...กว่าที่พี่กับพี่ชลจะลงเอยกันได้มันไม่ง่ายเลยนะ เราสองคนแตกต่างกันทั้งวัย งาน วิถีชีวิตและทัศนคติ ไม่มีอะไรเหมือนกันสักอย่างเดียวแต่เราเปิดใจที่จะเรียนรู้ซึ่งกันและกัน ใช้เวลาปรับจูนอยู่นานจนมันลงตัวอย่ากังวลในสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้นเลยนะ ลองศึกษากันไปเรื่อย ๆแล้วทุกอย่างมันจะเข้าที่เข้าทางของมันเอง”

สมาชิกครอบครัวส่วนหนึ่งมาส่งแทนขวัญที่สนามบินในตอนเช้ามืดแต่ทั้งหมดทั้งมวลก็ไม่อาจลดความกระวนกระวายใจของหญิงสาวได้เลย นัยน์ตาโตเจือรอยอ่อนเพลียมองหาคนที่สัญญาว่าจะมาส่งอยู่เป็นนานแล้วแต่ก็ยังไม่เห็นแวว

“เขาบอกขวัญว่าจะมา เมื่อวานนี้ก็รับปากดิบดีถ้ามีเคสด่วนก็น่าจะโทรมาบอกกันก่อน ไม่ใช่ให้รอแบบนี้”

“ใจเย็นก่อนสิจ๊ะพี่ว่าเขากำลังมา ยังมีเวลาเหลืออีกตั้งนานนะขวัญ พี่ว่า...ไปนั่งรอก่อนดีกว่า” แทนดาวปลอบน้องสาวที่เริ่มออกอาการโยเยหน้าบึ้งตึง มันทำให้นึกถึงตัวเองเมื่อก่อนที่ยังเอาแต่ใจไม่ยอมโตหวังว่าอชิตะจะช่วยกล่อมเกลาน้องสาวคนนี้ให้เป็นผู้ใหญ่ขึ้นเหมือนตัวเองที่เคยเข้าคอร์ส‘ดัดนิสัย’ของคู่หมั้น

“เอาค่าขนมติดกระเป๋าไปนะน้องขวัญ”เทียมภพยื่นธนบัตรปึกหนึ่งให้น้องสาวแล้วดึงตัวมากอดหลวม ๆ

“ขอบคุณค่ะพี่หมากอย่าลืมพาหลานไปหาขวัญด้วยนะคะ”

“โชคดีนะขวัญ...เอ่อ...พี่อชิคงติดเคสสำคัญจริงๆ แต่พี่เชื่อว่าเขาต้องรีบติดต่อน้องขวัญกลับแน่ ๆเดี๋ยวนี้การสื่อสารสะดวกสบายจะตาย อยู่คนละซีกโลกยังคุยเห็นหน้ากันได้เลย”แทนขวัญยิ้มเจื่อน ๆให้พี่สาวแล้วทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ เวลาผ่านไปจนหญิงสาวต้องล่ำลาครอบครัวเข้าไปรอในห้องบอร์ดดิ้งร่างสูงระหงเดินไหล่ห่อผ่านประตูไปด้วยท่าทีหงอยเหงา ไม่มีใครได้ทันเห็นว่านัยน์ตาดำขลับคู่นั้นมีน้ำใสเอ่อคลอความน้อยใจซึมแทรกเขาไปทั่วทุกอณูขุมขน

เสียงประกาศเรียกชื่อผู้โดยสารให้ขึ้นเครื่องดังเป็นครั้งที่สองเตือนให้แทนขวัญต้องขยับกายลุกขึ้นอย่างคนไร้เรี่ยวแรงการนั่งรอแล้วรอเล่าจนนาทีสุดท้ายไม่เกิดประโยชน์อันใด ไม่มีแม้แต่โทรศัพท์มาล่ำลาหญิงสาวเก็บเป้ใบเล็กบนชั้นวางเหนือศีรษะแล้วนั่งประจำที่อย่างหงอย ๆ ที่นั่งชั้นธุรกิจกว้างและสะดวกสบายแต่กระนั้นก็รู้สึกรำคาญผู้โดยสารที่เพิ่งมานั่งข้างๆ มองจากหางตาน่าจะเป็นคนไทยด้วยกันที่ขยับขยุกขยิกหญิงสาวเบียดตัวเองไปชิดขอบหน้าต่างหนีความรำคาญ แต่คนข้าง ๆก็ยังเอื้อมมือข้ามหน้ามาดึงม่านหน้าต่างลง

“เอ๊ะ...คุณเขาให้เปิดหน้าต่างตอนเครื่องเทคออฟนะคะ” หญิงสาวตำหนิชายที่นั่งข้าง ๆอย่างเหลืออด

“ขอโทษครับ...แต่ผมยังไม่อยากเห็นอะไรข้างนอกในตอนนี้”เสียงนุ่มและอ่อนโยนอันคุ้นเคยทำให้แทนขวัญต้องหันขวับมามองคนพูดแล้วรีบยกมืออุดปากตัวเองกลั้นเสียงอุทานที่อาจเผลอตะโกนออกมาผู้โดยสารคนข้าง ๆ ที่ทำตัวน่ารำคาญเต็มประดาคือชายหนุ่มแว่นหนาที่กำลังยิ้มอย่างร่าเริง

“พี่อชิขึ้นมาบนนี้ได้ยังไง” แทนขวัญพยายามกดเสียงให้เบาที่สุดความตื่นเต้นยังฉายชัดทั้งสีหน้าและแววตา

“อ้าว...พี่ก็เป็นผู้โดยสารเหมือนกันนี่”

“แต่...พี่อชิบอกว่าจะมาส่งแล้ว...เป็นผู้โดยสารนี่หมายความว่ายังไงคะ”

“พี่บอกว่าจะไปส่ง...ก็หมายถึงไปส่งถึงที่เลย ถือโอกาสเที่ยวพักผ่อนไปด้วยไปอเมริกามาก็ตั้งหลายรอบแต่ยังไม่เคยไปแมนเชสเตอร์เลย”อชิตะยิ้มกว้างขึ้นขณะตอบข้อสงสัย

“แล้วพี่อชิรู้ได้ยังไงว่าขวัญไปเที่ยวบินนี้ที่นั่งตรงนี้...นี่อย่าบอกนะว่า...”

“น้องพลูเนี่ย...เธอหวังดีกับน้องขวัญมากนะครับกลัวจะเจ็บป่วยระหว่างเดินทางก็เลยอยากให้พี่มาดูแล เป็นคนจัดการหาตั๋วให้เสร็จสรรพอ้อ...มีโน้ตฝากถึงน้องขวัญด้วย” ชายหนุ่มยื่นกระดาษแผ่นเล็ก ๆ ให้แทนขวัญรีบเปิดอ่านมือไม้สั่นระวิงไปหมด

“พวกเรา...หมายถึงพวกเราทุกคนพี่ พี่หมาก คุณย่า ฝากคุณหมออชิให้ดูแลน้องขวัญ พี่หมากกับพี่ตั้มช่วยกันขู่พี่ อชิว่าถ้าดูแลขวัญไม่ดีจะมาดักตีหัวที่สนามบิน เพราะฉะนั้นน้องขวัญต้องทำตัวดี ๆ และเชื่อฟังพี่อชิด้วยนะ”

“ทุกคนรวมหัวกันแกล้งขวัญอ่ะ” หญิงสาวพูดงอน ๆ แล้วหันไปเปิดม่านหน้าต่างมองออกไปข้างนอกป่านนี้คนที่บ้านคงกำลังเดินทางกลับและพูดถึงเรื่องนี้กันสนุกปาก

“แล้วน้องขวัญไม่ดีใจเหรอที่พี่มาด้วย”เขาถามต่อ

“ขวัญ...”

“พี่รู้นะว่าขวัญกังวลใจเรื่องอะไรน้องพลูเล่าให้ฟังหมดแล้ว พี่อยากให้เราเลิกกังวลแล้วปล่อยทุกอย่างให้เป็นไปตามที่หัวใจต้องการพี่เอง...ยังตัดสินใจมาตามหาหัวใจอยู่นี่ไง ขวัญล่ะครับ...จะพาหัวใจหนีพี่ไปถึงไหนพ่อกับแม่ชอบขวัญนะ หลังจากวันที่ไปกินข้าวด้วยกันก็เที่ยวบอกใคร ๆว่ากำลังจะมีลูกสะใภ้ เห็นไหมว่าท่านไม่ได้มองว่าขวัญเป็นเด็กหรือไม่คู่ควรกับพี่เลย”

“พี่อชินี่...วางแผนมาดีจังขวัญปฏิเสธไม่ได้เลย”

“แล้วน้องขวัญอยากปฏิเสธหรือเปล่า”

แทนขวัญแก้มแดงก้มหน้ามองมือตัวเองโดยไม่ตอบอะไร ชายหนุ่มจับมืออีกข้างมารวมไว้ในอุ้งมือเดียวกัน ถ่ายทอดความจริงใจและคำพูดจนหญิงสาวมั่นใจในตัวตนของเขาว่าจะสามารถจูงมือนี้ก้าวผ่านอุปสรรคทั้งหลายไปได้

“พี่อชิคิดดีแล้วหรือคะ ? งานของขวัญอยู่กับที่ไม่ได้ในขณะที่พี่อชิก็ทิ้งหน้าที่ไปไม่ได้” เสียงใสเจือความหมองหม่นเมื่อคิดถึงตรงอชิตะบีบมือเย็นชื้นแน่นขึ้น

“น้องขวัญ...พี่ไม่ได้ต้องการภรรยาที่อยู่เฝ้าบ้านเลี้ยงลูกอย่างเดียวขวัญจงทำในสิ่งที่ตัวเองรัก พี่ก็ทำหน้าที่ของตัวเอง แต่...เรามีที่พักพิงที่เดียวกันนั่นคือ...บ้านไม่ว่าเราจะไปไหน ทำอะไร แต่สุดท้ายเราก็ต้องกลับมาบ้าน เราจะไม่เปลี่ยนแปลงเส้นทางชีวิตของกันและกันแต่เราจะเดินไปพร้อมกันนะครับ”มืออุ่นเปลี่ยนมาบีบไหล่บางอย่างให้กำลังใจ

“ขวัญอาจจะไม่ใช่ผู้หญิงที่สมบูรณ์แบบทำกับข้าวไม่เป็น ไม่อ่อนหวาน แต่งตัวไม่เก่ง...”

“พี่ไม่ได้ชอบผู้หญิงลักษณะนั้นพี่ชอบแบบที่ขวัญเป็น”

ใบหน้าเกลี้ยงเกลาประกอบกับนัยน์ตาดำขลับหลบสายตาฉ่ำเชื่อมหลังกรอบแว่นพลันคำพูดของพี่สาวเมื่อคืนก็ดังย้ำเตือนให้คิดถ้ามัวแต่กังวลก็คงไม่มีวันได้พบความสุขในสิ่งที่เรียกว่าความรักในเมื่อตัดสินใจเดินทางมาไกลขนาดนี้เพื่อทำตามความความฝันบนเส้นทางสายอาชีพได้...แล้วทำไมจะยอมทำตามหัวใจรักไม่ได้

“แทนขวัญ...คบกับพี่นะครับ” น้ำเสียงอ่อนโยนแผ่วแทบเป็นกระซิบคนถูกถามยิ้มหวานแล้วพยักหน้าช้า ๆ

“ค่ะ...เป็นแฟนคุณหมอต้องทำตัวเป็นเด็กอนามัยหรือเปล่า”

“ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก ทำตัวเป็นเด็กน่ารักแบบนี้ดีกว่าไหน...แอร์ประกาศให้รัดเข็มขัดแล้ว น้องขวัญทำหรือยัง” ชายหนุ่มเอี้ยวตัวไปคาดเข็มขัดให้ด้วยอาการ ‘จงใจ’ ให้ปลายจมูกสัมผัสกับพวงแก้มสีชมพูเจ้าของแก้มหยิกหมับเข้าให้ที่ต้นแขนคนแผนสูงแล้วค้อนปะหลับเหลือก

“พี่ไม่ได้ตั้งใจนะ...มันบังเอิญไปโดนเอง”อชิตะยิ้มอ่อนแล้วกดศีรษะคนข้าง ๆ ให้มาซบไหล่

“พี่อชิ...มีใครเคยบอกไหมคะว่าพี่อชิเป็นผู้ชายที่ซับซ้อนที่สุด แผนสูงที่สุด น่าจะไปอยู่หน่วยสืบราชการลับมากกว่าเป็นหมอนะคะ”

วัฏจักรแห่งกาลเวลาหมุนไปตามรอบของมันจนสามปีล่วงไปอย่างรวดเร็วเสียแทบไม่รู้สึกว่านานวันนี้ชลธีตื่นแต่เช้าตรู่อาบน้ำเนื้อแต่งตัวด้วยอารมณ์เบิกบานแช่มชื่น เขาทำกิจวัตรส่วนตัวพลางผิวปากเป็นทำนองเพลงโปรดอย่างสุขใจแบบสบายๆ ไม่เร่งรีบอย่างคนไม่มีภาระ การงานต่าง ๆ ไม่ยุ่งเหยิงเหมือนแต่ก่อนหลังจากที่โอนหุ้นของทวีกิจคืนเจ้าของดั้งเดิมไป ใบหน้าคร้ามคมสมบุรุษยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่หน้ากระจกเงาบานใหญ่ขณะกลัดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดจากนั้นก็เปิดลิ้นชักหัวเตียงหยิบซองสีน้ำเงินเปิดออกดู กำหนดการต่าง ๆระบุอยู่บนการ์ดแข็งสีชมพูตัดขอบน้ำเงิน จากนั้นก็หยิบพวงกุญแจที่วางข้าง ๆกันขึ้นมาดู หวังว่าแทนดาวคงจะถูกใจของขวัญที่เขาตั้งใจมอบให้ มุมปากหยักได้รูปยิ้มบางๆ เมื่อนึกถึงบทสนทนากับคู่หมั้นสาวเมื่อวานนี้

“น้องพลูตื่นเต้นจังเลยค่ะเหมือนตอนรับปริญญาตรีเลย เหมือนกลับไปเป็นสาว ๆ อีกรอบเลยล่ะ”

“อ้อ...ตอนนี้แก่แล้วว่างั้นยังงั้นพี่คงเป็นไอ้เฒ่าแล้วสินะตอนนี้”

“เอาน่า...ถึงยังไงพี่ชลก็มีผมหงอกน้อยกว่าพี่หมากล่ะ”

“คิดออกหรือยังว่าอยากได้อะไร”

“อืม...ก็พี่ชลสัญญาแล้วว่าจะพาน้องพลูไปเที่ยวแต่...ต้องภายในอาทิตย์นี้นะ กลางอาทิตย์หน้าต้องเดินทางไปเล่นคอนเสิร์ตที่สเปน”

“เหลือเฟือ”

“ทุกอย่างเตรียมพร้อมหมดแล้วใช่ไหมลูกกลับจากไปเที่ยวจะได้ไม่ฉุกละหุก”

“อาทิตย์ก่อนผมเข้าไปพบลุงอนันต์ที่กระทรวงท่านเลยกรุณามาเป็นเถ้าแก่ให้”ชายหนุ่มกล่าวถึงท่านรัฐมนตรีอนันต์ซึ่งเป็นเพื่อนสนิทของบิดา

“ไม่ได้เจอคุณอนันต์ตัวจริงเสียนาน...เห็นแต่ในทีวีท่านยังเมตตาเราเหมือนเดิม”คุณวารีเอ่ยถึงเพื่อนเก่าแก่ของสามีผู้ล่วงลับด้วยความซาบซึ้ง จากนั้นก็ยื่นกล่องกำมะหยี่เล็กๆ ให้บุตรชาย

“แหวนแต่งงานของแม่นี่”เขาถามมารดาอย่างแปลกใจ

“ใช่...แม่อยากให้ลูกใช้แหวนวงนี้ขอน้องพลูแต่งงาน”

“แม่จ๋า...แหวนวงนี้พ่อหามาให้แม่ด้วยความยากลำบากแม่สวมไว้ต่อเถอะครับ ผมเตรียมแหวนแต่งงานอีกวงเอาไว้แล้ว”

“รับไปเถอะลูก..เอาแหวนวงนี้ไปคืนทายาทเจ้าของตัวจริง”คำบอกเล่ของมารดาทำให้เขาต้องขมวดคิ้วแล้วย้าย

ตัวเองมานั่งใกล้ ๆ รอฟังคำขยายความ

“ทีแรกมันเป็นแหวนทองเกลี้ยงธรรมดาคุณพ่อซื้อเพชรเพิ่มให้ทีหลัง แหวนนี่...คุณกอบกิจปู่ของน้องพลูเป็นคนให้พ่อของลูกเอามาหมั้นแม่...”

คุณวารียิ้มบางๆ เมื่อเล่าเรื่องราวในอดีตให้บุตรชายฟังคุณกอบกิจเคยไปหาซื้อที่ดินทางใต้แล้วถูกนักเลงเจ้าถิ่นเล่นงานจนได้รับบาดเจ็บคุณประจิมได้ช่วยเหลือไว้และให้ที่พักพิงชั่วคราวท่านจึงถูกอัธยาศัยกับหนุ่มใต้น้ำใจงามคนนี้แต่เมื่อรู้ว่าคุณประจิมเป็นเพียงลูกจ้างและถูกกีดกันความรักกับบุตรสาวคหบดีแห่งเมืองตรังท่านจึงช่วยเหลือให้ทั้งคู่ได้แต่งงานกัน

“ท่านเป็นคนไปเจราจาสู่ขอแม่กับคุณตาของลูกพอคุณตารู้ว่าคุณกอบกิจเป็นใครก็นึกเกรงใจ ไม่กล้าไล่ตะเพิด แต่ก็ยื่นคำขาดให้หาสินสอดเป็นเรือหนึ่งลำให้ได้ภายในสามปีถ้าไม่มี...ก็ไม่ให้แต่ง คุณกอบกิจก็ให้ยืมเงินส่วนหนึ่งไปซื้อเรือและให้แหวนวงนี้มาด้วยพอเราย้ายไปอยู่ระยองก็เก็บเงินคืนท่านจนครบ ยกเว้นแหวนที่ท่านไม่รับคืนบอกว่าให้เป็นของขวัญแต่ง งาน”

ชลธีเข้าใจถ่องแท้แล้วว่าเหตุใดมารดาจึงให้ความสำคัญกับตระกูลทวีกิจนัก ถึงกับออกปากให้เข้าไปช่วยเหลือยามที่ธุรกิจประสบปัญหาคุณปู่ของแทนดาวมีส่วนทำให้เขาได้เกิดมาบนโลกใบนี้ รอยยิ้มซาบซึ้งประดับบนใบหน้าเข้มความจริงที่ได้รับรู้ยิ่งทำให้เขารักหลานสาวของท่านมากเป็นทวี

“ตอนท่านเสียพ่อกับแม่ยังได้ไปร่วมงานศพเลย”

“แล้วลุงธรรมทราบเรื่องนี้ด้วยหรือเปล่าครับ”

“ไม่รู้เหมือนกันนะดูเหมือนว่าตอนนั้นลูก ๆ ของท่านไปเรียนอยู่ต่างประเทศกันหมดอาจจะมีคุณย่าลำเภาที่ทราบ แต่ท่านจะเล่าให้ฟังหรือเปล่าก็ไม่รู้ ดูสิ...ว่าโลกกลมขนาดไหนชลกับคุณหมากก็เป็นเพื่อนกัน แถมเรายังจะได้แต่งงานกับหลานสาวท่านอีก”คุณวารีลูบศีรษะบุตรชายด้วยความปลื้มใจ ชลธีกุมกล่องกำมะหยี่ไว้ด้วยความรู้สึกลึกซึ้งถ้าเจ้าสาวของเขารู้ที่มาที่ไปของแหวนจะว่าอย่างไร

“แม่ตั้งใจที่จะให้ชลส่งต่อแหวนวงนี้ให้เจ้าสาวของลูกสิ่งนี้เป็นตัวแทนความรัก ความเข้าอกเข้าใจ ความมานะบากบั่นของพ่อกับแม่ทุกครั้งที่แม่เจออุปสรรคจนถึงทางตัน พอมองดูแหวนก็เกิดความรู้สึกฮึดสู้จนผ่านทุกอย่ามาได้ถึงวันนี้แม่วางใจว่า...คนที่ชลเลือกมาเป็นเมียจะต้องมีความดีความชอบอันคู่ควรแก่คุณค่าของแหวนวงนี้”

ชลธีมองมารดาด้วยสายตาเทิดทูนบูชาแม่เพียงคนเดียวของเขาที่เป็นเสาหลักของครอบครัวนับแต่วันที่บิดาจากไปมีหลายครั้งในชีวิตที่เขาเกือบจะไขว้เขวเดินทางผิดแต่แม่คนนี้ก็คอยประคับประคองให้กลับมาเดินตรงทางจนเป็นผู้เป็นคนได้ ความเมตตาอารีย์ความเอื้ออาทร ความเข้มแข็ง เขามองเห็นคุณงามความดีเหล่านี้อยู่ในตัวตนของสาวน้อยนัยน์ตาดุจดาวสตรีผู้มีความอ่อนโยนแต่เข้มแข็งเฉกเช่นเดียวกับมารดา

“ขอบพระคุณครับน้องพลูต้องภูมิใจมากที่รู้ว่าแหวนนี้มีความหมายอย่างไร ถ้าเจ้าสาวของผมไม่ใช่เธอ...ก็คงไม่รับเอาไว้แน่ๆ เพราะไม่มีผู้หญิงคนที่คู่ควรกับมันนอกจากแม่กับแทนดาว” ชายหนุ่มก้มกราบด้วยความซาบซึ้ง

“เดี๋ยวคุณหมากกับยัยแฟงจะมารับแม่ตอนเที่ยงกินข้าวกันก่อนแล้วจะตามไป เอาส้มไปด้วย...ไปช่วยอุ้มหลาน”

ชลธีนึกขันกับครอบครัวหรรษาเทียมภพกับบทบาทพ่อลูกอ่อน คนหนึ่งอยู่ในวัยเตาะแตะแต่ซนมหากาฬอีกคนกำลังอยู่ในท้อง ภาพชายหนุ่มนักบริหารระดับสูงวิ่งไล่ตามเช็ดอึลูกชายกับท่าเปลี่ยนผ้าอ้อมเก้ๆ กัง ๆ เรียกรอยยิ้มจากเขาได้เสมอ

“ได้ข่าวว่าซนเป็นลิงจนต้องจ้างพี่เลี้ยงเพิ่มคนเดียวเอาไม่อยู่” ชายหนุ่มเอ่ยถึงหลายชายตัวน้อยด้วยความเอ็นดู “ถ้าซนเป็นเด็กทั่วไปก็ไม่กระไรหรอกแต่นี่พ่อเล่นซนเงียบ ดูเฉย ๆ ก็เหมือนนอนหลับไม่มีพิษสงพอพี่เลี้ยงเผลอหน่อยเดียว โน่น..จะปีนบันไดซะแล้ว”

ใครๆ ก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่าเด็กชายภาพฟ้า ทวีกิจไพศาล หรือน้องปูนแดง เหมือนเทียมภพในร่างเด็กไม่มีผิดถอดมาทั้งรูปร่างหน้าและนิสัยใจคอแบบไม่ผิดเพี้ยน ทั้งซน เอาแต่ใจ ขี้โวยวายอย่างเวลาหิวนมแล้วพี่เลี้ยงชักช้าก็จะแหกปากร้องจ้าไม่เกรงใจใคร หนูน้อยวัยสองขวบเป็นที่รักใคร่หลงใหลของคุณปู่คุณย่า คุณทวดนักก็เลยถูกตามใจเต็มเหนี่ยว จะกลัวอยู่เพียงคนเดียวก็คือแม่แฟงที่เพียงแค่มองหน้านิ่งๆ เด็กน้อยก็จะหยุดออกฤทธิ์ทันที ลักษณะนิสัยอีกประการหนึ่งที่ได้บิดามาเต็ม ๆคืออาการ ‘ขี้หวง’ พอเริ่มรู้ความว่ามีคุณอาสาวสวยเด็กชายภาพฟ้าก็ทั้งอ้อนและติดหนึบ เวลาชายใดเข้าใกล้คุณอาก็จะเข้าไปนั่งแทรกบ้างร้องให้อุ้มบ้าง ขนาดลุงชลจะจับมืออาพลูยังไม่ได้ ร้องไห้บ้านแตกเดี๋ยวนั้น อย่างเมื่อวานก็เพิ่งสำแดงเดชเมื่อเด็กน้อยเห็นคุณลุงจูงมือคุณอา

“ป่อย...อาปู...ป่อย”

“จะงอแงทำไมกันล่ะ...อาพลูเป็นแฟนลุงชลนะเจ้าปูน”

“ไม่...ป่อย...แง...”

“ชะ...เจ้านี่เชื้อพ่อมันแรงจริง”

“แล้วพรุ่งนี้จะเดินทางกันตอนไหนล่ะ”

“ผมจะพาน้องพลูล่วงหน้าไปก่อนตั้งแต่เช้ามืดเห็นเจ้าหมากบอกว่าจะมารับแม่ตอนสาย ๆ ผมฝากของบางอย่างไปด้วยนะครับเอาใส่รถไปด้วยเดี๋ยวน้องพลูจะเห็นเข้าเสียก่อน”

ครอบครัวทวีกิจไพศาลได้ชื่นมื่นกันอีกครั้งกับการสำเร็จการศึกษาเป็นมหาบัณฑิตของแทนดาวหญิงสาวดูสดใสและมีความสุขเปี่ยมล้นไม่ต่างจากความรู้สึกในวันพระราชทานปริญญาบัตรครั้งแรกเมื่อสามปีก่อนมาคราวนี้ออกจะคึกครื้นและมีสีสันขึ้นเพราะมีหลานตัวน้อย ๆ มาค่อยป่วนทั้งบ้านให้วุ่นไปหมด

“ทุกคนมองกล้องค่ะ”แทนขวัญร้องบอกแล้วนับเลขให้สัญญาณหญิงสาวกลับมาบ้านช่วงปิดเทอมพอดีก็เลยรับหน้าที่เป็นตากล้องให้อีกครั้ง

“น้องขวัญ...แล้วพี่อชิมาหรือยัง” แทนดาวถามน้องสาวพลางกวาดสายตาไปรอบๆ

“บอกว่าจะไปเจอกันที่ภัตตาคารเลยค่ะรอรับคุณพ่อกับคุณแม่มาด้วยกัน” สรรพนามที่เรียกบุพการีของอชิตะแสดงออกถึงความสนิทสนมเป็นการส่วนตัวแต่สิ่งเดียวที่ทุกคนรู้แต่แทนขวัญไม่รู้ก็คือ อชิตะได้พาผู้ใหญ่ไป ‘เจรจา’ เรื่องกับพ่อแม่ของฝ่ายหญิงไม่นานมานี้

“น้องปูนมาถ่ายรูปกับคุณอาเร็ว”แทนดาวรับตัวหลานมาอุ้มต่อจากพี่เลี้ยง เด็กชายตัวน้อยยิ้มร่าเอียงหน้าซบบ่าคุณอาคนสวยอย่างรู้หน้าที่สองแขนเล็กป้อมโอบกอดรอบคออย่างประจบ

“ให้พ่อถ่ายด้วยสิ”เทียมภพเข้ามายืนชิดน้องสาวเตรียมฉีกยิ้มให้กล้องแต่ก็ถูกลูกชายตัวแสบหยิกหมับที่มือ

“ไม่..ป่อย...อาปู”เด็กน้อยพยายามแกะมือบิดาออกแต่เทียมภพก็ไม่ยอมตามใจลูกชาย

“เฮ้ย...นี่พ่อนะเจ้าปูนป่วน พ่อเลี้ยงคุณอาของเรามาตั้งกะตัวแดง ๆ แล้วทำไมจะกอดไม่ได้”ชายหนุ่มอยากแกล้งบุตรชายเลยเอียงจมูกหอมแก้มน้องสาวดังฟอดเด็กชายภาพฟ้ากลัวน้อยหน้าก็หอมคุณอาบ้าง พอเห็นคุณพ่อกอดก็กอดตาม จนยอมต่อไปไม่ได้ก็ร้องโวยวายเสียงดัง

“ม่าย...ป้ออย่าจับ...อาปูของปูนนะ”

แล้วสองพ่อลูกก็ยื้อแย่งกอดคุณอากันนัวเนียเรียกเสียงหัวเราะขบขัน ชลธีนึกสะใจน้องเขยว่าเมื่อก่อนทำตัวหวงก้างจนคนอื่นเอือมระอามาเจอกับตัวบ้างก็คงจะเข้าใจแล้วว่าชีวิตที่ผ่านมาตัวเองก็เคยทำชาวบ้านเขาป่วนไปหมดในความปรีติยินดีทั้งมวลคงไม่มีใครจะรู้สึกลึกซึ้งกินใจไปมากกว่าเทียมภพที่มองน้องสาวคนเล็กด้วยแววตาปลาบปลื้มและชื่นชมไม่เคยเปลี่ยน ถึงวันนี้เขาจะกลายเป็นพ่อคนแต่ความเป็นพี่ยังคงเข้มข้นอยู่ในสายเลือดกระนั้นก็ยังใจหายเมื่อตระหนักว่าเวลาที่กำลังจะเสียน้องสาวคนเล็กไปนั้นใกล้เข้ามาทุกที

เวลาไม่กี่ปีได้พัดพาความเปลี่ยนแปลงมาให้กับใครหลายๆ คน ถ้าจะถามว่าชีวิตของใครพลิกผันมากที่สุดก็คงเป็นปลายเดือน หลังจากที่กลับมาเมืองไทยได้ไม่นานก็ตัดสินใจแต่งงานกับบุรินทร์โดยจัดพิธีอย่างเรียบง่ายไม่ได้ใหญ่โตเอิกเกริกแต่ทรงความภาคภูมิ มีเพียงพิธียกน้ำชาเล็กๆ และกินเลี้ยงกันภายใครอบครัวญาติสนิทมิตรสหาย ซึ่งผิดความคาดหมายของบรรดาเพื่อนฝูงอย่างยิ่งกระนั้นคุณหลีก็จัดกองทัพสินสอดทองหมั้นให้สะใภ้สี่ชนิดที่ว่าล้นหลามสมน้ำสมเนื้อ เวลาที่ผ่านมาได้แปรเปลี่ยนปลายเดือนทั้งทัศนคติและวิถีจากสตรีสังคมชั้นสูงหันมาใช้ชีวิตเรียบง่ายไม่มีพิธีรีตองมาก หญิงสาวทุ่มเททั้งหมดให้กับทวีกิจที่รักและครอบครัวที่ตนเพิ่งให้กำเนิดบุตรสาวฝาแฝดน่ารักน่าชังเหมือนตุ๊กตาจีนซึ่งคุณลำเภาได้ตั้งชื่อสุดไพเราะให้กับเหลนแฝดว่า บัวตระการ หรือหนูบัว และบุษบามินตราหรือหนูบุษ เกียรติกิจวัฒนา

วันรุ่งขึ้น ชลธีมาไปรับคู่หมั้นสาวแต่เช้ามืดโดยที่ไม่ยอมบอกว่าจะพาที่ไปไหนทีแรกนึกว่าจะกลับตรังบ้านเกิดของเขาเสียอีกแต่พอเห็นว่าไม่ได้ขับรถลงใต้ก็ยิ่งเพิ่มความอยากรู้ให้หญิงสาวมากขึ้นทั้งสองคนขับไปคุยไปสลับกับแวะพักถ่ายภาพตามสถานที่สวย ๆ อย่างไม่รีบร้อนนัก แล้วต่อมสงสัยของแทนดาวมาแตกโพละเมื่อเขารับสายเข้าตอนกำลังขับรถเข้าเขตจังหวัดเพชรบูรณ์

“คุณอัยดาเหรอครับตอนนี้ผมเข้าตัวจังหวัดมาแล้ว อีกไม่เกินชั่วโมงคงถึง ขอบคุณที่ดูแลให้นะครับ”น้ำเสียงสุภาพที่คู่หมั้นพูดกับปลายสายทำเอาหูคนฟังกางอ้าบันทึกทุกถ้อยไม่ตกหล่นอัยดา...ชื่อที่เคยผ่านตาเมื่อสองปีก่อนจนแทนดาวเกือบจะลืมไปแล้วด้วยซ้ำ

“มีนัดกับคุณอัยดาที่เพชรบูรณ์อีกแล้วเหรอคะ”แทนดาวกึ่งถามกึ่งเหน็บ ชลธีเพียงแต่อมยิ้มอย่างมีเลศนัย

“ครับ...เดี๋ยวน้องพลูจะได้เจอคุณอัยดาตัวเป็นๆ หลังจากที่เห็นชื่อบนปฏิทินมานานแรมปี”

“พี่ชลรู้ได้ยังไงคะ”

“เราน่ะนะ...มีข้อเสียอย่างเดียวดวงตาปิดความลับไม่มิด มีอะไรก็แสดงให้คนอื่นจับได้หมด”เขาเอื้อมมือมาหยิกแก้มนุ่มเบา ๆ

“อัยดา...พี่ชลเทียวไปเทียวมาที่เพชรบูรณ์กับอัยดาเป็นปีๆ แต่ที่น้องพลูทนไม่พูดก็เพราะไว้ใจหรอกนะ”

“ก็ถูกแล้วนี่ครับเพราะพี่กับคุณอัยดาไม่ได้มีอะไรลึกซึ้งกัน เอาไว้ถ้าเจอกันแล้ว...น้องพลูจะต้องพูดขอบคุณเธอสักร้อยครั้ง”

“เชอะ...เรื่องอะไรน้องพลูจะต้องขอบอกขอบใจคนที่ควงแฟนตัวเองล่องต่างจังหวัดอยู่เป็นปีด้วยเล่า”ชลธีหัวเราะร่วนดัง ๆ อีกครั้งก่อนจะเลี้ยวพวงมาลัยเข้าปั๊มน้ำมันแห่งหนึ่งพอจอดรถได้ก็ดึงหน้าคนตัวเล็กมาจุมพิตหนัก ๆ สองที

“แม่คนขี้หึง...เดี๋ยวจะได้รู้กันอีกไม่นานแต่ว่าตอนนี้เชิญคุณแทนดาวไปเข้าห้องน้ำล้างหน้าล้างตาก่อนดีกว่าเพราะจากนี้ไปพี่ไม่พาแวะไหนแล้วนะ...ยิงยาวทีเดียวเลย”

กว่าห้าชั่วโมงจากรุงเทพทั้งคู่ก็ดั้นด้นมาถึงจุดหมายปลายทางตอนเที่ยงพอดี รถยนต์อเนกประสงค์คันใหญ่ตีโค้งเลี้ยวเข้าที่พักแห่งหนึ่งบนเขาค้อแทนดาวตื่นตาตื่นใจจนเก็บอาการลิงโลดไม่อยู่เพราะไม่เคยมาที่นี่มาก่อน ยิ่งพอเห็นบรรยากาศสะอาดสดชื่นล้อมรอบด้วยทิวทัศน์เขียวขจีมีความสวยงามหลายหลากมุมก็ยิ่งเร่งให้อยากออกไปสูดอากาศเร็วๆ

“ถึงแล้วครับยินดีต้อนรับสู่...ภูเคียงดาว”

ชลธีเดินอ้อมมาเปิดประตูรถให้พนักงานสองสามคนช่วยกันขนของลงมา แทนดาวมองไปรอบ ๆ อย่างพอใจกับบรรยากาศแวดล้อมด้วยแมกไม้กลางขุนเขาดอกไม้นานาชนิดปลูกไล่สีกันในแปลงกว้างเหมือนสายรุ้งบนพื้นปูหญ้าเขียวชอุ่มตัดกับบ้านพักดีไซน์แปลกตาเหมือนบ้านตุ๊กตาสีลูกกวาดสาวน้อยเดินเร็ว ๆ ไปตรงจุดชมวิว มีโครงเหล็กแข็งแรงติดตัวหนังสือขนาดมหึมาเป็นชื่อรีสอร์ท หญิงสาวก็ไม่ลังเลที่จะถ่ายภาพโพสต์ลงเพจโซเชียลอวดเพื่อนๆ ทันที

“สวยจัง...ภูเคียงดาว พี่ชลเข้าใจเลือกที่พักนะเนี่ยบ้านน่ารักจังเลยค่ะ...เอ...แต่เหมือนน้องพลูจะคุ้น ๆ ว่าเคยเห็นที่ไหนมาก่อนนะ”แทนดาวกวาดตามองไปยังแนวบ้านทรงกระโจมที่ปลูกห่างกันพอสมควรให้ความเป็นส่วนตัวลดหลั่นคดเคี้ยวกันลงไปตามเนินเขาแต่ละหลังทาสีสันสดใสไม่ซ้ำกัน ริมเขาด้านหนึ่งแยกเป็นบ้านหลังใหญ่สำหรับรองรับนักท่องเที่ยวที่มาเป็นครอบครัว ทุกหลังหันหน้าเข้าหาแอ่งทะเลหมอกเวิ้งว้างกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตาระเบียงพักผ่อนปลูกยื่นเข้าไปในหุบเขา มีโต๊ะสำหรับรับประทานอาหารและมุมเครื่องดื่มครบครัน

“เข้าบ้านกันดีกว่า”

เขาปล่อยให้คู่หมั้นถ่ายรูปจนพอใจแล้วจูงมือพาเดินขึ้นไปตามทางเดินปูด้วยแผ่นปูนกลมๆ เรียงรายกันไปจนถึงบ้านหลังใหญ่ที่ปลูกเพียงโดดเดี่ยวบนยอดเนินสูงสุด สนามหญ้าเชียวขจีตัดกับดอกไม้และไม้พุ่มเตี้ยสีสันสวยสดล้อมรอบตัวบ้านทาสีชมพูพาสเทลทั้งหลังชั้นบนล้อมรอบด้วยหน้าต่างบานกระจกติดม่านเนื้อหนา หลังคาเป็นรูปโดมแหลมคล้าย ๆปราสาทในเทพนิยาย

“ว้าว ! นี่มันปราสาทของราพันเซล”

หญิงสาวตาค้างตะลึงกับความงดงามตระการตา ยิ่งพอก้าวเข้ามาภายในก็ยิ่งประทับใจกับการตกแต่งจนคล้ายปราสาทของเจ้าหญิงทุกสิ่งอย่างดูอ่อนหวานปนนิ่งขรึมด้วยการเลือกใช้โทนสีชมพูพาสเทลตัดด้วยสีน้ำเงินเข้มบนผนังกว้างภาพถ่ายประดับฝาผนังสามภาพเป็นรูปนักดนตรีชื่อดังระดับโลกที่หญิงสาวคลั่งไคล้นอกจากนี้ยังสังเกตว่าพวกของตกแต่งเล็ก ชิ้นเล็ก ๆ เช่น แจกัน ตุ๊กตา หมอนอิงหรือแม้กระทั่งผ้าปูโต๊ะล้วนเป็นลวดลายเครื่องดนตรีและโน้ตเพลง

พอขึ้นบันไดมาชั้นสอง แทนดาวก็แทบจะก้าวขาไม่ออกเพราะรู้สึกว่าตัวชาเย็นเฉียบไปหมดสิ่งที่กำลังมองเห็นอยู่เบื้องหน้าคือรูปถ่ายของตนเองในอิริยาบถต่าง ๆอัดใส่กรอบไม้สีขาวต่างขนาดแขวนบนผนังตลอดโถงทางเดิน ดวงตานัยน์ตาดำขลับเบิกกว้างอย่างเชื่อในสิ่งที่เห็นจนเดินมาหยุดตรงบานประตูห้องพักที่ชลธียืนยิ้มอยู่เบื้องหน้าเขาค่อย ๆ เปิดประตูออกช้า ๆ แล้วรุนร่างบางให้ก้าวเข้าไป แทนดาวยืนอึ้งอยู่แค่หน้าประตูภายในห้องนอนใต้หลังคาโดมติดกระจกใสรอบด้านที่พอรูดม่านขึ้นหมดจะมองเห็นทิวทัศน์โอบล้อมขุนเขาได้สามร้อยหกสิบองศาทีเดียว

ภายในห้องนอนสีขมพูอ่อนสลับลายสีน้ำเงินเข้มตรงกลางห้องมีเตียงไม้สีดำขนาดคิงไซส์ต่อเป็นรูปแกรนด์เปียโน ชุดเครื่องนอนทุกชิ้นเป็นลายลิ่มสีขาวสลับดำเข้าชุดกันแต่ละมุมต่อเสาขึ้นไปเป็นโครงสี่เหลี่ยมเพื่อติดผ้าโปร่งบางสีข้าวเป็นมุ้งกระโจมบนโต๊ะหัวเตียงวางกรอบรูปเล็ก ๆ เป็นภาพของทั้งคู่ในท่ากอดกันแทนดาวจำได้ทันทีว่ารูปนี้ถ่ายได้โดยไม่ตั้งใจเป็นจังหวะที่หล่อนสะดุดแล้วซวนเซหลุดเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดของเขาพอดิบพอดี

“ห้องของน้องพลู...ชอบไหมครับ”ร่างหนาเคลื่อนตัวมาซ้อนหลังร่างอรชรแล้วโอบกอดเอาไว้หลวม ๆ น้ำเสียงนุ่มนวลเอ่ยชิดริมหู

“พี่ชล...น้องพลูไม่ได้ตาฝาดใช่ไหมคะ”

ประกายสดใสตาปรากฏรอยไม่แน่ใจระคนประทับใจชายหนุ่มไม่ตอบแต่พาเดินไปยังผนังห้องด้านหนึ่งที่ดูเผิน ๆเหมือนหน้าต่างกระจกบานใหญ่สูงตั้งแต่พื้นจรดเพดาน แต่จริง ๆแล้วมันคือประตูที่เปิดไปสู่ระเบียงภายนอก เบื้องหน้าคืออาณาเขตรีสอร์ทและบ้านพักสีลูกกวาดมีฉากหลังเป็นภูเขาสลับซับซ้อนเขียวขจี

“มันเป็นความจริงครับที่นี่...ทั้งหมดที่เห็น...เป็นของน้องพลู” มือหนาเชยคางมนขึ้นมาแล้วแตะจุมพิตอบอุ่นบนหน้าผากลาดนูน

“เป็นของ...น้องพลู...เหรอคะ?”แทนดาวกล่าวย้ำที่ละคำอย่างไม่แน่ใจอยู่ดีว่าคือฝันหรือเรื่องจริง

“ครับ...ภูเคียงดาวแห่งนี้พี่ขอมอบให้ของขวัญกับว่าที่เจ้าสาว...ว่าที่คุณผู้หญิงของธาราพิศุทธิ์”

ชลธีล้วงมือลงไปในกระเป๋ากางเกงหยิบเอาพวงกุญแจออกมาวางบนฝ่ามือนุ่มแทนดาวมองลูกกุญแจห้าดอกที่ร้อยกับพวงกุญแจไม้สลักเป็นรูปบ้านจำลองเหมือนหลังนี้เปี๊ยบดวงตาโตทรงอัลมอนด์วาววามด้วยหน่วยน้ำใส บุรุษผู้นี้ตั้งใจสร้างสถานที่แห่งนี้ขึ้นมาเพื่อหล่อนทุกสิ่งทุกอย่างที่ประกอบขึ้นเป็นภูเคียงดาวล้วนมาจากตัวตนของสตรีอันเป็นที่รัก

“มันมากเกินกว่าที่น้องพลูคิดว่าชีวิตนี้จะมี”หญิงสาวรำพัน

“ภูเคียงดาว...จะเป็นที่พักพิงอีกแห่งของเราเป็นสิทธิ์ของน้องพลูเพียงผู้เดียว พี่รวบรวมทุกอย่างเกี่ยวกับน้องพลูไว้ในบ้านหลังนี้”

แทนดาวน้ำตาซึมโผเข้ากอดร่างหนาแนบแน่นเพื่อซึมซับความรักที่เขามีให้ความประทับใจและตื้นตันถูกสูบฉีดแทนเลือดหล่อเลี้ยงทั่วร่างกายชลธีกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้นเมื่อลมหนาววูบหนึ่งพัดผ่านมา ร่างเล็กขดตัวอยู่ในกายอุ่นนิ่งนานจนได้ยินเสียงหัวใจใต้อกแกร่งเต้นเป็นจังหวะสม่ำเสมอผิดกับหัวใจดวงน้อยที่เต้นระรัวแทบจะทะลุออกมากระโดดเล่นอยู่แล้ว

“ที่นี่...จะเป็นบ้านพักใจของเราสองคนวันไหนที่เหนื่อยล้าจากงานหรือต้องการความสงบ...เราจะมาที่นี่กันนะคะ ไม่รู้จะขอบคุณพี่ชลยังไงจะบอกว่าชอบมาก...แต่ก็ยังไม่เท่าความรู้สึกในใจ”

“ครับ...พี่เข้าใจว่ามันอธิบายเป็นคำพูดยากก็เหมือนพี่ไง...ที่รักน้องพลูมากจนอธิบายเป็นคำพูดไม่ได้ จะบอกว่ารักคุณเท่าฟ้าก็กลัวนึกภาพไม่ออกก็เลยต้องพามาอยู่บนที่สูง ๆ ใกล้ ๆ ท้องฟ้าจะได้รู้ว่ามันกว้างใหญ่สุดจินตนาการยังงี้”

หลังจากสำรวจตรวจตาห้องหับต่างๆ ทุกซอกทุกมุมแล้วทั้งสองคนก็ได้ต้อนรับแขกที่แทนดาวรอเจอตัวจริงมานานนับปี อัยดาที่ปรากฏชื่อบนปฏิทินคือสาวในร่างหนุ่มหล่อซอยผมสั้นไถข้างตามสมัยนิยมที่เรียกว่าอันเดอร์คัท ร่างบึกบึนผิดสรีระของสตรีสวมเสื้อผ้าทะมัดทะแมงแต่โก้หรูดูดีอย่างบุรุษทั่วไปหน้าตามีเค้าความ ‘หล่อ’ สำอางดุจชายชาตรี แต่ว่าเวลาเอื้อยเอ่ยนั้นน้ำเสียงยังคงเป็นสุภาพสตรีตามเพศที่ระบุในบัตรประชาชน

“คุณอัยหรืออัยดาเป็นคนดูแลก่อสร้างภูเคียงดาวทั้งหมด เราทำงานกันมาเกือบสองปีที่นี่เป็นรูปเป็นร่างได้เพราะคุณอัยนี่แหละ” ชลธีแนะนำ แทนดาวก้มหัวให้นิด ๆ เป็นการทักทาย

“หวังว่าคุณแทนดาวจะชอบนะครับคุณชลธีใส่ใจทุกรายละเอียดจริง ๆจนบางทีผมก็กดดันเหมือนกันว่าจะว่าถูกใจคุณแทนดาวมากน้อยแค่ไหน”ท่าทางกระฉับกระเฉงแคล่วคล่องของสาวหล่อทำให้แทนดาวชื่นชม สาวน้อยหันมามองหน้าคู่หมั้นที่ทำหน้าล้อเลียนด้วยอาการขัดใจเขาคงกำลังหัวเราะเยาะเรื่องที่ตนออกอาการหึงหวงเอากับอัยดาคนนี้

“ดิฉันถูกใจมากเลยค่ะโดยเฉพาะห้องนอนนี่เก๋มากเลย”

“อ๋อ...เฟอร์นิเจอร์ทุกชิ้นคุณชลเป็นคนเลือกว่าต้องการแนวไหนส่วนผมก็ร่างแบบสั่งทำอีกที คุณแทนดาววางใจได้เลยว่าทุกชิ้นไม่ซ้ำแบบใครแถมยังเป็นของดีมีคุณภาพเพราะยูนีคผลิตให้โดยตรง”

“หา! ยูนีคนี่ของทวีกิจนี่คะถ้าพี่ชลไปสั่งทำ...งั้นพี่หมากก็รู้เรื่องนี้ด้วยน่ะสิ” แทนดาวร้องถามเสียงดัง

“อืม...ไอ้หมากมันรู้มาตั้งแต่เริ่มตอกเสาเข็มแล้วตอนบ้านหลังนี้สร้างเสร็จมันยังมาดูกับพี่เลย เห็นซุ้มกระดังหน้าข้าง ๆ ไหม ? พี่เรามันอยากให้ปลูกเพราะว่าน้องพลูชอบไปนั่งที่ซุ้มกระดังงาเวลาอยู่บ้าน” แทนดาวแทบจะทะลึ่งตัวขึ้นจากโซฟาที่นั่งอยู่ทันทีนัยน์ตาดำขลับกลอกตามองสองคนสลับกันไปมา ขณะที่คู่หมั้นหนุ่มยังเล่าด้วยน้ำเสียงสบายอกสบายใจ

“ผมเป็นสถาปนิกบริษัททรีดีของคุณเทียมภพพี่ชายคุณแทนดาวเป็นคนแนะนำผมให้คุณชลเองล่ะครับผมบอกแล้ว่าคุณชลธีใส่ใจในรายละเอียดทุกอย่างจริง ๆ ว่าแต่คุณแทนดาวอยากจะปรับเปลี่ยนอะไรยังไงก็บอกได้นะครับ”

“เอ่อ...ดิฉันคงไม่เปลี่ยนอะไรแล้วค่ะพี่ชลกับพี่หมากลงมาคุมงานเองแบบนี้ทุกอย่างต้องสมบูรณ์แบบอยู่แล้วล่ะยังไงก็ต้องขอบคุณ...คุณอัยมากเลยนะคะ งานดีมีคุณภาพและเซอร์ไพรส์จนแทบช็อคจริง ๆ”

เจ้าของบ้านหมาดๆ ยังคงเพลินกับการเดินสำรวจรอบ ๆ บริเวณบ้าน กระทั่งตกเย็นชลธีก็มาตามเขาเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยเป็นเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีน้ำเงินลายจุด สวมกางเกงขายาวสีน้ำตาลอ่อนในมือถือซองพลาสติกใส่ชุดมิดิเดรสสีน้ำเงินผ้าฉลุลูกไม้ต่อสลับด้วยผ้าโปร่งทั้งชุดมาให้หญิงสาวพอถามเขาก็บอกว่า

“ก็ไม่มีอะไรมากพี่แค่อยากพาสาวสวยไปนั่งดินเนอร์ท่ามกลางหุบเขา”

บรรยากาศยามเย็นบนเขาค้อยิ่งอากาศดี โคมไปสนามสว่างโดยพร้อมเพรียงกันทั่วบริเวณยิ่งเพิ่มความสวยงามน่ามองมากยิ่งขึ้นระเบียงชมวิวที่ปลูกยื่นไปในหุบเขาประดับเพียงโคมสูงให้แสงนวลตาไม่จ้าจนเกินไปตรงกลางระเบียงตั้งเต็นท์ทรงโดมสีขาวเหนือโต๊ะอาหารแบบบุฟเฟ่ต์ เสียงเพลงบรรเลงคลอเบา ๆไม่รบกวนบรรยากาศสงบเงียบแต่ที่ผิดสังเกตคือจนป่านนี้แล้วยังไม่เห็นแขกคนอื่นออกมาสักคนมีเพียงพนักงานสองสามคนและชลธีที่ยืนคุยกับอัยดา สักเดี๋ยวเขาก็พาคู่หมั้นสาวเดินไปหยุดตรงริมระเบียงด้านหนึ่งแล้วชี้ชวนให้ดูทิวทัศน์ยามโพล้เพล้เบื้องหน้า

“ตอนเช้าจะเห็นทะเลหมอกขาวโพลนเหมือนเอาสำลีมาปูเลย”

“งั้นพรุ่งนี้น้องพลูจะรีบตื่นแต่เช้ามาดูทะเลหมอกกับพระอาทิตย์ขึ้น”

“รับรองน้องพลูต้องว่าสวยจนไม่อยากละสายตาเชียวล่ะ”

“ว่าแต่...ที่นี่เปิดให้พักอย่างเป็นทางการหรือยังคะน้องพลูยังไม่เห็นคนอื่นเลยนอกจากเรา” แทนดาวเหลียวมองไปก็ยังไม่พบใครอื่นเลยแต่อาหารถูกจัดเตรียมไว้เหมือนจะเลี้ยงคนเป็นสิบ

“จะเปิดก่อนได้ยังไงที่นี่เป็นของน้องพลู...ต้องให้เจ้าของมาดูก่อนสิคะว่าพร้อมจะเปิดต้อนรับแขกหรือยัง” ชลธีกระซิบข้างแก้มเนียนแล้วจูบเบา ๆ

“อืม...ถ้างั้นน้องพลูขอพาคุณย่าคุณพ่อ คุณแม่แล้วก็ม๊าหลีมาพักเปิดประเดิมเอาฤกษ์เอาชัยก่อน”

“ก็ดีนะ...พี่เชื่อว่าพวกท่านต้องชอบว่าแต่ตอนนี้ยังหนูหิวหรือยังคะ”

“ยังเลยค่ะปลื้มใจจนลืมหิว แต่...มีเราสองคนกับคุณอัย แล้วทำไมจัดอาหารมากมายขนาดนี้ล่ะคะ”

“ไม่มากหรอก...พี่ว่าก็พอดีแล้วเดี๋ยวก็มีคนมากินด้วย” คำพูดและรอยยิ้มทิ้งปริศนาสะกดให้แทนดาวนิ่งเหมือนต้องการให้ขยายความต่อแต่วินาทีต่อมาไฟฟ้าทั้งหมดดับพรึ่บพร้อมกันเหมือนมีใครไปถอดปลั๊กเหลือเพียงโคมสนามจุดเล็ก ๆ พอให้แสงสลัว แทนดาวตกใจมากจนยึดมือของเขาไว้แน่น แล้วอึดใจต่อมาก็ปรากฏว่ามีไฟฟอลโล่ดวงใหญ่สาดมาจากตรงไหนสักแห่งมาหยุดที่ร่างทั้งคู่

“แทนดาวครับ...”

สิ้นเสียงทุ้มนุ่ลนวลร่างสูงแข็งแกร่งราวหินผาทรุดลงอยู่เบื้องหน้าร่างอรชรใช้เพียงเข่าคุกคู้อยู่บนพื้นไม้ แผ่นหลังตั้งตรงคงความสง่าใบหน้าคร้ามคมสีทองแดงเนียนละเอียดแหงนเงยเพื่อสบนัยน์ตาดำขลับดุจท้องฟ้ายามค่ำคืนของสตรีที่รักนัยน์ตาสีเหล็กเป็นประกายระยิบแล้วขยับริมฝีปากช้า ๆ เอื้อนเอ่ยบางสิ่งด้วยน้ำเสียงที่อ่อนหวานแต่ชัดถ้อยชัดคำนัก

“ตลอดทั้งชีวิตนี้พี่ไม่เคยคุกเข่าให้ใครแต่ที่กำลังทำอยู่ก็เพื่อต้องการขอ...ขอแทนดาวโปรดกรุณาให้ชลธีได้โอบกอดดาวดวงน้อยเอาไว้ด้วยใจที่มีแต่รักแท้ไปตลอดชีวิตขอให้ชลธีได้ใช้เวลาที่เหลืออยู่ชั่วชีวิตนี้...ดูแลแทนดาวเพียงผู้เดียว”

น้ำเสียงหวานปานพิณสวรรค์กังวานแจ่มชัดน้ำใสไหลเอ่อคลอหน่วยนัยน์ตาดำขลับดังนิลกาฬแล้วไม่นานก็หยาดหยดแทนดาวสังเกตเห็นประกายจุดเล็กบางอย่างที่มือข้างหนึ่งของบุรุษที่ทรุดตัวอยู่เบื้องหน้าทีแรกคิดว่าเป็นแสงสะท้อนหยดน้ำตาของตัวเองที่ร่วงลงไปต้องมือของเขาแต่เมื่อมองดูดี ๆ มันคือประกายวาววามจากเพชรเม็ดงามบนเรือนวงทองคำสุกอร่าม

“ตลอดทั้งชีวิต...แทนดาวไม่เคยให้ใครก้าวเข้ามาในรั้วหัวใจมีเพียงแต่ชลธีเท่านั้นที่แทนดาวยอมวางใจและกล้าเปิดประตูต้อนรับชีวิตของน้องพลูนับแต่นี้ต่อไป...ขอได้รับการปกป้องดูแลจากพี่ชล ขอให้ทะเลแห่งนี้เป็นผู้นำทางดวงดาวหัวใจทั้งดวงของน้องพลู...จะผนึกเป็นหนึ่งเดียวกับพี่ชลนับจากวินาทีนี้”

“ขอบคุณครับ...แทนดาว...my May lily”

ชลธีบรรจงสวมแหวนเพชรบนนิ้วนางกลมกลึงข้างซ้ายเพชรสีขาวน้ำใสแวววามล้อเล่นกับแสง ไฟฟอลโลว์ดวงใหญ่ดับลงเมื่อแหวนวงนั้นประดับบนนิ้วเรียวเรียบร้อยจากไฟทุกดวงก็สว่างเหมือนเดิม มีเสียงวิ่งซอยเท้าดังใกล้เข้ามาตรงที่ทั้งคู่อยู่ แทนดาวหันกลับไปมองแล้วก็ต้องอุทานด้วยความตกใจ

“ปูนแดง! มาด้วยเหรอเนี่ย”

“ลุงชล...ให้อาปู”เด็กชายภาพฟ้าวิ่งเร็ว ๆ มาหา ในมือเล็กจิ๋วถือมงกุฎดอกลิลลี่ ออฟ เดอะ วัลเลย์สีขาวบริสุทธิ์

“เก่งมากเลยนะปูนแดง...ขอบคุณครับ”ชายหนุ่มหอมแก้มหลานชายเป็นรางวัลแล้วเด็กชายก็วิ่งกลับไปหาคุณแม่ที่ยืนรวมตัวอยู่กับคนอื่นๆ ไม่ไกลกัน ชายหนุ่มวางมงกุฎดอกไม้สดลงบนศีรษะเล็กได้รูปพวงดอกไม้ทรงระฆังคว่ำประดับลงบนกลุ่มผมยาวสลวยดำขลับอย่างงดงามจากนั้นเสียงปรบมือจากกองเชียร์ที่แอบซ่อนตัวมาทั้งวันก็ดังขึ้นแทนดาวตื้นตันจนกลั้นน้ำตาไม่อยู่อีกต่อไป

“พี่หมากอ่ะ....พี่หมากก็ร่วมมือกับพี่ชลหลอกน้องพลู”เสียงเล็กกระเง้ากระงอดกอดพี่ชาย

“โอ๋...ไอ้ชลน่ะสิมันใช้อำนาจการเป็นพี่เขยบังคับ พี่อยากแกล้งน้องพลูเมื่อไหร่กัน”

“แล้วนี่มากันตั้งแต่ตอนไหนคะคุณย่าก็มา ม๊าหลีก็มา ยกตระกูลกันมาเลยนะเนี่ย มิน่าล่ะ...น้องพลูก็ว่ามันแปลก ๆที่ไม่เห็นมนุษย์หน้าไหนเลยตอนมาถึงนี่อ่ะ”

“ฮ่า...ฮ่าก็ออกไล่หลังเรามานั่นแหละ สีผึ้งกับเฮียบุ้งอยากมาด้วยใจจะขาด แต่ติดที่ว่าแม่ตุ๊กตาจีนสองคนยังเล็กนักก็เลยดูถ่ายทอดสดเอา”เทียมภพเล่าอย่างอารมณ์ดี

“หา...มีถ่ายทอดสดด้วยเหรอ”แทนดาวแหงนหน้ามองบนฟ้าก็เห็นโดรนติดกล้องบินอยู่ ไหนจะมีแทนขวัญที่รับอาสาถ่ายคลิปวิดิโอ

“น้องพลูตอบตกลงแต่งงานกับฉันแล้วแกมีปัญหาอะไรขัดข้องอีกไหม...ไอ้พี่เขย” ชลธีดึงตัวหญิงสาวมาโอบไว้แล้วตะโกนถามคนที่มียศเป็นพี่เขย

“แล้วมึงจะรอเรือเกลือหรือไง ? รีบไปแต่งขันหมากมาสิโว้ย!”



Create Date : 05 มิถุนายน 2559
Last Update : 5 มิถุนายน 2559 17:40:29 น.
Counter : 243 Pageviews.

0 comment
(ตอนพิเศษสุดริมรั้ว) ภูเคียงดาว_ครึ่งแรก




ตอนพิเศษ ภูเคียงดาว_ครึ่งแรก

เทียมภพนั่งดูภรรยารื้อของออกจากกล่องพัสดุใบใหญ่มาแผ่บนเตียงข้าวของข้างในล้วนเป็นเสื้อผ้าเด็ก ของเล่น ของใช้ที่ปลายเดือนส่งมาให้หลังจากรับรู้ว่าพี่สะใภ้กำลังจะมีหลานเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ว่าครอบครัวทวีกิจไพศาลจะตื่นเต้นและออกอาการ ‘เห่อ’ สมาชิกใหม่ที่กำลังจะเกิดมา ทั้งคุณปู่ คุณย่าและคุณทวดต่างก็ตระเตรียมทุกอย่างไว้รอรับหลานน้อยคุณพ่อมือใหม่อย่างเทียมภพที่ว่าเห่อลูกมากแล้วก็ยังไม่เท่าคุณอาอย่างแทนดาวที่เห่อเสียยิ่งกว่าพอรับรู้ว่าพี่สะใภ้ตั้งครรภ์ก็จัดแจงออกแบบห้องนอนให้หลาน วางแผนสร้างสนามเด็กเล่นถึงขนาดเตรียมตั้งชื่อรอ

“ถ้าเป็นผู้ชายชื่อให้ชื่อน้องปูนแดงผู้หญิงชื่อน้องพิมเสน จะได้ครบเครื่อง”

“คุณผึ้งส่งของมาเยอะแยะไปหมด เธอว่า...ไม่รู้ว่าหลานจะเป็นหญิงหรือชายก็เลยซื้อปนๆ กันมา ของครบขนาดนี้...เราแทบไม่ต้องซื้ออะไรเลยค่ะ” รมย์นลินแยกของใช้เด็กเป็นประเภทต่างๆ วางเรียงรายบนที่นอน ซึ่งมีครบอย่างจริง ๆ ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า ถุงมือ ถุงเท้า ของเล่นขวดนม หรือแม้กระทั่งเครื่องปั๊มนม

“แล้วคุณอยากให้ลูกคนแรกเป็นชายหรือหญิงล่ะ”เทียมภพขยับเข้ามานั่งข้าง ๆ ภรรยา วางมือบนท้องน้อยอย่างทะนุถนอม

“ได้ทั้งนั้นแหละค่ะ”

“ผมน่ะ...อยากให้คนแรกเป็นผู้ชายจะได้ดูแลน้อง ๆ อีกสามสี่คน...เหมือนผมไง”

“หือ...อีกสามสี่คนเชียวหรือคะ” รมย์นลินทำท่าตกอกตกใจ

“ผมอยากมีลูกหลาย ๆ คนทวีกิจของเราจะได้มีคนมาช่วยดูแลเยอะ ๆ”

ชายหนุ่มกอดภรรยาแนบแน่น จนสักครู่ก็ได้ยินเสียงเคาะประตูเขาเดินไปเปิดแล้วก็ยิ้มกว้างเมื่อน้องสาวคนเล็กยืนอมยิ้มอยู่ข้างนอกถ้าเป็นเมื่อก่อน แทนดาวก็ไม่ต้องรอให้ใครมาเปิดประตู แต่ในเวลานี้พี่ชายไม่ใช่คนโสดตัวเปล่าหญิงสาวจึงเกรงใจที่จะเข้ามารบกวนถ้าไม่มีเรื่องจำเป็น

“โห...ของเยอะแยะเลย”แทนดาวดูพี่สะใภ้จัดข้าวของด้วยความตื่นตาตื่นใจ อดไม่ได้ที่จะหยิบถุงเท้าคู่เล็กมาดู

“คุณผึ้งส่งมาให้ค่ะ ดูสิ...พี่แทบจะไม่ต้องซื้ออะไรเลย”

“เดี๋ยวรอดูของอาพลูบ้างนะ...ไม่น้อยหน้าอาผึ้งแน่นอน”

หญิงสาววางถุงเท้าคู่เล็กจิ๋วลงอย่างเดิมแล้วเอื้อมมือไปลูบหน้าท้องที่เริ่มป่องนูนนิดๆ ดูเหมือนการกระทำนี้จะเป็นกิจวัตรของแทนดาวไปเสียแล้ว ในทุก ๆ วันหล่อนจะต้องมาลูบคลำท้องแล้วพูดคุยกับเจ้าตัวน้อย ๆ บางวันก็เล่นเพลงให้ฟังรู้สึกว่ารักเด็กคนนี้มากจนอดคิดไม่ได้ว่าถ้าตัวเองมีลูกบ้าง...จะมีความรู้สึกรักได้มากเท่านี้หรือไม่

“ชุดเมื่อวาน พี่จะให้แป๋มส่งซักแห้งพรุ่งนี้นะคะสิ้นเดือนนี้พี่กับกับคุณหมากจะไประยอง น้องพลูจะไปด้วยกันไหมคะ...พี่จะให้เด็กจัดกระเป๋า”

รมย์นลินรามือจากงานที่ทำอยู่มาพูดกับน้องสามี ตั้งแต่รมย์นลินแต่งเข้ามาก็รับหน้าที่แม่บ้านเต็มตัวซึ่งเจ้าตัวก็ทำหน้าที่ได้ไม่ขาดตกบกพร่องสมกับที่ได้รับความไว้วางใจนอกจากจะดูแลสามีแล้ว หล่อนยังมาดูแลแทนดาวในบางเรื่องแทนคุณดวงทิพย์ที่ได้โอนกิจการงานทุกอย่างภายในบ้านให้อยู่ภายใต้การดูแลของศรีสะใภ้คนนี้ทั้งหมดท่านกับคุณเที่ยงธรรมจึงใช้เวลาหลังเกษียณท่องเที่ยวไปทั่วร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำอย่างสบายใจ

“น้องพลูไปไม่ได้หรอกค่ะห่วงงาน...”

“งานที่โรงเรียน...ให้คนอื่นสอนแทนก็ได้นี่”เทียมภพร้องบอกมาจากมุมหนึ่งของห้อง

“ไม่ใช่งานที่โรงเรียนหรอกค่ะ”

แทนดาวยิ้มอย่างเป็นปริศนาแล้วเดินเข้าไปหาพี่ชายที่นั่งเอนหลังบนเก้าอี้นวมร่างเล็กนั่งลงบนเท้าแขนเอามือกอดรอบคอหนาอย่างประจบแล้วยื่นกระดาษแผ่นหนึ่งให้ เทียมภพรับมาคลี่อ่านสักเดี๋ยวก็เผยรอยยิ้มยินดีออกมา

“เก่งนะเรา สมใจแล้วล่ะสิทีนี้...พี่ก็จะได้มีน้องสาวเป็นนักเปียโนระดับโลกแล้ว”

เทียมภพหอมแก้มน้องสาวอย่างรักใคร่ทั้งดีใจและภูมิใจไปพร้อม ๆ กัน เขาโบกจดหมายฉบับนั้นไปมาในอากาศให้ภรรยาดูแต่เหมือนหล่อนจะไม่รู้สึกตื่นเต้นอะไรนักจนเขาต้องป่าวประกาศเสียงดัง

“คุณแฟง...น้องพลูได้เป็นนักเปียโนประจำวงสยามออเคสตร้าแล้วนะ วงนี้เป็นอันดับหนึ่งของประเทศไทยเลยนะ...คุณไม่ดีใจเหรอ”

“พี่แฟงรู้ก่อนพี่หมากอีกค่ะ”แทนดาวตอบแทนพี่สะใภ้ที่นั่งยิ้มอยู่บนเตียง

“อ้าว...ไหงงั้นล่ะ นึกว่าพี่จะได้เป็นคนแรกที่รู้นะนี่”เนื้อเสียงมีความงอนซ่อนอยู่ เขารู้ตัวว่าตั้งแต่มีรมย์นลินเข้ามาอยู่ในบ้านหลังนี้ก็ดูเหมือนทุกคนจะให้ความเกรงใจสะใภ้ใหญ่มากกว่าตัวเขาเสียอีก ยิ่งน้องสาวด้วยแล้วเดี๋ยวนี้มีอะไรก็จะบอกกล่าวพี่สะใภ้ก่อนเป็นคนแรก

“แหม...ก็ต้องบอกคุณครูก่อนสิคะ”

แทนดาวคว้าจดหมายจากมือพี่ชายมาดูอีกครั้งรู้สึกหายเหนื่อยกับการที่ต้องทุ่มเททั้งแรงกายแรงใจเพื่อฝึกซ้อมนานนับเดือนเพื่อให้ผ่านรอบออดิชั่นตอนนี้หล่อนก็ได้รับคัดเลือกให้เป็นนักเปียโนตัวสำรองประจำวงออร์เคสตร้าที่มีชื่อเสียงที่สุดในประเทศไทยเป็นตัวแทนไปจัดแสดงคอนเสิร์ตมาแล้วทั่วโลก ถึงหนทางข้างหน้ายังยาวไกลกว่าที่จะได้เลื่อนขั้นเป็นตัวจริงแต่แค่นี้ก็เป็นที่พอใจของหญิงสาวมากมายนักที่สามารถก้าวมายืน ณ จุดนี้ได้

“แล้วจะเริ่มเมื่อไหร่”พี่ชายถามต่อ

“ต้นเดือนหน้าค่ะ หลังจากนั้นก็ต้องไปซ้อมกับวงสัปดาห์ละสี่วันถ้ามีคอนเสิร์ตก็ต้องไปซ้อมทุกวันน้องพลูจะพยายามให้ได้เลื่อนเป็นตัวจริงให้เร็วที่สุด”

“พี่เชื่อว่าหนูทำได้”เทียมภพให้กำลังใจน้องสาว แทนดาวอมยิ้มกับตัวเองที่ความฝันกำลังจะเป็นจริง

ถึงเรื่องราวต่าง ๆ จะคลี่คลายไปในทางที่ดีแต่นิสัยหวงน้องสาวของเทียมภพดูจะไม่ใคร่ ‘คลี่คลาย’ ไปกับเขาด้วยชลธีเพื่อนคู่หูยังคงถูกจัดอยู่ในหมวด ‘ชายแปลกหน้า’ อย่างเดิม อาการกันท่าที่เป็นมาตั้งแต่แรกอย่างไรถึงเดี๋ยวนี้ก็ยังเป็นอยู่ แม้จะมีสะพานเชื่อมอย่างรมย์นลินศรีภรรยาที่กำลังตั้งครรภ์อ่อนๆ อาจจะมีผ่อนผันบ้างถ้าตัวไม่ว่างไปรับ-ส่งน้องจริง ๆก็จะมอบหมายหน้าที่นี้ให้เพื่อนซี้หรืออีกตำแหน่งหนึ่งคือ ‘พี่เขย’ ซึ่งถ้าวันไหนแดดร่มลมดี ชลธีก็มีกิจกรรมใหม่มาให้แทนดาวทำ นั่นคือการเรียนขับรถ

เมื่อวันเกิดครบรอบยี่สิบสี่ปีของแทนดาวเทียมภพได้ซื้อรถยนต์คันเล็กน่ารักสมชื่อยี่ห้อของมันให้เป็นของขวัญรวบยอดเนื่องในวันคล้ายวันเกิดและเนื่องในโอกาสสำเร็จการศึกษาแทนดาวดีใจมากแต่ก็ยังไม่เคยได้เอารถออกไปใช้เสียทีเพราะยังขับไม่เก่ง ตัวพี่ชายก็ยุ่งกับเรื่องสร้างโรงงานใหม่ที่อยุธยาเลยไม่มีเวลาสอนให้ไอ้เรื่องจะไปลงเรียนนี่อย่าได้คิด เทียมภพไม่อนุญาตเด็ดขาดด้วยเหตุผลที่ไม่ค่อยจะฟังขึ้นนัก

“ให้คนอื่นสอนรึ...มันจะได้หลอกแต๊ะอั๋งเราสบายไปเอาไว้ว่าง ๆ พี่จะสอนให้เอง ตอนนี้ก็เตรียมตัวไปอบรมสอบใบขับขี่ก่อน”

ไอ้คำว่า‘ว่าง ๆ ’ ที่พี่ชายบอกดูจะยังไม่มาถึงเสียทีเพราะธุระรัดตัวจนแทบกระดิกไม่ได้จริง ๆยิ่งกำลังจะได้เป็นคุณพ่อแบบนี้ก็ยิ่งต้องเตรียมตัวนู่นนี่ร้อยแปด ด้วยเหตุนี้ก็ต้องยอมให้ชลธีมาช่วยสอนไม่เช่นนั้นก็เห็นน้องได้แต่ลูบ ๆ คลำ ๆ รถอยู่นั่นจนตอนนี้ถือว่าคล่องมือระดับหนึ่งแต่ยังไม่กล้าวิ่งถนนใหญ่เสียที พอเจอรถมาก ๆทีไรก็ถอดใจเปลี่ยนให้ชลธีขับดีกว่า อย่างวันนี้ทั้งคู่ก็พากันไปหัดขับตั้งแต่ช่วงสายแทนดาวนั่งตัวตรง ตาจับจ้องบนถนนแทบไม่กระพริบ สองมือจับพวงมาลัยมั่นในอาการที่เรียกว่าเกร็งเต็มที่ถึงจะมีชลธีคอยกำกับอยู่ใกล้ชิดและช่วยประคองพวงมาลัยให้ตรงทาง แต่มือใหม่ก็ยังอดตื่นเต้นและเป็นกังวลไม่ได้

“เหนื่อยหรือยัง?ก่อนกลับบ้านไปหาอะไรกินกันก่อนไหม”

“ดีค่ะ งั้น...กินเสร็จแล้วไปโยนโบว์ลิงกันนะคะ น้องพลูไม่ได้ไปนานแล้ว”

“ถ้างั้นให้พี่ขับดีกว่าถ้าให้น้องพลูขับต่อ...วันนี้สองทุ่มก็คงไม่ได้โยน”

ห้างสรรพสินค้าในกลางกรุงในวันหยุดอย่างนี้ย่อมพลุกพล่านจอแจเป็นปรกติวิสัยยิ่งมีพวกทัวร์มาลงด้วยก็เหมือนกำลังเดินผ่านฝูงนกกระจอกทั้งคู่ไปรับประทานอาหารกันก่อนแทนดาวอาสาเป็นเจ้ามือเลี้ยงตอบแทนที่เขามาช่วยสอนขับรถให้

“เรามาแข่งกันไหมคะใครชนะ..คนนั้นจะได้เป็นเจ้านายคนแพ้หนึ่งวัน” จู่ ๆแทนดาวก็นึกสนุกชวนแข่งโบว์ลิง

“เอาสิแต่บอกก่อนนะว่าพี่เนี่ย...แม่นยังกับจับวาง ไม่เคยเก็บสแปร์นะครับ...สไตรค์อย่างเดียว”ชลธีคุยโอ่

“เหรอคะ...งั้นน้องพลูก็ต้องบอกก่อนว่าเคยเป็นตัวแทนโรงเรียนนะจะบอกให้ เหรียญทองระดับเขตยังอยู่ในตู้โชว์...ไปดูได้เลย”คนตัวเล็กเกทับแล้วเปิดกระเป๋าหยิบนามบัตรเก่า ๆ ใบหนึ่งออกมาก่อนจะเขียนอะไรบางอย่างลงไป

“นี่คือคูปองรางวัลถ้าใครชนะก็จะได้คูปองนี้ไป คนที่แพ้ก็ต้องยอมเป็นคนรับใช้เป็นเวลาแปดชั่วโมงเต็มโดยจะเรียกใช้ให้ทำอะไรก็ได้ห้ามขัดคำสั่ง มีอายุหนึ่งสัปดาห์หลังจากนี้”

แทนดาวยื่นกระดาษที่ใช้เป็นคูปองที่ว่าให้ดูชลธีไล่อ่านข้อความบนนั้นแล้วก็พยักหน้าขำ ๆสักพักทั้งคู่ก็พากันไปยังลานโบว์ลิงที่อยู่บนชั้นเดียวกับโรงภาพยนตร์แทนดาวเปิดสองเลนติดกันจะได้ประลองฝีมือกันให้รู้ไปเลยว่าตัวแทนโรงเรียนกับมือแม่นราวจับวางใครจะคว้าชัยศึกทอยพินครั้งนี้

“เชิญสุภาพสตรีเปิดเกมปฐมฤกษ์ก่อนเลยครับ”

ชลธีถือลูกรอแล้วเชื้อเชิญให้หญิงสาวเป็นฝ่ายเริ่มก่อนแทนดาวก้าวไปยืนประจำตำแหน่งอย่างมั่นใจแล้วกลิ้งลูกแรงและเร็วไปกระทบพินล้มระเนระนาดทั้งสิบอันเป็นการเปิดเกมที่สวยงามนักหญิงสาวหันมามองด้วยสายตาแห่งความสมหวังและท้าทายไปในตัว

“นี่แค่อุ่นเครื่องนะ”

“ไม่เลวนี่เอาน่า...คนเราบางทีก็มีฟลุ๊คกันบ้าง” ชลธีปรามาสแล้วเริ่มโยนของตัวเองบ้างแต่ครั้งแรกของเขาเรียกเสียงหัวเราะร่วนจากคู่แข่งเพราะพินยังเหลือสองอัน

“น้องพลูขอไปนั่งจิบน้ำหวานรอระหว่างที่พี่ชลต้องเสียเวลาเก็บสแปร์นะคะ”แทนดาวพูดเยาะเย้ยแล้วเดินอย่างวางมาดไปนั่งดูอย่างกระหยิ่มยิ้มย่องชายหนุ่มไม่ว่าอะไรนอกจากเล่นต่อไปอย่างใจเย็น ในใจก็คิดขำ ๆ

“เดี๋ยวก็รู้...แม่นักทอยพินชั้นมัธยม”

สองคนแข่งกันโยนไปจนถึงเกมสุดท้ายแทนดาวที่ทำฟอร์มดีในตอนแรกกลับตกเป็นรองในเกมที่สองแถมยังตามเสียห่างผิดกับชลธีที่ทำคะแนนไม่ตกเลยแถมยังทำสไตรค์ติดต่อกันหลายครั้งแทนดาวเริ่มล้าเพราะโหมใช้พลังไปมากในช่วงแรกจนชัยชนะที่มั่นใจว่าอยู่แค่เอื้อมกลับลอยห่างไปทุกที

“ฝีมือล้างท่อของน้องพลูใช้ได้นะเนี่ยว่าง ๆ พี่จะจ้างไปล้างท่อที่บ้านมั่งนะ”

ชลธีตะโกนบอกหญิงสาวที่นั่งเซ็งเมื่อการโยนครั้งสุดท้ายจบลงแบบที่เขาเรียกว่า‘ล้างท่อ’ ผิดกับผู้ท้าชิงที่ปิดเกมด้วยการซัดพินล้มกระจายทั้งสิบอันแทนดาวหน้าบึ้งขณะหยิบคูปองให้ผู้กำชัยชนะในศึกครั้งนี้ ชายหนุ่มทำท่าใช้ความคิดว่าจะทำอย่างไรกับรางวัลนี้ดีสักพักก็ดีดนิ้วเปาะ

“ตามกติกา...พี่เป็นผู้ชนะเพราะฉะนั้น...พรุ่งนี้พี่จะไปรับน้องพลูที่บ้านแต่เช้า”

“ไปรับทำไมคะพรุ่งนี้วันจันทร์...พี่ชลไม่ทำงานเหรอ”

“ทำสิ...แต่พี่จะให้น้องพลูไปเป็นผู้ช่วยวันนึงตามสิทธิ์ของผู้ชนะ”

ชลธีบอกอย่างเป็นต่อจึงแย้งไม่ได้เพราะตัวเองเป็นตัวตั้งตัวตีจัดการเรื่องนี้เองในเมื่อไม่มีสิทธ์ประท้วงเพราะการแข่งขันเป็นเอกฉันท์ขนาดนี้แล้วก็เลยต้องเป่าปากอย่างจำยอม

“พรุ่งนี้แต่งตัวสวยๆ นะครับ ไปเป็นเลขาฯให้พี่สักวัน ถ้าทำงานถูกใจ...พี่อาจจะจ้างเราถาวร”

ชลธีมารับแต่เช้าตรู่ตามที่นัดกันไว้ก็เลยได้รับประทานอาหารร่วมโต๊ะกับสมาชิกคนอื่นๆ ทุกคนหัวเราะชอบใจเมื่อได้รับฟังเรื่องราวการพ่ายเกมบว์ลิงของคนแสนงอนคนเดียวที่ไม่ขำด้วยก็คือเทียมภพเจ้าเก่าที่ซักแล้วซักอีกว่าจะพาน้องไปทำอะไรกลัวว่าน้องจะถูกแกล้งบ้าง ถูกใช้งานหนักบ้างคิดไปไกลขนาดว่าอดีตเพื่อนแค้นจะหลอกพาไปทำมิดีมิร้าย

“แกจะเป็นพ่อคนอยู่แล้วหัดคิดอะไรให้มันโตกว่าสมองบ้างสิวะ” ชลธีต่อว่า

“ก็ฉันห่วงนี่หว่า”

“ไอ้หมาก...ที่ฉันพาน้องพลูไปด้วยวันนี้ไม่ได้จะเอาไปใช้งานอะไรแต่มันถึงเวลาแล้วที่คนในธาราจะได้รู้จักเธอในฐานะคู่หมั้นของฉันอย่างเป็นทางการฉันทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับลุงธรรมว่าจะรอให้เธอเรียนจบค่อยทำอะไรเปิดเผยอ้อ...แล้วอย่าบอกเธอล่ะ ฉันไม่อยากให้เรื่องนี้ทำให้น้องพลูรู้สึกกดดัน”

แม้จะยังไม่พอใจแต่น้องเขยอย่างเทียมภพก็ต้องยอมรับแบบไม่มีข้อแม้ว่าชลธีรอบคอบและใส่ใจรายละเอียดทุกอย่าง การมีตำแหน่งเป็นคู่หมั้นอาจทำให้แทนดาวรู้สึกอึดอัดเพราะ‘ภาพพจน์’ การเป็นคนรักของผู้บริหารระดับสูงย่อมถูกคาดหวังเอาไว้สูงเสมอในขณะที่หญิงสาวเพิ่งจะก้าวพ้นรั้วมหาวิทยาลัยแถมยังไม่มีประสบการณ์ทำงานจริง ๆจัง ๆ

แทนดาวออกจะประหม่ายามต้องเดินเคียงข้างบุรุษหน้าคมที่เดินทักทายคนโน้นคนนี้ไปตลอดทางพนักงานที่เดินสวนกันต่างก้มหัวให้แล้วส่งยิ้มผ่านมาที่ตนทุกครั้งหญิงสาวจึงต้องยิ้มตอบจนเหงือกแห้งกว่าจะขึ้นมาถึงห้องทำงานส่วนตัว แล้วเขาก็หายตัวไปสักพักใหญ่ช่วงเวลานี้จึงเปิดโอกาสให้หญิงสาวได้สำรวจความเรียบร้อยของตัวเอง วันนี้รมย์นลินช่วยเลือกชุดแซกสีเบจเข้ารูปชายกระโปร่งด้านหน้าเบี่ยงไปทางซ้ายผ่ายาวขึ้นมาแต่พองามสวมทับด้วยเสื้อสูทสีชมพูอ่อนดูเป็นสาวออฟฟิศสมัยใหม่ใบหน้าแต่งแต้มมีสีสันกว่าทุกวันแต่ก็ไม่จัดจ้านเกินไป หญิงสาวแตะลิปสติกเพิ่มนิดหน่อยทดแทนบางส่วนที่หลุดลอกไปตอนรับประทานอาหารเช้า

“สวยแล้วครับคุณแทนดาว เดี๋ยวมากับผมหน่อยนะทุกคนรอทำความรู้จักกับคุณอยู่”

ชลธีเดินยิ้มเผล่เข้ามาแทนดาวรีบเก็บลิปสติกลงประเป๋าแล้วตามออกไปจนเข้าไปยืนอยู่ในห้องประชุมโอ่โถง ภายในห้องมีคนนั่งอยู่ประมาณสิบห้าคนตลอดโต๊ะตัวยาวแทนรู้สึกตื่นเต้นระคนประหม่า

“ทุกคนครับ...ผมขอแนะนำคุณแทนดาวทวีกิจไพศาล คู่หมั้นของผม”

ชลธีแนะนำเป็นภาษาอังกฤษเพราะเกินครึ่งหนึ่งในห้องนี้เป็นชาวต่างชาติทุกคนพูดสวัสดีตอบเกือบจะพร้อมกัน คนไทยก็ใช้ภาษาไทย คนต่างชาติก็พูดภาษาตัวเองทุกคนมอบรอยยิ้มเป็นมิตรมาให้ คนถูกแนะนำจึงรู้สึกผ่อนคลายขึ้น

“สวัสดีค่ะเรียกดิฉันว่าใบพลูก็ได้ ยินที่ได้รู้จักทุกคนนะคะ”หญิงสาวตอบกลับเป็นภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่วเช่นกัน

“หน้าตาน่ารักนะคะได้ข่าวว่าเพิ่งเรียนจบนี่คะ แล้วจะมาทำงานที่นี่หรือเปล่า”คนไทยหนึ่งในนั้นถามขึ้น

“ยังไม่ได้ตัดสินใจเรื่องนี้ค่ะตอนนี้เล่นดนตรีให้สยาม ออร์เคสตร้า นอกจากนั้นก็มีสอนพิเศษเปียโนด้วยค่ะ”

แม้สายตาของทุกคนจะมองว่าหญิงสาวยังเหมือนเด็กวัยรุ่นช่างฝันทั่วไปแต่วิธีการพูดจาฉะฉานชัดถ้อยชัดคำผสานกับกิริยามารยาทเรียบร้อยแต่ก็ดูมั่นอกมั่นใจและสง่างามทำให้หลายคนแสดงความชื่นชมออกมาทางสายตา ไม่ว่าผู้ที่สนทนาด้วยจะเป็นชาวต่างชาติแทนดาวก็สามารถโต้ตอบกลับไปด้วยภาษาเดียวกันด้วยสำเนียงที่แทบจะเหมือนเจ้าของภาษายิ่งมีคนหนึ่งเป็นชาวฝรั่งเศสก็ยิ่งเป็นที่ถูกใจ เพราะนาน ๆ ครั้งจะได้ใช้ภาษาที่สามที่อุตส่าห์ร่ำเรียนมา

“มีแต่คนพูดถึงน้องพลูจนพี่จะตกกระป๋องแล้วกลางวันนี้อัลเฟรดชวนน้องพลูกินข้าวด้วยนะ นายอัลเฟรดคนนี้เป็นจีเอ็มเจ้าหมอนี่โลกส่วนตัวสูงจะตาย...ไม่ค่อยจะสังคมกับใครง่าย ๆขนาดพี่ทำงานด้วยมาตั้งหลายปียังไม่ค่อยจะสนิทแต่น้องพลูมาวันแรกก็ถูกชะตาเจ้านั่นเสียแล้ว”

ชลธีเล่าเรื่องเมื่อเช้าให้ฟังหลังจากที่จบการแนะนำตัวพอเป็นพิธีแล้วเขาก็กลับไปประชุมต่อแต่ดูเหมือนเนื้อหาการพูดคุยจะมีแต่เรื่องราวของหล่อนทั้งสิ้น จนเขาฉีกยิ้มหน้าบานที่การมาของสาวน้อยสร้างความประทับใจให้ทุกคนเกินความคาดหมาย

“เขาคงเห็นว่าน้องพลูพูดภาษาเดียวกับเขามั้ง...เลยชอบ”

“ถ้าถูกใจเพราะเรื่องนั้นก็ไม่มีปัญหาหรอกแต่ถ้าคิดเนียนมาจีบเรานี่...เป็นเรื่องแน่”

น้ำเสียงจริงจังจนคนฟังชักเริ่มหมั่นไส้ไอ้กระบวนการหวงนี่เจอกับพี่ชายมาแทบทั้งชีวิตไม่คิดว่าจะต้องมาเจอคนประเภทเดียวกันยกกำลังสอง คู่นี้มีวิธีการแสดงออกกว่าหวงก้างต่างกันสุดขั้วฝ่ายแรกจะออกแนวโผงผาง ตรงไปตรงมา ส่วนอีกคนจะนิ่ง ๆ เงียบ ๆแต่เล่นงานคู่ต่อสู้ได้เด็ดดวงนัก

“ว่าแต่วันนี้มีอะไรให้น้องพลูทำอีกไหมคะนอกจากแยกจดหมาย เหลือเวลาอีกแค่ครึ่งวันนะ ไม่นับรวมเวลาพักกลางวัน”

“นั่นสิ...ยังใช้ไม่คุ้มเลยงั้นตอนนี้...คุณแทนดาวช่วยชงกาแฟให้ผมสักแก้ว เครื่องกาแฟอยู่ในห้องทางซ้ายมือ” เขาสั่งเสียงเรียบเหมือนสั่งงานลูกน้องเลขาฯเฉพาะกิจรีบลุกกุลีกุจอไปจัดการให้ ไม่ใช่เรื่องยากอะไรเพราะชงให้พี่ชายอยู่ประจำแถมยังไม่ต้องคิดเยอะเพราะสองคนนี้ดื่มกาแฟดำเพียว ๆ เหมือนกัน ไม่ถึงห้านาทีกาแฟถ้วยเล็กควันโชยฉุยก็ถูกยกมาวางตรงหน้าชายหนุ่มที่กำลังอ่านอีเมล์อย่างตั้งใจ

“ได้แล้วค่ะคุณชลรับอะไรเพิ่มอีกไหมคะ”

หญิงสาวเลื่อนถ้วยกาแฟเข้าไปใกล้อีกชลธียกกาแฟขึ้นจิบแล้วยิ้มกว้างเหมือนนึกอะไรได้แล้วก็รวบร่างบางมานั่งตักแทนดาวรู้สึกว่า ตั้งแต่พ้นคำว่านักศึกษาชลธีก็ชักจะซุกซนและถึงเนื้อถึงตัวมากขึ้น เผลอเป็นกอดเป็นหอมได้ทุกที

“เมื่อวานโยนซะไหล่เคล็ดนวดให้หน่อยสิครับ ดูสิ...แรงจะจับปากกายังไม่มี” เขาทำท่าชูแขนที่อ่อนป้อแป้ของตัวเองสาวน้อยค้อนให้แล้วเริ่มลงมือบีบไหล่หนาเบา ๆ

“แรงมีเท่านี้เองอ่ะเหรอแล้วเมื่อไหร่จะหายเมื่อย” เมื่อถูกร้องขอ หมอนวดก็จัดให้ทีนี้ทั้งแรงกดแรงบีบใส่ลงไปไม่ยั้งจนคนที่บ่นไหล่เคล็ดต้องร้องขอให้หยุด

“เอาล่ะ...ทีนี้เคล็ดของจริง”

เขาบ่นแกมหยอกแล้วดึงร่างบางให้ลงมานั่งซ้อนตักอีกหนสองแขนแข็งแรงรัดเอวบางไว้หลวม ๆ แทนดาวสังเกตเห็นแบบร่างสิ่งก่อสร้างคล้ายบ้านหลายๆ หลังก็หยิบมาดู

“บ้านที่ไหนเหรอคะ...สวยจังน่ารักเหมือนบ้านตุ๊กตาเลยค่ะ”

“อ้อ..พี่แค่ปริ้นท์มาดูเล่น ๆน่ะ” ชายหนุ่มรีบฉวยกระดาษแผ่นนั้นเก็บในลิ้นชักมิดชิด

“ขอหอมแก้มคนสวยหน่อยสิคะ” เขาอ้อนเสียงหวานทำตาละห้อย ทีแรกคนถูกขอหาทางบ่ายเบี่ยงแต่ฝ่ายนั้นก็หยิบคูปองผู้ชนะโบกไปมาให้รู้ว่าไม่มีสิทธิ์ต่อรองกว่าที่คนขี้ขอจะหอมซ้ายหอมขวาจนหนำใจก็เล่นเอาคนบนตักหน้าแดงแล้วแดงอีก

การรับประทานอาหารกลางวันกับคนแปลกหน้าไม่ใช่เรื่องอึดอัดอย่างที่คิดนอกจากชาวฝรั่งเศสชื่ออัลเฟรดแล้วก็ชาวต่างชาติอีกสองคน บทสนทนาไม่เครียดมากจนเกินไปนักบางครั้งชลธีก็อดทึ่งไม่ได้ว่าแทนดาวก็มีความรู้รอบตัวในเรื่องที่ออกจะดูไกลตัวอย่างเศรษฐกิจหรือการเมืองในต่างประเทศ ชายหนุ่มคิดว่าการที่หล่อนรู้เรื่องพวกนี้ก็คงได้อิทธิพลจากพี่ๆ ที่เป็นผู้บริหารก็คงได้ยินเรื่องพวกนี้ผ่านหูผ่านตามาบ้าง ดูเหมือนอัลเฟรดจะถูกคอกับสาวน้อยเพียงคนเดียวในที่นี้เป็นพิเศษเห็นได้การพูดคุยภาษาเดียวกันอย่างออกรส แทนดาวเล่าเรื่องสมัยเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนที่นั่น ส่วนนายอัลเฟรดเจ้าของนัยน์ตาสีควันบุหรี่ก็คอยเสริมเรื่องราวและบางครั้งก็เล่าเรื่องชวนหัวจนคนบางคนที่นั่งฟังอยู่ออกอาการ ‘เคือง’ อยู่ลึกๆ

หลังมื้ออาหาร แทนดาวก็กลับมาช่วยงานทั่วไปเช่น จัดแฟ้ม รับโทรศัพท์ พอตกบ่ายแก่เขาก็พาไปแนะนำตัวตามแผนกต่าง ๆ จนครบสถานที่ที่ถูกใจที่สุดคงหนีไม่พ้นห้องเบเกอรี่เชฟใหญ่ใจดีอนุญาตให้ลองแต่งหน้าเค้กเอง หญิงสาวใช้เวลาอยู่ที่นั่นนานกว่าที่อื่นพอกลับออกมาก็มีถุงขนมหลากชนิดติดมือมาด้วย

“เหนื่อยไหมคะ...เดี๋ยวก็ได้กลับบ้านแล้ว” เขาถามร่างเล็กที่นั่งอิงซอกไหล่อย่างเอาใจมือหนาดึงกิฟต์ติดผมกับยางรัดออกปล่อยให้ผมนถ่มดุจไหมทิ้งตัวเป็นอิสระปลายนิ้วอุ่นสอดพันเล่น

“ทำงานแบบนี้ก็เพลินดีเหมือนกันนะคะแต่น้องพลูชอบเสียงเพลงมากกว่า”

“พี่เข้าใจคนเรามีความถนัดไม่เหมือนกัน น้องพลูก็เก่งในเรื่องที่ตัวเองชอบส่วนวันนี้...หนูเป็นเด็กดีมาก ทำงานได้ดีไม่มีที่ติเลย อยากได้อะไรเป็นรางวัลล่ะ”

“น้องพลูอยากดูหนัง”

“ได้สิ...แวะกินข้าว ดูหนังแล้วค่อยกลับบ้านนะ”

แทนดาวเตรียมเก็บข้าวของเมื่อเหลือบมองดูนาฬิกาที่บอกเวลาห้าโมงเย็นพอดีชลธียังไม่กลับจากการประชุมก็เลยมีเวลาให้สำรวจหน้าตานิดหน่อย ดูเหมือนว่าการแต่งหน้าเติมปากจะทำจนติดเป็นนิสัยอย่างหนึ่งไปเสียแล้วจากเมื่อก่อนที่ไม่เคยสนใจกับการแต่งเนื้อแต่งตัวมากนักครั้นพอได้ชื่อว่าเป็นคู่หมั้นก็คิดว่าการมีภาพลักษณ์ที่ดีย่อมทำให้คนรอบข้างประทับใจยิ่งวัน ๆ หนึ่งชลธีต้องพบปะผู้คนมากหน้าหลายตา บางครั้งก็เป็นผู้หลักผู้ใหญ่นักข่าว นักการเมือง แทนดาวจึงมองว่าการปรับเปลี่ยนตัวเองบ้างเล็กน้อยย่อมจะช่วย ‘เสริม’ ให้เขามีภาพพจน์ที่ดีมากขึ้น

หญิงสาวเรียนรู้และเข้าใจโดยอัตโนมัติว่าทำไมพี่สาว มารดา หรือพี่สะใภ้อย่างรมย์นลินมีความพิถีพิถันในเรื่องการแต่งกายยามต้องออกไปสู่สังคมภายนอกถ้าเป็นเมื่อก่อนก็อาจจะนึกรำคาญที่กว่าจะออกจากบ้านได้แต่ละครั้ง ทั้งคุณแม่และพี่สาวจะต้องมากำกับเลือกเสื้อผ้าแต่งหน้าทำผมวุ่นวายไปหมดแต่พอได้มายืนตรงจุดเดียวก็ทำให้เข้าใจได้โดยปริยาย อีกทั้งยังต้องนึกขอบคุณด้วยซ้ำที่ทำให้หล่อนรู้จักแต่งหน้าแต่งตัวเป็นในยามที่ต้องจัดการดูแลตัวเอง

“อีกห้านาที”

ข้อความสั้น ๆ จากชลธีเร่งให้แทนดาวเช็คความเรียบร้อยจนมั่นใจแล้วเก็บข้าวของส่วนตัวลงกระเป๋าสะพายพลันสายตาจับผิดไวดุดเหยี่ยวล่าเหยื่อสะดุดกับวันที่บนปฏิทินที่เขียนไว้ด้วยหมึกสีแดงว่าไปเพชรบูรณ์กับอัยดา พอลองพลิกเดือนถัดไปก็จะเห็นข้อความเดียวกันนี้แต่ต่างวันที่ ลองพลิกย้อนกลับไปเดือนก่อน ๆ ก็ปรากฏข้อความนี้อีกเช่นกันบางเดือนไปครั้งเดียว บางเดือนไปสัปดาห์เว้นสัปดาห์

“อัยดาคือใคร ? แล้วทำไมต้องไปเพชรบูรณ์ด้วยกัน”

หญิงสาวเพียรถามตัวเองอย่างนี้จำได้เลา ๆ ว่าชลธีเพิ่งไปเพชรบูรณ์อยู่เมื่อไม่นานมานี้ แล้วอัยดา...ชื่อเสียงเรียงนามฟังดูคล้ายสตรีนักแค่คิดเพียงเท่านี้ก็เหมือนมีกองไฟเล็ก ๆ สุมอยู่ในอก คิ้วโก่งเรียวขมวดมุ่นเมื่อพลิกปฏิทินไปเรื่อยๆ จนมาหยุดที่เดือนกันยายน มีรอยหมึกสีแดงวงกลมรอบตัวเลขวันที่สิบห้าพร้อมข้อความสั้นๆ ระบุว่า น้องพลูรับปริญญา คิ้วที่ขมวดอยู่จึงคลายออกพร้อมปรากฏรอยยิ้มบางๆ

ในระหว่างที่นั่งรถมาด้วยกันแทนดาวก็เอาแต่ขบคิดว่าควรจะถามออกไปตรง ๆ หรือว่าจะปล่อยผ่านไปดีถึงจะไว้วางใจและเชื่อใจว่าบุรุษที่นั่งข้าง ๆ ไม่มีนอกมีในเรื่องชู้สาวแบบนี้แต่ด้วยธรรมชาติของสตรีนั้น อันสิ่งใดที่สงสัยว่าผิดปรกติ...ก็ย่อมมิอาจวางใจ

“พี่จองที่นั่งเฟิร์สคลาสไว้น้องพลูจะได้นั่งสบาย ๆ เดินมาทั้งวันคงจะเมื่อยน่าดู”

เขาบอกอย่างเอาใจขณะจูงมือพาขึ้นมายังโรงภาพยนตร์ระหว่างทางเดินผ่านร้านขายเครื่องประดับสตรีก็นึกอะไรขึ้นได้ มืออุ่นกระตุกร่างเล็กให้เดินตามเข้าไปด้วยกันชายหนุ่มก้ม ๆ เงย ๆ เลือกสินค้าที่ว่างเรียงรายจนน่าตาลาย พอผ่านไปพักใหญ่ก็เลือกได้ชิ้นที่ถูกใจ

“สวยไหม...ชอบไหมครับ...น้องพลู”

กระจกเงาบานเล็กสะท้อนภาพกิ๊บโลหะสีเงินประดับเพชรสีขาวรูปดาวสามดวงเรียงไล่ขนาดจากใหญ่ไปเล็กประดับเด่นบนกลุ่มผมสีดำสนิทหญิงสาวอดไม่ได้ที่จะยกมือไปสัมผัสของที่เขาตั้งใจเลือกให้ รอยยิ้มพอใจปรากฏบนใบหน้านวลผ่องขึ้นชื่อว่าสตรี...เครื่องประดับสวยงามเช่นนี้ย่อมเป็นที่พึงใจ

“สวยจังพี่ชลก็เลือกของแบบนี้เป็นเหมือนกันนะเนี่ย” ชายหนุ่มยิ้มกว้างขึ้นเมื่อได้ยินเช่นนั้น

“ทั้งโลกนี้...มีผู้หญิงสามคนที่พี่อยากเอาใจใส่มีแม่ ยัยแฟง แล้วก็น้องพลูนี่แหละ” เสียงนุ่มกระซิบชิดขมับต่างคนต่างมองตากันผ่านกระจกเงา สายตาอบอุ่นที่สะท้อนกลับมาทำให้แก้มผ่องเป็นยองใยปลั่งสีเข้มขึ้น

“วันนี้น้องพลูช่วยงานพี่ตั้งหลายอย่างถือว่าพี่จ่ายค่าจ้างก็แล้วกันนะ”

“ขอบคุณนะคะแหม...งั้นน้องพลูไปช่วยงานพี่ชลทุกวันเลยได้ไหมคะ” หญิงสาวพูดเย้า

“หืม...พอดีพี่คงจนตายต้องกินหัวเผือกหัวมันแทนข้าวกระมัง”

ชลธีแสร้งทำหน้าละห้อยแล้วสองคนก็หัวเราะให้กันเบาๆ ความเบิกบานห่อหุ้มในหัวใจจนแทนดาวลืมเรื่องข้องใจไปชั่วขณะ ลำแขนแกร่งโอบไหล่ลาดไปยังโรงภาพยนตร์

“น้องพลูลืมหยิบเสื้อแขนยาวติดมือมาขอกุญแจรถได้ไหมคะ...จะเดินไปเอา เดี๋ยวเดียวเอง....โฆษณายังไม่ทันจบหรอกค่ะ”

“ไม่ต้องไปหรอก ขยับมาใกล้ ๆพี่นี่” เสียงทุ้มกระซิบบอกแล้วโอบเอวเล็กเข้ามาจนชิด

“อุ่นยัง ?”

คนถูกถามเพียงแต่พยักหน้ารับ ร่างกายบางส่วนสัมผัสกับกล้ามเนื้อที่ห่อหุ้มเลือดอุ่นความอุธัจที่ถูกกอดแนบชิดอาบไปทั่วสรรพางค์กายจนต้องเอนอิงศีรษะแนบกับซอกไหล่หนา สักเดี๋ยวก็รู้สึกถึงลมหายใจอุ่นๆ รดผะแผ่วตรงข้างแก้มตามด้วยเสียงสูดหายใจเข้าปอดแรง ๆ เร็ว ๆ ในเมื่อชลธียังเอาใจใส่เสมอต้นเสมอปลายก็ไม่เห็นเหตุผลอันใดทีจะติดใจสงสัยในเรื่องที่ได้เห็นผ่านตาวันนี้อัยดา...อาจเป็นลูกค้า พนักงาน หรือใครก็ได้ไม่จำเป็นต้องเกี่ยวพันกับเขาในเชิงชู้สาวเสมอไป

“อกพี่อุ่นกว่าผ้าห่มเป็นไหน ๆ ”

ภาพยนตร์ที่ดัดแปลงมาจากหนังสือของนักเขียนผู้โด่งดังระดับโลกที่กำลังฉายอยู่เบื้อหน้าสนุกตื่นเต้นอยู่ไม่น้อยแต่คงไม่ใช่กับสาวน้อยที่นอนซบไหล่ชายหนุ่มอยู่ตอนนี้เป็นแน่ไม่เช่นนั้นคงมิหลับคอพับอย่างนี้ ช่วงครึ่งแรกก็ยังนั่งเบิกตาโพลงดูอย่างดี แต่พอเลยกลางเรื่องไปไม่ทันไรก็สลบไสลอยู่กับอกของชลธีนั่นเอง

“น้องพลู...ตื่นเร็วมันจะเฉลยความจริงแล้วนะ...ไม่ดูเหรอ”

ชายหนุ่มเขย่าตัวคนกำลังหลับแรง ๆอยากจะหยิกเจ้าของแก้มสีเรื่อนี้นักที่บ่นอยากดูหนังแต่กลับหลับปุ๋ยไม่คุ้มราคาตั๋วกับที่นั่งพิเศษเลยพอเห็นว่าคนขี้เซาไม่มีทีท่าว่าจะลืมตาง่าย ๆ ก็เลยก้มลงจุ๊บปากหลาย ๆทีเป็นการปลุก

“อือ...พี่ชลทำอะไร”

“จะตื่นได้หรือยัง ? ถ้ายัง...ก็จะจุ๊บจนกว่าตาจะสว่าง” คนพูดกระซิบชิดปากนุ่ม

“งืม...พี่ชลดูแทนน้องพลูแล้วมาเล่าให้ฟังด้วย”

คนขี้เซาตอบเสียงยานแล้วซุกศีรษะกับอกกว้างอย่างเดิมสองแขนเรียวกอดเอวหนาเพิ่มสัมผัสไออุ่นจากร่างตึงแน่น ชลธีขยับตัวให้อยู่ในอิริยาบถผ่อนคลายมากขึ้นแสงวูบวาบจากจอภาพยนตร์ขนาดใหญ่เบื้องหน้าส่องให้เห็นรอยยิ้มเอ็นดูฉาบชัดบนใบหน้าเคร่งขรึมสองแขนแกร่งรัดร่างอรชรแน่นขึ้นแล้วบ่นพึมพำ

“ดูสิ...เกาะเป็นลูกลิงเชียว”

วันพระราชทานปริญญาบัตรของแทนดาวมาถึงในที่สุดเทียมภพมองสาวน้อยในเสื้อครุยสีขาวโปร่งที่กำลังเดินฉีกยิ้มกว้างเข้ามาหาด้วยความภาคภูมิใจจนไม่อาจบรรยายได้แขนเรียวข้างหนึ่งกอดใบปริญญาบัตรเดินเบียดกลุ่มบัณฑิตใหม่กับบรรดาญาติ ๆ ตรงมายังจุดนัดหมายที่สมาชิกครอบครัวรออยู่หญิงสาวทรุดตัวลงนั่งกับพื้นตรงหน้าพี่ชายแล้วก้มกราบแทบตักแบบไม่อายใครจากนั้นก็ยื่นปริญญาบัตรหุ้มปกไหมสีน้ำเงินติดตราสัญลักษณ์ของมหาวิทยาลัยให้

“น้องพลูขอตอบแทนพระคุณของพี่หมากที่เลี้ยงดูมาอย่างดีจนมีวันนี้...ด้วยปริญญาใบนี้ค่ะ”

เทียมภพลูบศีรษะเล็กด้วยอาการน้ำตาเอ่อคลอเบ้าเพราะความปลาบปลื้มใจเด็กผู้หญิงขี้แยและแสนงอนในวันวานบัดนี้ได้เป็นบัณฑิตสง่างามสมภาคภูมิ ในหัวใจเต็มไปด้วยความปิติยินดีขณะอ่านตัวอักษรทุกตัวบนปริญญาบัตรในมือเขาเข้าใจความรู้สึกของคนที่เป็นพ่อมากขึ้นว่า เวลาเห็นลูกประสบความสำเร็จมันมีความสุขและปลื้มอกปลื้มใจเพียงใด

“พี่ขอให้น้องพลูประสบแต่ความสำเร็จในชีวิตยิ่งๆ ขึ้นไปนะครับ” เทียมภพดึงตัวน้องสาวมากอดแนบแน่น ความสุข

ใดจะยิ่งใหญ่ไปกว่าการที่ได้เห็นคนที่กล่อมเกลี้ยงเลี้ยงดูมาประสบความสำเร็จในวันนี้ขนาดว่าคุณพ่อคุณแม่อยู่ตรงนั้นด้วย

แท้ๆ แต่แทนดาวก็เลือกที่จะไปหาพี่ชายก่อนเสร็จแล้วจึงค่อยเข้าไปกราบท่านตามลำดับ

“ทุกคนมองกล้องค่ะ”

เสียงใส ๆของตากล้องสาวร้องบอกสมาชิกครอบครัวที่ยืนรวมตัวในซุ้มลูกโป่งสีสันสดใสหน้าตึกคณะ ในอ้อมกอดของแทนดาวเต็มไปด้วยช่อดอกไม้แสดงความยินดีมือข้างหนึ่งกอดปริญญาบัตรไว้มั่น พอแทนขวัญนับให้สัญญาณทุกคนก็ฉีกยิ้มกว้าง ความยินดีเปื้อนอยู่บนใบหน้าของทุกคน

“ยินดีด้วยนะครับ...บัณฑิตใหม่” ชลธีตามมาสมทบในไม่ช้าในอ้อมแขนของเขามีตุ๊กตาแมวตัวโตลายดำพาดขนสีขาวซึ่งขนาดของมันใหญ่มากจนบังหน้าบัณฑิตเสียมิดอีกมือถือช่อทิวลิปสีชมพูช่อใหญ่

“ขอบคุณค่ะ นี่มันเจ้าจี้จังนี่นา...”แทนดาวยิ้มกว้างขณะรับช่อดอกไม้พร้อมกับอุ้มเจ้าแมวยักษ์ที่ชื่อว่าจี้ซึ่งเป็นแมวในการ์ตูนเรื่องหนึ่งที่ชื่นชอบ

“พี่ชลกับพี่พลูยืนชิดกันหน่อยค่ะ”

แทนขวัญตะโกนบอกพร้อมกับยกกล้องอีกตัวที่ติดเลนส์สำหรับถ่ายภาพบุคคลเล็งไปที่ทั้งคู่ชลธีขยับเข้าไปใกล้แล้วใช้แขนข้างหนึ่งโอบเอวสาวน้อยเอาไว้แต่กระนั้นก็ยังได้ยินเสียงกระแอมกระไอของพี่ชายบัณฑิตขัดขึ้นเป็นการเตือนให้รู้ว่าควรถอยห่างจากน้องสาวสักเล็กน้อย

“พี่อชิ...มาถ่ายรูปกันค่ะ”

แทนดาวร้องเรียกหนุ่มแว่นที่เพิ่งมาถึงไล่ๆ กัน อชิตะมอบช่อดอกไม้พร้อมกับกล่องของขวัญใบย่อมให้ คู่ซี้มองอย่างไม่ใคร่ไว้ใจนักถึงแม้ว่าหมอหนุ่มจะประกาศชัดเจนว่าไม่ได้คิดวอกแวกกับแทนดาวแล้วก็ตามแต่ถึงอย่างไรสองหนุ่มคู่ดูโอก็ยังคงวางอชิตะเอาไว้ในตำแหน่ง ‘ผู้ต้องสงสัย’ อยู่วันยันค่ำ

“พี่ดีใจด้วยนะครับอ้อ...แล้วก็ยินดีด้วยที่น้องพลูได้อยู่วงออร์เคสตร้า ได้ข่าวว่าอาทิตย์หน้าจะไปแสดงคอนเสิร์ตที่อัมสเตอร์ดัมใช่ไหม”

“ค่ะ...ไปอัมสเตอร์ดัมแล้วก็มิวนิคอ้อ...เดือนพฤศจิกามีคอนเสิร์ตใหญ่ที่หอประชุมแห่งชาติ น้องพลูได้เดี่ยวเปียโนต่อหน้าพระพักตร์ด้วย...ชวนพี่อชิไว้ก่อนเลยค่ะแล้วจะเอาบัตรเชิญไปให้ทีหลังนะ” หญิงสาวเล่าเสียงใสประกายตาฉาบไปด้วยความร่าเริงไม่เคยเปลี่ยน

“พี่ไปดูแน่นอนครับ”

“สวัสดีค่ะ...คุณหมอคิมโดฮัน”แทนขวัญทักทายอย่างเป็นกันเองแทนดาวส่งสายดุน้องสาวที่ไปเรียกชื่อเขาแบบนั้นแต่อชิตะก็ยิ้มอย่างไม่ถือสา

“สวัสดีครับน้องขวัญวันนี้มาเป็นตากล้องเหรอครับ”

ชายหนุ่มทักกลับพลางสังเกตสาวน้อยตรงหน้าในชุดเสื้อเชิ้ตแขนสั้นกับกางเกงยีนส์เข้ารูปผมยาวรวบตึงขมวดเป็นก้อนกลมคล้ายซาลาเปาตรงกลางศีรษะ ใบหน้าเกลี้ยงเกลาชื้นเหงื่อ ที่คอมีกล้องสองตัวต่างขนาดกันคล้องอยู่ที่หลังสะพายเป้ใบโตใส่อุปกรณ์ที่ดูออกจะใหญ่เกินตัวไปเสียหน่อย

“ค่ะ...ช่วงนี้ขวัญรับจ๊อบถ่ายภาพถ้าคุณหมอมีงานอะไรก็ติดต่อได้เลยนะคะ”

“น้องขวัญก็เพิ่งเรียนจบเหมือนกันค่ะตอนนี้มาพักอยู่กับน้องพลูระหว่างรอเปิดเทอม อ้อ...ลืมบอกว่าน้องขวัญกำลังจะไปเรียนต่อสาขาการถ่ายภาพที่แมนเชสเตอร์”แทนดาวอวดสรรพคุณน้องสาว

“ขวัญชอบถ่ายรูปนี่ไง...กล้องตัวนี้พี่หมากกับพี่ตั้มหุ้นกันซื้อให้เป็นของขวัญเรียนจบ”แทนขวัญหยิบกล้องตัวใหญ่ที่

คล้องคออยู่ให้ดูอย่างอวดๆ อชิตะเพียงแต่ยิ้มสุภาพตามแบบฉบับเนื่องจากไม่มีความรู้เรื่องกล้องมากนักก็เลยไม่รู้ว่าจะแสดงความคิดเห็นอย่างไรดี

“ดีจัง น้องสองคนมีพรสวรรค์กันคนละอย่างว่าแต่....น้องขวัญจะเดินทางเมื่อไหร่ล่ะ”

“เมื่อไหร่ก็เมื่อนั้นหมอรู้แล้วจะตามไปส่งหรือไง” คนที่ตอบคำถามกลับเป็นเทียมภพเขาแทรกตัวเข้ามาอยู่กลางวงสนทนา ดวงตากราดเกรี้ยวจับจ้องที่หนุ่มแว่นไม่ลดละ เส้นที่ไม่ค่อยจะกินกันสร้างความไม่พอใจมากขึ้นเมื่อเห็นสีหน้าระรื่นซ่อนไว้ภายใต้กรอบแว่นยามสนทนากับน้องสาวทั้งสอง

“ถ้าว่าง...ผมก็คิดว่าจะไปหรือถ้าไม่ว่าง...ก็จะทำตัวให้ว่าง” อชิตะตอบเรียบๆ แล้วส่งยิ้มให้แทนขวัญที่ต้องก้มหน้าเก็บอาการบางอย่างรู้สึกแปลกประหลาดที่อชิตะพูดแบบนั้น จะเป็นจริงหรือเป็นเล่นก็ไม่รู้ แต่ที่แน่ ๆ มันทำให้ไม่กล้าที่จะเงยหน้าขึ้นมาเพราะกลัวคนอื่นจะเห็นอาการเขินขัด

“พี่หมาก...วันนี้วันดีอย่ามีเรื่องเลยนะคะเราย้ายไปถ่ายรูปที่อื่นกันมั่งเถอะน้องขวัญ” แทนดาวเรียกน้องสาวแล้วเดินนำคนอื่น ๆ ให้ตามไปคงเหลือเพียงสองหนุ่มที่ยังยืนอยู่ที่เดิมเทียมภพรอให้ทั้งหมดเดินห่างออกไปแล้วก็เอ่ยปากกับหนุ่มแว่นด้วยน้ำเสียงที่บ่งชัดว่าพื้นไม่ค่อยจะดี

“นี่หมอ...ถามจริง ๆ เถอะผู้หญิงทั้งโลกมีบานตะไท ทำไมไม่ไปหาไกล ๆ จากรั้วบ้านผมหน่อยไม่น้อง...ก็หลานผมอยู่นั่นแหละ”

“งั้นคุณหมากตอบผมได้ไหมว่าทำไมถึงไปรักคุณแฟงทั้งที่เธอเป็นน้องสาวคนที่คุณ...ไม่ชอบหน้าในเมื่อยังมีผู้หญิงอีกบานตะไทอย่างที่คุณว่า” เจอคำย้อนศรแบบนี้เข้าไปก็ทำเอาคนฟังสะอึกเหมือนกันเพราะมันจี้จุดในใจตรงเผง

“คุณหมาก...คุณหมอไปตรงโน้นเถอะค่ะ ถ่ายรูปเสร็จแล้วก็จะได้ไปร้านเฮียเบิ้มเลย เชิญคุณหมอด้วยนะคะ”

รมย์นลินเดินมาตามสามีและห้ามทัพไปในตัวหลังรับรู้จากแทนดาวว่าสามีกำลังหาเรื่องคนหน้าท้องป่องนูนตามอายุครรภ์ห้าเดือนยังไม่เด่นชัดนักอันเป็นลักษณะของท้องสาว แต่กระนั้นก็ยังไม่ทราบเพศอยู่ดีเพราะว่าทารกในครรภ์หนีบขาไว้ตลอดเทียมภพเลยฟันธงเอาเองว่าน่าจะเป็นเพศหญิงเพราะลูกขี้อายเหลือเกิน

“คุณหมากพยายามอย่าหงุดหงิดบ่อยนะครับอาการหงุดหงิดแบบนี้อาจทำให้คุณแม่เครียดจนส่งผลต่อเด็กในท้องได้เหมือนกันนะครับยิ้มครับ...ยิ้มเข้าไว้ เป็นคุณพ่อแล้ว อะไรที่ปล่อยวางได้...ก็วางเสียมั่งนะครับขนาดบุหรี่คุณยังเลิกได้...เรื่องมีจิตผูกพยาบาทก็ละบ้างเถอะครับ” อชิตะทิ้งท้ายอย่างอารมณ์ดีรมย์นลินแอบยิ้มขำสามีที่โดนย้อนเข้าให้

“ไอ้นี่ ! ปากคอแบบนี้ไม่น่าจะเป็นหมอคนนะ น่าจะไปเป็นหมอผี...ไม่ก็หมอลำ” 



Create Date : 05 มิถุนายน 2559
Last Update : 5 มิถุนายน 2559 17:40:54 น.
Counter : 504 Pageviews.

1 comment
เปิดรั้วใจ...เยี่ยมบ้านอิสวารายา




เปิดรั้วใจ...เยี่ยมบ้านอิสวารายา

สวัสดีค่ะ ท่านผู้อ่านแฟนพันธ์แท้ที่น่ารักทุกท่านก่อนอื่นเลยอิสวารายาต้องขอบอกว่า “ขอบคุณ” จากเบื้องลึกของหัวใจจริงๆที่ให้การต้อนรับและติดตามอ่าน “ปลูกรักในรั้วใจ” มาจนถึงตอนอวสานที่น่าปลื้มใจอีกประการ คือ มีแฟนนักอ่านบางท่านติดตาม รอคอย รออ่านนวนิยายเรื่องนี้มาตั้ง9 ปี อิสวารายาขอบคุณอย่างลึกซึ้งจริง ๆ ค่ะ

บางท่านอาจจะคิดว่าเอ...นิยายเรื่องนี้ทำไมเขียนจบเร็วจังเพราะเริ่มโพสต์ลงเวบเมื่อเดือนกุมภาพันธ์นี่เอง แถมยังมีจำนวนตอนตั้งสามสิบกว่าก็อย่างที่อิสวารยาได้เขียนไว้ในบทนำว่า “ปลูกรักในรั้วใจ” ถูกเขียนมาตั้งแต่ปี2007 หรือ พ.ศ. 2550 ตอนนั้นผู้เขียนเพิ่งจะเรียนจบมหาวิทยาลัยเองค่ะ พอเขียนมาจนใกล้จะถึงบทอวสานก็เป็นอันต้องหยุดพักยาวนานไปถึง9 ปีทีเดียว

วันดีคืนดีได้ลองเสิร์ชหานิยายเรื่องนี้ในกูเกิ้ลก็ยังเห็นคนถามหาอยู่เลยลองกลับมาเปิดคอมพ์ดูตอนที่เขียนค้างไว้ก็เลยเกิดความรู้สึกผิดว่าเราทรยศต่อแฟน ๆนักอ่านที่ติดตามมาตั้งแต่แรกที่ไม่ยอมเขียนให้จบ ตอนแรกก็ว่าจะไม่กลับมาเขียนต่อเพราะคิดว่าทิ้งเวลาผ่านไปนานมากคนอ่านเก่า ๆ คงลืมไปหมดแล้ว แต่ปรากฏว่ายังมีคอมเม้นต์ถามหาอยู่ ดังนั้นก็เลยเริ่มrewrite เรื่องใหม่ตั้งแต่แรกเพื่อให้ทันกับยุคสมัยที่เปลี่ยนไปพอเริ่มโพสต์ตอนแรก ๆ ลงเวบ ก็ปรากฏว่ามีกระแสตอบรับที่ดี บางท่านเขียนคอมเม้นต์ว่าอยากอ่านต่อบางท่านบอกว่าขอลองอ่านดูก่อนแล้วก็ปรากฏว่าติดหนึบบางท่านมาเปิดเจอเอาตอนหยุดสงกรานต์แล้วอ่านยาว ๆ ช่วงวันหยุดรวดเดียวจบก็มี ที่สำคัญทุกท่านให้กำลังอิสวารายาดีมากจนมีกำลังใจเขียนต่อจนจบ

มาพูดถึงเนื้อหานิยายกันบ้าง

มีหลายท่านชื่นชอบสำนวนการเขียนซึ่งติดออกจะเป็นภาษาที่‘ล้าสมัย’ต่างกับนวนิยายในยุคปัจจุบันคำบางคำเป็นศัพท์สมัยก่อน สำนวนบางอย่างเด็กรุ่นใหม่ก็อาจไม่เคยได้ยินคารมของตัวละครบางทีก็ฟังดูลิเก แต่ด้วยความที่อิสวารายาเกิดมาในยุคที่นิยายเล่มละ12 บาทกำลังเฟื่องฟู ก็เลยชื่นชอบและติดกับลักษณะการเขียนแนวนั้นและโดยความเห็นส่วนตัวแล้วคิดว่ามัน ‘ไพเราะ’ และละมุนละไมต่ออารมณ์มากทีเดียว

ในส่วนของการใช้บรรยายโวหารและพรรณนาโวหารในทำนองเดียวกัน...อิสวาราชอบอ่านนิยายของนักเขียนเก่า ๆ เช่น จามรี พรรณชมพูชลาลัย วลัย นวาระ (คนเดียวกันแต่คนละนามปากกา) ฯลฯ จนซึมซับการเขียนบรรยายฉากต่าง ๆ รวมทั้งอารมณ์ความรู้สึกของตัวละครที่ละเอียดมากจนเราอ่านแล้วเห็นภาพและอินไปกับตัวอักษรดังนั้นเวลาเขียนงานของตัวเองจึงเน้นเก็บรายละเอียดให้ครบที่สุดเพื่อที่เวลาถ่ายทอดออกมาเป็นตัวหนังสือแล้วผู้อ่านจะได้เห็นภาพและรู้สึกตาม

ยิ่งตัวละครแต่ละตัวมีบุคลิกต่างๆ กันดังนั้นเวลาเขียนบรรยายต้องมีสมาธิดีๆ แล้วบรรยายลักษณะนิสัยรูปลักษณ์ภายนอกและภายใน รสนิยมส่วนตัวให้ชัดเจนเพื่อดึงความเป็นเอกลักษณ์ในตัวละครตัวนั้นอย่างเวลาท่านผู้อ่านนึกถึงเทียมภพ ก็จะจินตนาการตามได้เลยว่าหน้าตาเป็นยังไงนิสัยเป็นยังไง

อีกเรื่องหนึ่งที่ท่านผู้อ่านเขียนมาในคอมเม้นต์ส่วนใหญ่ก็คือ ความรู้สึกอบอุ่นไปกับความสัมพันธ์ของตัวละคร พลอตของเรื่องเน้นความผูกพันในครอบครัว จุดนี้อิสวารายาก็ต้องออกตัวก่อนเลยว่าตนเองเติบโตมาในครอบครัวที่อบอุ่น ถึงจะเป็นลูกคนเดียวแต่ก็มีลูกพี่ลูกน้องทั้งหญิงชายหลายคนที่รักกันเหมือนพี่น้องแท้ๆ และแน่นอนว่าผู้เขียนเป็นน้องคนเล็ก จึงถ่ายถอดอารมณ์ ความรู้สึกนึกคิดของแทนดาวนางเอกของเรื่องได้เป็นอย่างดีจึงอยากหยิบยกความรักความผูกพันในครอบครัวมาเป็นแก่นหลักของเรื่อง

แต่ก็อย่างที่บอกค่ะ ในเมื่อยุคสมัยเปลี่ยนไปพลอตเรื่องธรรมดาไม่หวือหวา ไม่มีฉากรักร้อนแรงแถมใช้ภาษาโบราณอาจไม่เป็นที่นิยมแล้ว แต่อิสวารายาก็ค่อนข้างมั่นใจว่าจะยังมีผู้อ่านชื่นชอบแนวนี้อยู่ แล้วก็เป็นเช่นนั้นจริง ๆมีท่านผู้อ่านมากมายติดตามและให้กำลังใจกัน

บางท่านก็มีติติงมาว่า เรื่องนี้ไม่ใช่ ‘นิยายรักอบอุ่น ที่จะทำให้ละมุนหัวใจ’ เสียแล้ว เพราะบางช่วงบางตอนก็มีดราม่าเข้มข้นบีบคั้นหัวใจจนผู้อ่านบางท่านสูดจมูกเสียน้ำตากันเลยทีเดียวนี่ขนาดว่าอิสวารายาแก้ไขจากต้นฉบับเดิมแล้วนะเพราะของเดิมมันดราม่ากว่านี้อีก อย่างเรื่องของของชลธีกับเปรยุตาตามฉบับเดิมนั้นสองคนนี้มีอะไรกันจริง ๆ คือ ปรางทั้งมอมเหล้าทั้งวางยาปลุกเซ็กส์พระเอกเราเลยทีเดียวแล้วพี่ชลก็แหม..ผู้ชายอ่ะนะ ถูกยั่วขนาดนั้นจะไม่เผลอไผลก็คงเป็นไปไม่ได้แต่พอผู้เขียนกลับไปอ่านบทนี้ก็รู้สึกว่าพลอตแนวนี้มันเกร่อไปหน่อย ก็เลยปรับแก้เป็นแค่วางยาแล้วถ่ายรูปลงข่าวแค่นี้พระเอกนางเอกของเราก็กลุ้มจิตจะแย่ ดราม่าอีกช่วงก็คงเป็นตอนที่พี่น้องทะเลาะกันพี่หมากตีแทนดาวแรงมาก ทะเลาะกันแรงมาก ส่วนตอนที่จะถูกข่มขืนนั้นคนใจร้ายคนนั้นคือเวทิวุฒิ รุ่นพี่ที่ตามจีบแทนดาวในช่วงแรก ๆ ที่ร่วมมือกับปลายเดือนแต่อิสวารายาเปลี่ยนใจให้คนอื่นเป็นคนร้ายแทนเพราะว่าพี่เวนั้นควรไปจากชีวิตนางเอกเราแบบดี ๆ ก็เลยไม่ดึงแกกลับมาเข้าฉากอีก

ความดราม่าในเรื่องนี้ส่วนใหญ่เกิดจากความ ‘ไม่พอดี’ ของตัวละคร เช่น เทียมภพที่รักน้องมากเกินไปจนกระดิกตัวไปไหนไม่ได้ปลายเดือนที่มีอคติกับคนรอบข้างจนเกินไปชลธีที่ใจเย็นเกินไปจนเกือบจะเสียทีคนเรียบร้อยแต่ร้ายลึกอย่างเปรมยุตาแทนดาวเองก็มัวแต่งอแงไม่รู้จักคิดในตอนแรก แต่ท้ายสุดแล้วตัวละครทุกตัวต่างก็รู้ข้อบกพร่องของตัวเองและปรับปรุงแก้ไขได้ในที่สุด

รู้จักกับตัวละคร

ในส่วนของตัวละครหลักและรองในเรื่องนี้ก็ไม่มีความสัมพันธ์สลับซับซ้อนอะไรมากไม่มีใครตามหาทายาทที่หายสาบสูญหรือแก่งแย่งมรดกกัน ทุกตัวละครมีที่มาที่ไปชัดเจนเข้าใจง่ายไม่มีปริศนาอะไรเลยค่ะ อิสวารายาพูดถึงตัวละครต่าง ๆ โดยจะแยกเป็นครอบครัวไปนะคะ

ครอบครัว “ทวีกิจไพศาล”

ตระกูลนี้ทำกิจการค้าขายเฟอร์นิเจอร์ แรกเริ่มเดิมทีนั้นก็ขายของของชำในตึกแถวเล็กๆ แล้วต่อมาเริ่มรับเอาเฟอร์นิเจอร์ ของตกแต่งบ้าน เครื่องเรือนต่างๆที่ทำจากไม้มาขายจนได้ขยับขยายกิจการเรื่อย ๆ เติบโตขึ้นเป็นบริษัททวีกิจ ผู้ผลิตและส่งออกเฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งบ้านเจ้าของแบรนด์ยูนีค นอกจากนี้แล้ว เทียมภพทายาทคนโตยังมีบริษัท Draw your Dream Design ที่ร่วมหุ้นกับเพื่อน รับตกแต่งออกแบบภายในและภายนอกครบวงจร

บรรพบุรุษ – คุณกอบกิจ (ถึงแก่กรรม) คุณลำเภา (ปู่และย่า)

บิดา-มารดา – คุณเที่ยงธรรม คุณดวงทิพย์

บุตร – เทียมภพ (หมาก) อายุ 35 ปี

ธิดา - แทนดาว (ใบพลู) อายุ 23 ปี

บิดา - มารดา – คุณเที่ยงแท้ คุณระริน

ธิดา – ปลายเดือน (สีผึ้ง) อายุ 29 ปี

เทียมภพ หรือ พี่หมากขาวีนของเราเป็นคนเจ้าชู้(นิสัยคล้ายกับหนึ่งในพี่ชายของผู้เขียนค่ะ) รูปหล่อพ่อรวยครบสูตรความที่เป็นลูกชายคนโตบวกกับนิสัยใจร้อน ขี้โมโหก็เลยมีอำนาจคนใต้อาณัติจะกลัวและเกรงคุณหมากมากกว่าบิดาอย่างคุณเที่ยงธรรมเสียอีก แถมยังหวงน้องสาวมากเกินมนุษย์ปรกติแต่สิ่งที่ทุกคนรวมถึงผู้เขียนสัมผัสได้ตั้งแต่แรกก็คือเทียมภพเป็นคนที่รักครอบครัวมาก ถึงจะเจ้าสำราญหรือสำมะเลเทเมายังไงแต่ครอบครัวต้องมาก่อนเสมอยิ่งพอคุณพ่อป่วย เขาก็ต้องเป็นเสาหลักของครอบครัว อยู่บ้านก็จะเป็นพี่ใหญ่ของน้องๆ อยู่ที่บริษัทก็จะเป็นท่านประธานที่พนักงานทั้งรักและเกรงไปพร้อมๆ กัน

เชื่อว่าหลายคนคงซาบซึ้งกับความรักที่เทียมภพมีต่อน้องสาวนะคะเพราะสิ่งเดียวที่เขารักและหวงแหนมากเท่าชีวิตก็คือ แทนดาว น้องสาวคนเดียวของขวัญจากฟากฟ้าที่มารดามอบให้ในวันเกิด สำหรับเขาแล้ว...แทนดาวเหมือนลูกมากกว่าทุกอย่างที่ทำให้ล้วนมาจากความรัก ตามใจ หวงสุด ๆเรียกว่าไม่เคยต้องให้น้องสาวทำอะไรหรือตัดสินใจอะไร เขาจะเป็นคนดูแลกำกับและจัดหาให้เองเสร็จสรรพ พอน้องเริ่มโตและเค้าความงามผุดผาดเริ่มเปล่งประกายวิญญาณพี่ชายขาโหดก็เข้าสิง เขาตราหน้าผู้ชายทุกคนที่มาจีบน้องสาวว่าคือศัตรูดังนั้นหนุ่ม ๆ ทั้งหลายที่กล้ำกรายเข้ามาก็มีอันต้องระเห็จถอยไปบางคนว่าง่ายก็จากไปแบบไม่มีริ้วรอย แต่บางคนอยาก ‘ลองดี’ อยากเล่นของสูง ก็ต้องจากไปแบบเลือดตกยางออก

ในด้านชีวิตส่วนตัว ใครจะเชื่อว่าผู้ชายที่มี ‘ครบ’ อย่างเทียมภพจะเคยถูกผู้หญิงปฏิเสธผู้หญิงคนนั้นก็ไม่ใช่ใครที่ไหน คือ เปรมยุตาผู้ซึ่งเป็นทั้งเพื่อนเก่าและแฟนเก่าของเพื่อน ถึงจะเจ้าชู้ขนาดไหนแต่เปรมยุตาเป็นรักแท้ๆ รักแรกก็ว่าได้ เคยถึงขั้นขอเปรมยุตาเป็นแฟนดื้อ ๆ ทั้ง ๆที่รู้ว่าหล่อนยังคบกับชลธี แต่พอสาวเจ้าปฏิเสธก็เลยเสียเซลฟ์ว่าทำไมเปรมยุตาไม่เลือกคบคนรูปหล่อพ่อรวยอย่างตน

ต่อมา เมื่อโชคชะตาฟ้าลิขิตนำพาให้มาพบรมย์นลินซึ่งไม่ใช่ผู้หญิงในอุดมคติทุกๆ ด้าน ความรักแบบไม่รู้ตัวก็ค่อย ๆ เกิดขึ้นในหัวใจของชายเจ้าชู้เงียบ ๆ แต่ในเมื่อรมย์นลินเป็นน้องสาวคู่อริก็เลยทำไม่ดีด้วยในตอนแรกท้ายสุด...เทียมภพได้ทำการ ‘หักหาญ’ รมย์นลินแบบไม่น่าให้อภัยแต่ทว่าความรักระหว่างทั้งคู่ได้ก่อตัวขึ้นมาเงียบ ๆ นานแล้วจึงลงเอยกันแบบไม่มีใครเจ็บปวดเว้นเสียจากเกือบถูกชลธียิงตายที่ไปปู้ยี่ปู้ยำน้องสาวเขา

ในตอนท้าย เทียมภพได้รับบทเรียนว่าการปล่อยให้อารมณ์อยู่เหนือเหตุผลย่อมทำให้เกิดเรื่องวุ่นๆ หลายครั้ง การหน้ามืดตามัวหลงในความรักทำให้ต้องผิดใจกับเพื่อนการรักน้องและเลี้ยงดูแบบผิด ๆ เกือบทำให้ต้องเสียแทนดาวไปดังนั้นท่านผู้อ่านก็จะเริ่มสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงของพี่หมากในช่วงหลัง ๆ ว่าใจเย็นสุขุมขึ้น มีเหตุมีผลมากกว่าเดิม

แทนดาว หรือ ใบพลู บุตรสาวคนเล็กของทวีกิจไพศาลถ้าจะให้อธิบายลักษณะนิสัยของตัวละครนี้ ก็ต้องบอกว่า หน้าตาสะสวยจิ้มลิ้มพริ้มเพรา นิสัยสนุกสนานร่าเริง ขี้ประจบฉอเลาะ และด้วยความที่เป็นน้องเล็กก็ได้รับการเอาอกเอาใจมากเป็นพิเศษชีวิตประหนึ่งเจ้าหญิงน้อยในกรงฝังเพชร ทุกอย่างในชีวิตขึ้นอยู่กับพี่ชายเท่านั้นต้องถามพี่หมากก่อน แล้วแต่พี่หมากตลอดจนติดเป็นนิสัยคิดอะไรเองไม่เป็นทำอะไรเองไม่ได้ งอแงและขี้งอน

แทนดาวมีพรสวรรค์พิเศษทางด้านดนตรีซึ่งความถนัดนี้ขัดกับความต้องการของพี่ชายอย่างมาก เพราะเทียมภพต้องการให้น้องสาวมาช่วยกิจการครอบครัวมากกว่าไป‘เต้นกินรำกิน’แต่ถึงกระนั้นก็ไม่ได้บีบบังคับหรือขัดขวางเพียงแต่จะคอยบ่นให้ได้ยิน จนตอนหลังก็เลิกบ่นไปเองเพราะอย่างไรเสีย ถึงไม่เล่นดนตรีแทนดาวก็ไม่มีหัวในการทำงานบริหารผู้คนอยู่ดี

ด้วยความที่พี่ชายรักและหวงมากแทนดาวถึงถูกตีกรอบอย่างเข้มงวด อะไร ๆ ที่ควรจะได้เรียนรู้ได้ทำตามวัยก็ถูกลิดรอนไปเสียหมดจนบางครั้งก็ทำให้รู้สึกอึดอัดและโกรธคนเกิดก่อนอยู่บ่อย ๆแต่ท้ายสุดแล้วเวลามีเรื่องอะไรก็ต้องวิ่งโร่ไปหาพี่ทุกครั้ง แบบนี้ใคร ๆจึงเห็นว่าไม่รู้จักโต เทียมภพก็ยิ่งไม่กล้าปล่อยให้ไปไหนมาไหนเอง ตรงนี้คิดว่าท่านผู้อ่านก็คงรู้สึกเหมือนกับผู้เขียนว่าตัวละครนี้ช่างอ่อนแอ น่ารำคาญเสียเหลือเกินใช่ไหมคะแต่ก็เข้าใจว่าแทนดาวถูกเลี้ยงมาให้เป็นแบบนี้จริง ๆ

ในมุมส่วนตัว สาวช่างฝันอย่างแทนดาวก็เหมือนเด็กสาววัยรุ่นทั่วๆ ไป ที่ชื่นชอบดารา อ่านนิยาย มีความรักแบบเด็ก ๆ (แอบปลื้มเวทิวุฒิรุ่นพี่ที่มหาวิทยาลัย) แต่อย่างที่บอกว่า พี่ชายหวงมากก็เลยถูกปิดกั้นเรื่องหัวใจแทนดาวไม่เคยมีเพื่อนผู้ชายที่สนิท ๆ ด้วยเลยเพราะพี่ชายให้เรียนโรงเรียนหญิงล้วนมาตลอด ทั้งยังคอยไปรับไปส่งเองจนแทบไม่มีโอกาสปลีกตัวไปไหนพอเข้ามหาวิทยาลัยก็เรียกว่าแทบจะตามติดยี่สิบสี่ชั่วโมง ขนาดว่า...ถ้าโทรหาแล้วไม่รับสายในเวลาไม่ถึงชั่วโมง แทนดาวก็จะเห็นลูกน้องของพี่ชายหรือเจ้าตัวมาเดินเกร่รออยู่ใต้ตึกคณะดังนั้นพอมี ‘ชายแปลกหน้า’อย่างชลธีที่สามารถฝ่าด่านกำแพงหินศิลาแลงเข้ามาใกล้ชิดได้มีหรือที่หญิงสาวจะไม่หวั่นไหว

แทนดาวเองก็ได้เรียนรู้ความบกพร่องของตัวเองความที่ไม่เคยต้องพบกับความผิดหวังเสียใจ พอเจอกับตัวก็ถึงกับโซซัดโซเซ เอะอะก็งอนเอะอะก็โกรธ เอะอะก็เลิกคบไม่ทันคิดตริตรองหาเหตุหลให้ถ้วนถี่แล้วก็มานั่งเสียอกเสียใจเป็นวรรคเป็นเวร ร้องไห้อาศัยน้ำตาอย่างเดียวจนเมื่อเทียมภพตัดสินใจ ‘ปล่อย’ ให้ลองใช้ชีวิตด้วยตัวเองแทนดาวก็เลยเริ่มหัดที่จะใช้สติและความคิดรอบคอบมากขึ้น แรก ๆอาจจะติดขัดอยู่ไม่น้อย แต่เมื่อเวลาผ่านไปแทนดาวก็พิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่าเติบและเข้มแข็งกว่าที่ใคร ๆ คิด

ปลายเดือน หรือ สีผึ้ง สาวสวยที่ครบเครื่องไปเสียทุกอย่างเรียกว่าถ้าจะหาผู้หญิงที่สมบูรณ์แบบทั้งภายนอกและภายในก็ต้องบอกว่าปลายเดือนคนนี้เองแต่ในความเพียบพร้อมกลับมีบางอย่างที่ ‘ขาด’ ปลายเดือนเป็นคนที่ภายนอกดูใจดีมีความเป็นผู้ใหญ่ แต่จิตใจลึก ๆ กลับมีปมว่าคนในครอบครัวรักน้องสาวคนเล็กมากกว่าความอิจฉาน้องจึงเกาะกินจิตใจมาตั้งแต่เด็ก ยิ่งพอผู้ชายที่ตนหมายปองกลับไปชอบน้องสาวก็ยิ่งเพิ่มความเกลียดเข้าไปอีก

แต่...อย่างที่ผู้เขียนบรรยายไว้ว่าท้ายที่สุดแล้วเลือดก็ย่อมข้นกว่าน้ำ ถึงจะแสดงออกว่าไม่ถูกคอกับน้องสาว แต่ลึก ๆแล้วปลายเดือนก็ยังมีความห่วงใยแทนดาวอยู่มากอย่างบางครั้งก็เข้ามาช่วยดูแลเรื่องส่วนตัวที่พี่ชายอย่างเทียมภพไม่ค่อยจะรู้เรื่องซื้อขนมของโปรดมาให้หรือปกป้องในยามถูกรังแกแต่จุดพีคที่สุดก็คงจะเป็นตอนที่ร่วมมือกับเปรมยุตาหลอกน้องมาให้คนชั่วทำมิดีมิร้ายแต่ว่าปลายเดือนก็ทำไม่ได้แล้วยังตั้งใจจะกลับไปช่วย

เรื่องหัวใจ ตั้งแต่ต้นเรื่องอิสวารายาก็เกริ่นไว้แล้วว่าเฮียบุ้งแอบรักสีผึ้งแต่ว่าด้วยความที่ฝ่ายหญิงตั้งสเปคผู้ชายไว้สูง เฮียบุ้งก็เลยไม่อยู่ในสายตาแต่อย่างไรก็ดี ความผิดหวังในรักครั้งแล้วครั้งเล่าก็ทำให้ปลายเดือนได้ทบทวนว่ายศถาบรรดาศักดิ์มันเป็นเพียงแค่ส่วนประกอบภายนอก จนเริ่มรู้สึกดี ๆกับเฮียบุ้งและยอมรับในความรักที่อีกฝ่ายมอบให้ในที่สุด

ครอบครัว “ธาราพิศุทธิ์”

นามสกุล ธาราพิศุทธิ์ เป็นนามสกุลของคุณตาชลธีไม่ได้ใช้นามสกุลของคุณพ่อ พื้นเพเป็นคนใต้ ตระกูลนี้ครอบครองกิจการสารพัดทั้งประมง สวนยาง สวนปาล์ม ฟาร์มมุก เดินเรือ ห้องเย็นและอีกบานตะไทคุณวารีได้รับมรดกที่ดินในจังหวัดระยองก็ย้ายครอบครัวมาสร้างรีสอร์ทเคียงธารา พอชลธีเติบโตขึ้นก็หันมาจับธุรกิจจำพวกอสังหาริมทรัพย์จนปัจจุบันเป็นประธานกรรมการในเครือ ธารา เรสสิเด้นท์ คอร์ป มีโครงการในมือมากมายที่มีชื่อเสียงก็อาทิ โรงแรม The Prestige Thara คอนโดมิเนียมธารารมณ์ บ้านจัดสรรธาราทาวน์ และบรรดาตึกแถวห้องเช่าต่างๆ ทั้งในกรุงเทพและต่างจังหวัด

บรรพบุรุษ – คุณกระแส คุณจิต (ตากับยาย)

บิดา มารดา – คุณประจิม (ถึงแก่กรรม) คุณวารี

บุตร – ชลธี (ชล) อายุ 35 ปี

ธิดา - รมย์นลิน, บุตรบุญธรรม (แฟง) อายุ 29 ปี

ชลธี หรือ ชล หนุ่มหน้านิ่ง ผิวสีทองแดงนิสัยสงบเยือกเย็นสุขุมคัมภีรภาพ ถ้าจะให้บรรยายลักษณะภายนอกของหนุ่มใต้คนนี้ก็ให้นึกภาพหนุ่มตะวันออกกลางคม เข้ม แต่ถึงจะเป็นคนใต้ อิสวารายาก็ไม่ได้กำหนดคาแรกเตอร์ให้ชลธีเป็นนายหัวเจ้าของเหมืองอะไรเทือกนั้นชลธีเป็นหนุ่มเมืองหลวงมาดนักธุรกิจที่ดูจริงจังกับทุกเรื่อง ความจริงแล้วเขาไม่ใช่คนเคร่งเครียดหรือเสือยิ้มยากอย่างที่ใครๆ เห็น ท่านผู้อ่านจะสังเกตได้ว่า เวลาที่เขาอยู่กับครอบครัวหรือว่าแทนดาวนางเอกของเราก็จะเปลี่ยนเป็นคนละคน

ถ้าจะถามว่าชีวิตใครดราม่าที่สุดอิสวารายาก็ต้องบอกว่าชลธีพระเอกของเรานี่แหละ ท่านผู้อ่านอาจคิดว่าหล่อรวยอย่างนี้จะมีปมอะไรได้ไงถ้าใครจับได้ก็จะรู้ว่าอิสวารายาซ่อนความรันทดในชีวิตของพี่ชลเอาไว้อย่างแยบยลเพื่อต้องการสื่อว่า ถึงชีวิตจะเจอกับอุปสรรคขวากหนาม บางอย่างไม่เป็นอย่างที่หวังแต่ก็ไม่ควรย่อท้อต่อโชคชะตา อย่างตัวพระเอกของเรา ถึงจะเกิดมาในครอบครัวที่คุณตามีฐานะก็จริงแต่ว่าคุณแม่กลับตกลงปลงใจเลือกแต่งงานกับคุณพ่อซึ่งผู้ชายธรรมดาค่อนไปทางจนคุณตาก็เลยไม่ชอบเขยคนนี้ พอแบ่งมรดกกันคุณวารีก็ได้ที่ทางในจังหวัดระยองในขณะที่พี่น้องคนอื่น ๆ อยู่ทางใต้กันหมดดูเถอะว่า...คุณตาไม่ชอบเขยคนนี้ขนาด ‘เนรเทศ’ ให้ไปอยู่ไกลจากพี่น้อง

ยัง...ยังไม่พอ พอเริ่มบุกเบิกสร้างรีสอร์ทยังไม่ทันเสร็จดีคุณพ่อก็มาเสียชีวิตลำบากสิคะ ชีวิตวัยรุ่นที่กำลังสนุกสนานไปตามวัยต้องมารับบทบาทหัวหน้าครอบครัวต้องเลี้ยงน้อง ดูแลกิจการ ที่สำคัญที่สุดคือ ชลธีต้องตัดใจเบนเข็มชีวิตมาเรียนการท่องเที่ยวและโรงแรมจากที่ตอนแรกผู้เขียนบรรยายไว้ว่าชลธีอยากเป็นนักบิน ด้วยความมุมานะและกล้าเสี่ยงไม่นานชลธีก็เริ่มขยับขยายรีสอร์ทและหันมาจับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ตั้งแต่ยังเรียนไปไม่จบด้วยซ้ำ

แต่แหม...วัยรุ่นคนเดียวจะมีกำลังเงินในการลงทุนทำธุรกิจใหญ่ๆ ขนาดนี้ได้อย่างไร หลายท่านอาจจะคิดว่ามันเป็นไปได้หรืออิสวารายาต้องบอกว่า...ได้ค่ะ อย่างที่บอกว่าคุณตาเป็นคนมีฐานะถึงจะรังเกียจลูกเขยอย่างไรก็ยังรักหลาน อีกทั้งชลธีก็เป็นหลานชายคนแรกก็เลยอุปถัมภ์ค้ำชูกันตามอัตภาพ เงินทองไม่กี่บาท ทำไมจะให้หลานไม่ได้...เนอะ

ทีนี้...ท่านผู้อ่านคงอยากรู้ว่าชลธีเข้ามาพัวพันกับบ้านทวีกิจไพศาลได้อย่างไร ในเนื้อหาบอกแค่ว่าเขามาร่วมหุ้นกับทวีกิจก็ฟังดูธรรมดา ไม่มีอะไร แต่จริงๆแล้วเป็นเพราะว่าคุณแม่ต้องการให้พระเอกของเราเข้ามาช่วยเหลือทวีกิจที่กำลังจะล้มละลายด้วยเหตุผลที่เขาเองก็ไม่รู้แต่แม่บอกให้ทำ...ก็ทำ คุณวารีมีอะไรกับครอบครัวนี้หรือเปล่า ? ท่านผู้อ่านจะได้รู้ไปพร้อม ๆ กันในตอนพิเศษค่ะ

ด้านชีวิตส่วนตัวแน่นอนว่า...พี่ชลของเรามีรักแรกกับเปรมยุตาหญิงเดียวที่รักและหมายมั่นว่าก่อร่างสร้างตัวเสร็จเมื่อไหร่จะแต่งงานด้วย รักมากถึงขนาดสักชื่อย่อเอาไว้บนท่อนแขน(แต่สุดท้ายก็ลบออกเพราะไม่อยากน้องพลูเห็น) แต่แล้วเปรมยุตาก็ตัดสินใจ ‘ทำลาย’ทุกสิ่งอย่างแม้กระทั้งเลือดเนื้อเชื้อไขของตัวเองเพราะความกังวลในเรื่องฐานะของคนรักว่าจะเลี้ยงดูครอบครัวไม่ได้ด้วยเหตุนี้ชลธีจึงผิดหวัง ช้ำใจ ทุกข์ระทมแทบเสียผู้เสียคนท่านผู้อ่านคงนึกภาพตามได้ใช่ไหมคะอิสวารายาได้บรรยายความรู้สึกของพระเอกตอนถูกทิ้งว่าเจ็บเจียนตายขนาดไหน ด้วยเหตุผลนี้พระเอกของเราก็เลยกลายเป็นคนที่เงียบขรึม มุงานลูกเดียวไม่เคยจริงจังหรืออยากแต่งงานผู้หญิงคนไหนอีกเลยจนกระทั่งมาพบนางเอกเป็นไงคะ...ชีวิตพระเอกของเรานี่ดราม่ากว่าใครทั้งหมดเชียว

ส่วนตอนเจอน้องพลูและได้รู้ว่าเป็นน้องสาวของเพื่อนรักหักเหลี่ยมโหดจากที่เอ็นดูในความน่ารักสดใสและมองโลกในแง่ดีบวกกับความสงสารที่ว่าเห็นนางเอกถูกเลี้ยงอยู่ในกรงแคบๆ ก็เลยเกิดความรู้สึกลึกซึ้งขึ้นทีละเล็กละน้อยแต่ด้วยความแตกต่างแห่งวัยก็เลยทำอะไรไม่ค่อยถนัดนักท่านผู้อ่านคงทราบถึงข้อนี้ดีใช่ไหมคะว่าพี่ชลของเราต้องระงับจิตระงับใจขนาดไหนไม่ให้ทำอะไรรุ่มร่ามกับนางเอกของเราทีนี้พอเกิดเรื่องเข้าใจผิดตอนไปเที่ยวตรังความเป็นสุภาพบุรุษผสานกับความต้องการลึก ๆ ในจิตใจชลธีเลยตัดสินใจเดินเข้าไปหาคุณเที่ยงธรรมพ่อของนางเอกแบบแมน ๆแล้วขอลูกสาวคนเล็กกับท่านตรง ๆ จากนั้นก็ช็อควงการด้วยการประกาศหมั้นแบบสายฟ้าแลบในงานเซ็นสัญญา

เหตุการณ์ต่อจากนั้นอิสวารายาเชื่อว่าท่านผู้อ่านคงจะได้ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ไปกับวิธีการเกี้ยวสาววัยกระเตาะของหนุ่มมาดนิ่งที่ตีหน้าตายแต่ร้ายลึกนักชอบทำเซอร์ไพรส์น้องพลูอยู่เรื่อย ส่วนน้องพลูของเราก็ขยันงอนพี่ชลเสียจริงยิ่งมีสาว ๆ เข้ามาพัวพันยิ่งงอแงเข้าไปอีก แต่พี่ชลก็มีวีธี ‘จัดการ’ และ ‘สั่งสอน’ น้องพลูของเราให้ค่อย ๆ เติบโตมีเหตุมีผลขึ้น ถ้าจะพูดถึงความโรแมนติกนี่ต้องยกให้พี่ชลเขาเลยค่ะเชื่อว่าหลายท่านฟินฉีกหมอนขาดไปหลายใบแล้วแน่ ๆ ขยันทำเรื่องหวาน ๆกับนางเอกเหลือเกิน ยิ่งพอตอนขอเป็นแฟนแล้วเนี่ย...พี่ชลก็เริ่มซุกซน เผลอเป็นกอดเป็นหอมเชียวแหละ ถ้าจะบอกว่าชอบฉากฟินตอนไหนมากที่สุด อิสวารายาขอบอกว่าชอบตอนขอเป็นแฟนด้วยช็อดก็แลตมากที่สุดยังจำกันได้ไหมคะ ?

“will you be my girl”

“I will”

รมย์นลิน หรือ แฟง บุตรสาวบุญธรรมที่คุณวารีรับมาเลี้ยง นิสัยก็เป็นกุลสตรีไทยเรียบร้อย เจียมเนื้อเจียมตัว หน้าตาไม่ถึงขั้นสวยจัดแต่ก็น่ามอง ในเนื้อหาผู้เขียนไม่ได้บอกว่าใครคือพ่อแม่ที่แท้จริงของแฟงบอกเพียงแค่ว่าเป็นลูกกำพร้า ผู้อ่านบางท่านอาจจะรอดูว่าจะมีอะไรหักมุมเกี่ยวกับชีวิตของรมย์นลินเหมือนละครโทรทัศน์หรือไม่แต่อิสวารายาไม่ต้องการให้ชีวิตของแฟงต้องซับซ้อนเกินจริงขนาดนั้น รมย์นลินเป็นเด็กกำพร้าจริงๆ ไม่ได้เป็นลูกเศรษฐีที่หายสาบสูญไปพ่อแม่ของแฟงยกลูกให้คุณวารีตั้งแต่ลืมตาโลกได้เพียงวันเดียวเพราะความไม่พร้อมพูดง่าย ๆ คือ ไม่ได้ตั้งใจให้เกิดมาด้วยซ้ำ

ความไม่รู้หัวนอนปลายเท้าของตัวเองอาจจะฟังดูเป็นปมด้วยใช่ไหมคะแต่สำหรับรมย์นลินแล้ว...เธอไม่เคยมีปมกับเรื่องนี้ค่ะเพราะว่าทั้งแม่และพี่ชายต่างให้ความรักและเลี้ยงดูมาเหมือนสายเลือดแท้ ๆรมย์นลินได้รับการอบรม ปลูกฝังแต่สิ่งดี ๆ จากคุณวารีจนเติบโตมาเป็นคนดีมีคุณภาพ ซึ่งตัวละครของรมย์นลินเนี่ย...อิสวาราตั้งใจจะสื่อว่าคนเราเลือกที่จะเป็นคนดีได้ ไม่ว่าชาติกำเนิดจะเป็นใครมาจากไหน

เรื่องราวความรักของรมย์นลินฟังดูคล้ายนิยายที่แอบไปหลงรักรุ่นพี่แล้วก็ฝังใจมาจนทุกวันนี้ รมย์นลินเองก็เหมือนมีกรรมเนอะชอบใครไม่ชอบ...ดันไปชอบเทียมภพ คนเจ้าชู้ขนาดนั้นย่อมรายล้อมไปด้วยสาว ๆ สวย ๆคงไม่มามองผู้หญิงเรียบ ๆ จืด ๆ แน่ แต่เพราะพรหมลิขิตไว้แล้ววันหนึ่งพี่แฟงของเราก็ได้มาเป็นครูสอนเปียโนให้แทนดาว ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ในช่วงแรกก็ไม่มีอะไรแต่พอเทียมภพรู้ว่ารมย์นลินเป็นน้องสาวของศัตรูปุ๊บ....องค์ลงทันทีสิคะรมย์นลินเลยถูกจัดเข้าพวกศัตรูไปด้วย เชื่อว่าหลายท่านคงจะเกลียดพี่หมากเข้ากระดูกที่ทำตัวแย่ๆ กับรมย์นลิน แต่สุดท้าย...ความดีก็เอาชนะทุกอย่างได้จริง ๆ ค่ะ

ครอบครัว “เกียรติกิจวัฒนา”

ตระกูลของคุณหลี ครอบครัวนี้มีส่วนสำคัญที่ทำให้ทวีกิจเจริญเติบโตดังนั้นทุกคนจึงให้ความเคารพและวางคุณหลีในตำแหน่งญาติผู้ใหญ่ที่มีความสำคัญลูกหลานทวีกิจรักคุณหลีเหมือนแม่คนที่สอง ส่วนลูก ๆของท่านก็สนิทสนมกันเหมือนพี่น้องแท้ ๆ ครอบครัวนี้เป็นครอบครัวเชื้อสายจีนค่อนข้างใหญ่พอสมควรมีกิจการหลายอย่างที่ลูกชายทั้งสี่คนรับผิดชอบต่างกันไป

บิดา มารดา – คุณธง คุณหลี

เฮียเบิ้ม บุรนันท์ – บุตรชายคนโตเจ้าของภัตตาคารอาหารจีน มีลูกชาย 3 คน

เฮียบิ๊ก วิบูลกิจ – บุตรชายคนที่สอง ทำกิจการร้านเพชรและอัญมณีต่างๆมีลูกสาวคนเดียว

เฮียเบ้ง วิบูลเกียรติ – บุตรชายคนที่สาม ทำกิจการรับเหมาก่อสร้างแต่งงานแล้วแต่ยังไม่มีลูก

เฮียบุ้ง บุรินทร์ – บุตรชายคนที่สี่ สานต่อกิจการร้านทอง ยังโสดแอบชอบปลายเดือนมาตั้งแต่เด็ก

จะขอพูดถึงเฮียบุ้งผู้น่าสงสารของเราหน่อยนะคะ บุรินทร์ อายุรุ่นราวคราวเดียวกับพี่หมากของเรานิสัยก็เป็นคนเรียบง่าย เป็นพ่อค้าขายทอง ไม่ถนัดออกงานสังคม ซื่อ ๆ แอบรักปลายเดือนมานานมากทั้งสองครอบครัวก็ลุ้นให้ลงเอยกันแต่ว่าฝ่ายหญิงดูจะไม่ค่อยถูกใจเฮียบุ้งนัก แต่ด้วยหัวใจที่มั่นคงในรักบุรินทร์ก็ยังคงรอคอย ถึงจะต้องทนเจ็บเมื่อเห็นผู้หญิงที่ตนรักมีแฟนคนแล้วคนเล่า เฮียบุ้งเป็นตัวอย่างของคนที่มั่นคงในความรักมากจริงๆ นับถือค่ะ

คนต่อไปนี่ไม่พูดถึงไม่ได้เชียวค่ะ นายแพทย์อชิตะรัษฎากร หรือ หมออชิ อายุ 33 ปี แพทย์ประจำโรงพยาบาลประชาเวชใจดี ใจเย็นมากถึงมากที่สุด รักและเอ็นดูแทนดาวมากแต่แอบเสียใจที่ฝ่ายหญิงมีคู่หมายแล้วแต่คุณหมอก็ทนเสียงเรียกร้องในหัวใจไม่ไหว เลยทำเนียน ‘จีบ’ น้องพลูเสียเลยความเนียนแบบเหนือชั้นของหมอไม่ต้องบรรยายอะไรมากแต่ละอย่างนี่...ผู้เขียนยังต้องยอมอย่างตอนแรกหลายท่านก็คงคิดเหมือนอิสวารยาว่าคุณหมอต้องชอบรมย์นลินแน่ ๆที่ไหนได้...กว่าที่ใครจะรู้ตัวก็เกือบตีค่ายแตกแย่งตัวนางเอกไปได้เสียแล้วร้ายน่าหยิกจริง ๆ

ตัวละครนี้อิสวารายาเพิ่มเข้ามาเพื่อสั่งสอนพระเอกของเราโดยเฉพาะเลยค่ะชลธีเป็นคนที่มีความมั่นใจในตัวเองสูงจนน่าหมั่นไส้ คิดว่าอย่างไรเสียแทนดาวก็ต้องเป็นของตัวอยู่วันยันค่ำก็เลยใจเย็นไปเรื่อยผู้เขียนเลยสร้างหมออชิให้มาทานอำนาจ ความฉลาดรอบคอบและสุขุมของคุณหมอแว่นทำให้ชลธีเสียท่าหลายหนแถมยังมีแทนดาวเป็นเดิมพันอย่างนี้ด้วยแล้ว...พี่ชลของเราดีดเป็นกุ้งเต้นเลยค่ะแต่สุดท้ายแล้วคุณหมอก็ยอมเดินออกไปจากวิถีความรักของทั้งคู่แบบแมน ๆเหลือเพียงความเป็นพี่ชายให้สาวน้อย แต่คุณหมอก็ยังตัดใจไม่ขาดเสียทีเดียวนะอย่างตอนที่บรรยายความในใจคุณหมอว่า จะรอจนกว่าจะพบผู้หญิงที่มีลักษณะนิสัยและการมองโลกคล้ายๆ แทนดาว ซึ่งข้อนี้เป็นการอธิบายสเป็กผู้หญิงของคุณหมอได้ชัดเจนเลยว่าชอบคนที่ร่างเริงสดใสและมองโลกในแง่ดีก็น่าอยู่หรอกค่ะ...หน้าที่การงานของหมออชิตะเจอแต่เรื่องเครียด ๆ ทั้งนั้นคุณหมอมาดเนิร์ดแว่นหนาของเราย่อมต้องการแฟนที่สนุกสนานเข้าไว้ อยู่ใกล้ ๆแล้วสดชื่นอะไรทำนองนี้

ผู้อ่านหลายท่านอยากให้เขียนเรื่องของอชิตะกับแทนขวัญอิสวารายาตั้งใจจะเขียนแทรกลงไปในตอนพิเศษค่ะแต่บอกก่อนว่าไม่ละเอียดถึงขั้นแต่งงาน แต่รับรองว่าฟินแน่ ๆ ระดับหมออชิซะอย่าง...แทนขวัญเตรียมตกบ่วงเสน่ห์หนุ่มมาดเนิร์ดคนนี้ได้เลย

สุดท้ายคือนางร้ายในคราบนางเอกของเรื่อง เปรมยุตานางคือแฟนเก่าของชลธีและยังเป็นคนที่เทียมภพแอบตกหลุมรักด้วยเช่นกันเนื้อหาในนิยายบรรยายว่า เปรมยุตาเป็นคนสวยหมดจด สวยมากจริง ๆ ค่ะ ขนาดจะทำให้เพื่อนรักสองคนฆ่ากันตายเชียวล่ะเปรมยุตารักชลธีมากนะคะ ดูได้จากการที่ไม่เลือกคบเทียมภพที่มีทุกอย่างพร้อมกว่าแสดงว่าจิตใจของนางดีในระดับหนึ่งเชียวแหละที่รักในตัวตนของผู้ชายคนหนึ่งมากกว่าฐานันดร

แต่ในที่สุดพอเกิดความ ‘พลาดพลั้ง’ เปรมยุตากลับกลัวที่จะมีอนาคตร่วมกับชลธีนางตัดสินใจทำบาปเพื่ออนาคตของตัวเอง โดยอ้างว่าไม่ต้องการให้ลูกลำบากตอนนั้นพี่ชลเหมือถูกฆ่าตายทั้งเป็นเลยค่ะ เสียทั้งลูก ทั้งผู้หญิงที่รักหมดทั้งใจน่าสงสารมาก อิสวารายาว่าเป็นเรื่องโง่จริง ๆ นะขนาดชลธีออกตัวว่าพร้อมจะรับผิดชอบขนาดนั้นก็น่าจะเชื่อกันกันมั่งนะถ้าเปรมยุตาไม่ใจร้อน ป่านนี้คงได้เป็นคุณผู้หญิงธาราพิศุทธิ์สบายไปแล้วแต่อิสวารยาก็รู้สึกเห็นใจนางนิด ๆ นะ เนื่องจากผลของการทำบาปในอดีตทำให้หล่อนมีลูกไม่ได้อีกแถมยังเจอแต่มรสุมชีวิตตลอด ๆ ตัวละครนี้สะท้อนให้ปัญหาบางอย่างที่เกิดขึ้นในสังคมจริงๆ นั่นคือการตังครรภ์ไม่พึงประสงค์และการทำแท้ง

พอวันหนึ่งทั้งคู่โคจรกลับมาพบกันอีกเปรมยุตาที่ไม่ประสบความสำเร็จในชีวิตครอบครัวก็คิดเอาเองว่าชลธียังมีเยื่อใยกับตนก็เลยคิดคุ้ยเขี่ยถ่านไฟเก่า(ตอนแรกพี่ชลก็ทำตัวให้เขาคิดแบบนั้นจริง ๆ นี่) แต่พอรู้ว่าอดีตคนรักกำลังจะตกร่อง

ปล่องชิ้นกับสาวโลกสวยอย่างนางเอกก็เกิดอาการหวงก้างไม่ยอมเสียไปง่าย ๆ พยายามงัดอุบายสารพัดสร้างสถาน การณ์ให้ทั้งคู่เข้าใจผิดกันเรื่อยๆ หนักข้อเข้าก็หยิบยืมมือคนอื่นมาช่วยด้วย แต่ผลสุดท้าย...ทุกอย่างมันกลับไปไม่เป็นไปตามที่หวังคนทำผิดก็ต้องได้รับบทลงโทษไปตามระเบียบ

ตัวละครหลักๆ ที่อยากพูดถึงก็มีเพียงเท่านี้ค่ะเห็นไหมคะว่า...ไม่ได้ซับซ้อน ชิงรักหักสวาทอะไรกันมากมาย คิดเสียว่าเป็นนิยายอ่านเล่นนอกเวลาเพลินๆ ยามว่างส่วนนิยายเรื่องต่อไป อิสวารายาได้วางพลอตเอาไว้แล้วพร้อม ๆ กับตอนเริ่มเขียน “ปลูกรักในรั้วใจ”แต่ยังไม่ได้เขียนเนื้อเรื่องเสียทีตั้งใจว่าจบเรื่องนี้แล้วจะเขียนต่อแต่ก็เว้นมาตั้ง 9 ปีแน่ะน่าจะลงตอนแรกในเดือนมิถุนายน อ้อ...แย้มนิด ๆ ว่าจะมีตัวละครจาก “ปลูกรักในรั้วใจ”เข้าไปอยู่ในเนื้อเรื่องด้วย แต่จะเป็นใครและมีบทบาทอย่างไร ต้องรอติดตามอ่านนะคะ

บางท่านอาจขัดใจว่าทำไมตอนอวสานไม่มีฉากแต่งงานของพี่ชลกับน้องพลู อิสวารายาอยากเรียนว่าเพราะอยากเขียนให้อิงกับต้นฉบับเดิมที่ตัดจบแค่สองคนนี้กลับมาเข้าใจกันและสัญญาว่าจะแต่งงานอีกทั้งน้องพลูยังต้องเรียนต่อด้วยก็เลยจบแค่นี้แต่พอผู้เขียนลองเข้าไปอ่านโดยสมมุติว่าตัวเองเป็นผู้อ่านก็รู้สึกว่าอยากเห็นฉากแต่งงานและชีวิตครอบครัวหลังจากนั้น ก็เลยแตกตอนพิเศษออกมาซึ่งจะได้อ่านพร้อม ๆ กันเร็ว ๆ นี้นะคะ

ก่อนปิดรั้วอิสวาราขอแจ้งข่าวเรื่องออกรูปเล่มนิดนึง ขอเวลา rewrite เนื้อหาให้สมบูรณ์กว่านี้แล้วจะส่งต้นฉบับให้สำนักพิมพ์พิจารณาค่ะรวมตอนพิเศษเข้าไปด้วยแน่นอน ถ้ามีอะไรคืบหน้าอย่างไรจะแจ้งให้ทราบเป็นระยะระหว่างนี้ท่านผู้อ่านสามารถเข้ามาอ่านย้อนหลังได้เหมือนเดิม แต่ว่าหลังจาก rewriteแล้วอิสวารายาขออนุญาตปิดการอ่านฟรี คือพูดง่าย ๆ ว่าเก็บตังค์อ่ะค่ะ แต่ว่าก็อีกนานค่ะกว่าจะเรียบเรียงแก้ไขเสร็จเพราะเนื้อหาค่อนข้างยาวมาก...

ขอบคุณท่านผู้อ่านอีกครั้งที่เปิดรั้วเข้ามาเยี่ยมชมนะคะ

อิสวารายา

24 พ.ค. 2559



Create Date : 24 พฤษภาคม 2559
Last Update : 24 พฤษภาคม 2559 19:15:40 น.
Counter : 482 Pageviews.

1 comment
ตอนที่ 36 <ปลูกรักในรั้วใจ อวสาน_2>


ตอนที่ 36ปลูกรักในรั้วใจ (อวสาน_2)

อีกสองวันก็จะถึงงานสำคัญว่าที่เจ้าบ่าวเจ้าสาวค่อยมีเวลาพักหายใจหน่อยเพราะทุกอย่างตระเตรียมเสร็จสิ้นสมบูรณ์แล้วบ้านทวีกิจไพศาลก็เริ่มคึกคักเมื่อญาติ ๆ บางส่วนเดินทางมาพักที่บ้านเพื่อเตรียมตัวไปร่วมงานมงคลถึงงานเช้าจะไม่ได้จัดที่นี่ แต่เจ้าบ้านอย่างคุณลำเภาก็อดไม่ได้ที่จะต้องจัดเตรียมอาหารคาวหวานสารพัดอย่างเพื่อต้อนรับลูกๆ หลาน ๆ เทียมภพกลับมานั่งดวลคออยู่กับพวกพี่น้องหลังจากช่วยรมย์นลินย้ายข้าวของส่วนตัวเข้าหอเสร็จแทนดาวเพิ่งจะไปรับชุดเพื่อนเจ้าสาววันนี้สด ๆ ร้อน ๆ ก็เห่อออกหน้าออกตาลองแล้วลองอีกอยู่กับลูกผู้น้อง

“ขวัญไม่ชอบกระโปรงยาวทำไมต้องสวมยาว ๆ ด้วยล่ะ เกะกะก็เท่านั้น”แทนขวัญลูกผู้น้องพลิกชุดราตรีที่พี่สาวเลือกให้แล้วก็วางมันลงบนเตียงอย่างเดิมน้ำเสียงบ่งบอกความไม่ถูกใจ

“แบบสั้นเอาไว้ใส่งานกลางวันนี่...พี่จะเดินไปบ้านโน้น ไปยืมเข็มกลัดสวย ๆ ที่พี่ผึ้งสักอัน น้องขวัญจะไปไหม”

“พี่พลูไปเถอะขวัญจะไปลองกล้อง” แทนขวัญตอบเหนื่อย ๆ แล้วฉวยเอากล้องถ่ายรูปที่เพิ่งซื้อมาไม่กี่วันก่อนมาจับเล่นกดปุ่มต่าง ๆ หมุนเลนส์ไปมาอย่างคนเห่อของใหม่

ปลายเดือนกำลังพับเสื้อผ้าและจัดของจำเป็นส่วนที่เหลือลงกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ที่กางอ้าบนเตียงมีอีกใบที่จัดเสร็จเรียบร้อยแล้ววางอยู่มุมหนึ่ง ห้องนอนกว้างดูโล่งตาขึ้นเป็นกองเมื่อข้าวของบางส่วนถูกเก็บลงกระเป๋ากำหนดวันเดินทางจะมาถึงหลังเสร็จงานแต่งไปอีกสามวัน

แทนดาวเคาะประตูสองครั้งแล้วเปิดเข้ามาแวบแรกที่เห็นพี่สาวจัดข้าวของก็อดรู้สึกใจหายไม่ได้ สองปีอาจจะไม่ยาวนานแต่ด้วยความรักและผูกพันก็ย่อมต้องคิดถึงกันมากเป็นธรรมดา หญิงสาวทรุดตัวลงนั่งบนเตียงข้างๆ กระเป๋าเดินทางแล้วเริ่มพูดเสียงละห้อย

“น้องพลูคงคิดถึงพี่ผึ้งมากแน่ๆ ไม่มีใครทำผม แต่งหน้าแต่งตัว เป็นเพื่อนช้อปปิ้งไปอีกตั้งสองปี”

“ก็คุณแฟงไงอีกไม่กี่วันเธอก็จะมาเป็นพี่สะใภ้เราแล้วนะ”

“พี่แฟงก็ต้องดูแลพี่หมากจะมาดูแลน้องพลูได้ไง”

แทนดาวกระเถิบเข้าไปใกล้อีกปลายเดือนวางกิจกรรมในมือมาลูบผมน้องแผ่วเบา ถึงจะมีช่วงเวลาที่ไม่ลงรอยกันทำให้ความสัมพันธ์ฉันพี่น้องไม่ค่อยจะดีในตอนแรกแต่ในเมื่อทุกอย่างคลี่คลายแล้วปลายเดือนถึงรู้ว่าตนเองรักน้องสาวคนนี้มากเพียงใด

“ในระหว่างที่พี่ไม่อยู่น้องพลูช่วยดูแลคุณย่า พ่อกับแม่ของพี่ด้วยนะ โทรไปคุยกับพี่บ้าง แล้วถ้ามีเวลาก็ไปเยี่ยมกันมั่งนะพี่ก็คงจะคิดถึงเรามากเหมือนกัน”

“ค่ะ...พลูจะทำหน้าที่แทนพี่ผึ้งแล้ววันรับปริญญา...พี่ผึ้งจะมาได้ไหม”

“พี่ยังให้คำตอบไม่ได้หรอกนะแต่ที่แน่ ๆ งานแต่งของน้องพลูกับคุณชล พี่ต้องกลับมาแน่นอนอย่าลืมส่งข่าวแต่เนิ่น ๆ นะ”

แทนดาวโผเข้ากอดเอวพี่สาวด้วยใจเปี่ยมสุขถึงความรักและปรารถนาดีที่พี่สาวคนนี้มอบให้ไม่น่าเชื่อเลยว่าจากคู่ที่ไม่ถูกกันถึงขั้นเกือบตัดญาติขาดมิตรจะมีวันที่กลับมารักใคร่กลมเกลียว จนเสียงประตูแง้มปลุกให้สองพี่น้องหันหน้าไปมองผู้มาใหม่พี่ชายคนโตเดินยิ้มเผล่เข้ามา เทียมภพเดินตามหาน้องสาวคนเล็กไปทั่วบ้านจนแทนขวัญบอกว่ามาอยู่ที่นี่พอเห็นว่าสองสาวกำลังกอดกันกลมก็อดปลื้มใจไม่ได้

“แอบมากอดกันอยู่สองคนไม่เห็นชวนพี่มั่ง ไงสีผึ้ง...เก็บของอยู่เหรอ”

เทียมภพมาหยุดยืนตรงหน้าทั้งคู่แล้วกวาดตามองข้าวของที่วางกองกันอยู่บนเตียงก่อนจะแทรกตัวลงนั่งระหว่างกลาง เขากอดน้องสาวเอาไว้คนละข้างด้วยความรักเปี่ยมล้นมิรู้เหน็ดเหนื่อยที่ได้ทุ่มเทกายใจดูแลทั้งสองคนให้มีชีวิตที่ดีทุกสิ่งทุกอย่างที่น้อง ๆ ต้องการ เขาไม่เคยรีรอที่จะไปเสาะหามาให้ สองสาวต่างตื้นตันที่มีพี่ชายเป็นเทียมภพคนนี้

“พี่มีน้องสาวสองคนคนนึงทั้งสวย ทั้งเก่ง งานการอะไรทำได้ดีเยี่ยม...ไว้วางใจได้เลย ส่วนอีกคนก็เป็นเด็กดีน่ารักสดใส ใครอยู่ด้วยก็สุขกายสุขใจผู้ชายทั้งโลกนี้...จะมีใครน่าอิจฉาเท่าพี่กันล่ะ” เนื้อเสียงประกาศความภาคภูมิเหลือล้น

“เอาไว้จบเรื่องงานก่อนแล้วอีกสักพักพี่จะไปหานะ อาจจะเป็นช่วงหน้าหนาว อากาศกำลังดี”

“ดีค่ะเดี๋ยวผึ้งจะพาเที่ยวเอง”

“นี่น้องพลู...พี่ตั้มถามหาแน่ะตาเต็งหนึ่งก็ร้องเรียกแต่อาพลู ๆ ”

เขาหันมาบอกน้องสาวคนเล็กที่รีบลุกออกไปอย่างว่าง่ายเข้าใจทันทีว่าพี่ชายต้องมีเรื่องสำคัญบางอย่างจะคุยกับพี่สาวเป็นการส่วนตัวพอน้องคนเล็กออกไปแล้วก็หันมาพูดกับน้องคนรองต่อด้วยท่าทีสงบ

“สีผึ้ง...ใจจริงแล้วพี่ไม่ได้อยากให้เราไปหรอกนะแต่ถ้าเรายืนยันว่าต้องการไปเรียนต่อ...พี่ก็ไม่ห้าม แต่ถ้าไปด้วยเหตุผลอย่างอื่นก็อยากบอกว่า...การหลบหนีไม่ใช่ทางออกที่ดี”

“พี่หมาก...”นัยน์ตาสีน้ำผึ้งหล่อด้วยน้ำใส

“แต่ในเมื่อเราตัดสินใจแล้ว...ก็จงทำมันให้ดีพี่เชื่อว่าเราทำได้ รู้ไหม...ปลายเดือนมีความหมายว่าอะไร” เขาถามเสียงอบอุ่นหญิงสาวส่ายหน้าระคนความอยากรู้

“ตอนอารินท้องคุณย่ารู้ว่าได้หลานผู้หญิงก็เลยจะตั้งชื่อเตรียมไว้ตอนนั้นพี่ยังเด็ก...พอคุณย่าถามว่าอยากให้น้องชื่ออะไร พี่ก็ชี้ไปพระจันทร์เต็มดวงสว่างจ้าในคืนนั้นแล้วบอกว่า...ชื่อเดือนหงาย” เทียมภพหยุดขำ คนฟังหัวเราะตาม

“ท่านก็ว่า...ผู้หญิงอะไรชื่อคว่ำๆ หงาย ๆ มันฟังไม่เพราะ ก็เลยเปลี่ยนเป็นปลายเดือนความหมายคือ....ดวงจันทร์ส่องสว่างตรงสุดปลายฟ้า สีผึ้ง...ถึงบางครั้งเราจะคิดว่าตัวเองอยู่ในมุมมืดลับสายตาแต่พระจันทร์ตรงปลายฟ้าก็ส่องสว่าง โดดเด่น”

“ผึ้งรักพี่หมากนะคะ”ปลายเดือนกราบแทบอกพร้อมกับหลั่งน้ำตาแห่งความตื้นตัน

“พี่รู้...พี่เองก็อยากให้เรามีความรักที่สมบูรณ์เสียที”เทียมภพเกริ่นนำเข้าเรื่องที่ต้องการบอกน้องปลายเดือนเข้าใจทันทีว่าพี่ชายต้องการพูดเรื่องอะไรต่อ

“คนที่เราคิดว่าเพียบพร้อมแต่จริงๆ แล้วอาจจะบกพร่องหลายอย่าง กลับกัน...คนที่ดูว่าขาด ก็อาจจะมีครบทุกอย่างสีผึ้ง...พี่อยากให้เราเปลี่ยนมุมมองในการเลือกคบคนเสียใหม่ รูปลักษณ์ภายนอก สังคมชาติตระกูล ล้วนเป็นเปลือกห่อหุ้ม เราอาจจะโชคดีที่เกิดมาในครอบครัวนี้ แต่อย่าลืมว่าเราไม่ต่างจากคนอื่นความ ‘เท่าเทียม’ หรือ ‘เสมอกัน’ เขาวัดกันที่คุณธรรมความคิด การกระทำ ไม่ใช่ยศถาบรรดาศักดิ์ ตำแหน่งหน้าที่ใหญ่โตหรือนามสกุลดัง ๆ....”

“ดูอย่างเราสิ...ผึ้งกำลังจะมีพี่สะใภ้เป็นลูกกำพร้าเธอเติบโตมาโดยการอุปการะจากคนอื่น แต่พี่ไม่เคยสนใจชาติกำเนิดเชื้อสายอะไรนั่นจิตใจและการกระทำของเธอสูงส่งกว่าลูกคุณหญิงคุณนายบางคนเสียอีกผึ้งลองเปิดใจให้กว้างขึ้นอีกนิดนึงแล้วก็จะมองเห็นคนที่รักและพร้อมจะดูแลน้องพี่ด้วยความรักจากใจจริง”

เทียมภพลูบแก้มน้องสาวแผ่วเบาเขาไม่อาจเดาว่าคนฟังจะมีความเห็นประการใดด้วยรู้ดีว่าน้องสาวคนนี้ค่อนข้างถือตัวและ ‘หยิ่ง’ ในสายเลือดมากปลายเดือนมักเลือกที่จะคบคนที่เสมอด้วย ยศ ศักดิ์ ฐานันดร สังคมมากกว่าจะที่มองลึกลงไปในจิตใจ ด้วยเหตุนี้จึงต้องพบกับผิดหวังซ้ำแล้วซ้ำอีกเพราะเปลือกเคลือบที่ดูหรูหราสง่างามแต่เพียงภายนอก

งานมงคลสมรสระหว่างเทียมภพกับรมย์นลินจัดขึ้นอย่างเอิกเกริกสมฐานะพิธีการตอนเช้าทั้งหมดจัดขึ้นที่บ้านธาราพิศุทธิ์ตามความประสงค์ของฝ่ายเจ้าสาวที่อยากให้กระชับและเรียบง่ายที่สุดแต่กระนั้นแขกผู้ใหญ่ที่เชิญให้มาร่วมพิธีล้วนได้รับการ ‘คัดสรร’ มาแล้วทั้งสิ้น เรียกว่ามิได้น้อยหน้าใครเลยทีเดียว โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ใหญ่ฝ่ายชายซึ่งเป็นถึงอดีตนายกรัฐมนตรีที่กรุณาให้เกียรติมาเป็นประธานส่วนฝ่ายเจ้าสาวก็คือคุณกระสินธุ์คุณลุงของชลธี ท่านเป็นผู้สืบทอดกิจการบริษัทศรีตรังอันเก่าแก่ซึ่งครอบครองกิจการแทบจะทุกอย่างในจังหวัดตรังเป็นนักการเมืองท้องถิ่นผู้กว้างขวางและมีอิทธิพลจนพูดได้ว่าไม่มีใครไม่รู้จัก

สถานที่และอาหารการกินก็ใช้ออแกไนเซอร์จากธาราจัดการทั้งหมดบ้านทั้งหลังจึงดูถูกเนรมิตให้เป็นปราสาทดอกไม้สดโดยเลือกใช้สีเหลืองเป็นหลักตามรสนิยมของเจ้าสาวเริ่มตั้งแต่ซุ้มโค้งตรงประตูทางเข้าที่ดัดเป็นรูปหัวใจประดับดอกไม้สดกับผ้าแก้วผูกเป็นโบใหญ่สนามหน้าบ้านที่ปลูกไม้ใบไม้ดอกไว้อย่างสวยงามวางร่มผ้ากับชุดเก้าอี้สนามสีเดียวกันสำหรับรับรองแขกที่มาร่วมพิธีในตอนเช้า

ขบวนขันหมากมาถึงตามฤกษ์เจ็ดนาฬิกาพอดีเสียงกลองยาวตีนำขบวนตั้งแต่ปากซอย เจ้าบ่าวนั่งเป็นสง่าอยู่บนเจ้าม้าลำพองสีแดงเพลิงคู่ใจที่วันนี้เปิดประทุนหราให้เจ้านายนั่งลอยหน้าลอยตาตามติดมาด้วยขบวนสินสอดทองหมั้นและสิ่งของอื่น ๆ ครบเครื่องตามตำราเทียมภพอยู่ในชุดไทยแบบประยุกต์ท่อนบนเป็นเสื้อสูทสีแดงทับทิมสวมทับเสื้อกั๊กสีเดียวกันชั้นในสุดเป็นเสื้อเชิ้ตขาวผูกโบผ้าสีทอง ส่วนท่อนล่างนุ่งผ้าโจงกระเบนสีม่วงอ่อนปักแซมด้วยดิ้นทอง ทรงผมหวีปาดเรียบแปล้จนเพื่อน ๆต่างตั้งฉายาเรียกเจ้าบ่าวว่า ‘เจ้าคุณภพ’

ถัดจาก‘เจ้าคุณภพ’ ก็เป็นญาติ ๆ และเฮียสี่ บ. ที่ช่วยกันถือต้นกล้วยต้นอ้อยคนละไม้ละมือใกล้ ๆ กันเป็นสามสาวพี่น้องคือ ปลายเดือน แทนดาว และแทนขวัญ ถือพานสินสอดเดินตามมาทั้งสามอยู่ในชุดไทยรัชกาลที่ 5 สวมเสื้อลูกไม้แขนยาวสีทองกับผ้าซิ่นยาวแค่เข่าสีครีมทอดิ้นทองตรงชายผ้าแทนดาวยิ้มหน้าบานสุดที่วันนี้จะมีพี่สะใภ้ที่หมายตามานาน

พอขบวนเคลื่อนมาถึงกลางซอยเจ้าบ่าวก็มีอันต้องลงเดินเพราะเจอด่านประตูแรก จากนั้นก็มีประตูถัด ๆ เรียงยาวเป็นระยะถี่ไปอีกนับสิบกว่าจะถึงหน้าบ้านเสียงต่อรองค่าผ่านทางกับเสียงหัวเราะครื้นเครงดังอึงอลสร้างความตื่นเต้นให้เจ้าสาวจนอดไม่ได้ที่จะแง้มม่านดูรมย์นลินนุ่งห่มชุดไทยสไบเฉียงปักด้วยปล้องทองเป็นลวดลายวิจิตรบรรจงตลอดผืนบ่งบอกถึงความประณีตและชำนาญในเชิงช่างชั้นสูง ผ้านุ่งสีครีมสอดสลับดิ้นทองจับจีบหน้านางปักปล้องทองเฉกเดียวกับชายผ้านุ่งเนื้อผ้าสีครีมทองขับให้เจ้าสาวแลดูผุดผ่องดุจรัศมีสีทองยามรุ่งอรุณ ใบหน้าหวานแต่งแต้มออกโทนสีทองกลมกลืนกับอาภรณ์ที่สวมใส่ผมรวบตึงเกล้าเป็นมวยต่ำจับช่องดงาม ตรงมวยคาดด้วยมาลัยมะลิกรองละเอียดปักแซมด้วยปิ่นทองคำแท้ที่คุณลำเภามอบให้เป็นการรับขวัญหลานสะใภ้รับกับสายสะพายทองเส้นยาวและหัวเข็มขัดนพเก้าซึ่งคุณหลีออกแบบให้ใหม่และคิดราคาพิเศษให้โดยเฉพาะ

“ตื่นเต้นมากไหมจ๊ะ”

ชลธีเดินเข้ามาหาน้องสาวที่ยืนแอบดูขบวนขันหมากอยู่ริมหน้าต่างหญิงสาวรีบเดินเข้ามาหาแล้วส่งสายตาบอกช่างแต่งหน้ากับเพื่อนอีกสามคนว่าขออยู่ตามลำพังชายหนุ่มทิ้งตัวนั่งลงบนเตียงแล้วดึงมือน้องสาวให้นั่งลงข้างๆกัน

“เพลียมากกว่าค่ะก่อนวันงานก็ยุ่งเหยิงไปหมด แทบไม่ได้หยุดเลย”

ถึงปากจะบ่นเพลียแต่ใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มกับเสียงใสๆ ชี้ชัดว่าเจ้าสาวตื่นเต้นขนาดไหนชลธีมองน้องสาวด้วยสายตาปลาบปลื้มยินดีเป็นที่สุดเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่แม่ของเขารับมาอุปการะตั้งแต่อายุได้วันเดียววันนี้เติบโตเป็นสตรีสวยงามทั้งหน้าตาและนิสัยใจคอ เด็กผู้หญิงแสนอาภัพที่เกิดมาท่ามกลางความไม่พร้อมของผู้ให้กำเนิดหากมารดาเวทนาและสงสาร เขาเองก็อยากมีน้องเล็ก ๆ รมย์นลินจึงกลายมาเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวและวันนี้ก็กลายเป็นเจ้าสาวแสนสวย

“ต่อไปนี้ใครจะเล่นเพลงให้พี่ฟังในวันหยุดใครจะทำอาหารใต้รสจัด ๆ ให้กิน ใครจะคอยกวนใจพี่อีก”

“พี่ชลคะ...แฟงมีบุญวาสนาเหลือเกินที่ได้เป็นน้องเป็นลูกของแม่ แฟงไม่เคยคิดว่าความกำพร้าหัวเดียวกระเทียมลีบเป็นปมด้อยคุณแม่กับพี่ชลเลี้ยงดูแฟงอย่างดีเกินความคาดหวังของลูกกำพร้าคนหนึ่งจะได้รับเสียอีกชาตินี้จะตอบแทนบุญคุณยังไงถึงจะสมควร”

ใบหน้าหวานเอนซบไหล่ผู้ที่เป็นทั้งพี่และพ่อความซาบซึ้งสำนึกในบุญคุณอาบเอิบอยู่ในหัวใจ ชลธีโอบไหล่น้องสาวกระชับ เขาไม่เคยคิดว่ารมย์นลินเป็นแค่เด็กในอุปการะแต่หล่อนเป็นเสมือนน้องร่วมสายเลือดดังนั้นแล้วจึงอดไม่ได้ที่จะใจหายเมื่อวันนี้มาถึง วันนี้ที่น้องสาวคนเดียวจะต้องไปเป็นของคนอื่น

“แฟงเป็นน้องที่ดีเป็นลูกที่ดี และพี่เชื่อว่าจะต้องเป็นแม่บ้านที่ดีแน่ ไอ้หมากมันโชคดีที่สุดที่ได้น้องแฟงไปส่วนพี่...ก็โชคดีเหมือนกันที่ได้มันมาเป็นน้องเขย ไอ้หมากมันเป็นคนดีถึงภายนอกจะดูไม่ได้เรื่อง พี่ถึงวางใจให้เราได้ใช้ชีวิตคู่กับมัน”

ชายหนุ่มพูดถึงเพื่อนรักที่กำลังตะโกนโหวกเหวกพยายามฝ่าประตูเงินประตูทองเข้ามารมย์นลินเงยหน้ามองพี่ชาย ดวงตาคู่สวยรื้นไปด้วยน้ำตาจนคนเป็นพี่ต้องรีบกรีดให้

“อย่าร้องซี...เดี๋ยวก็หมดสวยกันพอดี”

ชายหนุ่มยื่นซองสีน้ำตาลที่ถือติดมือมาให้น้องสาวรมย์นลินรับมาเปิดดูช้า ๆ ในนั้นมีกระดาษสีขาวคล้ายจดหมายอยู่ปึกหนึ่ง หญิงสาวกวาดตาอ่านข้อความบนแผ่นแรกสุดจากนั้นก็ไล่เปิดที่เหลือดูผ่านๆ แล้วขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ

“พี่ชลเอาเอกสารพวกนี้มาให้แฟงดูทำไมคะ”

“อย่างที่พี่บอก...แฟงเป็นลูกที่ดีมาเสมอไม่เคยทำให้พี่กับแม่ต้องเดือดเนื้อร้อนใจ กลับมีแต่ความภาคภูมิใจ นี่เป็นของขวัญวันแต่งงานที่พี่ตั้งใจมอบให้เคียงธารา...จะเป็นของแฟง พี่ขอให้แฟงดูแลรักษามันต่อไปให้ดีเหมือนที่แม่กับพี่ทำมา”

รมย์นลินรีบสอดใบเอกสารสิทธ์ต่างๆ กลับเข้าซองอย่างเดิมแล้วรีบยื่นคืนให้หล่อนไม่ควรได้รับอะไรมากไปกว่าความเมตตาที่บุคคลทั้งสองได้เลี้ยงดูมาจนได้ดิบได้ดีเพียงนี้

“แฟงไม่รับหรอกค่ะเคียงธาราควรจะเป็นของเจ้าของที่แท้จริงโดยสายเลือด ไม่ใช่คนที่ไม่มีหัวนอนปลายเท้าอย่างแฟงพี่ชลอย่าทำแบบนี้เลยนะคะ”

“แฟงจ๊ะ...สำหรับพี่กับแม่แฟงคือสายเลือด ‘ธาราพิศุทธิ์’ ถึงเราจะใช้คนละนามสกุลไม่ได้มีความเกี่ยวดองเป็นญาติ แต่รมย์นลิน...คือคนในครอบครัว พี่คิดดีแล้วที่ยกมรดกนี้ให้เราไปดูแลต่ออย่างน้อย...รุ่นลูกหลานของแฟงจะได้มีเคียงธาราเอาไว้ระลึกถึง ตา ยาย ลุงที่สร้างมันมาด้วยความรัก เด็ก ๆจะได้รักใคร่กลมเกลียวเหมือนกับที่ครอบครัวเรารักกัน”

น้ำเสียงของชลธีช่างเปี่ยมไปด้วยความรักและเมตตาจนทำให้รมย์นลินรู้สึกแน่นในอกถ้าพี่ชายไว้วางใจให้ตนเป็นผู้รับผิดชอบดูแลมรดกอันประเมินมูลค่าไม่ได้เช่นเคียงธาราแห่งนี้ก็พร้อมที่จะทุ่มเทแรงกายแรงใจดูแลรักษามันอย่างดีที่สุดเป็นการตอบแทนพระคุณ

“แฟงจะดูแลเคียงธาราอย่างดีที่สุดจะปลูกฝังลูกหลานให้รักที่นั่นอย่างที่คุณแม่กับพี่ชลฝากความหวังไว้ แฟงกราบขอบพระคุณจากใจ”

รมย์นลินน้ำตารื้นเมื่อก้มกราบลงแทบตักด้วยความซาบซึ้งชลธีดึงตัวน้องสาวมากอดแนบแน่น หญิงสาวสัญญา

กับตัวเองว่าจะดูแลรีสอร์ทแห่งความรักความผูกพันให้ดีเพราะเคียงธาราคือความรักคือความเป็นครอบครัวที่หล่อหลอมให้ตนเติบโตขึ้นมา

“ชอบใจมากนะแฟงเอาล่ะ...เสียงแห่เงียบแล้ว เดี๋ยวก็คงมีคนมาตามตัวเรา พี่ลงไปรอข้างล่างก่อนส่วนเรื่องเอกสารนี่...รอให้จบเรื่องแต่งงานเสียให้เรียบร้อยแล้วค่อยไปโอนกรรมสิทธิ์กันให้ถูกต้อง”

ตอนที่คุณวารีจูงบุตรสาวมาส่งให้กับเทียมภพทุกคนที่นั่งรายล้อมอยู่ตรงนั้นต่างเห็นอาการตะลึงตาค้างของ

เจ้าบ่าวแต่พอได้สติก็รีบล้วงกระดาษเช็ดหน้าออกมาซับเหงื่อกาฬ กิริยานั้นเรียกเสียงหัวเราะครืนจากคนที่อยู่รอบๆ ตัว

จากนั้นก็เปลี่ยนเป็นท่าทางเก้อเขินเหมือนหนุ่มน้อยขาดความมั่นใจเมื่อจีบสาวครั้งแรกยิ่งพอได้รับรอยยิ้มหวานจับจิตจากเจ้าสาวก็ยิ่งทำให้หัวใจชายชาตรีเต้นตึกตักผิดจังหวะ

“นายหมากทำท่ายั้งกะอิเหนาเห็นบุษบาครั้งแรกนี่ยังดีว่าเหงื่อแค่แตก...ไม่ถึงกับสลบ”

ท่านอดีตนายกฯแซวเรียกเสียงหัวเราะได้อีกครั้ง พิธีกรประกาศฤกษ์ให้เจ้าบ่าวเจ้าสาวกราบญาติผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายและมอบสินสอดทองหมั้นละลานตาอันประกอบด้วยเงินสดใส่พานจำนวนหนึ่งและที่เป็นเช็คอีกสามใบ ทองรูปพรรณทั้งของเก่าของใหม่เครื่องเพชร โฉนดที่ดิน แหวนเพชรซึ่งเป็นแหวนแต่งงานของคุณดวงทิพย์ที่ตั้งใจมอบให้บุตรชายไว้แต่งสะใภ้คนโต

“ยินดีต้อนรับคุณรมย์นลิน ทวีกิจไพศาล”

เทียมภพกระซิบบอกเจ้าสาวของเขาขณะสวมแหวนจังหวะนั้นเกิดเสียงกดชัตเตอร์ถี่รัวจากช่างภาพที่จ้างมาและสื่อมวลชนที่ไม่ได้เชิญแต่ก็แห่มากันเองเทียมภพอวดแหวนที่เพิ่งสวมให้เจ้าสาวแล้วยิ้มชื่นมื่นให้ตากล้องอย่างรู้งาน และโดยที่ไม่ต้องรอให้ใครบอกบทเจ้าบ่าวไวไฟยิ่งกว่าน้ำมันเบนซินก็บรรจงหอมแก้มเจ้าสาวต่อหน้าแขกเหรื่อซึ่งเรียกเสียงตบมือเกรียวกับเสียงโห่ร้องจากเพื่อนฝูง

“คุณหมาก!”รมย์นลินทำเสียงดุแต่แก้มแดง

ส่วนของรับไหว้จากญาติผู้ใหญ่ทางฝ่ายเจ้าบ่าวก็มีพระเครื่องเลี่ยมกรอบทองจากคุณเที่ยงธรรม คุณดวงทิพย์

มอบชุดเครื่องประดับมุกล้อมเพชร คุณลำเภามอบกำไลทองฝังเพชรกับแหวนทองสลักนามสกุลให้เป็นสัญลักษณ์ว่าแต่นี้ต่อไปรมย์นลินคือคนในครอบครัวทวีกิจไพศาล คุณหลีมอบทองคำแท่งกับเงินขวัญถุงส่วนฝ่ายเจ้าสาวก็มิได้น้อยหน้า ญาติจากทางใต้อย่างคุณลุงกระสินธุ์มอบเชคเงินสดตัวเลขเจ็ดหลักให้หนึ่งใบส่วนญาติคนที่ทำฟาร์มมุกให้สร้อยมุกแท้พร้อมต่างหูเข้าชุดกันคุณวารีรับขวัญลูกเขยด้วยสร้อยพระ ส่วนชลธีนั้น นอกจากจะมอบทรัพย์สินบางส่วนให้น้องสาวไปแล้วก็ยังรับขวัญน้องเขยและว่าที่พี่เขยในอนาคตด้วยรถยนต์เอนกประสงค์ขับเคลื่อนสี่ล้อหรูหราสัญชาติอังกฤษ

“ฉันซื้อให้แกพายัยแฟงกับลูกๆ ไปไหนต่อไหน อย่าให้เห็นว่าวันหนึ่งแกให้ใครนั่งเป็นตุ๊กตาหน้ารถคันนี้...ไม่งั้นฉันจะฆ่าแก”คนให้ถือโอกาสข่มและขู่ไปด้วย

“เออ...รู้แล้วล่ะน่าสันดานเก่า ๆ ทั้งหลายน่ะ ละ เลิก ลด ไปหมดแล้วเว้ย อ้อ...ถ้าจะมีคนนึงก็คงเป็นยัยพลู”สองหนุ่มหันไปมองคนที่เอ่ยถึงโดยพร้อมเพรียงกันสาวน้อยกำลังเพลิดเพลินกับการถ่ายรูปอยู่ไม่ไกล ชลธียิ้มมุมปากแล้วพูดต่อ

“ถ้าเป็นผู้หญิงคนนั้น...ฉันอนุญาต”

ในขณะเดียวกัน คนที่ถูกพูดถึงก็เอาแต่ถ่ายรูปเล่นเลยไม่รู้ตัวว่ามีใครคนหนึ่งแอบมองตาละห้อยตั้งแต่เมื่อเช้า ยิ่งตอนที่ถือพานสินสอดคลานเข่ามาวางรวมกับข้าวของอื่นๆ ก็แทบอยากอุ้มมานั่งตักแล้วกอดหอมให้ชื่นใจถ้าจะบอกว่าเจ้าบ่าวอย่างเทียมภพตื่นเต้นตะลึงงันกับความงามของเจ้าสาวเพียงใดความรู้สึกของชลธีเมื่อห็นสาวน้อยในชุดไทยคนนี้ก็แทบไม่ต่างกัน

เมื่อเสร็จจากพิธีรับไหว้ก็ถึงเวลารดน้ำคู่วิวาห์นั่งเคียงกันยิ่งดูเหมาะสมลงตัวตรงหน้าของทั้งสองมีพานดอกไม้สดทรงพุ่มสำหรับรองรับน้ำสังข์ ท่านอดีตนายกฯสวมมงคลให้คู่บ่าวสาว คุณลุงกระสินธุ์เจิมหน้าผาก จากนั้นบรรดาแขกเหรื่อก็เริ่มทยอยมาต่อแถวรดน้ำอวยพรแทนดาวกับปลายเดือนทำหน้าที่ช่วยเติมน้ำสังข์ ส่วนเพื่อนเจ้าสาวอีกสองคนช่วยแจกของชำร่วยเป็นตลับไม้เล็กๆ กลึงเป็นรูปทรงต่าง ๆ ลงแลกเกอร์เงางามบรรจุในถุงผ้าแก้วสีทองนอกจากจะมีประโยชน์ใช้สอยไว้ใส่สิ่งของเล็ก ๆ แล้ว ยังแฝงความหมายอีกอย่าง คือ ไม้เป็นสินค้าเครื่องเรือนยุคแรกของทวีกิจ

พอจบพิธีรดน้ำก็เป็นเวลาพักผ่อนและเลี้ยงรับรองแขก เทียมภพจูงเจ้าสาวไปยังมุมที่พวกนักข่าวนั่งรวมกลุ่มกันหน้าสลอนเพื่อรอสัมภาษณ์และถ่ายรูป แทนดาวหมดหน้าที่เพื่อนเจ้าสาวแล้วก็ปลีกตัวมาเข้าห้องน้ำบ้างพอกลับออกมาก็เห็นพี่ชายเจ้าสาวยืนยิ้มพยักหน้าเรียกให้ไปหา

ที่สวนหย่อมริมสระน้ำ สองหนุ่มสาวยืนใต้ร่มเงาของต้นปีบ ตั้งแต่เช้าก็เพิ่งจะได้คุยกันตอนนี้เองเพราะต่างคนต่างก็ต้องทำหน้าที่ตอนอยู่ในช่วงพิธีการชลธีวางแก้วเครื่องดื่มลงบนโต๊ะไม้ใกล้ ๆ แล้วเอื้อมมือไปเกลี่ยไรผมของสาวน้อย ตรงขมับมีรอยชื้นเหงื่อจางๆ ริมฝีปากบางแต่งแต้มสีชมพูกลีบบัวน่าสัมผัสเหลือเกิน สายตาฉ่ำเชื่อมจับจ้องอยู่แต่วงหน้าพริ้มเพราที่แอบชะเง้อมองตั้งแต่ตอนเดินอยู่ในขบวนแห่ขันหมากความงามสะคราญสะกดสายตาจนไม่อาจละไปไหนได้เลย ยิ่งเวลาสวมชุดไทยครบเครื่องแบบนี้ก็ยิ่งดูน่ารัก สมสง่าบุตรีอดีตท่านทูต

“ลูกสาวใครเนี่ย...สวยจังจีบได้ไหมครับ”

“ไม่ได้หรอกค่ะแฟนหวงมาก” หญิงสาวยิ้มล้อเลียน

“นี่ขนาดหวงมาก...ก็ยังมีคนแอบมาขอเบอร์”น้ำเสียงเจือความไม่สบอารมณ์ตอนที่เห็นเหตุการณ์เมื่อครู่ เขาเองมัวแต่ยุ่ง ๆคุยกับแขกผู้ใหญ่ก็เลยเป็นการเปิดโอกาสให้ชายคนหนึ่งเข้ามาพูดคุยใกล้ชิดกับแทนดาวจนได้

“คิดมากไปได้เขาแค่อยากติดต่อให้น้องพลูไปสอนเปียโนให้หลานเขา เด็กอายุเจ็ดขวบเอง”

“งั้นพี่ก็ขอพูดแทนไอ้หมากเลยว่า...ไม่ได้ค่ะอยากให้หลานเรียนก็ต้องมาที่โรงเรียน พี่คงยอมให้น้องพลูไปสอนตามบ้านไม่ได้หรอก”

“ว่าแต่พี่หมากไม่มีเหตุผลพี่ชลเองก็ชักจะไม่มีเหตุผลเหมือนพี่หมากเข้าไปทุกทีแล้วนะ”

“ไม่เหมือนกันนะพี่มีเหตุผลอันสมควรจริง ๆ เดี๋ยวพี่จะเดินไปบอก...นายอะไรนะ...วิกฤตเหรอ ? ”

“สุกฤตค่ะ”หญิงสาวหัวเราะพรืดกับชื่อที่เขาจงใจเรียกผิด

“อะไรนั่นแหละ...ว่าน้องพลูไม่สะดวกสอนตามบ้านเพราะว่าแฟนไม่อนุญาต”

“ยี๋...นี่คุณพี่ชายของพี่สะใภ้จะไม่ให้ดิฉันกระดิกกระเดี้ยไปไหนเลยหรือคะคนต้องทำมาหากินนะคะ ถ้าพี่หมากเลิกจ่ายเงินเดือนน้องพลู...แล้วจะเอาอะไรกินกันล่ะทีนี้”

“ก็ไปทำงานกับพี่สิสอนที่โรงเรียนเสร็จก็ไปเล่นที่โรงแรมเหมือนเดิม”

“น้องพลูเรียกค่าจ้างเองได้ไหมล่ะ”

“ก็ได้...แต่ยิ่งรียกแพงพี่บอกก่อนนะครับว่าต้องทำให้คุ้มค่า อาจจะต้องทำล่วงเวลาบางวัน เช่น ไปกินข้าวดูหนัง ฟังเพลงกับเจ้านายบ้างตามโอกาส ถ้าขอโบนัสด้วยก็ต้องมีบริการพิเศษเพิ่ม เช่นเอาอกเอาใจ ชงกาแฟให้ นวดเนื้อตัวให้

แบบนี้ตกลงไหมครับ”

“ใช้แรงงานเยี่ยงทาสแบบนี้น้องพลูไม่เอาด้วยหรอก”

ชลธีหัวเราะอย่างเอ็นดูกับอาการหน้าตางอง้ำแล้วค่อยๆ ใช้สองแขนเกี่ยวเอวคอดเข้ามาใกล้ ยิ่งอยู่ใกล้ชิดก็ยิ่งสัมผัสถึงความอ่อนหวานจนต้องถามตัวเองว่า...จะทนรอต่อไปได้อีกสักกี่วัน

“โอเค...เลิกเถียงกันดีกว่าว่าแต่...วันนี้เหนื่อยไหมคะ น้องพลูกินอะไรหรือยัง เดินทั้งวันเมื่อยไหมเนี่ย”

“ไม่หรอกค่ะปลื้มใจจนหายหิว พี่แฟงสวยมากเลยค่ะ น้องพลูดีใจมาก ๆ ที่ได้พี่แฟงมาเป็นพี่สาวอีกคน”

“ขอบคุณที่ยอมรับแฟงแล้วพี่ชายของพี่สะใภ้คนนี้ล่ะ...รักไหมครับ”

เอวบางถูกรั้งเข้าจนชิดมากขึ้นจนสัมผัสได้ถึงไออุ่นของกันและกันคนถูกถามเอาแต่นิ่งเงียบ บนใบหน้าปรากฏแต่รอยยิ้มประหม่าจนคนมองอดรนทนไม่ไหวต้องเอียงหน้าไปสูดความหอมกำจายจากพวงแก้มเอิบอิ่มเสียฟอดใหญ่

“หืม...รักพี่ชลไหมคะ”เขาถามย้ำ

“ไม่รู้ค่ะ”

“ว้า...อะไรกันลุ้นแทบแย่แต่ตอบมาแค่…ไม่รู้ค่ะ”

“พี่ชลชอบแกล้ง”

“ก็น่ารัก...ก็เลยน่าแกล้งไงไหน...วันนี้คนสวย คิส คิส พี่ชลหรือยังคะ” คนตัวเล็กส่ายหน้าไปมาแทนการปฏิเสธ

“นะ....เพิ่งจะมีโอกาสอยู่ใกล้ก็ตอนนี้เดี๋ยวจบพิธีแล้วก็ต้องแยกย้ายเตรียมตัวไปงานเลี้ยงตอนเย็นอีก คืนนี้คงยุ่งอีกบาน แล้วเมื่อไหร่จะได้คุยกันพ้นคืนนี้ก็ได้พักแค่วันเดียวแล้วก็ต้องเดินทางไปเพชรบูรณ์อีก อยู่โน่นตั้งสามวันกว่าจะกลับ”

ชายหนุ่มชักเหตุผลร้อยแปดเพื่อโน้มน้าวให้หญิงสาวเห็นใจแทนดาวก้มหน้างุดไม่พูดอะไรแล้วโน้มคอคนน่าสงสารลงมา คิส คิส ตามที่ขอปลายจมูกเล็กแตะลงบนแก้มสีน้ำผึ้งทั้งสองข้าง หน้าผากกว้างปลายจมูกโด่งแล้วหยุดเพียงเท่านั้น

“ยังไม่ครบขาดอีกทีนึง...” เขาทวงยิก

“ไม่เอาค่ะพี่ชลนี่ไม่รู้จักพอ”

“กับน้องพลู...เท่าไหร่ก็ไม่พอ”

ไม่ทันสิ้นคำแขนแข็งแรงก็ตวัดเอวบางให้ล้มตัวในอ้อมกอดแล้วกำลังจะโน้มหน้าลงไปจุมพิตตรงจุดที่เว้นไว้แต่เสียงกระแอมกระไอกับเสียงกดชัตเตอร์ทำให้ทั้งคู่แทบจะผลักออกจากกันในทันที พอหันไปทางต้นเสียงก็พบว่าเทียมภพยืนตาโปนอยู่กับแทนขวัญลูกผู้น้องที่ถือกล้องคาในมือ

“มาหลบร้อนอยู่ตรงนี้นี่เองนะ...ไอ้พี่เขย ! ”

เสียงเหี้ยมมาพร้อมกับเจ้าบ่าวในชุดโจงกระเบนเดินอาดๆ เข้ามาแทนดาวเดินเลี่ยงไปหาลูกผู้น้องเพราะกลัวถูกรังสีอำมหิตที่กำลังแผ่กระจายอยู่รอบตัวคนเกิดก่อน

“ว้าว...ขวัญถ่ายรูปเมื่อกี้ได้พอดีเลยพี่พลูดูสิ...สวีทกว่าคู่แต่งงานอีกนะ”แทนขวัญโชว์ภาพที่จับได้ตอนที่ทั้งคู่กำลังจะจูบกันให้ดู

“ลบออกเดี๋ยวนะขวัญ”แทนดาวพยายามแย่งกล้องในมือน้องสาวแต่ก็ไม่สำเร็จ

“พี่ตามหาเราตั้งนานนะยัยพลูคุณพ่อจะพาไปกราบท่านรังสิตเสียหน่อย ดีว่าน้องขวัญเห็นเราเดินมาตรงนี้ไม่งั้นคงจะสบายปากไอ้เข้” คนพูดเน้นพยางค์สุดท้ายแล้วตวัดตามอง ‘ไอ้เข้’ที่ยืนทำหน้าตาไม่รู้ร้อน

“งั้นน้องพลูไปหาคุณพ่อก่อนนะคะน้องขวัญ...รีบไปจากตรงนี้กันเถอะ”

หญิงสาวรีบจูงมือน้องออกไปเพราะกลัวระเบิดเวลาจะบึ้มเอาพอลับหลังสองสาว จอมโวยวายก็หันมาคุยกับคนที่ลักพาตัวน้องสาวคนเล็กอย่างไม่ค่อยจะอารมณ์ดีนัก

“เผลอไม่ได้เลยนะมึง ! ”

“ฉันยังไม่ทันทำอะไรเลยที่จริงแกไม่น่าจะมาขัด คนมีมารยาทควรจะรอให้คนอื่นทำ ‘ธุระ’ เสร็จเสียก่อน”

“ไอ้นี่...”

ชลธีแกล้งยั่วให้เพื่อนที่เพิ่งจะเปลี่ยนสถานะเป็นน้องเขยอย่างเป็นทางการหงุดหงิดเล่นๆ เทียมภพทำปากขมุบขมิบคล้ายกำลังสาปแช่ง แต่สักเดี๋ยวก็กลับมาทำหน้าตาจริงจัง

“ตั้งแต่กลับมาเป็นเพื่อนกันเรายังไม่ได้คุยกันในฐานะญาติเลยนะ แกรู้สึกยังไงวะ...ที่ได้ฉันเป็นน้องเขย” เทียมภพเปิดประเด็นขึ้นก่อนชลธียกมือกอดอกแล้วมองเพื่อนรักนิ่งนานกว่าจะตอบ

“ถ้าจะว่ากันตามจริง...ก็คงต้องพูดว่าชอบใจก็ไม่เต็มร้อย เกลียดก็ไม่เชิง ถ้าแกรู้จักเข้าตามตรอก ออกตาม

ประตู ไม่รวบรัดเอาเปรียบน้องสาวฉันยังงั้นก็คงจะรู้สึกยินดีเต็มร้อยอยู่หรอก”

“แต่ฉันก็ไม่ได้ทิ้งขว้างแฟงนะแกก็เห็นนี่ว่าฉันให้เกียรติเธอขนาดไหน” คนพูดทำหน้าเหมือนกินยาขม

“แล้วถ้าฉันพลั้งมือทำแบบนั้นกับน้องพลูมั่งแล้วมาบอกแกแบบนี้...จะคิดยังไงล่ะ”

“ไม่ได้โว้ย! กูเอาตาย” คนพูดขยับตัวจนหางกระเบนส่าย

“เอาเถอะ...ยัยแฟงก็รักแกเป็นทุนเดิมอยู่แล้วยังไงเสีย...ฉันขอฝากน้องสาวคนนี้ด้วยก็แล้วกัน ยัยแฟงมีชีวิตที่ไม่สมบูรณ์นักเธอมีแค่ฉันกับแม่ที่เลี้ยงดูมา ถึงจะไม่ใช่สายเลือดเดียวกันแต่ก็รักเหมือนน้องแท้ๆ แกอย่าทำให้เธอเสียใจแม้แต่นิดเดียว”

เนื้อเสียงสงบเรียบเยียบเย็นแต่แฝงด้วยอำนาจประหลาดถ้าเขาเปล่งวาจาด้วยเสียงและท่าทางแบบนี้กับผู้ใต้บังคับบัญชาคนใดนั่นหมายถึงคำสั่งของเขาต้องได้รับการปฏิบัติให้เป็นไปตามนั้นไม่อาจต่อต้านหรือบิดเบือนได้

“เรื่องนั้นแกไม่ต้องห่วงฉันไม่เคยสนใจว่ารมย์นลินมีเทือกเถาเหล่ากอมาจากไหน ใครคือพ่อแม่ของเธอฉันไม่ได้คบคนเพราะนามสกุลหรือชาติกำเนิด รมย์นลินเป็นผู้หญิงที่ฉันเลือกแล้ว...”เทียมภพบีบบ่าเพื่อน ต่างสบตากันนิ่ง

“ชล...ฉันรักรมย์นลินเท่าๆ กับที่แกรัก ในฐานะสามี...ฉันจะยกย่องและให้เกียรติเธอจะเป็นคุณผู้หญิงของทวีกิจ เป็นภรรยาฉัน เป็นแม่ของลูกฉันและเป็นพี่สาวของน้องพลู”

สองหนุ่มสบตากันแน่วแน่มีรอยยิ้มบาง ๆ จากใบหน้าคร้ามคมแสดงความพึงพอใจ เมื่อเทียมภพเห็นว่าเพื่อนรักวางใจในตัวเองมากพอแล้วก็ล้วงวัตถุชิ้นหนึ่งออกมาจากกระเป๋าเสื้อยื่นให้พี่เขยชลธีเพ่งมองถุงผ้ากำมะหยี่สีดำสนิทใบเล็กจิ๋วอย่างแปลกใจไม่คิดหรอกว่าอีกฝ่ายจะมีของกำนัลมาเอาใจพี่ชายภรรยา เขาหยิบวัตถุในถุงผ้าใบจิ๋วออกมาแล้วก็ต้องนิ่งงันไปหลายนาทีมันคือแหวนเพชรรูปหัวใจสีน้ำเงินคล้ายกับวงที่อันตรธานหายไปด้วยฝีมือของเพื่อนรักเพื่อนแค้นเมื่อหลายเดือนก่อน

“สั่งทำจากที่ไหน..เหมือนหมาก”เขายกวงแหวนขึ้นพิจารณาให้ชัด ๆ

“ไอ้บ้าเอ๊ย...มีลูกกะตาไว้คั่นจมูกหรือไงจำไม่ได้เหรอวะ ? เป็นคนสวมให้เองแท้ๆ ”

คำบอกเล่ายิ่งทำให้งงหนักก็เทียมภพเองที่เป็นคนบังคับถอดมันออกจากนิ้วของแทนดาวแล้วปาทิ้งไปในทะเลตอนนั้นเป็นเรื่องเป็นราวใหญ่โตทีเดียว ส่วนเทียมภพก็อดทนกับท่าทางฉงนสนเท่ห์ของเพื่อนต่อไปอีกไม่ไหวไอ้ครั้นจะรอให้ตรัสรู้เองก็ไม่รู้ต้องใช้เวลาถึงเมื่อไหร่

“ก็แกทิ้งมันไปแล้วนี่”

“จริงๆ แล้วฉันไม่ได้ทิ้ง คืนนั้นแค่ทำท่าให้ดูเหมือนว่าทิ้งมันไปแล้วจริง ๆเพราะไม่อยากให้ยัยพลูมีพันธะผูกพันกะแก ใครวะ...จะโง่ทิ้งของมีค่าขนาดนี้ตั้งใจจะเอาไปคืนนานแล้วล่ะ แต่หาโอกาสเหมาะไม่ได้ซะทียิ่งเจอเรื่องยุ่งเหยิงไม่หยุดหย่อนก็เลยลืมไป”

“ทีหลังถ้าจะทำแบบนี้ก็เตี๊ยมกันก่อนนะ”ชลธียิ้มกว้างแล้วเก็บแหวนใส่ถุงผ้ากำมะหยี่อย่างเดิม

“ไอ้ชล...ขอบใจแกมากนะที่ช่วยดูแลใบพลูตอนที่ฉันยุ่ง ขอบใจที่อดทนกับน้องสาวขี้แย แกทำช่วยให้น้องโตขึ้นมากจนฉันพอจะกล้าปล่อยได้บ้างที่สำคัญ...ขอบคุณมากที่เป็นสุภาพบุรุษกับแทนดาวมาเสมอ”

ชลธียิ้มหยันนิดๆ ให้กับความหมายในประโยคสุดท้ายที่อีกฝ่ายต้องการสื่อ เทียมภพไม่มีวันเข้าใจหรอกว่า...เขาต้องใช้ความพยายามข่มอกข่มใจเพียงใดที่ต้องบังคับตัวเองให้เป็นสุภาพบุรุษอย่างที่ว่าเกือบจะพลาดท่าห้ามตัวห้ามใจไม่อยู่ก็หลายครั้งหลายหน

“ฉันว่า...มันคงคิดถึงเจ้าของจะแย่แล้วล่ะแล้วแกล่ะ...ยังมั่นคงต่อความรู้สึกเหมือนเดิมหรือเปล่า” เทียมภพมองถุงแหวนในมือของเพื่อนและพี่เขยแล้วเอ่ยถามด้วยวาจาแช่มชื่นเจ้าของแหวนไม่ตอบในทันทีแต่ทำอะไรบางอย่างกับตัวเองนาทีต่อมาเทียมภพก็ได้เห็นรอยสักรูปดาวสีน้ำเงินบนหน้าอกด้านซ้ายเหนือหัวใจ เพียงแค่นี้เขาก็รู้คำตอบทุกอย่างแก่ใจดีแล้ว

“หมาก...ตั้งแต่วันที่ฉันได้รู้จักแทนดาวจนถึงเดี๋ยวนี้...ความรักที่มีต่อเธอไม่เคยลดลงเลย”

งานเลี้ยงฉลองสมรสตอนค่ำจัดขึ้นที่โรงแรมThe Prestige Thara โดยฝีมือทีมออแกไนเซอร์ทีมเดิมทุกคนที่ได้สัมผัสบรรยากาศยามเช้าแบบไทย ๆ ก็จะได้เปลี่ยนรูปแบบมาสัมผัสกับสุนทรียะแห่งดนตรีตลอดทั้งชั้นกราวด์ฟลอร์ไปจรดหน้าห้องบอลรูมซึ่งจุคนได้มากถึงแปดร้อยคนถูกประดับด้วยดอกไม้สดแต่งโบด้วยผ้าโปร่งสีเหลืองทอง ตามมุมต่าง ๆ มีลวดดัดเป็นโครงตัวโน้ตเสียงต่างๆ แล้วเสียบด้วยดอกไม้สดอีกทีจนกลายเป็นตัวโน๊ตดอกไม้สวยงามน่ารัก

เจ้าบ่าวกับเจ้าสาวยืนต้อนรับแขกอยู่หน้าทางเข้าห้องจัดเลี้ยงเทียมภพอยู่ในชุดทักซิโด้สีครีมส่วนรมย์นลินแปลงโฉมจากแม่หญิงไทยเป็นเจ้าหญิงในชุดราตรีเปิดไหล่สีขาวปักเลื่อมพราวทั้งชุดผมมวยเมื่อตอนเช้าถูกปล่อยลงมาระแผ่นหลังนวลเนียนใบหน้าหวานถูกเติมสีให้เข้มขึ้นแต่ก็ยังคงความหวานละมุนอันเป็นเอกลักษณ์ทั้งคู่ยืนอยู่หน้าฉากประดับดอกไม้สดจัดเป็นรูปม้วนโค้งไปมาคล้ายเถาดอกไม้ ทั่วบริเวณงานประดับภาพถ่ายพรีเว้ดดิ้งริมทะเลของคู่บ่าวสาว

และเนื่องจากงานค่ำนี้ได้เชื้อเชิญแขกแทบจะทุกวงการและยิ่งคึกคักมากขึ้นไปอีกเพราะมีดาราและคนมีชื่อเสียงในวงการบันเทิงมาร่วมด้วยห้องบอลรูมที่ใหญ่ที่สุดจึงดูคับแคบลง แต่ด้วยความรอบคอบของชลธีจึงสั่งให้ตกแต่งพื้นที่หน้าห้องบอลรูมทั้งหมดเพื่อรองรับจำนวนแขกดั้งนั้นผู้มีเกียรติที่ส่วนใหญ่สวมชุดสีเหลือง ครีม ทองเดินขวักไขว่ไปทั่วทั้งในห้องและภายนอกอย่างอิสระ โต๊ะลงทะเบียนต้องแบ่งเป็นสามจุดโดยเกณฑ์กำลังบรรดาเพื่อนเจ้าสาวนับสิบคนมาช่วยกัน

“เมื่อไหร่จะจบพิธีเสียทีผมอยากส่งตัวเร็ว ๆ” เทียมภพเพียรกระซิบบอกเจ้าสาวอยู่หลายหนแล้วแต่ก็มีเพียงตาเขียวปั้ดค้อนใส่เพราะทั้งรำคาญและเขินคนใจร้อน

ตรงกลางห้องบอลรูมชิดฝาด้านหนึ่งเป็นเวทีขนาดใหญ่ต่อทางเดินมาถึงกลางห้องสุดปลายทางโต๊ะวางเค้กแต่งงานเจ็ดชั้นตรงตำแหน่งพอดีกับโคมไปคริสตัลระย้าย้อยบนเวทีใหญ่มีแกรนด์เปียโนสีดำที่ย้ายมาจากล็อบบี้ตั้งเด่นรายล้อมด้วยกระถางดอกไม้ มันกำลังเปล่งท่วงทำนองเพลงรักจากฝีมือบรรเลงของสตรีร่างอรชรในชุดราตรียาวไหล่ปาดสีครีมทองตัวกระโปรงแต่งผ้าโปร่งรูปดอกไม้ดูน่ารัก แทนดาวผู้รับหน้าที่ขับกล่อมแขกผู้มีเกียรติในช่วงก่อนเริ่มพิธีการ

กว่าที่แขกเหรื่อจะนั่งประจำที่จนครบก็กินเวลาเป็นชั่วโมงแล้วจากนั้นพิธีการก็เริ่มขึ้นเวลาหนึ่งทุ่มตรง ทั้งสองเดินขึ้นขึ้นไปบนเวทีรับฟังคำอวยพรจากท่านประธานบิดามารดารวมทั้งผู้หลักผู้ใหญ่ที่นับถือจากนั้นก็เป็นคิวของทั้งคู่กล่าวขอบคุณแขก รมย์นลินไม่พูดอะไรมากเพราะตื้นตันไปหมดนอกจากกล่าวขอบคุณผู้มีพระคุณและแขกที่มาไปตามบทแต่บทพูดของเทียมภพเล่นเอาคนทั้งห้องซาบซึ้งกินใจไปตาม ๆ กัน

“ผู้หญิงที่ยืนข้างๆ ผม ทำให้ผมรู้จักกับคำว่าดนตรี ชีวิตของผมจึงมีทั้งจังหวะสนุก เศร้า ซึ้ง ผมนึกไม่ออกเลยว่า...ชีวิตที่ไม่มีรมย์นลินมันจะเรียบเรื่อยจืดชืดขนาดไหน ขอบคุณทุกอย่างบนโลกใบนี้ไม่ว่าจะเป็นโชคชะตาหรือความบังเอิญที่ทำให้เราได้พบกันถ้าถามว่ารักเธอมากแค่ไหน....ผมไม่รู้จะตอบยังไงเพราะไม่รู้ว่าจะเอาไปเรียบกับอะไรดี มองไปทางไหนก็ไม่เจออะไรที่ใหญ่และกว้างมากพอที่จะสามารถบรรจุความรักที่ผมมีต่อเธอได้หมด”

เสียงปรบมือกราวสนั่นผสมกับเสียงเป่าปากดังลั่นเทียมภพยกมือขึ้นซับน้ำตาบนใบหน้าของเจ้าสาวที่ไหลออกมาอย่างสุดกลั้นด้วยความตื้นตันแล้วบรรจงจุมพิตแก้มนวลต่อหน้าสักขีพยานเบื้องล่างเสียงเปียโนหวานดังขึ้นอีกครั้งขณะที่เจ้าบ่าวประคองตัวเจ้าสาวไปตัดเค้ก ปิดท้ายรายการด้วยการโยนช่อดอกไม้พอถึงตอนนี้สาว ๆ ก็มารวมตัวกันหน้าเวทีสลอน พอพิธีกรให้สัญญาณ ช่อบูเก้กุหลาบเหลืองก็ปลิวไปตกที่ไหนสักแห่งเสียงวี้ดว้ายของสาวโสดที่ต่างกรูกันเข้าไปแย่งช่อดอกไม้สร้างความครื้นเครงให้คนที่นั่งดู

“ว้าย! ขอโทษจริง ๆ ค่ะ”

สาวผู้โชคดีที่รับดอกไม้ได้ไม่ใช่ใครที่ไหนคือ แทนขวัญ ทวีกิจไพศาล ลูกผู้น้องของเจ้าบ่าวที่สามารถคว้าดอกไม้แห่งความไม่เป็นโสดไว้ได้แต่ในความโชคดีก็เหมือนเป็นความโชคร้ายของบุรุษคนหนึ่งที่ไปยืนอยู่ในรัศมีการต่อสู้เข้า

“ขอโทษนะคะไม่ทราบจริง ๆ ว่ามีคนอยู่ข้างหลัง” หญิงสาวรีบเข้าไปช่วยชายเคราะห์ร้ายเก็บของที่ร่วงพื้นจากแรงปะทะเมื่อกี้

“ผมไม่เป็นไรหรอกครับ...แต่...”ชายโชคร้ายชูแว่นตาขาหักกับกระจกที่ถูกเหยียบจนร้าว แทนขวัญหน้าจ๋อยสนิท

“ตายแล้วน้องขวัญ ! ว่นตาพี่อชิหักเลย” แทนดาวเดินลิ่ว ๆมาหาน้องสาวแล้วก็พบว่าชายโชคร้ายคืออชิตะยืนทำหน้าบอกบุญไม่รับอยู่ตรงนั้น

“ขวัญไม่ได้ตั้งใจจริงๆ นะคะ ก็ดอกไม้มันลอยมาทางนี้อ่ะ ขวัญไม่เห็นคุณ...เอ...คุณหมอคิมโดฮัน”

แทนขวัญเพิ่งจะเห็นใบหน้าคนที่เพิ่งประทุษร้ายเต็มตาเค้าหน้าละม้ายคล้ายกับตัวละครในซีรีย์เกาหลีเรื่องหนึ่งที่ทั้งตนและพี่สาวชื่นชอบแต่คนถูกเรียกเหมือนจะไม่ปลื้มปริ่มเลยสักนิดเดียว

“น้องขวัญ...นี่คุณหมออชิตะ”แทนดาวแนะนำใหม่เพราะมั่นใจว่าหมอหนุ่มต้องงงกับชื่อนั้นแน่ ๆ

“คุณหมออชิตะ...ขวัญขอโทษนะคะ”

แทนขวัญยกมือไหว้ในอ้อมแขนยังกอดช่อดอกไม้เอาไว้ อีกมือหนึ่งถือกล้องถ่ายรูปอย่างระมัดระวังด้านอชิตะแว่นหักก็พยักหน้าส่ง ๆ ไปเพราะตอนนี้มองอะไรก็พร่ามัวไปหมด แทนดาวรู้ดีว่าอันสายตาของหมอเนิร์ดคนนี้สั้นกุด ซึ่งถ้าไม่สวมแว่นก็เหมือนถูกปิดตา

“ไม่เป็นไรครับมีแว่นสำรองในรถอีกอัน เดี๋ยวผมจะไปเอา” หมอหนุ่มรีบบอก

“งั้นหรือคะน้องขวัญพาพี่อชิไปสิ พาเดินไป...เร็ว” แทนดาวรุนหลังน้องสาว

แทนขวัญจูงข้อมืออชิตะออกมาข้างนอกความโลภไม่ระวังทำให้เกิดอุบัติเหตุจนได้ยิ่งรู้ว่าเป็นคนรู้จักของคุณเที่ยงธรรมก็ยิ่งทำให้หญิงสาวใจฝ่อเข้าไปอีกเพราะถ้าถูกตำหนิขึ้นมาก็จะเสียชื่อผู้ใหญ่ไปด้วย ในขณะที่ผู้เสียหายก็ยังไม่เอ่ยปากอะไรอยู่ดีจนเมื่อเดินมาได้สักระยะหนึ่ง

“แล้วคุณหมอจอดรถไว้ชั้นไหนเหรอคะ”

“ชั้นสิบครับ”

เพียงเท่านั้นแทนขวัญก็รีบจูงจนเกือบจะเป็นฉุดให้คนสายตาสั้นเดินตามมาไวๆ ในความลางเลือน ชายหนุ่มเห็น

เพียงรูปร่างหญิงสาวคนหนึ่ง หน้าตาดูไม่ค่อยชัดนักสวมชุดออกสีขาวยาวกรอมเท้า ที่คอสะพายกล้องถ่ายรูป

“ถึงชั้นสิบแล้วค่ะรถคุณหมออยู่แถวไหนคะ”

“เอห้าคันสีเงิน เอาล่ะ...พอผมกดสัญญาญาณกันขโมยก็เดินไปตามเสียงนะ”

ไม่ใช่เรื่องยากนักที่จะตามหารถยนต์คันนั้นแทนขวัญรอเขาเปิดประตูแล้วจะมุดตัวเข้าไปช่วยหา แต่ความรีบ

ก็เลยเอาศีรษะโขกกับคานประตูเท่านั้นเอง

“อูย...”

“กรรมตามสนอง”

เสียงทุ้มดังมาจากคนที่กำลังเดินอ้อมมาเปิดลิ้นชักตรงคอนโซลด้านหน้าไม่ช้าแว่นตาอันใหม่ก็สวมทับลงบนใบหน้าสะอาดใจดีของอชิตะ ชายหนุ่มมองภาพรอบ ๆที่แจ่มชัดขึ้น สายตาราบเรียบกวาดมายังสาวน้อยที่ยังยืนหน้าง้ำเอามือคลึงขมับอยู่ที่เดิมริมฝีปากปากเม้มเข้าหากันเหมือนระงับอารมณ์อะไรบางอย่างอิริยาบถนี้ช่างคุ้นตาเหลือเกิน

“เป็นไงครับ...เจ็บมากไหมแต่...ถึงผมจะเป็นหมอก็ไม่ได้พกยาหม่องมาด้วยหรอกนะ” อชิตะถามสาวน้อยที่เปลี่ยนเป็นยืนกอดอกจ้องมองมาที่ตนอย่างเอาเรื่อง

“ถือว่าหายกันก็แล้วกันนะคะรถคุณหมอทำให้ขวัญต้องเจ็บตัว”

“หือ...คุณเหยียบแว่นตาผมหักนะแล้วรถก็อยู่ของมันดี ๆ คุณไปโดนมันเองนะ ผมสิ...ต้องถามว่ารถเป็นอะไรหรือเปล่า จะบุบมากไหมนะ”

คำตอบสุภาพอ่อนโยนแต่ยียวนต่อมโกรธคนฟังเป็นอย่างมากแทนขวัญรีบสะบัดตัวเดินหนีออกมาจากตรงนั้นแล้วรีบไปกดลิฟต์ อชิตะรีบล็อกรถแล้วตามมาทันพออยู่ในลิฟต์ตามลำพัง เขาก็เพิ่งสังเกตว่าที่นิ้วชี้ข้างขวาของสตรีตรงหน้าสวมแหวนทองสลักนามสกุลแบบเดียวกับที่แทนดาวสวม

“เป็นญาติเจ้าบ่าวหรือครับ”ไม่มีเสียงตอบรับนอกจากอาการพยักหน้าหนึ่งครั้ง

“เวลาผู้ใหญ่พูดด้วยก็ควรจะตอบให้ดี ๆ ไม่ใช่แค่พยักหน้า”

ถึงสีหน้าและแววของคนพูดจะดูเป็นปรกดีแต่แทนขวัญก็รู้สึกว่าหน้าชาด้วยรู้ว่าถูกตำหนิเข้าอย่างจังมือที่กอดช่อดอกไม้รัดเข้าหากันแน่นขึ้น ดวงตาจับจ้องอยู่ที่เลขบอกชั้นไม่กระพริบ

“ค่ะ”

คำตอบสั้นและห้วนแต่กลับทำให้คนฟังยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัวอันกิริยาปากเชิด หน้างอเช่นนี้ดูละม้ายคล้ายกับแทนดาวเวลางอนอย่างไรอย่างนั้น ทั้งคู่เดินกลับเข้างานมาเจอแทนดาวที่กำลังถ่ายรูปกับพวกหลานๆ และญาติคนอื่น ๆ พอเห็นน้องสาวก็รีบปราดเข้ามาดึงตัว

“น้องขวัญ...มาถ่ายรูปเร็วพี่อชิโอเคแล้วนะคะ”

“สบายมากครับ”หมอหนุ่มตอบเสียงสุภาพแล้วปรายตามามองสาวน้อยอีกคนแทนดาวมองตามแล้วนึกขึ้นได้ว่ายังไม่ได้แนะนำให้รู้จัก

“พี่อชิคะ...นี่น้องขวัญหรือ แทนขวัญ น้องสาวของพลูเอง”

อชิตะยิ้มมากขึ้นเมื่อรู้ชัดเจนแล้วว่าหล่อนเป็นใครสายตาหลังกรอบแว่นมองสาวน้อยที่ยืนเคียงข้างพี่สาวอย่างพิจารณาใบหน้าหงุดหงิดยังมีเค้าความสวยสดใสฉายชัดให้เห็นแทนขวัญรู้ตัวว่าถูกมองอยู่นานก็เกิดอาการ ‘ขวาง’ ขึ้นมาดื้อ ๆ

“พี่พลูถือดอกไม้ให้หน่อยขวัญจะอุ้มตาเต็งหนึ่ง” หญิงสาวส่งช่อดอกไม้ให้พี่แล้วอุ้มหลานเล็กเข้าร่วมเฟรมถ่ายรูปแทนดาวกลัวพลาดช็อตนี้ด้วยก็รีบยัดช่อดอกไม้ใส่มืออชิตะที่ยังคงมองสาวน้อยในชุดราตีสีขาวไม่วางตา

“ฝากพี่อชิถือแป๊บนึงนะคะ”

“แทนขวัญ...ท่าทางจะเอาเรื่องน่าดู”

อชิตะพูดกับตัวเองแล้วมองช่อดอกไม้ในมือดอกไม้เจ้าสาว...แสดงว่าแทนขวัญยังโสด สายตาอ่อนโยนมองดอกไม้กับสาวน้อยสลับกันไปมาแทนดาวสวยสะคราญดุจดอกไม้แรกแย้มฉันใด แทนขวัญก็สดใสดุจดอกไม้ต้องน้ำค้างยามเช้าฉันนั้นชายหนุ่มได้ตัดใจจากแทนดาวโดยสิ้นเชิงเหลือเพียงความเป็นพี่ชายแต่...เขาจะไม่มีวันทำแบบนั้นกับแทนขวัญแน่นอน

พิธีการต่างๆ จบลงอย่างเรียบร้อยสวยงาม ตอนนี้เจ้าบ่าวเจ้าสาวกำลังยืนส่งแขกที่เริ่มทยอยกลับเหลือแต่บรรดาญาติของทั้งสองครอบครัวที่ยังคุยตามประสานาน ๆ เจอกันทีพวกลูกหลานวัยรุ่นก็ยังสนุกกับการถ่ายรูปตามซุ้มที่จัดไว้ ส่วนรุ่นเล็ก ๆก็วิ่งเล่นไล่ดึงลูกโป่ง ดอกไม้ วุ่นวายทีเดียว งานนี้นอกจากจะเป็นการต้อนรับสมาชิกใหม่ของทวีกิจก็ยังเป็นการเลี้ยงส่งปลายเดือนไปในตัวด้วยหญิงสาวมีกำหนดการเดินทางไปศึกษาต่อในอีกสามวันถัดไป

“น้องผึ้งเตรียมตัวพร้อมแล้วใช่ไหมครับ”

บุรินทร์เอ่ยถามขึ้นเมื่อได้คุยกันตามลำพังหนุ่มหน้าตี๋แกว่งแก้วเครื่องดื่มสีอำพันในมือซึ่งเป็นภาพที่ออกจะแปลกตาไปปรกติแล้วบุรินทร์จะไม่ข้องเกี่ยวกับของมึนเมาแตกต่างกับพี่ชายอีกสามคนที่ชอบสังสรรค์ไม่รู้ว่าการดื่มนี้คือ อยากดื่มเพื่อเฉลิมฉลองงานมงคลหรือต้องการใช้น้ำเมาล้างอะไรในใจ

“เรียบร้อยทุกอย่างแล้วจ้ะกว่าจะเปิดเทอมก็อีกสามเดือน แต่ผึ้งอยากไปอยู่ก่อนเพื่อนคนนึงแต่งงานมีครอบครัวอยู่นั่น เขาก็เลยอาสาพาเที่ยวพักผ่อนก่อนกลับไปเรียนจ้ะ”

ใบหน้าหวานหยดปนแววเศร้าจางๆ จนคนมองอดใจหายไม่ได้ ปลายเดือนคงจะคิดถึงบ้าน คิดถึงงานแต่ไม่ว่าหล่อนจะตัดสินใจ ‘ไป’ เพราะเหตุใด สิ่งที่บุรินทร์ทำได้ก็คือยินดีด้วยในทุกสิ่ง

“แล้วเฮียบุ้งอยากจะไปเที่ยวบ้างไหมจ๊ะ”หญิงสาวยิ้มหวานให้เขาแบบที่ไม่เคยยิ้มให้มาก่อน ซึ่งทำให้บุรินทร์ใจเขวไป

“คือ...เฮียก็อยากไปนะแต่ว่าเป็นห่วงร้าน ทิ้งไปนาน ๆ ไม่ได้” อาการติดขัดยามตอบคำถามแลดูชอบกล คงจะเป็นเพราะมัวแต่แช่มชื่นกับรอยยิ้มเมื่อกี้อยู่

“ก็ฝากเฮียอีกสามบ. ช่วยดูประเดี๋ยวประด๋าวไม่ได้หรือจ๊ะ พี่หมากวางแผนว่าจะไปช่วงหน้าหนาวเฮียบุ้งก็ไปด้วยกันสิจ๊ะ”

“แล้วน้องผึ้งอยากให้เฮียไปจริงๆ เหรอ”

บุรินทร์ถามกลับอย่างอยากรู้เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมา ปลายเดือนไม่เคยให้ความสนใจตนมากเกินกว่าถามสารทุกข์สุกดิบทั่วๆ ไป ไม่เลยแม้แต่สักครั้งที่จะถามว่าชอบอะไร อยากไปไหน หรือแม้กระทั่งยิ้มสวย ๆอย่างเมื่อกี้

“จริงสิจ๊ะผึ้งจะพาเฮียบุ้งทัวร์มหานครนิวยอร์ก ไปแต่เมืองจีน...ไม่เบื่อหรือไง”

“ถ้ายังงั้นจะได้รีบเตรียมตัวเก็บข้าวของเดินทางไปพร้อมน้องผึ้งเลยดีไหม” ถึงจะพูดเล่นแต่น้ำเสียงก็เต็มไปด้วยความดีใจปลายเดินหัวเราะเบา ๆ

“ไม่ต้องรีบขนาดนั้นหรอกจ้ะผึ้งไม่ได้ไปไหน ถ้าเฮียบุ้งจะ...รอ...ผึ้งก็จะกลับมา”

เสียงหัวเราะและสีหน้าเปื้อนยิ้มขันจางหายไปแทนที่ด้วยใบหน้าแดงซ่าน นัยน์ตาสีน้ำผึ้งเปล่งประกายจรัสปลายเดือนเพ่งมองลึกลงไปในดวงตาเรียวเล็กของคนที่วางตำแหน่งเสมอพี่ชายมาทั้งชีวิต จริงอย่างที่เทียมภพพูดไว้ถ้าลองเปิดใจมองดู...ก็จะเห็นว่าใครที่รักตนอย่างจริงใจ บุรินทร์วางแก้วในมือแล้วเปลี่ยนมาจับมือนุ่มนิ่มของปลายเดือนความฟูฟ่องประทุขึ้นในโพรงอกเมื่ออีกฝายมิได้บ่ายเบี่ยงหรือชักมือกลับ

“เฮียบุ้งรอน้องผึ้งมาตลอดจนตอนนี้ก็ยังรอ...และจะรอต่อไปเรื่อย ๆ เอาไว้น้องผึ้งกลับมาเมื่อไหร่ เฮียบุ้งจะ...ลองขอน้องผึ้งเป็นแฟนดู”

“แล้วทำไมไม่ขอตอนนี้ล่ะจ๊ะ”คำถามนี้ทำเอาคนฟังต้องเอียงคออย่างไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน

“น้องผึ้ง...”

“ถ้าขอตอนนี้...ก็จะได้คำตอบตอนนี้แต่ถ้ารอผึ้งกลับมา...ก็ต้องรออีกสองปีกว่าเชียวนะ” หญิงสาวหลบสายตาเป็นประกายของคนตรงหน้าในขณะที่ตัวเองก็ต้องซ่อนความขัดเขินเช่นกัน ได้ยินเสียงบุรินทร์สูดหายใจลึก

“เป็นแฟนกับเฮียบุ้งนะ...ปลายเดือน”

“จ้ะ”

สิ้นคำตอบเพียงสั้นๆ ก็ปรากฏรอยยิ้มแจ่มใสบนใบหน้าของทั้งคู่บุรินทร์ยิ้มทั้งปากทั้งตาขณะยกมือนุ่มจุมพิต เกิดความสุขประหลาดในใจของปลายเดือนเมื่อตัดสินใจส่งมอบความรักให้กับบุรุษที่มีจิตใจมั่นคงต่อตนเพียงผู้เดียวสำหรับบุรินทร์...การรอคอยอย่างไร้ความหวังได้สิ้นสุดลงแล้วจากนี้ก็จะเริ่มต้นสร้างเรื่องราวดี ๆ กับสตรีที่ผูกใจรักมานานแสนนาน

“สมใจแล้วสินะ...ยัยแม่สื่อ”เทียมภพวางมือบนไหล่เปลือยของน้องสาวคนเล็กที่ยืนแอบอยู่หลังพุ่มดอกไม้ดัดโค้งเป็นรูปโน้ตเพลงแทนดาวหันมายิ้มให้พี่ชายอย่างมีความสุขกับภาพที่เห็น

“นึกว่าจะจบไม่สวยเสียอีกลุ้นแทบแย่เลยค่ะ”

“ของแบบนี้มันต้องใช้เวลาสีผึ้งคงยอมรับเอาวันนี้มั้ง”

“หวังว่าพี่ผึ้งจะรักเฮียบุ้งมากขึ้นเรื่อยๆ นะคะ”

“ไม่ต้องหวังหรอกพี่สาวเราน่ะ...รักเฮียบุ้งมาตั้งนานแล้วแต่ไม่ยอมรับ” คำเฉลยทำให้คนฟังต้องขมวดคิ้ว

“รักมานาน....พี่หมากรู้ได้ยังไงคะ”

“โธ่เอ๋ย...พี่เป็นคนดูแลเราสองคนมาตั้งกะตัวแดงๆ นะ ต้องรู้สิว่า...ใครนิสัยเป็นยังไง สีผึ้งมีทิฐิมากและปากแข็ง บวกกับเหตุผลส่วนตัวบางอย่างก็เลยทำใจยอมรับเฮียบุ้งไม่ได้ก็อย่างที่รู้ ๆ กัน พี่สาวเราคนนี้ ถ้าไม่แบรนด์เนม...ก็ไม่หยิบ”เทียมภพอธิบายลักษณะนิสัยของน้องสาวคนรองอย่างเข้าใจถ่องแท้แทนดาวพยักหน้าเห็นด้วย

“เฮ้อ...ดีใจจังว่าที่พี่เขยเป็นเฮียบุ้ง พี่สะใภ้เป็นพี่แฟง ทั้งโลกนี้ใครจะโชคดีเหมือนน้องพลู”

หญิงสาวพูดล้อเลียนประโยคของพี่ชายพลางยิ้มร่าเทียมภพโอบตัวน้องสาวพาเดินห่างออกมาจนอยู่ในที่ปลอดคน สายตาอ่อนโยนยามทอดมองน้องสาวไม่ผิดแผกจากวันแรกที่ได้โอบอุ้มร่างน้อยเมื่อแรกเกิด

“มัวแต่สมหวังในความรักของคนอื่นแล้วหนูล่ะ...ตัดสินใจเรื่องของตัวเองว่ายังไง”

ดวงตาคู่สวยสบตาสีนิลของคนถามแล้วหลุบเปลือกตาลงคำตอบมีอยู่แก่ใจแต่ไม่กล้าที่จะเอื้อนเอ่ย หล่อนมั่นใจแล้วว่ารักบุรุษหน้าคมผู้นั้นหมดทั้งหัวใจ

“น้องพลู...รักพี่ชลค่ะถ้าเขาถามอีก....หรือมีโอกาสที่จะบอก น้องพลูจะไม่ลังเลหรือกลัวอะไรอีกแล้วทั้งพี่ผึ้ง พี่หมาก ต่างก็ต้องฝ่าฟันและผ่านอะไรมามากมายกว่าจะได้สมหวังแล้วน้องพลูยังจะรอให้เสียเวลาอีกทำไมกัน”

เทียมภพยิ้มอย่างภูมิใจกับคำตอบมั่นอกมั่นใจของน้องมันถึงเวลาเสียทีจะยอมปล่อยมือหล่อนแล้วเดินตามอยู่ห่าง ๆ แทนดาวเติบโตแข็งแรงจนวางใจได้ว่าน้องสาวคนนี้จะสามารถก้าวเดินบนเส้นทางที่เลือกเองได้อย่างมั่นคง

“ถ้าหนูมั่นใจแล้วพี่จะพาหนูไปส่ง...”

ชายหนุ่มกุมมือเล็กของน้องสาวกระชับแล้วจูงให้เดินตามมาแทนดาวไม่รู้ว่าพี่ชายจะพาไปที่ไหนแต่ก็ไม่ได้

ซักถาม เทียมภพพาน้องสาวเข้าลิฟต์พิเศษสำหรับผู้บริหารแล้วแตะคีย์การ์ดพร้อมกับกดปุ่มขึ้นไปชั้นบนสุดจนเมื่อลิฟต์เปิดออก เลยอดที่จะหยุดถามไม่ได้

“จะไปไหนคะนี่เดี๋ยวก็ได้ฤกษ์ส่งตัวแล้วไม่ใช่เหรอคะ”

“เพราะยังงี้พี่ถึงต้องรีบพาเรามา เอาล่ะ...ขึ้นบันไดทางโน้น”

พี่ชายยังคงจูงมือพาเดินไปเรื่อยๆ จนขึ้นมาสุดบันไดชั้นบน เบื้องหน้าเป็นประตูที่เปิดสู่ระเบียงดาดฟ้าเทียมภพหยุดอยู่แค่ตรงนั้นแล้วมองหน้าน้องสาวอย่างพินิจ

“น้องพลูครับ...พี่หมากพาหนูมาส่งให้กับคนที่จะมาจูงมือหนูเดินต่อไปบนทางชีวิต”เทียมภพลูบศีรษะเล็กอย่างอ่อนโยน

“พี่หมากไม่กลัวเขาจะปล่อยมือน้องพลูสักวันหรือคะ”

“วันนั้นจะไม่มีคนอย่างพี่...ถ้าไม่มั่นใจว่า ‘ใคร’ จะรักและหวังดีกับน้องพลูของพี่จริง ๆ ก็จะไม่มีวันมอบหัวใจดวงนี้ให้อยู่ในอุ้งมือคนนั้น”จมูกเนียนแตะที่แก้มพี่ชายแทนคำขอบคุณ เทียมภพจูบหน้าผากเกลี้ยงเกลาแล้วปล่อยร่างบางให้เป็นอิสระ

“พอน้องพลูเปิดประตูออกไป...เขาจะรออยู่”

แทนดาวทอดสายตามองพี่ชายที่เดินกลับไปด้วยความรู้สึกหลากหลายความตื่นเต้นส่งผลให้หัวใจเขย่าโยน ความพองฟูแผ่ขยายอยู่ในอก ถึงจะเดาถูกแต่ก็ยังลุ้นว่าหลังประตูบานนั้นจะมีใครคอยอยู่หญิงสาวสูดหายใจยาวลึกแล้วค่อย ๆ ทาบฝ่ามือกับบานประตูเหล็กผลักออกไป เท้าทั้งสองข้างพาร่างก้าวออกไปสู่ดาดฟ้าใต้แสงจันทร์นวลสกาวและดวงดาวไหวระยิบ

หลังเสร็จสิ้นพิธีส่งตัวตามประเพณีและพวกผู้ใหญ่กลับออกไปกันหมดก็เหลือเพียงคู่บ่าวสาวหมาดๆ รมย์นลินมองพานส่งตัวที่วางอยู่เบื้องหน้าแล้วเหลือบมองบนเตียงนอนหลังใหม่ที่โปรยทับด้วยกลีบดอกไม้สดปนกับธนบัตรและเหรียญที่ญาติผู้ใหญ่โปรยไว้เป็นเคล็ดพอกวาดสายตามาข้าง ๆ ก็พบเจ้าบ่าวของตัวเองนั่งตาเชื่อมกรุ้มกริ่ม ลักษณะนี้เตือนให้รมย์นลินต้องรีบหลบตา

“เหนื่อยมากไหมครับวันนี้คนเยอะมาก ไม่รู้ว่าใครเป็นใคร พรุ่งนี้คอยดูเถอะ...หนังสือพิมพ์ทุกฉบับต้องลงข่าวแต่งของเราอย่างวันนี้หน้าฟีดบนเฟสบุ๊คมีแต่ข่าวเราเต็มไปหมด เพราะใคร ๆ ก็อยากเห็นหน้าคุณอยากรู้จักผู้หญิงที่ทำผู้หญิงด้วยกันอกหักครึ่งค่อนประเทศ” เจ้าบ่าวป้ายแดงคุยอวดคนฟังค้อนให้อย่างนึกหมั่นไส้

“แฟงไม่ได้อยากเป็นข่าวด้วยสักหน่อยแสดงว่าคุณน่ะ...ไปก่อเรื่องไว้มาก ก็เลยมีแต่คนสนใจ”

เทียมภพเชยคางมนเพื่อพิศดูใบหน้าเจ้าสาวแสนสวยความงดงามตรึงใจที่มองเท่าไหร่ก็ไม่มีวันเบื่อแต่สิ่งนี้มิใช่สิ่งที่เกี่ยวหัวใจของชายหนุ่ม หากแต่เป็นจริยาวัตร ทัศนคติการดำรงชีวิตที่เทียมภพเห็นสมควรแล้วว่ารมย์นลินมีความเพียบพร้อมที่จะมาเป็นคู่ชีวิต

“รมย์นลิน...นับจากวันนี้ไปคุณคือคุณผู้หญิงแห่งบ้านทวีกิจไพศาล คุณพ่อคุณแม่ของผม...คือพ่อแม่ของคุณคุณมีคุณย่าที่เมตตาเอ็นดูคุณ จะมีน้องสาวอีกสองคนที่จะเป็นเพื่อนคุณ คุณจะเป็นนายหญิงคอยดูแลความเป็นไปในบ้านให้เรียบร้อยบริวารจะเชื่อฟังและพร้อมปฏิบัติตามคำสั่งของคุณผู้หญิงและอีกไม่นาน...คุณจะให้กำเนิดทายาททวีกิจรุ่นที่สี่ คุณจะเป็นแม่ของลูก ๆ เป็นศรีภรรยาของผม”

เทียมภพจูบแก้มปลั่งฝาดสีเรื่อของเจ้าสาวรมย์นลินรับฟังด้วยความตื้นตันในหัวใจที่เขาให้เกียรติเชิดชูถึงเพียงนี้ และแม้เทียมภพจะไม่ให้อะไรเลยหล่อนก็พอใจเพียงแค่ได้ตำแหน่ง ‘ศรีภรรยา’ ของเขาสองมือยกขึ้นประนมแล้วก้มกราบลงแทบตักสามีเหมือนจะฝากตัว

“แฟงกราบขอบคุณที่กรุณาและเมตตาและจะทำหน้าที่ทุกอย่างให้ดีที่สุดแฟงขอฝากชีวิตนี้ทั้งชีวิต...ไว้กับคุณ”

เทียมภพประคองร่างระหงขึ้นมากอดแนบชิดเขาเชื่อมั่นว่ารมย์นลินจะเป็นภรรยาและแม่ที่ดี และเขา...จะดูแลครอบครัวให้มีความสุขที่สุดเป็นสามีและพ่อที่ดีตามที่ได้รับโอวาทจากผู้ใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คือทำตามสัญญาที่ได้ให้ไว้เป็นสำคัญกับเพื่อนรัก

“ผมรักคุณนะครับ”

เขาจูบหน้าผากมนแล้วระเรื่อยมาหยุดที่ริมฝีปากอวบอิ่มจากนั้นก็ถอดพวงมาลัยคล้องคอทั้งของตัวเองและรมย์นลินแขวนไว้ที่หัวเตียงแล้วค่อย ๆช้อนร่างบางขึ้นวางบนเตียงกว้าง มือข้างหนึ่งจับชายผ้าปูตลบลงเพียงเท่านั้นเศษกลีบดอกไม้กับธนบัตรและเหรียญก็กระจายไป เปิดทางให้ร่างสองร่างนอนอิงแอบกันโดยไร้สิ่งกีดขวาง

“จะไม่อาบน้ำก่อนหรือคะ”เสียงหวานกระซิบถาม

“เดี๋ยวค่อยอาบนี่รู้ไหม...ใกล้จะถึงวันเกิดน้องพลูแล้ว เธอมาขอของขวัญกับผมเมื่อวานนี้เอง”ชายหนุ่มบอกเสียงหวานขณะปลดเปลื้องเสื้อสูทออกจากร่าง

“ปีนี้มาแปลกบอกว่าอยากได้ของขวัญมีชีวิต”

“น้องพลูอยากได้อะไรเหรอคะ”คนถามพาซื่อเพราะคิดไปถึงพวกสัตว์เลี้ยงน่ารัก เทียมภพยิ้มเป็นปริศนาแล้วก้มลงกระซิบชิดริมหูเล็กขณะที่อีกมือรูดซิปด้านหลังชุดแต่งงานสีขาวลงจนสุด

“หลาน...น้องพลูบอกว่าอยากได้หลานถ้าไม่รีบทำให้เดี๋ยวจะงอน คุณก็รู้ว่าผมตามใจน้อง งั้นเรารีบมาผลิตกันกันดีกว่าเผื่อจะมีข่าวดีมอบให้น้องพลูเป็นของขวัญวันเกิด” คำตอบของคนตัวโตกระตุ้นให้เกิดริ้วแดงประดับพวงแก้มในทันที เทียมภพไม่อยากให้เสียเวลาอีกจึงมอบจุมพิตแสนรัญจวนให้เจ้าสาวในอ้อมกอด

ร่างสูงในชุดสูทสากลสีเทาหันมาเมื่อได้ยินเสียงเปิดบานประตูนัยน์ตาสีเหล็กทอประกายระยับแข่งกับดาวพราวบนผืนฟ้าสีดำสนิท ร่างอรชรเดินจับชายกระโปรงยาวก้าวเข้ามาช้าๆ เจ้าของใบหน้าคมเดินเนิบ ๆ เข้าไปหาจนทั้งคู่หยุด ณ จุดกึ่งกลางดาดฟ้า บรรยากาศบนนี้เงียบสงบมองลงไปเบื้องล่างก็จะเห็นแสงสียามราตรีของเมืองหลวง ทุกครั้งมันดูวุ่นวายไร้ความสงบแต่วันนี้แทนดาวรู้สึกว่าเป็นค่ำคืนที่น่าพิสมัยเหลือเกิน

“นึกว่าจะเจอใครที่แท้...เป็นคุณอาธารานี่เอง”

แทนดาวทักขึ้นก่อนสรรพนามที่ใช้เรียกทำให้คนฟังยิ้มขันนึกย้อนไปถึงวันแรกที่เจอกันแล้วหล่อนเรียกชื่อผิด ๆ อยู่นาน ชายหนุ่มเจ้าของนามแฝงว่า‘คุณอาธารา’ รั้งไหล่ลาดให้เข้ามาใกล้ยิ่งขึ้นจนได้กลิ่นน้ำหอมอ่อน ๆ ของกันและกัน

“แล้วที่ยืนตรงหน้าพี่นี่...คน...หรือนางฟ้า”มือหนาสอดเกี่ยวลอนผมยาวอย่างหลงใหล ยิ่งยามเมื่อสายลมปะทะก็ปลิดปลิวพลิ้วไหวราวยอดหญ้าต้องลม

“ลองพิสูจน์ดูสิคะ...ว่าเป็นอะไรกันแน่”สิ้นคำ ริมฝีปากหยักก็ยื่นเข้ามาจุมพิตริมฝีปากกระจับสีชมพูเรื่อ

“รู้แล้วนี่มัน...นางฟ้า...ในร่างมนุษย์”

“ปากหวานจังนะคะแล้วทำไมมาหลบที่นี่คนเดียว”

“มายืนดูดาวแต่น้องพลูเชื่อไหม...พี่แหงนจนปวดคอก็ยังไม่เจอดวงไหนจะสวยเท่า...ดาวที่อยู่ตรงหน้าพี่”

ปลายนิ้วอุ่นเชยคางเล็กขึ้นดวงตาตรงอัลมอนด์สดใสจนเห็นเงาสะท้อนของเขาในนั้น คนถูกมองสานมือกันไว้ด้านหน้าอย่างรู้สึกประหม่าถึงจะรู้จักกันมานานแต่ก็ยังไม่คุ้นเคยกับแววเกี้ยวพาเช่นนี้เสียที

“พี่หมากพาน้องพลูมาส่งให้คนที่...รักน้องพลูเท่าชีวิตคน ๆ นั้น...ใช่คนที่ยืนอยู่ตรงหน้าน้องพลูไหมคะ”

“ไม่ผิด”

วลีหนักแน่นตอบออกมาแทบจะทันทียิ่งพาให้หัวใจดวงน้อยลอยสูงขึ้นมือบางยกขึ้นสัมผัสผิวละเอียดสีทองแดงที่ประกอบขึ้นเป็นใบหน้าคมคายของบุรุษที่ตนรักสุดหัวใจ

“ถ้าอย่างนั้น...น้องพลูอยากให้พี่ชลถาม‘คำถาม’ เดิมอีกครั้งได้ไหมคะ”

“แล้วถ้าคำตอบมันเหมือนเดิม...”

“มันจะไม่เหมือนเดิมค่ะ”

เสียงหวานบอกหนักแน่นพร้อมกับมือเรียวบีบกระชับมืออุ่นชลธีจ้องวงหน้างามลลออไม่วาง ริมฝีปากแย้มรอยยิ้มหวานอบอุ่น เขาจุมพิตมือนุ่มคู่นั้นแล้วส่งสายตาสะกดให้คนตรงหน้าอยู่นิ่ง

“แต่งงานกับพี่ไหม”

“แต่งค่ะ”

รอยยินดีฉายชัดในดวงตาสีเหล็กนาทีต่อมาวงแขนแข็งแกร่งก็รัดร่างอรชรเอาไว้แนบอกหัวใจทั้งสองดวงลอยสูงขึ้นไปอยู่คู่กัน ณ ผืนฟ้าพร่างดาว เป็นนานกว่าที่แขนแข็งแรงข้างเดียวกันจะผละร่างบางออกแต่ก็ห่างอยู่เพียงนิดเดียว “แทนดาว...กลับมาอยู่เคียงคู่ทะเลเหมือนเดิมนะครับอย่าทิ้งท้องทะเลมืดมิดไปอีกเลย ในวันที่หัวใจของพี่ไร้ดวงดาวมาส่องสว่าง ทุกอย่างมันสิ้นหวังไปหมดชีวิตพี่จะเป็นยังไงถ้าไม่มีแทนดาว”

หญิงสาวอิ่มเอมกับคำหวานที่เขาจาระไนออกมาแต่นั่นก็ยังไม่เท่าความรู้สึกลิงโลดเมื่อนิ้วนางข้างขวาสัมผัสกับวัตถุเย็น ๆพอเพ่งมองดูก็เห็นแหวนทองคำขาว หัวแหวนเป็นบลูแซฟไฟร์หรือเพชรสีน้ำเงินรูปหัวใจ ใบหน้าหวานยิ้มกว้างพอๆ กับดวงตาที่เบิกโตอย่างตั้งคำถาม

“มันกลับมาอยู่กับเจ้าของของมันพี่ชายเรา...ไม่ได้ใจร้ายอย่างที่คิดหรอกนะ”

“ไม่มีวันไหนที่น้องพลูไม่คิดถึงมัน...พี่ชลเชื่อไหมคะ”หญิงสาวลูบคลำแหวนด้วยความดีใจและคิดถึงอย่างที่พูด

“เชื่อสิคะ...น้องพลูรักพี่ขนาดนี้ก็ต้องรักทุกอย่างที่พี่ให้เหมือนกัน”

“ต๊าย...พูดเองเออเองนะคะนั่น” ชายหนุ่มหัวเราะร่วนแล้วดึงร่างเล็กมากอดอีกครั้งจมูกโด่งกดลงบนกระหม่อมที่ปกคลุมด้วยผมหอม

“ถ้าไม่อยากให้พี่ทึกทักเอาเองน้องพลูก็ต้องพูดออกมา” เกิดความเงียบนานช้าแทนดาวซุกหน้ากับอกอุ่นทำเหมือนไม่ได้ยินที่จนคนพูดต้องถามย้ำ

“พี่รักน้องพลูเหลือเกินแล้วแล้วน้องพลูล่ะคะ...รักพี่ชลไหม” คนตัวเล็กอมยิ้มอยู่สักครู่ก็เขย่งปลายเท้าขึ้นแตะกลีบปากกับริมฝีปากหยักเบาๆ

“น้องพลูรักพี่ชลค่ะดาวดวงนี้จะอยู่เคียงคู่ทะเลตลอดไป”

ภายใต้ท้องฟ้ามืดดุจกำมะหยี่ประดับดาวเป็นจุดเล็กๆ สองร่างตระกองกอดกันแนบแน่นถ่ายทอดความรู้สึกล้ำลึกให้กันและกัน ไออุ่นของลมหายใจจากคนร่างสูงค่อยๆ รดไล่ลงมาตั้งแต่หน้าผากมนจนมาจรดที่ริมฝีปากระเรื่อ รสสัมผัสผิวเนิบนาบนุ่มนวลราวกลีบดอกไม้ต้องเกร็ดน้ำค้างช่างหวานและสุขล้น ต้นรักที่ทั้งคู่ช่วยกันดูแลตั้งแต่เริ่มหว่านเมล็ดบัดนี้งอกงามผลิดอกเบ่งบาน ถึงบางครั้งจะมีหนอนแมลงมารบกวนให้รำคาญ แต่ทว่ารั้วใจที่มั่นคง...เหล่าหนอนแมลงต่างก็ล่าถอยไปในที่สุด

-อวสาน-



ความรัก...เคยทำให้เขา...บุรุษผู้แข็งแกร่งดังเหล็กกล้าทรุดกายลงด้วยอาการใจแตกสลายเพราะพิษร้ายของมัน

ความรัก....ได้หล่อหลอมให้เธอ...สตรีบอบบางกลับแข็งแกร่งด้วยอานุภาพของมัน

สองคน สองใจ ช่วยกันเพาะปลูกต้นรัก...ในรั้วแห่งใจคนหนึ่งเป็นดิน คนหนึ่งเป็นน้ำ ความเอาใจใส่เอื้ออาทรซึ่งกันและกันคือปุ๋ยชั้นดีจากเมล็ดเล็ก ๆ ค่อยแทงรากแตกยอดอ่อนจนฝังรากแก้วลึกลงในหัวใจของทั้งคู่...ปลูกรักในรั้วใจ




Create Date : 19 พฤษภาคม 2559
Last Update : 19 พฤษภาคม 2559 23:17:20 น.
Counter : 566 Pageviews.

1 comment
1  2  3  

อิสวารายา
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



ถ้าย้อนกลับไปเมื่อปี 2007 นักเขียนหน้าใหม่นามปากกาว่าอิสวารายาได้ถือกำเนิดขึ้นพร้อมๆกับนวนิยายรักอบอุ่นหัวใจเรื่อง ปลูกรักในรั้วใจ จำได้ว่าเมื่อ 9 ก่อนนั้นนวนิยายเรื่องยาวนี้เป็นที่นิยมของแฟนนักอ่านที่น่ารักหลายท่าน เนื้อเรื่องได้ดำเนินมาถึงตอนใกล้จบแต่ writer ก็หยุด update ต่อจนจบเนื่องจากเกิดเหตุคอมพิวเตอร์ขัดข้อง เนื้อหาที่เป็นต้นฉบับไม่สามารถเรียกมาได้ ก็เลยหมดกำลังใจที่จะนั่งพิมพ์ใหม่ เนื้อเรื่องที่ได้ post ไว้ทั้ง 3 pages (Dek-D, Bloggang, Jamsai) ก็ไม่เหมือนฉบับ rewrite ที่ได้วางพลอตเอาไว้จนถึงตอนอวสาน พอทิ้งไปนานๆเข้าก็เริ่มไม่มีเวลาเพราะยุ่งกับงานรวมถึงการศึกษาต่อ

จนกระทั่งวันนี้ ผ่านไปแล้ว 9 ปี ก็คิดถึงปลูกรักในรั้วใจขึ้นมา เลยลอง search ใน google ก็ยังพบว่าปลูกรักในรั้วใจยังคงอยู่ ประกอบกับมีนักอ่านบางท่านยังคงมา comment อยู่ อิสวารายาก็รู้สึกผิดและคิดว่าควรจะสานต่อปลูกรักในรั้วใจให้สมบูรณ์เสียที ให้สมกับที่แฟนนักอ่านรอคอยให้น้องพลูกับพี่ชลกลับมา ดังนั้นจึงนั่ง copy เนื่อเรื่องจากเวบเอามาเขียนใหม่ โดยอิสวารายาเริ่มหยิบเนื้อหามาค่อยๆ rewrite ใหม่ตั้งแต่เดือน พ.ย. 58

น้องพลูกับพี่ชลกำลังจะกลับมา พร้อมกับเนื้อหาที่ปรับแต่งใหม่ให้เข้ากับยุคสมัย นอกจากนั้นยังพิ่มบท ตัวละคร เพื่อให้มีอรรถรสมากขึ้น

นวนิยายเรื่องนี้จะได้รับการตีพิมพ์หรือไม่นั้นไม่สำคัญ แต่อิสวารายาคิดถึง น้องพลู พี่หมากและพี่ชล และต้องการให้พวกเขากลับมา มาร่วมสร้างความรัก ความอบอุ่น กับนวนิยายรักน่ารักเรื่องนี้กันใหม่อีกครั้งนะคะ

รักและคิดถึงที่สุด
อิสวารายา
20 ก.พ. 2559
New Comments
  •  Bloggang.com