(ตอนพิเศษสุดริมรั้ว) ภูเคียงดาว_ครึ่งหลัง


      ตอนพิเศษ ภูเคียงดาว_ครึ่งหลัง
             งานเลี้ยงฉลองรับปริญญาของแทนดาวเป็นไปอย่างอบอุ่นที่ภัตตาคารอาหารจีนของบุรนันท์หรือเฮียเบิ้มเฮียเบิ้มใจดีเปิดห้องจัดเลี้ยงชั้นสองจัดงานให้น้องสาวเต็มที่แถมยังลงมือทำอาหารทุกชนิดเองมีซุ้มลูกโป่งกับซุ้มดอกไม้ไว้ให้ถ่ายรูปด้วย บนโต๊ะตัวใหญ่มีกล่องของขวัญหลายกล่องวางรวมกับช่อดอกไม้หลากแบบหลายสีสันบัณฑิตใหม่กำลังสนุกสนานกับการแกะของขวัญโดยมีเด็ก ๆ คอยนั่งลุ้นตาแป๋ว ผู้อาวุโสกับบรรดาเฮียทั้งสี่ให้สตางค์กล่องที่อชิตะให้มาเป็นกระเป๋าผ้าพิมพ์ลายลิ่มเปียโนสีดำสลับขาวทั้งใบ รมย์นลินให้ชุดครีมบำรุงผิวยี่ห้อหนึ่งส่วนกล่องใบใหญ่อีกใบส่งมาจากปลายเดือน เป็นกระเป๋าถือทำจากหนังสีส้มอิฐยี่ห้อดังที่สาวสังคมมักนิยมหิ้วกัน

“ว้าว...นี่มันเบอร์กิ้น ถ้าวันไหนหิ้วเบื่อแล้วโละให้ขวัญนะ” แทนขวัญทำตาโตกับของขวัญชิ้นนี้

“ไม่มีทาง เมื่อสองปีก่อนไปฝรั่งเศสกับพี่ผึ้งกว่าเจ๊แกจะได้ซื้อกระเป๋านี่นะ...ต้องเทียวเข้าเทียวออกไปตีสนิทกับคนขายอยู่สามวันถึงยอมหยิบออกมาขายให้”

“แหม...พี่พลูไม่รู้อะไร ช้อปที่โน่นไม่ปล่อยกระเป๋ารุ่นนิยมกันง่ายๆ หรอก ถึงจะมีเงินแต่ก็ใช่ว่าจะได้ซื้อ เขาต้องเล่นตัวจนมั่นใจว่าคนซื้อไฮโซจริงแล้วก็จะไม่เอาไปขายต่อเหมือนของมือสองตามตลาดนัด”

“เอางี้...ถ้าขวัญเรียนจบกลับมาพี่จะซื้อให้นะแต่...คงไม่ใช่รุ่นแพงขนาดนี้หรอก”

“ขวัญพูดเล่นหรอกค่ะระหว่างกระเป๋ากับกล้อง...ขวัญเลือกกล้องดีกว่า กระเป๋าใช้หิ้วไปหิ้วมาโก้ ๆแค่นั้นแต่กล้องใช้เก็บภาพความทรงจำดี ๆ ได้ด้วย”

“น้องพลู...มานี่สิลูก”

แทนดาวเก็บกระเป๋าลงกล่องอย่างเดิมแล้วเดินไปหามารดา คุณดวงทิพย์รุนหลังบุตรสาวให้นั่งลงข้างๆ คุณวารี สาวน้อยนั่งเอามือประสานกันตักอย่างเรียบร้อย หลังตรง ค้อมศีรษะนิด ๆ ดูมีมารยาทงามตาอย่างคนที่ได้รับการอบรมมาอย่างดี

“ขอมือหน่อยสิจ๊ะ”

แทนดาวยื่นมือข้างเดียวกับที่สวมกำไลหยกที่อาม่ามอบให้เป็นของขวัญคุณวารีหยิบวัตถุบางอย่างจากถุงผ้ากำมะหยี่ออกมา เป็นสร้อยข้อมือประดับมรกตน้ำงามเจียระไนเป็นรูปหยดน้ำเล็กๆ เรียงแถวกันตลอดสาย แต่ละเม็ดล้อมด้วยเพชรสีขาวเนื้อสะอาดใส นางบรรจงสวมใส่ข้อมือนุ่มนิ่มของสาวน้อยหากจะมองผิวเผินก็เหมือนก็ผู้ใหญ่ให้ของลูกหลาน แต่ผู้อาวุโสที่นั่งรายล้อมรอบ ๆต่างก็ทราบถึงนัยยะที่ซ่อนอยู่ สะใภ้ของคุณหลีคนหนึ่งแอบกระซิบกระซาบกับสะใภ้อีกคน

“ดูสิ...ของกำนัลเลอค่ารับขวัญว่าที่ลูกสะใภ้”

“ของขวัญสำหรับบัณฑิตใหม่ มรกต...อัญมณีของคนที่เกิดเดือนพฤษภาเขาว่าคนเกิดเดือนนี้เป็นคนอัธยาศัยดี เป็นศิลปินรักดนตรี มีจิตใจเข้มแข็ง มรกตจะช่วยเสริมให้หนูมีแต่ความอุดมสมบูรณ์ร่ำรวย มีอำนาจปกป้องคุ้มครองให้พ้นจากสิ่งชั่วร้ายต่าง ๆ ได้”

“ขอบคุณค่ะ...อาวารี” แทนดาวนบไหว้อย่างนอบน้อมของขวัญมูลค่าสูงเช่นนี้ย่อมทำให้เกิดความเกรงใจที่จะรับไว้ แต่พอหันไปมองก็พบว่าคนอื่นๆ รวมทั้งคุณพ่อ คุณแม่ หรือแม้ชลธีต่างก็พึงใจที่เป็นเช่นนี้

“ต๊าย..ยังจะเรียก...อา...อยู่อีกต่อไปนี้ต้องเรียกว่า...แม่...นะคะ”

แทนดาวมองไปทางพี่ชายอย่างขอความเห็นและเมื่อฝ่ายนั้นพยักหน้าเห็นด้วย สาวน้อยก็เอ่ยปากชัดถ้อยชัดคำ

“ค่ะ...คุณแม่”

เสียงหัวเราะดังขึ้นรอบวง หญิงสาวรู้สึกกระดากอายเมื่อทุกคนจับจ้องมองปฏิกิริยาของตนยิ่งพอเห็นสายตาคมวับจากใครบางคนก็เริ่มร้อน ๆ หนาว ๆ ในดวงตาสีเหล็กฉายประกายความพึงพอใจแจ่มแจ้ง

พออิ่มหนำสำราญกับอาหารรสเลิศดีแล้วก็ต่อด้วยบรรยากาศสนุกสนานครื้นเครงกับการขับขานบทเพลง พวกเด็ก ๆวิ่งเล่นไล่จับกันสนุกสนาน พวกสุภาพบุรุษจับกลุ่มถองน้ำเมาส่งเสียงเฮฮา อชิตะก็ร่วมวงอยู่ในนั้นด้วยแต่โดยพื้นแล้วไม่ใคร่ถนัดเรื่องดื่มกินสังสรรค์จึงจิบไปสองแก้วพอเป็นพิธีต่างจากเฮียสี่ บ. กับสองคู่ดูโอที่ดวดกันแก้วต่อแก้วยิ่งเทียมภพแล้วต้องเรียกว่าซดโฮกหมอหนุ่มปลีกตัวไปยังหญิงสาวในเครื่องแต่งกายทะมัดทะแมงที่กำลังดูรูปภาพจากกล้องคู่ใจสีหน้าและท่าทางกระตือรือร้นอยู่ตลอดเวลาเรียกรอยยิ้มจากคนมองได้แทบจะทันที

“เหนื่อยไหมครับ”

เสียงทักเรียบ ๆหากแต่เจือด้วยความห่วงใยบาง ๆ ทำให้แทนขวัญต้องวางกล้องในมือลงเงยหน้ามามองคู่สนทนาใบหน้าสะอาดสะอ้านดูออกสีแดงเรื่อหน่อย ๆ จากฤทธิ์แอลกอฮอล์ที่ดื่มเข้าไป โดยเฉพาะบริเวณไรคางลงไปถึงลำคอหญิงสาวขยับตัวไปชิดโซฟาอีกด้านเพื่อเว้นที่ให้เขานั่งลงบนโซฟาตัวเดียวกัน

“ไม่เท่าไหร่หรอกค่ะ เคยเจองานถ่ายพรีเว้ดดิ้งยิ่งกว่านี้อีกทั้งร้อน...ทั้งเหนียว”

“เห็นบอกว่ารับจ๊อบด้วยนี่น้องขวัญถนัดถ่ายภาพแนวไหนกันล่ะ” อชิตะชวนคุยด้วยท่าทีสบายๆ กอปรกับสรรพนามบุรุษที่สองเรียกคู่สนทนาว่า ‘น้องขวัญ’ ทำให้คนฟังรู้สึกผ่อนคลายขึ้น ตอนแรกคิดว่าคุยกับแพทย์จะมีแต่เรื่องเครียดเหมือนเวลาไปโรงพยาบาล

“ถ่ายได้หมดค่ะ แต่ที่ถนัดแล้วก็ทำผลงานได้ดีต้องเป็นภาพพอทเทรทค่ะถ่ายภาพนิ่งบุคคล ถ่ายนางแบบ หรือวัตถุ ฟังดูเหมือนง่ายนะคะ...ถ่ายภาพนิ่งกับคนเนี่ยแต่สำหรับขวัญแล้วยากที่สุด ยากมาก เพราะภาพแบบนี้ไม่ใช่สักแต่ว่าถ่ายออกมาแล้วภาพสวยอย่างเดียวแต่ต้องถ่ายทอดอารมณ์ ความรู้สึกออกมาด้วย ตอนนี้ขวัญฝึกงานอยู่กับพี่ช่างภาพคนนึงคุณหมออชิต้องเคยได้ยินชื่อแน่นอนค่ะ พี่คนนี้ถ่ายภาพคนดังในแวดวงบันเทิง...”

หญิงสาวบอกชื่อช่างภาพผู้มีชื่อเสียงคนนั้นด้วยความชื่นชมเสียงแจ๋ว ๆ ทำให้คนฟังเพลิดเพลินจนลืมว่าตอนนี้กำลังจับจ้องสาวน้อยไม่วางตาสองมือขาวสะอาดเปลี่ยนจากสานกันบนตักในตอนแรกมาเป็นวางพาดเหยียดยาวไปตามขอบโซฟาสองขายืดออกไปข้างหน้าจนไม่เหลือเค้าของคุณหมอเจ้าของบุคลิกนิ่มนวล

“ฟังดูน่าสนุกดี ถ้าผมมีงานมาเสนอ...น้องขวัญจะสนใจไหมที่โรงพยาบาลกำลังจะทำปฏิทินฉลองสามสิบปี ตอนนี้ก็กำลังติดต่อช่างภาพอยู่ไม่รู้ว่าน้องขวัญอยากรับงานนี้หรือเปล่า ค่าจ้างอาจจะไม่มากเท่างานที่ทำอยู่นะ”คำบอกเล่าของหมอหนุ่มทำให้คนฟังตาลุกวาวขึ้นมาทันที ความกระตือรือร้นแสดงออกมาอย่างวัยรุ่นไฟแรงที่ตื่นตัวอยู่เสมอ

“สนใจสิคะ ขวัญไม่คิดมากหรอกว่าจะได้ค่าตอบแทนกี่มากน้อยงานฟรียังเคยรับเลยค่ะ สมัยเรียนก็มีรับงานเล็ก ๆ อย่างวันเกิดคนนั้นคนนี้ งานบุญงานบวชถือว่าสะสมประสบการณ์เก็บโปรไฟล์ไปก่อน”

“มีความคิดดี ๆ แบบนี้ อีกหน่อย...ก็คงจะได้เป็นช่างภาพมีชื่อเสียงไม่แพ้พี่คนนั้นแน่”

“ยังอีกไกลค่ะขวัญต้องเรียนรู้อีกเยอะ ว่าแต่...คุณหมออชิรักษาคนไข้ในโรงพยาบาลเคยเจอผีหรือเรื่องลี้ลับอะไรไหมคะ”

หมอหนุ่มหัวเราะกับคำถามนี้ด้วยหน้าที่การงานที่ต้องพัวพันกับคนเกิด แก่ เจ็บ ตาย ไม่เว้นแต่ละวันก็เลยยุ่งมากจนไม่มีเวลากลัวทั้งยังชาชินกับการทำงานในยามวิกาลเพียงคนเดียวจนบางครั้งก็ไม่แน่ใจว่าแยกแยะคนเป็น ๆ กับภูตผีวิญญาณออกจากกันได้หรือไม่

“ถามเหมือนใบพลูเลยนะครับ ผมไม่เคยเจอสักทีหรือว่าเจอแต่ไม่รู้ว่าเป็นผีหรือเปล่า แต่ประเภทมาแลบลิ้นปลิ้นตาเหมือนในหนังน่ะ...ไม่มีหรอก”

แทนขวัญหัวเราะแก้เก้อแล้วเผลอยกมือลูบเส้นผมที่ตอนนี้ปล่อยสยายเคลียหลังล้อมรอบกรอบหน้าเรียวให้ดูหวานน่ามองยิ่งขึ้นลักษณะนี้สร้างความประทับใจให้คู่สนทนาอยู่ไม่น้อย ถึงสาวน้อยจะมีความเป็นตัวของตัวเองสูงแต่ก็ยังแฝงลักษณะอ่อนหวานของสตรีทั่วไปที่พึงเป็น

“คุณหมออารมณ์ดีจัง ทีแรกนึกว่าจะมีแต่เรื่องวิชาการอยู่อย่างนี้แล้วดูไม่เหมือนคุณหมอเลยนะคะนี่ถ้าไปอยู่เกาหลีก็คงได้เล่นซีรีย์ไปแล้ว”

“เสียอย่างเดียว...ผมเล่นละครไม่เป็นอ้อ...อาจจะมีบทเหมาะ เช่น เล่นเป็นคนใบ้หรือเป็นตัวอะไรก็ได้ที่ไม่ต้องมีบท

พูดคุยกับน้องขวัญนี่สนุกจัง จากมึน ๆ อยู่เมื่อกี้ก็ตาสว่างเลย อยู่ด้วยแล้วสบายใจนะ” อชิตะหัวเราะเบา ๆ น้ำเสียงครึกครื้นหากแต่วลีสุดท้ายฟังดูคล้ายจะทิ้งนัยยะอะไรบางอย่างแต่แทนขวัญก็ไม่ทันได้คิดอะไรเมื่อเขาลุกขึ้นยืนแล้วเปลี่ยนไปคุยเรื่องอื่นกะทันหัน

“เรื่องถ่ายปฏิทิน...ผมจะพาไปคุยรายละเอียดที่โรงพยาบาลพรุ่งนี้น้องขวัญสะดวกไหมครับ...สักสิบโมง คุยเสร็จแล้วก็จะได้ไปกินข้าวกลางวันต่อ”

“เอ่อ...ขวัญว่างอยู่แล้วล่ะค่ะแต่คุยงานอย่างเดียวก็น่าจะพอ ขวัญไม่อยากรบกวนเวลาของคุณหมอ”

“ไม่รบกวนหรอกครับ”

“แต่...” หญิงสาวรู้สึกเกรงใจจริงๆ ที่เขามาเป็นธุระปะปังในกิจของตน

“น้องขวัญ...รู้ไหมว่าเวลาผู้ชายชวนไปกินข้าวนั่นหมายความว่าเขาอยากทำความรู้จักเราให้มากกว่านี้ อย่าปฏิเสธเลยครับ...มันไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไรตกลงนะครับ...พรุ่งนี้สิบโมงผมไปรับที่บ้าน”

“ไม่ต้องหรอกค่ะ... ขวัญรู้จักโรงพยาบาล”

“ได้ยังไงล่ะ ผู้ชายที่ไหนกัน...ชวนสาวไปออกเดทแต่ไม่บริการแบบนั้นใช้ไม่ได้นะครับ”

แทนขวัญมองตามหมอหนุ่มที่เดินไปลาผู้อาวุโสแล้วขอตัวกลับไปด้วยความรู้สึกหลากหลายพยายามเรียบเรียงคำพูดที่ได้รับฟังเมื่อครู่ ไม่รู้ว่าควรจะรู้สึกอย่างไรระหว่างดีใจที่มีงานแถมยังมีคนเลี้ยงข้าว หรือตะขิดตะขวงใจกับคำพูดปะแล่ม ๆของหนุ่มมาดเนิร์ดคนนี้

วันรุ่งขึ้นอชิตะมาตรงเวลาเป๊ะแต่แทนขวัญยังแต่งตัวไม่เรียบร้อย หญิงสาวมองเสื้อผ้าหลายชุดที่วางเรียงกันบนเตียงอย่างตัดสินใจไม่ถูกว่าจะต้องแต่งกายอย่างไรถ้าอยู่ที่บ้าน มารดาก็เป็นคนจัดการให้ แทนดาวก็ออกจากบ้านไปซ้อมคอนเสิร์ตแต่เช้าส่วนรมย์นลินพี่สะใภ้ก็ลงไปดูแลคุณย่าตามกิจวัตรประจำวัน

“น้องขวัญ...คุณหมออชิมาแล้วนะคะพี่ให้รอที่ห้องนั่งเล่น กำลังคุยกับคุณย่าไปพลาง ๆแล้วนั่น...ยังไม่แต่งตัวอีกเหรอจ๊ะ” รมย์นลินมาตามน้องสาวก็เห็นว่ายังสวมเสื้อคลุมผ้าขนหนูอยู่

“ขวัญไม่รู้จะใส่ตัวไหนปรกติออกจากบ้านก็เสื้อยืดกางเกงยีนส์แค่นั้น”

“ไปกับคุณหมอ...พี่หมายถึงจะไปพบผู้ใหญ่ควรสวมเสื้อสีสุภาพหน่อย วันนี้ยังไม่ได้ออกภาคสนามไม่ใช่เหรอ ? พี่ว่าสวมกระโปรงจะดีกว่า เดี๋ยวพี่หาชุดสวย ๆของน้องพลูมาให้ แล้วก็แต่งหน้าเสียหน่อยให้ดูมีสีสันขึ้น”

รมย์นลินย์ยิ้มน้อย ๆ เมื่อเข้าใจปัญหาของน้องสาว ประกายแย้มยิ้มนั้นซ่อนความหมายบางอย่างแทนขวัญมองตัวเองในกระจกแล้วเริ่มลงมือแต่งแต้มสีสันบนใบหน้าถึงการจับแปรงพู่กันจะไม่ถนัดเท่าจับกล้องแต่ด้วยความเป็นผู้หญิงก็เลยพอทำเป็นอยู่บ้าง

“ทำไมมันฟูฟ่องแบบนี้ล่ะคะพี่แฟง ขวัญไปคุยงานเท่านั้นเองนะคะแล้วต้องใส่ไอ้นี่ด้วยเหรอ” แทนขวัญออกอาการแสยงนิด ๆเมื่อเห็นชุดที่พี่สะใภ้หยิบมา คิดว่ามันออกจะ ‘มากไป’ สักหน่อย ไหนจะที่คาดผมโบผ้าสีฟ้าประดับอีกชิ้น

“ก็จะได้เข้าชุดกันไงคะ สวมเสื้อสีครีมทับด้วย ดูน่ารักเหมาะกับการไปออกเดทเลยค่ะ”

“เอ๊ะ...ขวัญไปคุยงานนะ อย่าเข้าใจผิดสิคะ” แทนขวัญรีบแย้ง

“นั่นล่ะค่ะ ไปพบผู้ใหญ่แต่งตัวเรียบร้อยถูกกาลเทศะเข้าไว้ดีกว่าไหน...พี่หวีผมให้นะ”

รมย์นลินจัดแจงแต่งตัวให้น้องสาวเสร็จในเวลาไม่นานแทนขวัญรู้สึกเหมือนขาจะก้าวไม่ค่อยไปเมื่อถูกสายตาทอแสง

อ่อนโยนหลังกรอบแว่นจับจ้องตั้งแต่ประตูจนมานั่งลงใกล้ๆ กัน

“ทำตัวดี ๆ ล่ะเจ้าขวัญอย่าก่อเรื่องให้คุณหมอเขา เจ้าขวัญกับเจ้าพลูเหมือนกันอยู่อย่าง...ทำอะไรหยิบโหย่งกระดกกระด้นโด่ ฝากคุณหมอดูแลด้วยนะ”คุณลำเภาฝากฝังหลานสาวกับหมอหนุ่มที่ค้อมศีรษะรับปากเป็นมั่นเหมาะ

“รับรองว่าจะดูแลอย่างดีครับ”

พออยู่ด้วยกันบนรถตามลำพัง แทนขวัญก็พยายามทำตัวให้หดลีบที่สุดบอกไม่ถูกว่ารู้สึกอย่างไร ณ ตอนนี้ สายตาราบเรียบหลังกรอบแว่นของอชิตะทอดมองคนข้างๆ นิ่งอยู่ชั่วขณะ สีหน้าระบายรอยยิ้มเสริมให้ใบหน้าสะอาดสะอ้านแลดูอ่อนเยาว์ขึ้น

“วันนี้ดูเป็นผู้หญิงจังเลยนะครับ”

คำทักทายประโยคแรกทำให้คนให้ฟังตึงขึ้นมาเล็กน้อยแทนขวัญไม่รู้หรอกว่าผู้ชายควรจะต้องใช้คำพูดอย่างไรในการเริ่มบทสนทนากับผู้หญิง แต่ที่แน่ๆ ประโยคเมื่อกี้มันฟังไม่ค่อยรื่นหูนัก

“วันอื่นดูเป็นผู้ชายเหรอคะ ถึงขวัญจะชอบแต่งตัวเซอร์ ๆ แต่ก็ไม่ได้เป็นทอมนะ”

“ผมก็ไม่ได้หมายความอย่างนั้นนี่ครับ อย่าทำหน้างอสิ ก็วันนี้ดูแปลกตาไปเปลี่ยนแนวจากตากล้องกระฉับกระเฉงเป็นเจ้าหญิงผู้เลอโฉมก็เลยไม่ชินตาไอ้ครั้นจะชมว่าสวยตรง ๆ ก็กลัวน้องขวัญจะหาว่าผมเกี้ยว”

“คนเป็นหมอเนี่ย...พูดอะไรเข้าใจยากจังนะคะ”หญิงสาวค้อนหน้าหงิก จะชมว่าสวยก็บอกตรง ๆ ไม่ได้เสียทีเดียว ต้องพูดวกอ้อมให้ต้องย้อนกลับมาตีความกันทีหลัง

“งั้นพูดตรง ๆ ก็ได้ วันนี้น้องขวัญสวยจังขอบคุณนะครับ...ที่แต่งตัวสวย ๆ ออกมากับผม”

ในเนื้อเสียงอ่อนโยนแฝงรอยประทับใจของคนพูดทำให้คนถูกชมรู้สึกขนลุกซู่นัยน์ตาดำขลับแอบชำเลืองมองมองซีกหน้าคนข้าง ๆ แล้วความขัดเขินบวกประหม่าก็บังเกิดขึ้นจนหันต้องหันมองออกไปนอกหน้าต่างทั้งคู่ไม่พุดอะไรกันอีกจนมาถึงโรงพยาบาลประชาเวช สายตาหลายคู่จากพยาบาลและแพทย์ด้วยกันมองมาแปลกๆ จนหญิงสาวยิ่งรู้สึกอึดอัด การเดินเคียงข้างบุรุษที่ทรงความภูมิฐานเช่นนี้ทำให้อยากจะแปลงร่างเป็นแมลงวันบินตามเขาไปเสียยังจะดีกว่า

“คนนี้น่ะเหรอ ?”

แทนขวัญได้ยินเสียงใครคนหนึ่งพูดไล่หลังมาหลังจากที่แวะทักทายกลุ่มพยาบาลตรงจุดประชาสัมพันธ์ความข้องใจเกิดขึ้นจนอดไม่ได้จะรั้งแขนหมอหนุ่มให้หยุดคุยกันก่อน

“พวกเขามองขวัญแปลก ๆ ค่ะ ขวัญรู้สึกแบบนั้น”

“ไม่มีอะไรหรอกนะ พี่ ๆ เขาคงตกอกตกใจกันเล็กน้อย เพราะผมไม่เคยพาใครมาที่นี่เลยไม่เคยเดินกับใครนอกจากญาติกับคนไข้ แต่ต่อไป...เขาก็จะได้เห็นจนชิน” อชิตะพูดเนิบๆ ตามแบบฉบับ สายตาอบอุ่นบวกน้ำเสียงอ่อนโยนพูดให้กำลังใจแต่ก็ทำให้คนฟังหน้าร้อน

“ไปต่อเถอะครับ ท่านรอง ผ.อ. รออยู่” ชายหนุ่มเดินนำไปขึ้นลิฟท์สำหรับเจ้าหน้าที่พอเดินผ่านวอร์ดก็ยังมีสายตาและเสียงทักทายไม่ขาด บางคนก็ใจกล้าก็ถามกันตรง ๆว่าพาใครมา อชิตะก็ตอบเพียงสั้น ๆ ประกอบรอยยิ้มสุภาพว่าเป็นช่างภาพ

ทั้งคู่เดินมาถึงห้องทำงานของของพบแพทย์หญิงท่านหนึ่งสตรีร่างเล็กบอบบางหน้าตาใจดีสวมแว่นตากรอบทองรีบละมือจากคอมพิวเตอร์เบื้องหน้ามาส่งยิ้มให้แล้วรีบเชื้อเชิญให้นั่งแทนขวัญแอบสังเกตว่าท่านรองผู้อำนวยการโรงพยาบาลมีใบหน้าที่ช่างละม้ายคล้ายกับอชิตะหลายจุดทีเดียว

“น้องขวัญ...นี่อาจารย์หมองามตา” หญิงสาวยกมือไหว้อย่างนอบน้อม

“สวัสดีจ้ะหนูขวัญ เป็นไงคะ..พี่อชิแกล้งอะไรหรือเปล่า”คำทักทายเป็นกันเองของแพทย์หญิงงามตาทำให้หญิงสาวรู้สึกสะดุดอยู่ในใจ ทั้งสรรพนามที่ใช้เรียกตนหรือเรียกบุตรชายก็ดีทำให้รู้สึกว่ารู้จักมักคุ้นกันมานานเหมือนญาติจนน่าแปลกใจ

“ทุกอย่างเรียบร้อยดีค่ะ...คุณหมอ”

“อุ๊ย...เรียกป้าดีกว่าจ้ะพี่อชิเล่าให้ฟังหรือยังว่าป้าเป็นคนทำคลอดพี่สาวหนู...ใบพลูน่ะค่ะ” ความรู้ใหม่ทำให้สาวน้อยต้องหันไปมองคนข้างๆ ที่ส่งยิ้มรออยู่ก่อนแล้ว อชิตะเลิกคิ้วน้อย ๆ เหมือนจะถามว่า

“แปลกใจไหมล่ะ”

“หนูไม่ทราบมาก่อนเลยค่ะ พี่ใบพลูก็ไม่เคยเล่าให้ฟัง”

“เอ...เห็นว่าจบการถ่ายภาพเหรอจ๊ะ ลูกสาวบ้านนี้เก่งศิลปะกันทุกคนเลยเนอะ”ท่านรองฯ ยังชวนคุยต่อด้วยท่าทางเป็นมิตร จนกระทั่งอชิตะเห็นว่าผู้อาวุโส ‘ซัก’ ผู้น้อยจนพอใจก็ขอตัวออกมา

“เดี๋ยวว่าง ๆ จะมาคุยใหม่นะครับขอพาน้องขวัญไปคุยงานก่อน”

เขาลุกขึ้นเป็นสัญญาณให้คนข้าง ๆลุกตามออกมา สายตาขี้สงสัยของแทนขวัญสะดุดเข้ากับกรอบรูปไม้ขนาดกลางบนตู้หนังสือข้างหลังโต๊ะทำงานในภาพเป็นรูปครอบครัวของแพทย์หญิงหน้ามหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในต่างประเทศ ชายหนุ่มที่อยู่ตรงกลางคืออชิตะในชุดครุยยืนกอดใบปริญญาบัตรทุกคนสวมแว่นสายตา พอออกมาจากห้องนั้นเลยอดไม่ได้ที่จะเหลียวกลับมาอ่านป้ายชื่อที่ติดไว้บนประตูบานเลื่อนว่ารศ. พญ. ดร. งามตา รัษฎากร

“เมื่อกี้ก็ลืมบอกเรื่องสำคัญไป อาจารย์หมอเป็นแม่ผมเอง”หมอหนุ่มชิงตอบข้อสงสัยในแววกังขาจากสายตาคู่นั้น เพียงเท่านี้แทนขวัญก็ถึงบางอ้อว่าทำไมท่านจึงเรียกตนอย่างสนิทสนมตอนนี้จึงมีอีกคำถามหนึ่งเกิดขึ้นในใจ

“เขาพาเรา...มาพบแม่ของเขาหมายความว่ายังไงกัน ?”

“ท่านดูใจดีจังเลยนะคะ”

“คุณแม่เป็นคนใจดีและใจเย็นเหมือนพี่นี่แหละ อ้อ...พี่ขอแทนตัวเองแบบนี้นะเพราะเมื่อกี้อาจารย์หมอยังให้น้องขวัญเรียกท่านว่าป้าเลย ส่วนน้องขวัญก็เรียกพี่ว่าพี่อชิด้วยนะ...จะได้สนิทสนมกันมากขึ้นที่พามานี่ก็อยากแนะนำให้คุณแม่รู้จักกับ...หลานสาวคุณอาเที่ยงธรรม”

คำตอบนั้นทำให้คนฟังแอบใจแห้งเหี่ยวอยู่นิดๆ ซึ่งแทนขวัญก็ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงต้องรู้สึกแบบนั้นด้วย แต่ถ้าจะคิดมากไปเองก็คงไม่งามนักอชิตะอาจจะแค่เห็นว่าหล่อนเป็นคนตระกูลทวีกิจเลยพามาแนะนำตัวพอเป็นพิธี หรือใจจริงแล้วอยากให้เขาแนะนำในฐานะอื่นมิใช่เพียงแค่คนรู้จัก

“แล้ววันนี้พี่อชิไม่ออกตรวจเหรอคะ”แทนขวัญถามต่อ

“วันนี้พี่ลาครับ ตั้งใจมาดูแลน้องขวัญเต็มที่”

“คะ แทนขวัญหยุดอยู่กับที่แล้วเอียงหน้ามองคนพูดเหมือนได้ยินไม่ค่อยถนัด

“ก่อนออกมาพี่บอกคุณย่าแล้วไงว่าจะดูแลน้องขวัญอย่างดีวันนี้พี่ก็เลยลางานมาไง เอาล่ะ..คราวนี้ไปคุยเรื่อง

งานจริงๆ สักที”

การเจรจาผ่านไปได้ด้วยดีและใช้เวลาไม่นานนักเพราะรูปแบบการถ่ายภาพก็เป็นแนวที่แทนขวัญถนัดอยู่แล้วจากนั้นทั้งคู่ก็ออกไปออกไปรับประทานอาหารที่ห้างสรรพสินค้าใกล้ ๆ เขาทำให้หญิงสาวประหลาดใจอีกหนตอนที่เลือกเข้าร้านอาหารเกาหลีเจ้าประจำที่ต้องแวะมาทุกครั้งเวลาลงมากรุงเทพแถมยังสั่งอาหารเมนูโปรดให้เสียด้วย

“พี่อชิทราบได้ยังไงคะ ? ว่าขวัญชอบกิน”

“หืม...บังเอิญจัง เห็นในรูปมันน่ากินดีก็เลยสั่งให้ไม่รู้ว่าเป็นของชอบของน้องขวัญ” สายตาอ่อนโยนหลังกรอบแว่นซ่อนรอยขบขันรอยยิ้มอบอุ่นระบายอยู่บนใบหน้ากระจ่างโดยไม่รู้ตัวยิ่งพอนึกถึงอุบัติเหตุที่ทำให้ได้รู้จักหล่อนในวันนั้นก็ยิ่งยิ้มกว้างขึ้น

“ขวัญคิดว่า...มันจะบังเอิญเกินไปหน่อยไหม” หญิงสาวก้มหน้าจิบน้ำชาเพื่อหลบสายตาแปลกๆ หลังเลนส์ใส

“เออนี่...พี่อยากได้กล้องตัวเล็กๆ ใช้งานง่ายสักตัว อีกสองเดือนต้องไปอบรมที่ต่างประเทศ กล้องที่ใช้อยู่มันใหญ่ไปพกไม่สะดวกน้องขวัญช่วยดูให้พี่หน่อยได้ไหมครับ” คำถามนี้ปลุกความกระตือรือร้นของคนที่นั่งเงียบราวมีใครไปกดเปิดสวิตช์แล้วจากนั้นบทสนทนาระหว่างมื้ออาหารก็มีแต่เสียงแจ๋ว ๆของแทนขวัญที่สาธยายรายละเอียดกล้องถ่ายรูปรุ่นต่าง ๆ ให้คู่สนทนาฟัง พอรับประทานเสร็จทั้งคู่ก็ไปเลือกดูกล้องโดยมีแทนขวัญเป็นผู้เชี่ยวชาญเลือกรุ่นที่ตอบโจทย์ความต้องการของหมอหนุ่มทุกประการ

“น้องขวัญ...เอาไอศกรีมไหมครับ” อชิตะถามอีกขณะกำลังจะเดินผ่านร้านไอศกรีมที่มีลูกค้าต่อคิวอยู่สี่ห้าคนร้านนี้ลูกค้าสามารถเลือกส่วนผสมเองได้ตามใจชอบ แทนขวัญพยักหน้าเร็ว ๆแล้วไปยืนต่อคิว พอถึงตาตัวเอง...ชายหนุ่มกลับสั่งแทนอย่างคล่องแคล่ว

“สตรอว์เบอรี่โยเกิร์ตท้อปปิ้งอัลมอนด์กับคาราเมล”

“โห...พี่อชิ...อย่าบอกนะคะว่าสั่งไปงั้นๆ แล้วบังเอิญตรงกับที่ขวัญชอบ” คนขี้สงสัยดักคอ

“แล้วน้องขวัญอยากให้มันเป็นความบังเอิญหรืออยากให้พี่รู้จริงๆ ว่าเราชอบหรือไม่ชอบอะไร”

“หมายความว่ายังไงคะ ?”

“ก็หมายความว่า ถ้าอยากให้รู้จริงๆ...ก็ต้องให้เวลาพี่ในการศึกษา น้องขวัญจะโอเคหรือเปล่าครับ”

คำถามทีเล่นทีจริงบวกกับประกายตาบางอย่างทำให้คนถูกถามอึ้งอีกรอบมือถือโคนไอศกรีมค้างอยู่ในท่านั้นขณะที่ในหัวเต็มไปด้วยคำถามมากมาย หญิงสาวจ้องมองอีกฝ่ายนิ่งนานเหมือนรอให้เขาทวนคำพูดอีกครั้งหมอหนุ่มไม่ว่าอะไรต่อนอกจากคว้าข้อมือข้างที่ว่างให้เดินต่อไป

“ขวัญเดินเองได้ค่ะ”แทนขวัญหยุดและพยายามปลดมือออก

“คราวก่อนน้องขวัญจูงมือพี่คราวนี้ขอทำหน้าที่นั้นเป็นการตอบแทนความมีน้ำใจเอื้อเฟื้อต่อคนสายตาสั้นนะครับพี่จะบอกอะไรให้อีกอย่างนะ...ทีแรกตั้งใจจะไปทำเลสิกให้สายตากลับมาปรกติ แต่พอคิดๆ ดูอีกทีแล้วเนี่ย...สวมแว่นแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน เผื่อวันไหนแว่นหายหรือหักอีกน้องขวัญจะได้จูงมือพี่แบบวันนั้นไง”

แทนขวัญได้แต่อ้ำอึ้งไม่คิดว่านายแพทย์มาดนิ่งจะมีกลเม็ดเด็ดพรายในการจีบสาวได้...จะว่าเนียนก็เนียนจะว่าเชยก็เชยสะบัดทีเดียว แต่อารมณ์ข้องใจที่เขา ‘บังเอิญ’ รู้รสนิยมส่วนตัวของตนยังคงค้างคาใจ หล่อนเชื่อว่าเรื่องนี้ต้องมีเงื่อนงำและต้องได้รับการพิสูจน์โดยเร็วดังนั้นก่อนกลับจึงแกล้งชวนเขาไปซื้อของที่มั่นใจว่าอีกฝ่ายไม่รู้แน่

“ขอแวะซื้อการ์ตูนแป๊บนึงนะคะเล่มใหม่วางแผงวันนี้พอดี”

“เรื่องอะไรเหรอ”ชายหนุ่มทำหน้าอยากรู้มากซึ่งก็เข้าทางคนพูด

“อ้าว ! ขวัญก็นึกว่า...บังเอิญ...พี่อชิจะรู้เสียอีก”

หญิงสาวแกล้งลงเสียงหนักขณะมองอีกฝ่ายอย่างกดดันเพื่อให้ตอบคำถามหมอแว่นทำท่าครุ่นคิดทบทวนอย่างหนักแล้วก็ส่ายหน้าอย่างจนปัญญาจริง ๆ

“เรื่องนี้พี่ยอมแพ้ มองข้ามไปได้ยังไง...น้องพลูก็ไม่ได้บอก”

“นึกแล้วเชียว พี่พลูนะ...พี่พลู!”

การถ่ายรูปในวันถัดมาดูเหมือนจะเรียบร้อยดีแต่ทว่ามีอุปสรรคเล็กน้อยแต่ก็หนักพอดูนั่นก็คือ ฝนเจ้ากรรมดันเทลงมาแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยแทนขวัญที่กำลังถ่ายภาพกลางแจ้งต้องหยุดทุกอย่างรีบวิ่งเข้ามาหลบในเพิงพักใกล้ ๆไอ้ครั้นจะวิ่งฝ่าสายฝนเข้าตึกไปก็ยากยิ่ง เพราะถ้ากล้องโดนฝนก็จะเสียหายหนักมากหญิงสาวพยายามเอาตัวบังกล้องถ่ายรูปสุดหวงไม่ได้โดนละอองน้ำ

“น้องขวัญ...พี่มารับแล้ว ”

เสียงตะโกนเรียกชื่อแข่งกับสายฝนทำให้แทนขวัญยิ้มอย่างมีความหวังอชิตะเดินกางร่มคันใหญ่ฝ่าสายฝนมายังเพิงพัก หญิงสาวถอดเสื้อแจ็คเก็ตหุ้มห่อกล้องแสนรักเอาไว้มิดชิดตัวเปียกไม่เป็นไร แต่กล้องห้ามมีอันเป็นไป

“มาอยู่ข้างหลังพี่...จะได้ไม่โดนสาด”

อชิตะเดินเยื้องไปข้างหน้านิดหน่อยใช้ร่างสูงบังตัวแทนขวัญไว้หญิงสาวกอดกล้องแน่นขณะเดินตามเขาอย่างใกล้ชิดน้ำฝนที่เจิ่งบนพื้นทำให้ลื่นจนเกือบเซ ดีที่เขาจับแขนไว้ได้แล้วเลยจูงมือเดินไปอย่างระมัดระวัง

“ขอบคุณนะคะ”แทนขวัญเอ่ยขอบคุณจากใจจริงที่เขาเสียสละเอาตัวบังละอองฝนให้จนตัวเองเปียกแทน อชิตะถอดแว่นตาที่มีหยดน้ำฝนมาเกาะมาเช็ดกับเสื้อเชิ้ตที่เปียกเป็นวงกว้าง

“ไม่เป็นไรครับพี่ห่วงว่ากล้องจะเสียหาย ได้ข่าวว่าแพงมากนี่...พี่คงจ่ายค่าซ่อมให้ไม่ไหว”ชายหนุ่มบอกยิ้ม ๆ พลางสวมแว่นตากลับที่เดิม แทนขวัญค้อนขวับ

“สงสัยคงไม่จบวันนี้แน่ค่ะ ฟ้ารั่วแบบนี้แสงไม่พอแน่ต้องรอลุ้นว่าฝนหยุดแล้วจะมีแดดไหม”

“ไม่เป็นไรหรอกครับมีเวลาเหลือเฟือ ฝนตกหนัก ๆ แบบนี้ทุกวันก็ดีเหมือนกัน ถึงงานไม่เสร็จ...แต่ก็ทำให้พี่ได้เจอน้องขวัญถี่ขึ้น” อชิตะพูดเรียบเรื่อย ไม่สนใจคนฟังว่าจะกระอักกระอ่วนกับคำพูดกำกวมมากน้อยเพียงใด

ในเมื่อฝนฟ้าไม่ใคร่เป็นใจงานถ่ายภาพจึงต้องยืดต่อเป็นวันที่สอง แทนขวัญถึงกับยกมือไว้ขอพรจากศาลพระภูมิว่าขออย่าให้ฝนตกและดูเหมือนว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็อำนวยพรตามคำขออย่างดีแดดใสเปรี้ยงตลอดวันเช่นนี้ย่อมเป็นสุดยอดปรารถนาของช่างภาพทุกคน

“ภาพสวยมากเลยน้องขวัญหามุมกล้องเก่งจัง ขนาดรูปถังขยะยังสวยเลย” อชิตะมายืนดูแทนขวัญเปิดดูภาพจากคอมพิวเตอร์พกพาคำชื่นชมแกมขบขันของหนุ่มมาดเนิร์ดทำให้เจ้าของผลงานต้องหันกลับมามองตาเขียว

“ขวัญลองวัดแสงต่างหาก...ไม่ได้ถ่ายจริง”พอพูดจบก็จามฟิดจนตัวโยก

“หวัดถามหาแล้วล่ะสิแต่ไม่น่าห่วง ฉีดวัคซีนสักเข็มก็หาย”

“ขวัญไม่ฉีดยานะ” หญิงสาวรีบออกตัวทำให้คนฟังหัวเราะออกมาเบาๆ

“น้องขวัญกับน้องพลูนี่กลัวทั้งเข็ม..กลัวทั้งผีเหมือนกันเลยนะว่าแต่วันนี้...พี่เหลือคนไข้นัดอีกคนเดียว เดี๋ยวจบเคสแล้วไปหาอะไรกินกันนะครับ”

“คงไม่ได้หรอกค่ะขวัญบอกที่บ้านว่าถ่ายรูปเสร็จจะกลับเลย ไม่ได้บอกว่าจะไปไหนต่อ...เดี๋ยวป้าทิพย์ดุเอา”

“ครับผม” หมอหนุ่มตอบรับเพียงสั้นๆ

แทนขวัญเอารูปให้เจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบโปรเจคเลือกจนพอใจก็เตรียมเก็บของกลับบ้านพอดีกับที่อชิตะเดินกลับเข้ามาในห้องพักแพทย์ที่อนุญาตให้หญิงสาวใช้เป็นห้องทำงานชั่วคราว

“ขวัญเสร็จงานแล้วนะคะพี่อชิ เหลือแค่แต่งภาพเสร็จแล้วจะเอาซีดีมาให้”

“จะรีบไปไหนล่ะจ๊ะไปกินข้าวกับป้าก่อนสิคะ เดี๋ยวให้พี่อชิไปส่ง”

ทีแรกหญิงสาวพูดโดยไม่หันกลับไปมองจึงไม่รู้ว่าอชิตะไม่ได้มาคนเดียวพอหันกลับมาก็ต้องรีบยกมือไหว้แพทย์หญิงงามตามารดาของเขาสตรีร่างเล็กยิ้มแย้มแจ่มใสใจดีจนแทนขวัญรู้สึกผิดที่ต้องตอบปฏิเสธ

“ขวัญต้องขอประทานโทษจริง ๆ ค่ะวันนี้เรียนคุณป้าว่าจะกลับบ้านทันทีพอถ่ายงานเสร็จขวัญไม่ได้บอกล่วงหน้าไว้ก่อนว่าจะไปไหน...เดี๋ยวท่านจะตำหนิเอาค่ะ”

“ไม่ต้องกังวลเรื่องนั้นเลยป้าโทรบอกคุณดวงทิพย์แล้วเมื่อกี้ว่าจะพาหนูขวัญไปกินข้าวด้วย ไปนะคะ...หมออชิจองโต๊ะไว้แล้วด้วย”

แทนขวัญมองหน้าอชิตะอย่างรู้ทัน ส่วนคนชวนก็ยิ้มอย่างสมหวังที่สาวน้อยไม่อาจปฏิเสธได้อีกต่อไปพอไปถึงร้านอาหารก็พบว่าไม่ได้มีแค่สามคนแต่ยังมีชายวัยเลยกลางคนมาด้วยแต่ไม่ว่าจะเป็นใครหญิงสาวก็ยกมือไหว้อัตโนมัติก่อนที่อชิตะจะแนะนำเสียอีก

“หลานสาวอาธรรมครับพ่อ...ชื่อแทนขวัญ”

“อ้อ...คนนี้นี่เอง ไหน...อชิเขาว่าหนูได้ทุนไปเรียนถ่ายภาพที่เมืองนอกเลยเหรอ”

คุณบันลือชัยมีท่าทางใจดีมากเช่นกันแล้วจากนั้นบทสนทนาสัพเพเหราก็ดำเนินไปเรื่อย ๆ โดยมีอชิตะคอยช่วยตอบคำถามเวลาที่หญิงสาวตื่นเต้นหรือประหม่าจนพูดไม่ออกแทนขวัญพยายามคิดกลาง ๆว่าที่เขาพามาพบครอบครัวอาจจะเป็นเพียงแค่ความสนิทสนมของผู้ใหญ่ มิใช่การ ‘ดูตัว’ หรือ ‘เปิดตัว’ อะไรทำนองนั้น ความคิดวอกแวกเล็ก ๆกลับทำให้เกิดริ้วความประหม่าบนวงหน้าเนียนอย่างช่วยไม่ได้ และมันก็ไม่พ้นสายตาคนละเอียดอย่างหมอหนุ่มไปได้

“ไม่ต้องเขินหรอกครับ ทำตัวสบาย ๆดูทีแล้วพ่อกับแม่พี่จะเอ็นดูน้องขวัญพอดู”

“รู้ได้ยังไงคะ...ว่าท่านเอ็นดู”

“คอยดูต่อไปสิ”

“อชิพาน้องขวัญไปเที่ยวบ้านบ้างสิลูกไปกินข้าวที่บ้านบ้าง อีกตั้งสองเดือนกว่าจะเดินทางไม่ใช่เหรอ”

แพทย์หญิงงามตาบอกลูกชายด้วยอาการยิ้มแย้มเต็มที่แล้วท่านทั้งสองก็ผลัดกันชวนคุยต่อเรื่อยๆ อชิตะเหลือบมองสาวน้อยที่นั่งฟังอย่างเรียบร้อยพร้อมกับขยิบตาสีหน้าสุภาพเรียบเรื่อยตอนอยู่โรงพยาบาลดูลิงโลดราวหนุ่มน้อยวัยใส

“เห็นไหมล่ะ”

นับจากวันนั้นดูเหมือนว่าหมอหนุ่มแว่นหนาคนนี้ได้เข้ามาอยู่ในวงเวียนชีวิตของช่างภาพสาวไปโดยปริยายเขาถามตัวเองหลายครั้งจนมั่นใจว่าแทนขวัญคือคนพิเศษ สตรีที่เขาพึงใจไม่ต้องมากด้วยคุณคุณสมบัติครบครันหรือความมีวัยวุฒิและคุณวุฒิเสมอกันแต่สิ่งสำคัญที่คน ๆ นั้นจะต้องมีคืออยู่ด้วยแล้วสุขกายสบาย ซึ่งแทนขวัญจะช่วยระบายชีวิตอีกมุมหนึ่งให้มีสีสันสดใสความร่าเริงและเป็นตัวของตัวเองเหมือนเส้นสีในสายรุ้งที่ดึงดูดให้เขาตกหลุมรักจนมิอาจปีนขึ้นได้อีกแล้ว

จนก่อนถึงวันเดินทาง ทั้งคู่ก็ไปรับประทานอาหารเย็นด้วยกันและนั่งฟังเพลงเป็นการเลี้ยงอำลาแทนขวัญรู้สึกใจหายที่จะไม่ได้เจอกันอีกนานนับปีแต่ก็พยายามฝืนยิ้มสดใส

“ขอบคุณที่มาส่งนะคะแล้ว...พรุ่งนี้พี่อชิจะไปส่งขวัญไหม”

“พี่จะไปส่ง”ชายหนุ่มตอบเสียงนุ่มแล้วเอื้อมมือไปหยับบางสิ่งจากที่นั่งด้านหลัง

“จำสิ่งนี้ได้หรือเปล่าครับ ตอนงานแต่งคุณหมากน้องขวัญลืมมันไว้กับพี่ ก็เลยเก็บเอาไว้เผื่อได้เจอเจ้าของอีก”

ในมือของเขาคือช่อดอกไม้เจ้าสาวแห้งกรอบจนเป็นสีน้ำตาลน้ำเสียงสุภาพอ่อนโยนและสายตาประหลาดล้ำลึกทอดมองสาวน้อยตรงหน้าอย่างมีความหมายจนแทนขวัญเริ่มใจสั่นรัวขึ้นเหมือนใครไปปรับปุ่มเพิ่มระดับนัยน์ตาสุกสกาวจ้องมองช่อดอกไม้แห้งกรอบที่แย่งมาได้เมื่อหลายเดือนก่อนอยู่นาน ถึงแม้ว่ามันจะเหี่ยวแห้งไปตามธรรมชาติแต่ว่าในความรู้สึก ณ ตอนนี้ สีสันของมันยังคงสดใส กลิ่นหอมอ่อน ๆยังคงโชยกรุ่นกำจาย ที่เขาว่า...ความรักเหมือนน้ำทิพย์ชโลมใจ ทำให้สรรพสิ่งดูงดงามและมีชีวิตชีวาไปหมดนั้นมันคือความรู้สึกที่เป็นอยู่ในขณะนี้หรือไม่

“ขวัญนึกว่าพี่อชิจะทิ้งไปแล้วซะอีกวันนั้นก็ลืมไปเสียสนิทเลย”

“พี่ทิ้งไม่ได้หรอกครับเพราะดอกไม้ช่อนี้เราถึงได้มาพบกัน รู้จักกันในวันนี้น้องขวัญยังจำคำถามของพี่ได้ไหม ที่ถามว่า...จะเต็มใจหรือเปล่าถ้าพี่จะขอเวลาในการศึกษาและทำความรู้จักตัวน้องขวัญให้มากกว่านี้”

มือขาวสะอาดวางทาบบนมือนุ่มที่กำช่อดอกไม้อยู่สัมผัสแผ่วเบาและอ่อนโยนนำพาความรู้สึกอบอุ่นอวลอยู่ในหัวใจดวงน้อย ดวงตาประกายลึกซึ้งสองคู่สบตากันนิ่งนานจนฝ่ายชายเริ่มเปลี่ยนอิริยาบถอชิตะดึงแว่นสายตาออกจากใบหน้าสะอ้าน เผยให้เห็นนัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มปราศจากสิ่งบดบังใบหน้าขาวสะอาดก้มต่ำลงมาทุกทีจนในที่สุดปลายจมูกใหญ่ก็แตะลงบนหน้าผากมนแผ่วเบาแทนขวัญตัวชา มือไม้เกร็งไปหมด รู้สึกร้อนผ่าวบริเวณที่ถูกสัมผัสยิ่งพอเงยหน้ามาประสานกับประกายตาระยับไร้กระจกเลนส์บังแบบนี้ก็ยิ่งใจหวิว

“ตกลงนะครับ ?”

“ไปศึกษาวิธีการใช้กล้องให้ปรุก่อนเถอะค่ะแล้วค่อยมาศึกษาตากล้อง”

แทนดาวนั่งดูน้องสาวจัดข้าวของชุดสุดท้ายลงกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ลักษณะซึมเซาเช่นนี้ชวนให้สงสัยว่าคนที่สนุกสนานเฮฮาน่าจะมีอาการดีอกดีใจหรือตื่นเต้นบ้างที่ต้องออกเดินพรุ่งนี้แล้วแต่ทว่าแทนขวัญยังคงเก็บข้าวของไปแบบเรื่อย ๆ เฉื่อย ๆ

“เช็คของดีแล้วนะน้องขวัญ แล้วก็รีบเข้านอนเถอะพรุ่งนี้ต้องออกแต่หัวเช้า”

“ถ้าลืมอะไรไว้ก็ฝากพี่พลูเก็บตกให้ด้วยก็แล้วกันพี่พลูจะไปเมื่อไหร่นะ”

“ก็กำหนดการเดิมแหละ ไป ๆ มา ๆเหลือพี่กับเฮียบุ้งไปกันสองคน พี่แฟงใกล้คลอดเต็มที พี่หมากเลยไปไม่ได้อ้อ...ว่าจะชวนพี่ผึ้งแวะไปหาน้องขวัญด้วยกัน” แทนดาวช่วยน้องสาวลากกระเป๋าเดินทางไปกองรวมกับใบอื่นๆ ตรงมุมห้อง

“พี่พลูว่าเฮียบุ้งจะขอพี่ผึ้งแต่งงานไหม”

“ไม่รู้สิแต่พี่ก็จะยุให้เฮียบุ้งขอ เดี๋ยวพี่ผึ้งเจอหนุ่มฝรั่งแล้วใจเขว”

“ไม่น่าเชื่อเลยนะคะ พี่ผึ้งกับเฮียบุ้ง...ต่างกันสุดขั้วยังลงเอยกันได้”น้ำเสียงของลูกผู้น้องฟังดูเบื่อหน่ายและตัดพ้ออยู่ตัวเองน้อย ๆจนคนฟังจับอาการได้และมั่นใจว่าคนพูดย่อมมีอะไรในใจแทนดาวดึงมือน้องสาวให้นั่งลงเพื่อที่จะได้พูดกันเปิดอกตามประสาผู้หญิง

“น้องขวัญ...พี่อชิจริงจังกับน้องขวัญมากนะแล้วเราล่ะ...รู้สึกยังไง”

มาถึงวันนี้แทนขวัญไม่อาจปฏิเสธตัวเองได้อีกแล้วว่าคิดกับหนุ่มมาดเนิร์ดพิเศษกว่าบุรุษคนอื่น แต่ความกังวลใจบางอย่างเป็นเครื่องกีดขวางจนไม่กล้าที่จะเปิดใจได้เต็มที่นักหญิงสาวพิจารณาแล้วว่า ช่างภาพกับแพทย์มันไม่น่าจะไปด้วยกันได้ อชิตะมีหน้าที่รับผิดชอบยิ่งใหญ่โดยไม่อาจละทิ้งส่วนแทนขวัญ...การถ่ายภาพคืองานที่ต้องการอิสระ สามารถท่องไปได้ในทุก ๆ ที่หล่อนคงไม่อาจขอให้เขาละทิ้งหน้าที่เพื่อออกตะเวนไปทั่วร้อยเอ็ดเจ็ดคุ้งน้ำด้วยกันความสัมพันธ์จึงควรสิ้นสุดเพียงเท่านี้ เมื่อหล่อนก้าวขึ้นเครื่องบินในวันรุ่งขึ้นทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นตลอดสองเดือนจะเป็นเพียงแค่ความทรงจำดี ๆ

“ขวัญก็อยากจะรู้สึกดี ๆกับพี่อชิให้มากกว่านี้ แต่พี่พลูก็เห็นไม่ใช่เหรอ...ว่าเราคงไปด้วยกันไม่ได้พี่อชิควรจะเจอคนที่สมน้ำสมเนื้อกันมากกว่านี้ขวัญไม่มีอะไรที่เหมาะกับเขาเลยนะคะ” แทนดาวบีบมือน้องอย่างให้กำลังใจกึ่งปลอบอย่างคนที่เข้าอกเข้าใจและผ่านประสบการณ์ที่คล้ายๆ กันมาก่อน

“น้องขวัญ...กว่าที่พี่กับพี่ชลจะลงเอยกันได้มันไม่ง่ายเลยนะ เราสองคนแตกต่างกันทั้งวัย งาน วิถีชีวิตและทัศนคติ ไม่มีอะไรเหมือนกันสักอย่างเดียวแต่เราเปิดใจที่จะเรียนรู้ซึ่งกันและกัน ใช้เวลาปรับจูนอยู่นานจนมันลงตัวอย่ากังวลในสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้นเลยนะ ลองศึกษากันไปเรื่อย ๆแล้วทุกอย่างมันจะเข้าที่เข้าทางของมันเอง”

สมาชิกครอบครัวส่วนหนึ่งมาส่งแทนขวัญที่สนามบินในตอนเช้ามืดแต่ทั้งหมดทั้งมวลก็ไม่อาจลดความกระวนกระวายใจของหญิงสาวได้เลย นัยน์ตาโตเจือรอยอ่อนเพลียมองหาคนที่สัญญาว่าจะมาส่งอยู่เป็นนานแล้วแต่ก็ยังไม่เห็นแวว

“เขาบอกขวัญว่าจะมา เมื่อวานนี้ก็รับปากดิบดีถ้ามีเคสด่วนก็น่าจะโทรมาบอกกันก่อน ไม่ใช่ให้รอแบบนี้”

“ใจเย็นก่อนสิจ๊ะพี่ว่าเขากำลังมา ยังมีเวลาเหลืออีกตั้งนานนะขวัญ พี่ว่า...ไปนั่งรอก่อนดีกว่า” แทนดาวปลอบน้องสาวที่เริ่มออกอาการโยเยหน้าบึ้งตึง มันทำให้นึกถึงตัวเองเมื่อก่อนที่ยังเอาแต่ใจไม่ยอมโตหวังว่าอชิตะจะช่วยกล่อมเกลาน้องสาวคนนี้ให้เป็นผู้ใหญ่ขึ้นเหมือนตัวเองที่เคยเข้าคอร์ส‘ดัดนิสัย’ของคู่หมั้น

“เอาค่าขนมติดกระเป๋าไปนะน้องขวัญ”เทียมภพยื่นธนบัตรปึกหนึ่งให้น้องสาวแล้วดึงตัวมากอดหลวม ๆ

“ขอบคุณค่ะพี่หมากอย่าลืมพาหลานไปหาขวัญด้วยนะคะ”

“โชคดีนะขวัญ...เอ่อ...พี่อชิคงติดเคสสำคัญจริงๆ แต่พี่เชื่อว่าเขาต้องรีบติดต่อน้องขวัญกลับแน่ ๆเดี๋ยวนี้การสื่อสารสะดวกสบายจะตาย อยู่คนละซีกโลกยังคุยเห็นหน้ากันได้เลย”แทนขวัญยิ้มเจื่อน ๆให้พี่สาวแล้วทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ เวลาผ่านไปจนหญิงสาวต้องล่ำลาครอบครัวเข้าไปรอในห้องบอร์ดดิ้งร่างสูงระหงเดินไหล่ห่อผ่านประตูไปด้วยท่าทีหงอยเหงา ไม่มีใครได้ทันเห็นว่านัยน์ตาดำขลับคู่นั้นมีน้ำใสเอ่อคลอความน้อยใจซึมแทรกเขาไปทั่วทุกอณูขุมขน

เสียงประกาศเรียกชื่อผู้โดยสารให้ขึ้นเครื่องดังเป็นครั้งที่สองเตือนให้แทนขวัญต้องขยับกายลุกขึ้นอย่างคนไร้เรี่ยวแรงการนั่งรอแล้วรอเล่าจนนาทีสุดท้ายไม่เกิดประโยชน์อันใด ไม่มีแม้แต่โทรศัพท์มาล่ำลาหญิงสาวเก็บเป้ใบเล็กบนชั้นวางเหนือศีรษะแล้วนั่งประจำที่อย่างหงอย ๆ ที่นั่งชั้นธุรกิจกว้างและสะดวกสบายแต่กระนั้นก็รู้สึกรำคาญผู้โดยสารที่เพิ่งมานั่งข้างๆ มองจากหางตาน่าจะเป็นคนไทยด้วยกันที่ขยับขยุกขยิกหญิงสาวเบียดตัวเองไปชิดขอบหน้าต่างหนีความรำคาญ แต่คนข้าง ๆก็ยังเอื้อมมือข้ามหน้ามาดึงม่านหน้าต่างลง

“เอ๊ะ...คุณเขาให้เปิดหน้าต่างตอนเครื่องเทคออฟนะคะ” หญิงสาวตำหนิชายที่นั่งข้าง ๆอย่างเหลืออด

“ขอโทษครับ...แต่ผมยังไม่อยากเห็นอะไรข้างนอกในตอนนี้”เสียงนุ่มและอ่อนโยนอันคุ้นเคยทำให้แทนขวัญต้องหันขวับมามองคนพูดแล้วรีบยกมืออุดปากตัวเองกลั้นเสียงอุทานที่อาจเผลอตะโกนออกมาผู้โดยสารคนข้าง ๆ ที่ทำตัวน่ารำคาญเต็มประดาคือชายหนุ่มแว่นหนาที่กำลังยิ้มอย่างร่าเริง

“พี่อชิขึ้นมาบนนี้ได้ยังไง” แทนขวัญพยายามกดเสียงให้เบาที่สุดความตื่นเต้นยังฉายชัดทั้งสีหน้าและแววตา

“อ้าว...พี่ก็เป็นผู้โดยสารเหมือนกันนี่”

“แต่...พี่อชิบอกว่าจะมาส่งแล้ว...เป็นผู้โดยสารนี่หมายความว่ายังไงคะ”

“พี่บอกว่าจะไปส่ง...ก็หมายถึงไปส่งถึงที่เลย ถือโอกาสเที่ยวพักผ่อนไปด้วยไปอเมริกามาก็ตั้งหลายรอบแต่ยังไม่เคยไปแมนเชสเตอร์เลย”อชิตะยิ้มกว้างขึ้นขณะตอบข้อสงสัย

“แล้วพี่อชิรู้ได้ยังไงว่าขวัญไปเที่ยวบินนี้ที่นั่งตรงนี้...นี่อย่าบอกนะว่า...”

“น้องพลูเนี่ย...เธอหวังดีกับน้องขวัญมากนะครับกลัวจะเจ็บป่วยระหว่างเดินทางก็เลยอยากให้พี่มาดูแล เป็นคนจัดการหาตั๋วให้เสร็จสรรพอ้อ...มีโน้ตฝากถึงน้องขวัญด้วย” ชายหนุ่มยื่นกระดาษแผ่นเล็ก ๆ ให้แทนขวัญรีบเปิดอ่านมือไม้สั่นระวิงไปหมด

“พวกเรา...หมายถึงพวกเราทุกคนพี่ พี่หมาก คุณย่า ฝากคุณหมออชิให้ดูแลน้องขวัญ พี่หมากกับพี่ตั้มช่วยกันขู่พี่ อชิว่าถ้าดูแลขวัญไม่ดีจะมาดักตีหัวที่สนามบิน เพราะฉะนั้นน้องขวัญต้องทำตัวดี ๆ และเชื่อฟังพี่อชิด้วยนะ”

“ทุกคนรวมหัวกันแกล้งขวัญอ่ะ” หญิงสาวพูดงอน ๆ แล้วหันไปเปิดม่านหน้าต่างมองออกไปข้างนอกป่านนี้คนที่บ้านคงกำลังเดินทางกลับและพูดถึงเรื่องนี้กันสนุกปาก

“แล้วน้องขวัญไม่ดีใจเหรอที่พี่มาด้วย”เขาถามต่อ

“ขวัญ...”

“พี่รู้นะว่าขวัญกังวลใจเรื่องอะไรน้องพลูเล่าให้ฟังหมดแล้ว พี่อยากให้เราเลิกกังวลแล้วปล่อยทุกอย่างให้เป็นไปตามที่หัวใจต้องการพี่เอง...ยังตัดสินใจมาตามหาหัวใจอยู่นี่ไง ขวัญล่ะครับ...จะพาหัวใจหนีพี่ไปถึงไหนพ่อกับแม่ชอบขวัญนะ หลังจากวันที่ไปกินข้าวด้วยกันก็เที่ยวบอกใคร ๆว่ากำลังจะมีลูกสะใภ้ เห็นไหมว่าท่านไม่ได้มองว่าขวัญเป็นเด็กหรือไม่คู่ควรกับพี่เลย”

“พี่อชินี่...วางแผนมาดีจังขวัญปฏิเสธไม่ได้เลย”

“แล้วน้องขวัญอยากปฏิเสธหรือเปล่า”

แทนขวัญแก้มแดงก้มหน้ามองมือตัวเองโดยไม่ตอบอะไร ชายหนุ่มจับมืออีกข้างมารวมไว้ในอุ้งมือเดียวกัน ถ่ายทอดความจริงใจและคำพูดจนหญิงสาวมั่นใจในตัวตนของเขาว่าจะสามารถจูงมือนี้ก้าวผ่านอุปสรรคทั้งหลายไปได้

“พี่อชิคิดดีแล้วหรือคะ ? งานของขวัญอยู่กับที่ไม่ได้ในขณะที่พี่อชิก็ทิ้งหน้าที่ไปไม่ได้” เสียงใสเจือความหมองหม่นเมื่อคิดถึงตรงอชิตะบีบมือเย็นชื้นแน่นขึ้น

“น้องขวัญ...พี่ไม่ได้ต้องการภรรยาที่อยู่เฝ้าบ้านเลี้ยงลูกอย่างเดียวขวัญจงทำในสิ่งที่ตัวเองรัก พี่ก็ทำหน้าที่ของตัวเอง แต่...เรามีที่พักพิงที่เดียวกันนั่นคือ...บ้านไม่ว่าเราจะไปไหน ทำอะไร แต่สุดท้ายเราก็ต้องกลับมาบ้าน เราจะไม่เปลี่ยนแปลงเส้นทางชีวิตของกันและกันแต่เราจะเดินไปพร้อมกันนะครับ”มืออุ่นเปลี่ยนมาบีบไหล่บางอย่างให้กำลังใจ

“ขวัญอาจจะไม่ใช่ผู้หญิงที่สมบูรณ์แบบทำกับข้าวไม่เป็น ไม่อ่อนหวาน แต่งตัวไม่เก่ง...”

“พี่ไม่ได้ชอบผู้หญิงลักษณะนั้นพี่ชอบแบบที่ขวัญเป็น”

ใบหน้าเกลี้ยงเกลาประกอบกับนัยน์ตาดำขลับหลบสายตาฉ่ำเชื่อมหลังกรอบแว่นพลันคำพูดของพี่สาวเมื่อคืนก็ดังย้ำเตือนให้คิดถ้ามัวแต่กังวลก็คงไม่มีวันได้พบความสุขในสิ่งที่เรียกว่าความรักในเมื่อตัดสินใจเดินทางมาไกลขนาดนี้เพื่อทำตามความความฝันบนเส้นทางสายอาชีพได้...แล้วทำไมจะยอมทำตามหัวใจรักไม่ได้

“แทนขวัญ...คบกับพี่นะครับ” น้ำเสียงอ่อนโยนแผ่วแทบเป็นกระซิบคนถูกถามยิ้มหวานแล้วพยักหน้าช้า ๆ

“ค่ะ...เป็นแฟนคุณหมอต้องทำตัวเป็นเด็กอนามัยหรือเปล่า”

“ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก ทำตัวเป็นเด็กน่ารักแบบนี้ดีกว่าไหน...แอร์ประกาศให้รัดเข็มขัดแล้ว น้องขวัญทำหรือยัง” ชายหนุ่มเอี้ยวตัวไปคาดเข็มขัดให้ด้วยอาการ ‘จงใจ’ ให้ปลายจมูกสัมผัสกับพวงแก้มสีชมพูเจ้าของแก้มหยิกหมับเข้าให้ที่ต้นแขนคนแผนสูงแล้วค้อนปะหลับเหลือก

“พี่ไม่ได้ตั้งใจนะ...มันบังเอิญไปโดนเอง”อชิตะยิ้มอ่อนแล้วกดศีรษะคนข้าง ๆ ให้มาซบไหล่

“พี่อชิ...มีใครเคยบอกไหมคะว่าพี่อชิเป็นผู้ชายที่ซับซ้อนที่สุด แผนสูงที่สุด น่าจะไปอยู่หน่วยสืบราชการลับมากกว่าเป็นหมอนะคะ”

วัฏจักรแห่งกาลเวลาหมุนไปตามรอบของมันจนสามปีล่วงไปอย่างรวดเร็วเสียแทบไม่รู้สึกว่านานวันนี้ชลธีตื่นแต่เช้าตรู่อาบน้ำเนื้อแต่งตัวด้วยอารมณ์เบิกบานแช่มชื่น เขาทำกิจวัตรส่วนตัวพลางผิวปากเป็นทำนองเพลงโปรดอย่างสุขใจแบบสบายๆ ไม่เร่งรีบอย่างคนไม่มีภาระ การงานต่าง ๆ ไม่ยุ่งเหยิงเหมือนแต่ก่อนหลังจากที่โอนหุ้นของทวีกิจคืนเจ้าของดั้งเดิมไป ใบหน้าคร้ามคมสมบุรุษยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่หน้ากระจกเงาบานใหญ่ขณะกลัดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดจากนั้นก็เปิดลิ้นชักหัวเตียงหยิบซองสีน้ำเงินเปิดออกดู กำหนดการต่าง ๆระบุอยู่บนการ์ดแข็งสีชมพูตัดขอบน้ำเงิน จากนั้นก็หยิบพวงกุญแจที่วางข้าง ๆกันขึ้นมาดู หวังว่าแทนดาวคงจะถูกใจของขวัญที่เขาตั้งใจมอบให้ มุมปากหยักได้รูปยิ้มบางๆ เมื่อนึกถึงบทสนทนากับคู่หมั้นสาวเมื่อวานนี้

“น้องพลูตื่นเต้นจังเลยค่ะเหมือนตอนรับปริญญาตรีเลย เหมือนกลับไปเป็นสาว ๆ อีกรอบเลยล่ะ”

“อ้อ...ตอนนี้แก่แล้วว่างั้นยังงั้นพี่คงเป็นไอ้เฒ่าแล้วสินะตอนนี้”

“เอาน่า...ถึงยังไงพี่ชลก็มีผมหงอกน้อยกว่าพี่หมากล่ะ”

“คิดออกหรือยังว่าอยากได้อะไร”

“อืม...ก็พี่ชลสัญญาแล้วว่าจะพาน้องพลูไปเที่ยวแต่...ต้องภายในอาทิตย์นี้นะ กลางอาทิตย์หน้าต้องเดินทางไปเล่นคอนเสิร์ตที่สเปน”

“เหลือเฟือ”

“ทุกอย่างเตรียมพร้อมหมดแล้วใช่ไหมลูกกลับจากไปเที่ยวจะได้ไม่ฉุกละหุก”

“อาทิตย์ก่อนผมเข้าไปพบลุงอนันต์ที่กระทรวงท่านเลยกรุณามาเป็นเถ้าแก่ให้”ชายหนุ่มกล่าวถึงท่านรัฐมนตรีอนันต์ซึ่งเป็นเพื่อนสนิทของบิดา

“ไม่ได้เจอคุณอนันต์ตัวจริงเสียนาน...เห็นแต่ในทีวีท่านยังเมตตาเราเหมือนเดิม”คุณวารีเอ่ยถึงเพื่อนเก่าแก่ของสามีผู้ล่วงลับด้วยความซาบซึ้ง จากนั้นก็ยื่นกล่องกำมะหยี่เล็กๆ ให้บุตรชาย

“แหวนแต่งงานของแม่นี่”เขาถามมารดาอย่างแปลกใจ

“ใช่...แม่อยากให้ลูกใช้แหวนวงนี้ขอน้องพลูแต่งงาน”

“แม่จ๋า...แหวนวงนี้พ่อหามาให้แม่ด้วยความยากลำบากแม่สวมไว้ต่อเถอะครับ ผมเตรียมแหวนแต่งงานอีกวงเอาไว้แล้ว”

“รับไปเถอะลูก..เอาแหวนวงนี้ไปคืนทายาทเจ้าของตัวจริง”คำบอกเล่ของมารดาทำให้เขาต้องขมวดคิ้วแล้วย้าย

ตัวเองมานั่งใกล้ ๆ รอฟังคำขยายความ

“ทีแรกมันเป็นแหวนทองเกลี้ยงธรรมดาคุณพ่อซื้อเพชรเพิ่มให้ทีหลัง แหวนนี่...คุณกอบกิจปู่ของน้องพลูเป็นคนให้พ่อของลูกเอามาหมั้นแม่...”

คุณวารียิ้มบางๆ เมื่อเล่าเรื่องราวในอดีตให้บุตรชายฟังคุณกอบกิจเคยไปหาซื้อที่ดินทางใต้แล้วถูกนักเลงเจ้าถิ่นเล่นงานจนได้รับบาดเจ็บคุณประจิมได้ช่วยเหลือไว้และให้ที่พักพิงชั่วคราวท่านจึงถูกอัธยาศัยกับหนุ่มใต้น้ำใจงามคนนี้แต่เมื่อรู้ว่าคุณประจิมเป็นเพียงลูกจ้างและถูกกีดกันความรักกับบุตรสาวคหบดีแห่งเมืองตรังท่านจึงช่วยเหลือให้ทั้งคู่ได้แต่งงานกัน

“ท่านเป็นคนไปเจราจาสู่ขอแม่กับคุณตาของลูกพอคุณตารู้ว่าคุณกอบกิจเป็นใครก็นึกเกรงใจ ไม่กล้าไล่ตะเพิด แต่ก็ยื่นคำขาดให้หาสินสอดเป็นเรือหนึ่งลำให้ได้ภายในสามปีถ้าไม่มี...ก็ไม่ให้แต่ง คุณกอบกิจก็ให้ยืมเงินส่วนหนึ่งไปซื้อเรือและให้แหวนวงนี้มาด้วยพอเราย้ายไปอยู่ระยองก็เก็บเงินคืนท่านจนครบ ยกเว้นแหวนที่ท่านไม่รับคืนบอกว่าให้เป็นของขวัญแต่ง งาน”

ชลธีเข้าใจถ่องแท้แล้วว่าเหตุใดมารดาจึงให้ความสำคัญกับตระกูลทวีกิจนัก ถึงกับออกปากให้เข้าไปช่วยเหลือยามที่ธุรกิจประสบปัญหาคุณปู่ของแทนดาวมีส่วนทำให้เขาได้เกิดมาบนโลกใบนี้ รอยยิ้มซาบซึ้งประดับบนใบหน้าเข้มความจริงที่ได้รับรู้ยิ่งทำให้เขารักหลานสาวของท่านมากเป็นทวี

“ตอนท่านเสียพ่อกับแม่ยังได้ไปร่วมงานศพเลย”

“แล้วลุงธรรมทราบเรื่องนี้ด้วยหรือเปล่าครับ”

“ไม่รู้เหมือนกันนะดูเหมือนว่าตอนนั้นลูก ๆ ของท่านไปเรียนอยู่ต่างประเทศกันหมดอาจจะมีคุณย่าลำเภาที่ทราบ แต่ท่านจะเล่าให้ฟังหรือเปล่าก็ไม่รู้ ดูสิ...ว่าโลกกลมขนาดไหนชลกับคุณหมากก็เป็นเพื่อนกัน แถมเรายังจะได้แต่งงานกับหลานสาวท่านอีก”คุณวารีลูบศีรษะบุตรชายด้วยความปลื้มใจ ชลธีกุมกล่องกำมะหยี่ไว้ด้วยความรู้สึกลึกซึ้งถ้าเจ้าสาวของเขารู้ที่มาที่ไปของแหวนจะว่าอย่างไร

“แม่ตั้งใจที่จะให้ชลส่งต่อแหวนวงนี้ให้เจ้าสาวของลูกสิ่งนี้เป็นตัวแทนความรัก ความเข้าอกเข้าใจ ความมานะบากบั่นของพ่อกับแม่ทุกครั้งที่แม่เจออุปสรรคจนถึงทางตัน พอมองดูแหวนก็เกิดความรู้สึกฮึดสู้จนผ่านทุกอย่ามาได้ถึงวันนี้แม่วางใจว่า...คนที่ชลเลือกมาเป็นเมียจะต้องมีความดีความชอบอันคู่ควรแก่คุณค่าของแหวนวงนี้”

ชลธีมองมารดาด้วยสายตาเทิดทูนบูชาแม่เพียงคนเดียวของเขาที่เป็นเสาหลักของครอบครัวนับแต่วันที่บิดาจากไปมีหลายครั้งในชีวิตที่เขาเกือบจะไขว้เขวเดินทางผิดแต่แม่คนนี้ก็คอยประคับประคองให้กลับมาเดินตรงทางจนเป็นผู้เป็นคนได้ ความเมตตาอารีย์ความเอื้ออาทร ความเข้มแข็ง เขามองเห็นคุณงามความดีเหล่านี้อยู่ในตัวตนของสาวน้อยนัยน์ตาดุจดาวสตรีผู้มีความอ่อนโยนแต่เข้มแข็งเฉกเช่นเดียวกับมารดา

“ขอบพระคุณครับน้องพลูต้องภูมิใจมากที่รู้ว่าแหวนนี้มีความหมายอย่างไร ถ้าเจ้าสาวของผมไม่ใช่เธอ...ก็คงไม่รับเอาไว้แน่ๆ เพราะไม่มีผู้หญิงคนที่คู่ควรกับมันนอกจากแม่กับแทนดาว” ชายหนุ่มก้มกราบด้วยความซาบซึ้ง

“เดี๋ยวคุณหมากกับยัยแฟงจะมารับแม่ตอนเที่ยงกินข้าวกันก่อนแล้วจะตามไป เอาส้มไปด้วย...ไปช่วยอุ้มหลาน”

ชลธีนึกขันกับครอบครัวหรรษาเทียมภพกับบทบาทพ่อลูกอ่อน คนหนึ่งอยู่ในวัยเตาะแตะแต่ซนมหากาฬอีกคนกำลังอยู่ในท้อง ภาพชายหนุ่มนักบริหารระดับสูงวิ่งไล่ตามเช็ดอึลูกชายกับท่าเปลี่ยนผ้าอ้อมเก้ๆ กัง ๆ เรียกรอยยิ้มจากเขาได้เสมอ

“ได้ข่าวว่าซนเป็นลิงจนต้องจ้างพี่เลี้ยงเพิ่มคนเดียวเอาไม่อยู่” ชายหนุ่มเอ่ยถึงหลายชายตัวน้อยด้วยความเอ็นดู “ถ้าซนเป็นเด็กทั่วไปก็ไม่กระไรหรอกแต่นี่พ่อเล่นซนเงียบ ดูเฉย ๆ ก็เหมือนนอนหลับไม่มีพิษสงพอพี่เลี้ยงเผลอหน่อยเดียว โน่น..จะปีนบันไดซะแล้ว”

ใครๆ ก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่าเด็กชายภาพฟ้า ทวีกิจไพศาล หรือน้องปูนแดง เหมือนเทียมภพในร่างเด็กไม่มีผิดถอดมาทั้งรูปร่างหน้าและนิสัยใจคอแบบไม่ผิดเพี้ยน ทั้งซน เอาแต่ใจ ขี้โวยวายอย่างเวลาหิวนมแล้วพี่เลี้ยงชักช้าก็จะแหกปากร้องจ้าไม่เกรงใจใคร หนูน้อยวัยสองขวบเป็นที่รักใคร่หลงใหลของคุณปู่คุณย่า คุณทวดนักก็เลยถูกตามใจเต็มเหนี่ยว จะกลัวอยู่เพียงคนเดียวก็คือแม่แฟงที่เพียงแค่มองหน้านิ่งๆ เด็กน้อยก็จะหยุดออกฤทธิ์ทันที ลักษณะนิสัยอีกประการหนึ่งที่ได้บิดามาเต็ม ๆคืออาการ ‘ขี้หวง’ พอเริ่มรู้ความว่ามีคุณอาสาวสวยเด็กชายภาพฟ้าก็ทั้งอ้อนและติดหนึบ เวลาชายใดเข้าใกล้คุณอาก็จะเข้าไปนั่งแทรกบ้างร้องให้อุ้มบ้าง ขนาดลุงชลจะจับมืออาพลูยังไม่ได้ ร้องไห้บ้านแตกเดี๋ยวนั้น อย่างเมื่อวานก็เพิ่งสำแดงเดชเมื่อเด็กน้อยเห็นคุณลุงจูงมือคุณอา

“ป่อย...อาปู...ป่อย”

“จะงอแงทำไมกันล่ะ...อาพลูเป็นแฟนลุงชลนะเจ้าปูน”

“ไม่...ป่อย...แง...”

“ชะ...เจ้านี่เชื้อพ่อมันแรงจริง”

“แล้วพรุ่งนี้จะเดินทางกันตอนไหนล่ะ”

“ผมจะพาน้องพลูล่วงหน้าไปก่อนตั้งแต่เช้ามืดเห็นเจ้าหมากบอกว่าจะมารับแม่ตอนสาย ๆ ผมฝากของบางอย่างไปด้วยนะครับเอาใส่รถไปด้วยเดี๋ยวน้องพลูจะเห็นเข้าเสียก่อน”

ครอบครัวทวีกิจไพศาลได้ชื่นมื่นกันอีกครั้งกับการสำเร็จการศึกษาเป็นมหาบัณฑิตของแทนดาวหญิงสาวดูสดใสและมีความสุขเปี่ยมล้นไม่ต่างจากความรู้สึกในวันพระราชทานปริญญาบัตรครั้งแรกเมื่อสามปีก่อนมาคราวนี้ออกจะคึกครื้นและมีสีสันขึ้นเพราะมีหลานตัวน้อย ๆ มาค่อยป่วนทั้งบ้านให้วุ่นไปหมด

“ทุกคนมองกล้องค่ะ”แทนขวัญร้องบอกแล้วนับเลขให้สัญญาณหญิงสาวกลับมาบ้านช่วงปิดเทอมพอดีก็เลยรับหน้าที่เป็นตากล้องให้อีกครั้ง

“น้องขวัญ...แล้วพี่อชิมาหรือยัง” แทนดาวถามน้องสาวพลางกวาดสายตาไปรอบๆ

“บอกว่าจะไปเจอกันที่ภัตตาคารเลยค่ะรอรับคุณพ่อกับคุณแม่มาด้วยกัน” สรรพนามที่เรียกบุพการีของอชิตะแสดงออกถึงความสนิทสนมเป็นการส่วนตัวแต่สิ่งเดียวที่ทุกคนรู้แต่แทนขวัญไม่รู้ก็คือ อชิตะได้พาผู้ใหญ่ไป ‘เจรจา’ เรื่องกับพ่อแม่ของฝ่ายหญิงไม่นานมานี้

“น้องปูนมาถ่ายรูปกับคุณอาเร็ว”แทนดาวรับตัวหลานมาอุ้มต่อจากพี่เลี้ยง เด็กชายตัวน้อยยิ้มร่าเอียงหน้าซบบ่าคุณอาคนสวยอย่างรู้หน้าที่สองแขนเล็กป้อมโอบกอดรอบคออย่างประจบ

“ให้พ่อถ่ายด้วยสิ”เทียมภพเข้ามายืนชิดน้องสาวเตรียมฉีกยิ้มให้กล้องแต่ก็ถูกลูกชายตัวแสบหยิกหมับที่มือ

“ไม่..ป่อย...อาปู”เด็กน้อยพยายามแกะมือบิดาออกแต่เทียมภพก็ไม่ยอมตามใจลูกชาย

“เฮ้ย...นี่พ่อนะเจ้าปูนป่วน พ่อเลี้ยงคุณอาของเรามาตั้งกะตัวแดง ๆ แล้วทำไมจะกอดไม่ได้”ชายหนุ่มอยากแกล้งบุตรชายเลยเอียงจมูกหอมแก้มน้องสาวดังฟอดเด็กชายภาพฟ้ากลัวน้อยหน้าก็หอมคุณอาบ้าง พอเห็นคุณพ่อกอดก็กอดตาม จนยอมต่อไปไม่ได้ก็ร้องโวยวายเสียงดัง

“ม่าย...ป้ออย่าจับ...อาปูของปูนนะ”

แล้วสองพ่อลูกก็ยื้อแย่งกอดคุณอากันนัวเนียเรียกเสียงหัวเราะขบขัน ชลธีนึกสะใจน้องเขยว่าเมื่อก่อนทำตัวหวงก้างจนคนอื่นเอือมระอามาเจอกับตัวบ้างก็คงจะเข้าใจแล้วว่าชีวิตที่ผ่านมาตัวเองก็เคยทำชาวบ้านเขาป่วนไปหมดในความปรีติยินดีทั้งมวลคงไม่มีใครจะรู้สึกลึกซึ้งกินใจไปมากกว่าเทียมภพที่มองน้องสาวคนเล็กด้วยแววตาปลาบปลื้มและชื่นชมไม่เคยเปลี่ยน ถึงวันนี้เขาจะกลายเป็นพ่อคนแต่ความเป็นพี่ยังคงเข้มข้นอยู่ในสายเลือดกระนั้นก็ยังใจหายเมื่อตระหนักว่าเวลาที่กำลังจะเสียน้องสาวคนเล็กไปนั้นใกล้เข้ามาทุกที

เวลาไม่กี่ปีได้พัดพาความเปลี่ยนแปลงมาให้กับใครหลายๆ คน ถ้าจะถามว่าชีวิตของใครพลิกผันมากที่สุดก็คงเป็นปลายเดือน หลังจากที่กลับมาเมืองไทยได้ไม่นานก็ตัดสินใจแต่งงานกับบุรินทร์โดยจัดพิธีอย่างเรียบง่ายไม่ได้ใหญ่โตเอิกเกริกแต่ทรงความภาคภูมิ มีเพียงพิธียกน้ำชาเล็กๆ และกินเลี้ยงกันภายใครอบครัวญาติสนิทมิตรสหาย ซึ่งผิดความคาดหมายของบรรดาเพื่อนฝูงอย่างยิ่งกระนั้นคุณหลีก็จัดกองทัพสินสอดทองหมั้นให้สะใภ้สี่ชนิดที่ว่าล้นหลามสมน้ำสมเนื้อ เวลาที่ผ่านมาได้แปรเปลี่ยนปลายเดือนทั้งทัศนคติและวิถีจากสตรีสังคมชั้นสูงหันมาใช้ชีวิตเรียบง่ายไม่มีพิธีรีตองมาก หญิงสาวทุ่มเททั้งหมดให้กับทวีกิจที่รักและครอบครัวที่ตนเพิ่งให้กำเนิดบุตรสาวฝาแฝดน่ารักน่าชังเหมือนตุ๊กตาจีนซึ่งคุณลำเภาได้ตั้งชื่อสุดไพเราะให้กับเหลนแฝดว่า บัวตระการ หรือหนูบัว และบุษบามินตราหรือหนูบุษ เกียรติกิจวัฒนา

วันรุ่งขึ้น ชลธีมาไปรับคู่หมั้นสาวแต่เช้ามืดโดยที่ไม่ยอมบอกว่าจะพาที่ไปไหนทีแรกนึกว่าจะกลับตรังบ้านเกิดของเขาเสียอีกแต่พอเห็นว่าไม่ได้ขับรถลงใต้ก็ยิ่งเพิ่มความอยากรู้ให้หญิงสาวมากขึ้นทั้งสองคนขับไปคุยไปสลับกับแวะพักถ่ายภาพตามสถานที่สวย ๆ อย่างไม่รีบร้อนนัก แล้วต่อมสงสัยของแทนดาวมาแตกโพละเมื่อเขารับสายเข้าตอนกำลังขับรถเข้าเขตจังหวัดเพชรบูรณ์

“คุณอัยดาเหรอครับตอนนี้ผมเข้าตัวจังหวัดมาแล้ว อีกไม่เกินชั่วโมงคงถึง ขอบคุณที่ดูแลให้นะครับ”น้ำเสียงสุภาพที่คู่หมั้นพูดกับปลายสายทำเอาหูคนฟังกางอ้าบันทึกทุกถ้อยไม่ตกหล่นอัยดา...ชื่อที่เคยผ่านตาเมื่อสองปีก่อนจนแทนดาวเกือบจะลืมไปแล้วด้วยซ้ำ

“มีนัดกับคุณอัยดาที่เพชรบูรณ์อีกแล้วเหรอคะ”แทนดาวกึ่งถามกึ่งเหน็บ ชลธีเพียงแต่อมยิ้มอย่างมีเลศนัย

“ครับ...เดี๋ยวน้องพลูจะได้เจอคุณอัยดาตัวเป็นๆ หลังจากที่เห็นชื่อบนปฏิทินมานานแรมปี”

“พี่ชลรู้ได้ยังไงคะ”

“เราน่ะนะ...มีข้อเสียอย่างเดียวดวงตาปิดความลับไม่มิด มีอะไรก็แสดงให้คนอื่นจับได้หมด”เขาเอื้อมมือมาหยิกแก้มนุ่มเบา ๆ

“อัยดา...พี่ชลเทียวไปเทียวมาที่เพชรบูรณ์กับอัยดาเป็นปีๆ แต่ที่น้องพลูทนไม่พูดก็เพราะไว้ใจหรอกนะ”

“ก็ถูกแล้วนี่ครับเพราะพี่กับคุณอัยดาไม่ได้มีอะไรลึกซึ้งกัน เอาไว้ถ้าเจอกันแล้ว...น้องพลูจะต้องพูดขอบคุณเธอสักร้อยครั้ง”

“เชอะ...เรื่องอะไรน้องพลูจะต้องขอบอกขอบใจคนที่ควงแฟนตัวเองล่องต่างจังหวัดอยู่เป็นปีด้วยเล่า”ชลธีหัวเราะร่วนดัง ๆ อีกครั้งก่อนจะเลี้ยวพวงมาลัยเข้าปั๊มน้ำมันแห่งหนึ่งพอจอดรถได้ก็ดึงหน้าคนตัวเล็กมาจุมพิตหนัก ๆ สองที

“แม่คนขี้หึง...เดี๋ยวจะได้รู้กันอีกไม่นานแต่ว่าตอนนี้เชิญคุณแทนดาวไปเข้าห้องน้ำล้างหน้าล้างตาก่อนดีกว่าเพราะจากนี้ไปพี่ไม่พาแวะไหนแล้วนะ...ยิงยาวทีเดียวเลย”

กว่าห้าชั่วโมงจากรุงเทพทั้งคู่ก็ดั้นด้นมาถึงจุดหมายปลายทางตอนเที่ยงพอดี รถยนต์อเนกประสงค์คันใหญ่ตีโค้งเลี้ยวเข้าที่พักแห่งหนึ่งบนเขาค้อแทนดาวตื่นตาตื่นใจจนเก็บอาการลิงโลดไม่อยู่เพราะไม่เคยมาที่นี่มาก่อน ยิ่งพอเห็นบรรยากาศสะอาดสดชื่นล้อมรอบด้วยทิวทัศน์เขียวขจีมีความสวยงามหลายหลากมุมก็ยิ่งเร่งให้อยากออกไปสูดอากาศเร็วๆ

“ถึงแล้วครับยินดีต้อนรับสู่...ภูเคียงดาว”

ชลธีเดินอ้อมมาเปิดประตูรถให้พนักงานสองสามคนช่วยกันขนของลงมา แทนดาวมองไปรอบ ๆ อย่างพอใจกับบรรยากาศแวดล้อมด้วยแมกไม้กลางขุนเขาดอกไม้นานาชนิดปลูกไล่สีกันในแปลงกว้างเหมือนสายรุ้งบนพื้นปูหญ้าเขียวชอุ่มตัดกับบ้านพักดีไซน์แปลกตาเหมือนบ้านตุ๊กตาสีลูกกวาดสาวน้อยเดินเร็ว ๆ ไปตรงจุดชมวิว มีโครงเหล็กแข็งแรงติดตัวหนังสือขนาดมหึมาเป็นชื่อรีสอร์ท หญิงสาวก็ไม่ลังเลที่จะถ่ายภาพโพสต์ลงเพจโซเชียลอวดเพื่อนๆ ทันที

“สวยจัง...ภูเคียงดาว พี่ชลเข้าใจเลือกที่พักนะเนี่ยบ้านน่ารักจังเลยค่ะ...เอ...แต่เหมือนน้องพลูจะคุ้น ๆ ว่าเคยเห็นที่ไหนมาก่อนนะ”แทนดาวกวาดตามองไปยังแนวบ้านทรงกระโจมที่ปลูกห่างกันพอสมควรให้ความเป็นส่วนตัวลดหลั่นคดเคี้ยวกันลงไปตามเนินเขาแต่ละหลังทาสีสันสดใสไม่ซ้ำกัน ริมเขาด้านหนึ่งแยกเป็นบ้านหลังใหญ่สำหรับรองรับนักท่องเที่ยวที่มาเป็นครอบครัว ทุกหลังหันหน้าเข้าหาแอ่งทะเลหมอกเวิ้งว้างกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตาระเบียงพักผ่อนปลูกยื่นเข้าไปในหุบเขา มีโต๊ะสำหรับรับประทานอาหารและมุมเครื่องดื่มครบครัน

“เข้าบ้านกันดีกว่า”

เขาปล่อยให้คู่หมั้นถ่ายรูปจนพอใจแล้วจูงมือพาเดินขึ้นไปตามทางเดินปูด้วยแผ่นปูนกลมๆ เรียงรายกันไปจนถึงบ้านหลังใหญ่ที่ปลูกเพียงโดดเดี่ยวบนยอดเนินสูงสุด สนามหญ้าเชียวขจีตัดกับดอกไม้และไม้พุ่มเตี้ยสีสันสวยสดล้อมรอบตัวบ้านทาสีชมพูพาสเทลทั้งหลังชั้นบนล้อมรอบด้วยหน้าต่างบานกระจกติดม่านเนื้อหนา หลังคาเป็นรูปโดมแหลมคล้าย ๆปราสาทในเทพนิยาย

“ว้าว ! นี่มันปราสาทของราพันเซล”

หญิงสาวตาค้างตะลึงกับความงดงามตระการตา ยิ่งพอก้าวเข้ามาภายในก็ยิ่งประทับใจกับการตกแต่งจนคล้ายปราสาทของเจ้าหญิงทุกสิ่งอย่างดูอ่อนหวานปนนิ่งขรึมด้วยการเลือกใช้โทนสีชมพูพาสเทลตัดด้วยสีน้ำเงินเข้มบนผนังกว้างภาพถ่ายประดับฝาผนังสามภาพเป็นรูปนักดนตรีชื่อดังระดับโลกที่หญิงสาวคลั่งไคล้นอกจากนี้ยังสังเกตว่าพวกของตกแต่งเล็ก ชิ้นเล็ก ๆ เช่น แจกัน ตุ๊กตา หมอนอิงหรือแม้กระทั่งผ้าปูโต๊ะล้วนเป็นลวดลายเครื่องดนตรีและโน้ตเพลง

พอขึ้นบันไดมาชั้นสอง แทนดาวก็แทบจะก้าวขาไม่ออกเพราะรู้สึกว่าตัวชาเย็นเฉียบไปหมดสิ่งที่กำลังมองเห็นอยู่เบื้องหน้าคือรูปถ่ายของตนเองในอิริยาบถต่าง ๆอัดใส่กรอบไม้สีขาวต่างขนาดแขวนบนผนังตลอดโถงทางเดิน ดวงตานัยน์ตาดำขลับเบิกกว้างอย่างเชื่อในสิ่งที่เห็นจนเดินมาหยุดตรงบานประตูห้องพักที่ชลธียืนยิ้มอยู่เบื้องหน้าเขาค่อย ๆ เปิดประตูออกช้า ๆ แล้วรุนร่างบางให้ก้าวเข้าไป แทนดาวยืนอึ้งอยู่แค่หน้าประตูภายในห้องนอนใต้หลังคาโดมติดกระจกใสรอบด้านที่พอรูดม่านขึ้นหมดจะมองเห็นทิวทัศน์โอบล้อมขุนเขาได้สามร้อยหกสิบองศาทีเดียว

ภายในห้องนอนสีขมพูอ่อนสลับลายสีน้ำเงินเข้มตรงกลางห้องมีเตียงไม้สีดำขนาดคิงไซส์ต่อเป็นรูปแกรนด์เปียโน ชุดเครื่องนอนทุกชิ้นเป็นลายลิ่มสีขาวสลับดำเข้าชุดกันแต่ละมุมต่อเสาขึ้นไปเป็นโครงสี่เหลี่ยมเพื่อติดผ้าโปร่งบางสีข้าวเป็นมุ้งกระโจมบนโต๊ะหัวเตียงวางกรอบรูปเล็ก ๆ เป็นภาพของทั้งคู่ในท่ากอดกันแทนดาวจำได้ทันทีว่ารูปนี้ถ่ายได้โดยไม่ตั้งใจเป็นจังหวะที่หล่อนสะดุดแล้วซวนเซหลุดเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดของเขาพอดิบพอดี

“ห้องของน้องพลู...ชอบไหมครับ”ร่างหนาเคลื่อนตัวมาซ้อนหลังร่างอรชรแล้วโอบกอดเอาไว้หลวม ๆ น้ำเสียงนุ่มนวลเอ่ยชิดริมหู

“พี่ชล...น้องพลูไม่ได้ตาฝาดใช่ไหมคะ”

ประกายสดใสตาปรากฏรอยไม่แน่ใจระคนประทับใจชายหนุ่มไม่ตอบแต่พาเดินไปยังผนังห้องด้านหนึ่งที่ดูเผิน ๆเหมือนหน้าต่างกระจกบานใหญ่สูงตั้งแต่พื้นจรดเพดาน แต่จริง ๆแล้วมันคือประตูที่เปิดไปสู่ระเบียงภายนอก เบื้องหน้าคืออาณาเขตรีสอร์ทและบ้านพักสีลูกกวาดมีฉากหลังเป็นภูเขาสลับซับซ้อนเขียวขจี

“มันเป็นความจริงครับที่นี่...ทั้งหมดที่เห็น...เป็นของน้องพลู” มือหนาเชยคางมนขึ้นมาแล้วแตะจุมพิตอบอุ่นบนหน้าผากลาดนูน

“เป็นของ...น้องพลู...เหรอคะ?”แทนดาวกล่าวย้ำที่ละคำอย่างไม่แน่ใจอยู่ดีว่าคือฝันหรือเรื่องจริง

“ครับ...ภูเคียงดาวแห่งนี้พี่ขอมอบให้ของขวัญกับว่าที่เจ้าสาว...ว่าที่คุณผู้หญิงของธาราพิศุทธิ์”

ชลธีล้วงมือลงไปในกระเป๋ากางเกงหยิบเอาพวงกุญแจออกมาวางบนฝ่ามือนุ่มแทนดาวมองลูกกุญแจห้าดอกที่ร้อยกับพวงกุญแจไม้สลักเป็นรูปบ้านจำลองเหมือนหลังนี้เปี๊ยบดวงตาโตทรงอัลมอนด์วาววามด้วยหน่วยน้ำใส บุรุษผู้นี้ตั้งใจสร้างสถานที่แห่งนี้ขึ้นมาเพื่อหล่อนทุกสิ่งทุกอย่างที่ประกอบขึ้นเป็นภูเคียงดาวล้วนมาจากตัวตนของสตรีอันเป็นที่รัก

“มันมากเกินกว่าที่น้องพลูคิดว่าชีวิตนี้จะมี”หญิงสาวรำพัน

“ภูเคียงดาว...จะเป็นที่พักพิงอีกแห่งของเราเป็นสิทธิ์ของน้องพลูเพียงผู้เดียว พี่รวบรวมทุกอย่างเกี่ยวกับน้องพลูไว้ในบ้านหลังนี้”

แทนดาวน้ำตาซึมโผเข้ากอดร่างหนาแนบแน่นเพื่อซึมซับความรักที่เขามีให้ความประทับใจและตื้นตันถูกสูบฉีดแทนเลือดหล่อเลี้ยงทั่วร่างกายชลธีกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้นเมื่อลมหนาววูบหนึ่งพัดผ่านมา ร่างเล็กขดตัวอยู่ในกายอุ่นนิ่งนานจนได้ยินเสียงหัวใจใต้อกแกร่งเต้นเป็นจังหวะสม่ำเสมอผิดกับหัวใจดวงน้อยที่เต้นระรัวแทบจะทะลุออกมากระโดดเล่นอยู่แล้ว

“ที่นี่...จะเป็นบ้านพักใจของเราสองคนวันไหนที่เหนื่อยล้าจากงานหรือต้องการความสงบ...เราจะมาที่นี่กันนะคะ ไม่รู้จะขอบคุณพี่ชลยังไงจะบอกว่าชอบมาก...แต่ก็ยังไม่เท่าความรู้สึกในใจ”

“ครับ...พี่เข้าใจว่ามันอธิบายเป็นคำพูดยากก็เหมือนพี่ไง...ที่รักน้องพลูมากจนอธิบายเป็นคำพูดไม่ได้ จะบอกว่ารักคุณเท่าฟ้าก็กลัวนึกภาพไม่ออกก็เลยต้องพามาอยู่บนที่สูง ๆ ใกล้ ๆ ท้องฟ้าจะได้รู้ว่ามันกว้างใหญ่สุดจินตนาการยังงี้”

หลังจากสำรวจตรวจตาห้องหับต่างๆ ทุกซอกทุกมุมแล้วทั้งสองคนก็ได้ต้อนรับแขกที่แทนดาวรอเจอตัวจริงมานานนับปี อัยดาที่ปรากฏชื่อบนปฏิทินคือสาวในร่างหนุ่มหล่อซอยผมสั้นไถข้างตามสมัยนิยมที่เรียกว่าอันเดอร์คัท ร่างบึกบึนผิดสรีระของสตรีสวมเสื้อผ้าทะมัดทะแมงแต่โก้หรูดูดีอย่างบุรุษทั่วไปหน้าตามีเค้าความ ‘หล่อ’ สำอางดุจชายชาตรี แต่ว่าเวลาเอื้อยเอ่ยนั้นน้ำเสียงยังคงเป็นสุภาพสตรีตามเพศที่ระบุในบัตรประชาชน

“คุณอัยหรืออัยดาเป็นคนดูแลก่อสร้างภูเคียงดาวทั้งหมด เราทำงานกันมาเกือบสองปีที่นี่เป็นรูปเป็นร่างได้เพราะคุณอัยนี่แหละ” ชลธีแนะนำ แทนดาวก้มหัวให้นิด ๆ เป็นการทักทาย

“หวังว่าคุณแทนดาวจะชอบนะครับคุณชลธีใส่ใจทุกรายละเอียดจริง ๆจนบางทีผมก็กดดันเหมือนกันว่าจะว่าถูกใจคุณแทนดาวมากน้อยแค่ไหน”ท่าทางกระฉับกระเฉงแคล่วคล่องของสาวหล่อทำให้แทนดาวชื่นชม สาวน้อยหันมามองหน้าคู่หมั้นที่ทำหน้าล้อเลียนด้วยอาการขัดใจเขาคงกำลังหัวเราะเยาะเรื่องที่ตนออกอาการหึงหวงเอากับอัยดาคนนี้

“ดิฉันถูกใจมากเลยค่ะโดยเฉพาะห้องนอนนี่เก๋มากเลย”

“อ๋อ...เฟอร์นิเจอร์ทุกชิ้นคุณชลเป็นคนเลือกว่าต้องการแนวไหนส่วนผมก็ร่างแบบสั่งทำอีกที คุณแทนดาววางใจได้เลยว่าทุกชิ้นไม่ซ้ำแบบใครแถมยังเป็นของดีมีคุณภาพเพราะยูนีคผลิตให้โดยตรง”

“หา! ยูนีคนี่ของทวีกิจนี่คะถ้าพี่ชลไปสั่งทำ...งั้นพี่หมากก็รู้เรื่องนี้ด้วยน่ะสิ” แทนดาวร้องถามเสียงดัง

“อืม...ไอ้หมากมันรู้มาตั้งแต่เริ่มตอกเสาเข็มแล้วตอนบ้านหลังนี้สร้างเสร็จมันยังมาดูกับพี่เลย เห็นซุ้มกระดังหน้าข้าง ๆ ไหม ? พี่เรามันอยากให้ปลูกเพราะว่าน้องพลูชอบไปนั่งที่ซุ้มกระดังงาเวลาอยู่บ้าน” แทนดาวแทบจะทะลึ่งตัวขึ้นจากโซฟาที่นั่งอยู่ทันทีนัยน์ตาดำขลับกลอกตามองสองคนสลับกันไปมา ขณะที่คู่หมั้นหนุ่มยังเล่าด้วยน้ำเสียงสบายอกสบายใจ

“ผมเป็นสถาปนิกบริษัททรีดีของคุณเทียมภพพี่ชายคุณแทนดาวเป็นคนแนะนำผมให้คุณชลเองล่ะครับผมบอกแล้ว่าคุณชลธีใส่ใจในรายละเอียดทุกอย่างจริง ๆ ว่าแต่คุณแทนดาวอยากจะปรับเปลี่ยนอะไรยังไงก็บอกได้นะครับ”

“เอ่อ...ดิฉันคงไม่เปลี่ยนอะไรแล้วค่ะพี่ชลกับพี่หมากลงมาคุมงานเองแบบนี้ทุกอย่างต้องสมบูรณ์แบบอยู่แล้วล่ะยังไงก็ต้องขอบคุณ...คุณอัยมากเลยนะคะ งานดีมีคุณภาพและเซอร์ไพรส์จนแทบช็อคจริง ๆ”

เจ้าของบ้านหมาดๆ ยังคงเพลินกับการเดินสำรวจรอบ ๆ บริเวณบ้าน กระทั่งตกเย็นชลธีก็มาตามเขาเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยเป็นเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีน้ำเงินลายจุด สวมกางเกงขายาวสีน้ำตาลอ่อนในมือถือซองพลาสติกใส่ชุดมิดิเดรสสีน้ำเงินผ้าฉลุลูกไม้ต่อสลับด้วยผ้าโปร่งทั้งชุดมาให้หญิงสาวพอถามเขาก็บอกว่า

“ก็ไม่มีอะไรมากพี่แค่อยากพาสาวสวยไปนั่งดินเนอร์ท่ามกลางหุบเขา”

บรรยากาศยามเย็นบนเขาค้อยิ่งอากาศดี โคมไปสนามสว่างโดยพร้อมเพรียงกันทั่วบริเวณยิ่งเพิ่มความสวยงามน่ามองมากยิ่งขึ้นระเบียงชมวิวที่ปลูกยื่นไปในหุบเขาประดับเพียงโคมสูงให้แสงนวลตาไม่จ้าจนเกินไปตรงกลางระเบียงตั้งเต็นท์ทรงโดมสีขาวเหนือโต๊ะอาหารแบบบุฟเฟ่ต์ เสียงเพลงบรรเลงคลอเบา ๆไม่รบกวนบรรยากาศสงบเงียบแต่ที่ผิดสังเกตคือจนป่านนี้แล้วยังไม่เห็นแขกคนอื่นออกมาสักคนมีเพียงพนักงานสองสามคนและชลธีที่ยืนคุยกับอัยดา สักเดี๋ยวเขาก็พาคู่หมั้นสาวเดินไปหยุดตรงริมระเบียงด้านหนึ่งแล้วชี้ชวนให้ดูทิวทัศน์ยามโพล้เพล้เบื้องหน้า

“ตอนเช้าจะเห็นทะเลหมอกขาวโพลนเหมือนเอาสำลีมาปูเลย”

“งั้นพรุ่งนี้น้องพลูจะรีบตื่นแต่เช้ามาดูทะเลหมอกกับพระอาทิตย์ขึ้น”

“รับรองน้องพลูต้องว่าสวยจนไม่อยากละสายตาเชียวล่ะ”

“ว่าแต่...ที่นี่เปิดให้พักอย่างเป็นทางการหรือยังคะน้องพลูยังไม่เห็นคนอื่นเลยนอกจากเรา” แทนดาวเหลียวมองไปก็ยังไม่พบใครอื่นเลยแต่อาหารถูกจัดเตรียมไว้เหมือนจะเลี้ยงคนเป็นสิบ

“จะเปิดก่อนได้ยังไงที่นี่เป็นของน้องพลู...ต้องให้เจ้าของมาดูก่อนสิคะว่าพร้อมจะเปิดต้อนรับแขกหรือยัง” ชลธีกระซิบข้างแก้มเนียนแล้วจูบเบา ๆ

“อืม...ถ้างั้นน้องพลูขอพาคุณย่าคุณพ่อ คุณแม่แล้วก็ม๊าหลีมาพักเปิดประเดิมเอาฤกษ์เอาชัยก่อน”

“ก็ดีนะ...พี่เชื่อว่าพวกท่านต้องชอบว่าแต่ตอนนี้ยังหนูหิวหรือยังคะ”

“ยังเลยค่ะปลื้มใจจนลืมหิว แต่...มีเราสองคนกับคุณอัย แล้วทำไมจัดอาหารมากมายขนาดนี้ล่ะคะ”

“ไม่มากหรอก...พี่ว่าก็พอดีแล้วเดี๋ยวก็มีคนมากินด้วย” คำพูดและรอยยิ้มทิ้งปริศนาสะกดให้แทนดาวนิ่งเหมือนต้องการให้ขยายความต่อแต่วินาทีต่อมาไฟฟ้าทั้งหมดดับพรึ่บพร้อมกันเหมือนมีใครไปถอดปลั๊กเหลือเพียงโคมสนามจุดเล็ก ๆ พอให้แสงสลัว แทนดาวตกใจมากจนยึดมือของเขาไว้แน่น แล้วอึดใจต่อมาก็ปรากฏว่ามีไฟฟอลโล่ดวงใหญ่สาดมาจากตรงไหนสักแห่งมาหยุดที่ร่างทั้งคู่

“แทนดาวครับ...”

สิ้นเสียงทุ้มนุ่ลนวลร่างสูงแข็งแกร่งราวหินผาทรุดลงอยู่เบื้องหน้าร่างอรชรใช้เพียงเข่าคุกคู้อยู่บนพื้นไม้ แผ่นหลังตั้งตรงคงความสง่าใบหน้าคร้ามคมสีทองแดงเนียนละเอียดแหงนเงยเพื่อสบนัยน์ตาดำขลับดุจท้องฟ้ายามค่ำคืนของสตรีที่รักนัยน์ตาสีเหล็กเป็นประกายระยิบแล้วขยับริมฝีปากช้า ๆ เอื้อนเอ่ยบางสิ่งด้วยน้ำเสียงที่อ่อนหวานแต่ชัดถ้อยชัดคำนัก

“ตลอดทั้งชีวิตนี้พี่ไม่เคยคุกเข่าให้ใครแต่ที่กำลังทำอยู่ก็เพื่อต้องการขอ...ขอแทนดาวโปรดกรุณาให้ชลธีได้โอบกอดดาวดวงน้อยเอาไว้ด้วยใจที่มีแต่รักแท้ไปตลอดชีวิตขอให้ชลธีได้ใช้เวลาที่เหลืออยู่ชั่วชีวิตนี้...ดูแลแทนดาวเพียงผู้เดียว”

น้ำเสียงหวานปานพิณสวรรค์กังวานแจ่มชัดน้ำใสไหลเอ่อคลอหน่วยนัยน์ตาดำขลับดังนิลกาฬแล้วไม่นานก็หยาดหยดแทนดาวสังเกตเห็นประกายจุดเล็กบางอย่างที่มือข้างหนึ่งของบุรุษที่ทรุดตัวอยู่เบื้องหน้าทีแรกคิดว่าเป็นแสงสะท้อนหยดน้ำตาของตัวเองที่ร่วงลงไปต้องมือของเขาแต่เมื่อมองดูดี ๆ มันคือประกายวาววามจากเพชรเม็ดงามบนเรือนวงทองคำสุกอร่าม

“ตลอดทั้งชีวิต...แทนดาวไม่เคยให้ใครก้าวเข้ามาในรั้วหัวใจมีเพียงแต่ชลธีเท่านั้นที่แทนดาวยอมวางใจและกล้าเปิดประตูต้อนรับชีวิตของน้องพลูนับแต่นี้ต่อไป...ขอได้รับการปกป้องดูแลจากพี่ชล ขอให้ทะเลแห่งนี้เป็นผู้นำทางดวงดาวหัวใจทั้งดวงของน้องพลู...จะผนึกเป็นหนึ่งเดียวกับพี่ชลนับจากวินาทีนี้”

“ขอบคุณครับ...แทนดาว...my May lily”

ชลธีบรรจงสวมแหวนเพชรบนนิ้วนางกลมกลึงข้างซ้ายเพชรสีขาวน้ำใสแวววามล้อเล่นกับแสง ไฟฟอลโลว์ดวงใหญ่ดับลงเมื่อแหวนวงนั้นประดับบนนิ้วเรียวเรียบร้อยจากไฟทุกดวงก็สว่างเหมือนเดิม มีเสียงวิ่งซอยเท้าดังใกล้เข้ามาตรงที่ทั้งคู่อยู่ แทนดาวหันกลับไปมองแล้วก็ต้องอุทานด้วยความตกใจ

“ปูนแดง! มาด้วยเหรอเนี่ย”

“ลุงชล...ให้อาปู”เด็กชายภาพฟ้าวิ่งเร็ว ๆ มาหา ในมือเล็กจิ๋วถือมงกุฎดอกลิลลี่ ออฟ เดอะ วัลเลย์สีขาวบริสุทธิ์

“เก่งมากเลยนะปูนแดง...ขอบคุณครับ”ชายหนุ่มหอมแก้มหลานชายเป็นรางวัลแล้วเด็กชายก็วิ่งกลับไปหาคุณแม่ที่ยืนรวมตัวอยู่กับคนอื่นๆ ไม่ไกลกัน ชายหนุ่มวางมงกุฎดอกไม้สดลงบนศีรษะเล็กได้รูปพวงดอกไม้ทรงระฆังคว่ำประดับลงบนกลุ่มผมยาวสลวยดำขลับอย่างงดงามจากนั้นเสียงปรบมือจากกองเชียร์ที่แอบซ่อนตัวมาทั้งวันก็ดังขึ้นแทนดาวตื้นตันจนกลั้นน้ำตาไม่อยู่อีกต่อไป

“พี่หมากอ่ะ....พี่หมากก็ร่วมมือกับพี่ชลหลอกน้องพลู”เสียงเล็กกระเง้ากระงอดกอดพี่ชาย

“โอ๋...ไอ้ชลน่ะสิมันใช้อำนาจการเป็นพี่เขยบังคับ พี่อยากแกล้งน้องพลูเมื่อไหร่กัน”

“แล้วนี่มากันตั้งแต่ตอนไหนคะคุณย่าก็มา ม๊าหลีก็มา ยกตระกูลกันมาเลยนะเนี่ย มิน่าล่ะ...น้องพลูก็ว่ามันแปลก ๆที่ไม่เห็นมนุษย์หน้าไหนเลยตอนมาถึงนี่อ่ะ”

“ฮ่า...ฮ่าก็ออกไล่หลังเรามานั่นแหละ สีผึ้งกับเฮียบุ้งอยากมาด้วยใจจะขาด แต่ติดที่ว่าแม่ตุ๊กตาจีนสองคนยังเล็กนักก็เลยดูถ่ายทอดสดเอา”เทียมภพเล่าอย่างอารมณ์ดี

“หา...มีถ่ายทอดสดด้วยเหรอ”แทนดาวแหงนหน้ามองบนฟ้าก็เห็นโดรนติดกล้องบินอยู่ ไหนจะมีแทนขวัญที่รับอาสาถ่ายคลิปวิดิโอ

“น้องพลูตอบตกลงแต่งงานกับฉันแล้วแกมีปัญหาอะไรขัดข้องอีกไหม...ไอ้พี่เขย” ชลธีดึงตัวหญิงสาวมาโอบไว้แล้วตะโกนถามคนที่มียศเป็นพี่เขย

“แล้วมึงจะรอเรือเกลือหรือไง ? รีบไปแต่งขันหมากมาสิโว้ย!”



Create Date : 05 มิถุนายน 2559
Last Update : 5 มิถุนายน 2559 17:40:29 น.
Counter : 243 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

อิสวารายา
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



ถ้าย้อนกลับไปเมื่อปี 2007 นักเขียนหน้าใหม่นามปากกาว่าอิสวารายาได้ถือกำเนิดขึ้นพร้อมๆกับนวนิยายรักอบอุ่นหัวใจเรื่อง ปลูกรักในรั้วใจ จำได้ว่าเมื่อ 9 ก่อนนั้นนวนิยายเรื่องยาวนี้เป็นที่นิยมของแฟนนักอ่านที่น่ารักหลายท่าน เนื้อเรื่องได้ดำเนินมาถึงตอนใกล้จบแต่ writer ก็หยุด update ต่อจนจบเนื่องจากเกิดเหตุคอมพิวเตอร์ขัดข้อง เนื้อหาที่เป็นต้นฉบับไม่สามารถเรียกมาได้ ก็เลยหมดกำลังใจที่จะนั่งพิมพ์ใหม่ เนื้อเรื่องที่ได้ post ไว้ทั้ง 3 pages (Dek-D, Bloggang, Jamsai) ก็ไม่เหมือนฉบับ rewrite ที่ได้วางพลอตเอาไว้จนถึงตอนอวสาน พอทิ้งไปนานๆเข้าก็เริ่มไม่มีเวลาเพราะยุ่งกับงานรวมถึงการศึกษาต่อ

จนกระทั่งวันนี้ ผ่านไปแล้ว 9 ปี ก็คิดถึงปลูกรักในรั้วใจขึ้นมา เลยลอง search ใน google ก็ยังพบว่าปลูกรักในรั้วใจยังคงอยู่ ประกอบกับมีนักอ่านบางท่านยังคงมา comment อยู่ อิสวารายาก็รู้สึกผิดและคิดว่าควรจะสานต่อปลูกรักในรั้วใจให้สมบูรณ์เสียที ให้สมกับที่แฟนนักอ่านรอคอยให้น้องพลูกับพี่ชลกลับมา ดังนั้นจึงนั่ง copy เนื่อเรื่องจากเวบเอามาเขียนใหม่ โดยอิสวารายาเริ่มหยิบเนื้อหามาค่อยๆ rewrite ใหม่ตั้งแต่เดือน พ.ย. 58

น้องพลูกับพี่ชลกำลังจะกลับมา พร้อมกับเนื้อหาที่ปรับแต่งใหม่ให้เข้ากับยุคสมัย นอกจากนั้นยังพิ่มบท ตัวละคร เพื่อให้มีอรรถรสมากขึ้น

นวนิยายเรื่องนี้จะได้รับการตีพิมพ์หรือไม่นั้นไม่สำคัญ แต่อิสวารายาคิดถึง น้องพลู พี่หมากและพี่ชล และต้องการให้พวกเขากลับมา มาร่วมสร้างความรัก ความอบอุ่น กับนวนิยายรักน่ารักเรื่องนี้กันใหม่อีกครั้งนะคะ

รักและคิดถึงที่สุด
อิสวารายา
20 ก.พ. 2559
New Comments
  •  Bloggang.com