ตอนที่ 32 <ทางที่เลือกเอง>
ตอนที่ 32 ทางที่เลือกเอง

รมย์นลินกรีดร้องด้วยความตกใจสุดขีดก่อนที่สติทั้งหมดจะดับวูบลงไปตรงนั้น ชลธีหันมามองน้องสาวตัวเองที่ทรุดร่วงลงไปกองกับพื้นด้วยความตกใจเช่นกัน สายตาเยือกเย็นส่งประกายวาบก่อนจะลดปืนลงแล้ววางทิ้งไว้แถวนั้นรีบไปประคองน้องสาว ขณะเดียวกันเป้าสังหารถึงกับเข่าอ่อนทรุดตัวลงนั่งคุกเข่ากับพื้นหญ้า ดวงตาตะลึงจับจ้องร่างบางที่นอนสลบไสลไม่ได้สติในอ้อมกอดของพี่ชาย
เทียมภพคิดว่าตัวเองคงจะตายไปแล้วพร้อมกับเสียงปืนดังก้องสะท้าน หากแต่วิถีกระสุนไม่ได้เล็งมาที่ตัวเองแต่อย่างใด ลูกเหล็กร้อนจากอาวุธปืนพุ่งแหวกอากาศขึ้นไปบนฟ้า ชลธีไม่ยิงเขา...เทียมภพไม่เข้าใจว่าทำไมอีกฝ่ายถึงได้เปลี่ยนใจในวินาทีสุดท้าย ทั้งที่ก่อนนั้นสายตาเยือกเย็นและโหดร้ายแสดงถึงความตั้งใจเต็มที่ในการปลิดชีวิตคนที่ได้กระทำล่วงเกินต่อน้องสาว แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็แล้วแต่...อย่างน้อยตอนนี้เขาก็ยังมีชีวิตอยู่เพื่อแก้ไขความผิดพลาดที่ได้กระทำลงไป
“พาเธอเข้าบ้านสิ!” พอตั้งสติได้เทียมภพก็พาตัวเองเดินเข้าไปหาเพื่อนที่กำลังเขย่าตัวเรียกสติน้องสาว
“ไม่ต้องยุ่ง!” คนถูกสั่งหันมาตวาดก่อนจะอุ้มร่างบางอ่อนปวกเปียกเข้าไปในบ้าน เทียมภพมองตามไปด้วยความเป็นห่วงกลัวว่ารมย์นลินจะเป็นอะไรไป
“แฟงจ๋า...แฟงตื่นสิ” ชลธีวางร่างน้องสาวลงบนโซฟาตัวยาวแล้วตะโกนเรียกให้สาวใช้นำอุปกรณ์ปฐมพยาบาลมาให้ พยายามเรียกสติน้องให้กลับคืนมาหลายครั้งแต่ร่างบางยังคงนอนแน่นิ่ง ใบหน้าซีดเผือดขาวราวกระดาษทำให้เทียมภพเริ่มใจเสีย หากเกิดอะไรขึ้นกับรมย์นลินแล้ว...ให้เขาตายไปเสียยังดีกว่า
“หลบไป!” เทียมภพอดรนทนยืนดูต่อไปไม่ได้ก็สั่งเสียงกร้าว ความร้อนใจที่สุมทรวงอยู่ตอนนี้ไม่อาจบังคับให้เขาเพิกเฉยต่อร่างที่นอนสลบแน่นิ่ง
“ฉันบอกให้แกกลับไปไง!” ชลธีตาขวาง หากคนถูกไล่ไม่ได้ใส่ใจกับอาการโกรธเลือดขึ้นหน้านั้น มือหนากระชากตัวอดีตเพื่อนกึ่งเหวี่ยงจนกระเด็นออกไปแล้วช้อนร่างหมดสติมากอดในอ้อมแขน
“แกอย่าได้แตะต้องน้องฉันอีกเป็นอันขาดนะ!” คนถูกเหวี่ยงรีบถลาตัวเขามาหมายจะขัดขวางคนที่ทำท่าจะเข้าไปลวนลามน้องสาว
“แกนั่นแหละเงียบไปเลย!” สิ้นเสียงตวาดห้ามปรามก็ก้มหน้าลงปฐมพยาบาลด้วยวิธีผายปอด ชลธีโมโหเดือดอีกครั้งจะเข้าไปยื้อแย่งตัวน้องสาวกลับคืนมา แต่วินาทีเดียวกันนั้นร่างบางที่นอนนิ่งก็ค่อยๆลืมตาขึ้นช้าๆ หน้าตาเริ่มมีสีเลือดขึ้นมาบ้าง
“แฟงตายไปแล้วใช่ไหมคะ? ถึงได้เห็นคุณหมากอยู่ตรงนี้” มือน้อยค่อยๆลูบไล้ไปตามใบหน้าและไรคาง สับสนมึนงงกับว่าอยู่ที่ไหนกันแน่ระหว่างโลกแห่งความเป็นจริงกับโลกแห่งความตาย
“ไม่จ้ะ...ไม่มีใครตายทั้งนั้น ผมยังไม่ตาย แฟงจ๋า...เรายังอยู่” เทียมภพยิ้มบางๆให้รมย์นลินที่ที่ยังมองอย่างไม่แน่ใจ มืออุ่นจับมือเย็นเฉียบที่กำลังลูบสำรวจใบหน้าของตนมาจุมพิตและเลยไปยังหน้าผากขาวซีด เนื้อตัวนุ่มนิ่มเริ่มอุ่นจนเข้าสู่อุณหภูมิปกติทำให้ใจชื้นเมื่อในที่สุดหล่อนก็ปลอดภัย
“คุณหมาก...ยังอยู่จริงๆด้วย”
“จ้ะ...ผมยังอยู่” หญิงสาวโผเข้ากอดคอแนบแน่น ลืมความเกลียดชังทั้งหมดที่เขาได้กระทำเอาไว้ รู้ตัวแล้วว่าแค่มีเขาอยู่...ไม่ว่าจะร้ายหรือดี จะมีใจให้หรือไม่ ก็พอใจแล้วที่เห็นเทียมภพอยู่บนโลกใบนี้ ยืนอยู่บนผืนดินแผ่นเดียวกัน

ชลธีมองภาพนั้นด้วยความรู้สึกพูดไม่ออกบอกไม่ถูก เห็นรมย์นลินรักเทียมภพจริงๆชนิดพร้อมมอบกายถวาย
ชีวิต ที่สำคัญก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าฝ่ายนั้นเองก็ดูเหมือนจะคิดเหมือนกัน จากการที่สังเกตเห็นแววอ่อนโยนและห่วงใยเปิดเผยยามมองร่างในอ้อมกอด มั่นใจได้ว่ามันมาจากใจไม่ได้เสแสร้งและมั่นใจว่าอดีตเพื่อนรักคนนี้มีใจให้น้องสาวอยู่เต็มเปี่ยมเช่นเดียวกัน
ร่างสูงหันหลังกลับเข้าไปในห้องหนังสืออีกด้านหนึ่งโดยไม่ลืมสั่งแม่บ้านให้ยกบรั่นดีกับกับแกล้มตามเข้าไปด้วย ทิ้งให้สองคนนั้นได้ดื่มด่ำกับความรู้สึกที่ถ่ายทอดให้กันและกัน เขาไม่อาจบังคับใจใครได้ หากรมย์นลินเลือกที่จะรักผู้ชายคนนี้ก็ไม่มีสิทธิ์เข้าไปขัดขวาง ดูแต่เมื่อกี้เถอะ...แค่เล็งปืนใส่ไอ้ตัวบ้าเลือดก็ถึงกับหมดสติไม่รู้เรื่องราว แล้วนี่ถ้าตัดสินใจปลิดชีวิตมันจริงๆล่ะก็...คงได้สูญเสียน้องสาวแถมไปอีกคนแน่ๆ
“แฟงตกใจแทบแย่ คุณหมากรู้ไหม?” พอคลายจากอาการหวาดหวั่นแล้วรมย์นลินก็อิงอกเขา เทียมภพเกยคางบนกลุ่มผมสวย กอดรัดร่างเล็กเอาไว้แนบอกด้วยความรักลึกซึ้ง
“ผมก็คิดว่าตัวเองคงตายไปแล้ว ไอ้พี่คุณแม่งเล่นแรงชิบ!” เขาสบถด่าคนที่นั่งซดเหล้าเคล้าน้ำตาอยู่เดียวให้ห้องถัดไป รมย์นลินยิ้มบางๆที่จับเนื้อเสียงได้ว่าเป็นการพูดยั่วเย้ามากกว่าโกรธแค้น
“แฟงกลัวมากเลย เวลาพี่ชลแกโกรธจัดจนขาดสติก็เหมือนซาตานดีๆนี่เอง”
“ถ้าผมต้องตายจริงๆ คุณจะรู้สึกยังไง?”
“ถามอะไรอย่างนั้นคะ แค่นี้คุณยังไม่รู้อีกเหรอ?” ร่างเล็กผละออกจากอ้อมกอด น้ำเสียงฟังดูน้อยอกน้อยใจจน เทียมภพต้องรีบรวบตัวเข้ามาใหม่อีกครั้งพร้อมเชยคางเล็กให้ขึ้นมาสบตา
“รู้มานานแล้ว...แต่ผมชอบให้แฟงพูดออกมานี่นา ฟังจากปากน่ะ...รู้สึกดีกว่าให้เดาเอาเองเยอะแยะ” เขาเย้าพลางกดจมูกกับแก้มนวลฟอดใหญ่ รมย์นลินฟาดเพี๊ยะเข้าให้ฐานที่ทำรุ่มร่ามไม่ถูกกาลเทศะ
“นี่บ้านแฟงนะคะ...พี่ชลก็อยู่ ทำอะไรระวังหน่อยซี่...เมื่อกี้ยังไม่เข็ดอีกเหรอ?”
“แล้วไง...ก็ผมรักเมียผมนี่นา เป็นอันว่าเรื่องนี้รู้ถึงหูพี่ชายคุณแล้ว งั้นก็ไม่มีอะไรที่ต้องลังเลอีกแล้วนะแฟง ผมจะพาญาติผู้ใหญ่ไประยอง ไปเจรจากับคุณอาวารี” เทียมภพว่าพลางจุมพิตมือนุ่มหนักหน่วง รมย์นลินรู้สึกเก้อกระดาก นึกมโนภาพคนเจ้าชู้กะล่อนนั่งเอี้ยมเฟี้ยมต่อหน้าพวกผู้ใหญ่แล้วพูดจาสู่ขอต่อหน้าสักขีพยาน คงดูพิลึกที่คนแข็งๆอย่างเทียมต้องทำอะไรเป็นพิธีการขนาดนั้น
“ถ้าจะให้พูดจริงๆ...แฟงเองก็ไม่ต้องการอะไรมากนะคะ แค่เรียนให้ผู้ใหญ่ท่านทราบก็น่าจะพอแล้ว พิธีการอะไรคงไม่สำคัญ”
“ไม่ได้หรอก...ผมอยากทำให้ทุกอย่างมันถูกต้อง ถึงจะข้ามขั้นตอนสำคัญไปแล้วก็เถอะ” เขาตอบตาพราว คนฟังเลยเขินจนหน้าแดงก่ำ
“คนอย่างเทียมภพ จะแต่งเมียทั้งทีจะมาทำงุบงิบ แอบซ่อนก็ใช่เรื่อง ผมจะให้เกียรติคุณที่สุดเท่าที่จะทำได้ อย่าสงสัยในตัวผมอีกเลยนะว่าทำไปเพราะความจำใจหรือเปล่า...ผมรักคุณจริงๆ” ชายหนุ่มยืนยันคำพูดด้วยจุมพิตหนักๆที่แก้มอีกครั้ง
“ไม่ต้องรีบหรอกค่ะ แฟงไม่อยากทำอะไรปุบปับ”
“ก็ผมอยากแต่งงานกับคุณเร็วๆนี่นา อยากอยู่ด้วยกันเร็วๆ” เขาว่าพลางกอดร่างเล็กแนบแน่น ความสุขล้ำลึกแผ่ซ่านไปทั่วหัวใจของทั้งคู่ รมย์นลินซบหน้ากับอกอุ่นที่มั่นใจได้ว่าจะสามารถฝากชีวิตนี้ไว้ได้ เพียงเขาบอกว่า ‘รัก’ แค่นี้ก็ปลื้มใจหนักหนา หากแต่ความพะวงก็ยังไม่หมดไปจากใจ แม้ว่าคนสองคนจะใจตรงกันแต่ปัจจัยภายนอกอื่นๆก็เป็นเรื่องหนึ่งที่ต้องคำนึงถึงด้วยเช่นกัน
“น้องพลูล่ะคะ? เธอรักคุณมาก เธอจะยอมหรือเปล่าถ้า...เราจะลงเอยกัน?” น้ำเสียงบ่งบอกความกังวล เทียมภพ
คิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนตอบ
“ผมว่าน้องพลูเองก็ชอบคุณ ไม่น่าจะมีปัญหานะ” แม้ปากจะบอกว่าไม่มีปัญหาแต่ก็อดกังวลใจไม่ได้ แทนดาวจะรู้สึกอย่างไรเมื่อรู้ว่าเขากำลังจะแต่งงาน สิ่งที่น้องสาวคนเดียวคนนี้กลัวมาตลอดชีวิตก็คือการที่แย่งความรัก กลัวว่าจะรักผู้หญิงคนอื่นมากกว่า นี่ก็เป็นอีกเหตุผลที่เขาไม่เคยคบใครระยะยาวสักทีตั้งแต่แตกเนื้อหนุ่มมา
“แฟงว่ารอดูไปก่อนดีไหมคะ? อย่าเพิ่งทำอะไรเลย รอให้น้องพลูเรียนจบก่อนก็ได้ค่ะ แล้วค่อยพูดเรื่องนี้”
“ไม่ได้หรอก...เกิดคุณท้องแล้วล่ะ?” เทียมภพพูดตรงๆเล่นเอาคนฟังหน้าชา
“จะบ้าหรือไง! คะ...แค่ครั้งเดียวเองนะคะ คงไม่...” หญิงสาวอึกอักไม่กล้าพูดต่อเพราะความกระดาก เทียมภพหัวเราะเบาๆแล้วพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ว่าได้เหรอ? ผมน่ะออกจะแข็งแรงขนาดนี้ แล้ววันนั้นก็...ไม่ได้ป้องกันซะด้วยสิ” รมย์นลินพยายามหลบสายตาฉ่ำเยิ้มที่กำลังทอดมองมา พอลองตรองดูอีกทีแล้วไอ้ที่เขาบอกก็อาจจะมีความเป็นไปได้
“ไม่ต้องห่วงนะแฟง ผมจะอธิบายให้น้องพลูเข้าใจ แต่สิ่งที่ยืนยันได้ตอนนี้ก็คือ...ผมจะจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อยโดยเร็วที่สุด ผมมีโอกาสรอดชีวิตคราวนี้ก็เพราะความรักที่มีต่อคุณ งั้นก็จะใช้โอกาสนี้แหละ...แก้ไขข้อผิดพลาดที่เคยทำเอาไว้ คุณไม่ใช่ผู้หญิงคนแรกของผมก็จริง แต่สาบานเลยว่าจะเป็นคนสุดท้าย...ขอให้ไว้วางใจผมอย่างเดียวก็พอ” รมย์นลินพยักหน้าก่อนจะเงยขึ้นตอบรับจุมพิตนุ่มนวลที่เขาบรรจงมอบให้แทนคำมั่นสัญญา

คุณลำเภามองหลานชายคนโตและ ‘ว่าที่หลานสะใภ้ใหญ่’ ด้วยใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มแทบจะตลอดเวลาไม่ต่างจากคุณเที่ยงธรรมกับคุณดวงทิพย์ เทียมภพตัดสินใจพารมย์นลินเข้ามาแจ้งข่าวดีกับท่านทั้งสามซึ่งทุกคนออกจะดูตกใจเล็กน้อยที่จู่ๆทายาทคนโตของบ้านนัดให้มารวมตัวกันในเย็นวันหนึ่ง บอกว่ามีเรื่องสุดยอดแห่งความประหลาดใจจะบอก หลังรับประทานอาหารเย็นเรียบร้อยก็จูงมือรมย์นลินมานั่งอยู่ท่ามกลางวงล้อมของพวกผู้ใหญ่ รมย์นลินออกจะดูมีความสุขล้นเหลือจนเปล่งประกายออกมาทางใบหน้า
“อย่าถามเลยครับว่าเราเกิดต้องตาต้องใจกันตั้งแต่เมื่อไหร่ เอาเป็นว่าที่ผมมาเรียนให้ทราบก็เพราะว่าเราสองคน...พร้อมแล้วครับ” น้ำเสียงมุ่งมั่นที่ออกมาจากปากทายาทคนโตทำเอาหลายคนอดปลื้มไม่ได้ ฝ่ามืออุ่นจัดกอบกุมมือบางเอาไว้ไม่ยอมปล่อยราวกับจะให้คำมั่นว่าจะไม่มีวันปล่อยมือนี้ออกไปจากชีวิตเด็ดขาด
“นี่พ่อหูฝาดไปหรือเปล่า เราน่ะนะ...จะมีเมีย?” คุณเที่ยงธรรมแกล้งแหย่แล้วหัวเราะชอบใจ คนอื่นๆเลยพลอยขำไปด้วย
“โธ่!...พ่อครับ ถึงผมจะเป็นยังไงมาก่อนแต่นั่นก็เป็นอดีตไปแล้วนะครับ ตอนนี้ผมอยากจะมีชีวิตคู่จริงๆจังๆซะที...พ่อต้องช่วยผมนะ”
“เกินความคาดหมายจริงๆนะ...นึกว่าจะผูกกับบ้านนั้นด้วยคู่เจ้าพลู ที่ไหนได้มีคู่เจ้าหมากแถมมาด้วย ยังงี้ก็แน่นแฟ้นขึ้นอีกชั้นสินะ” คุณลำเภากล่าวอย่างพออกพอใจ
“แฟงก็...แล้วแต่คุณย่า คุณลุง คุณป้าจะพิจารณาค่ะ” รมย์นลินพูดอย่างประหม่า
“ป้าดีใจที่น้องแฟงจะมาเป็นลูกสาว หมากจะได้มีคนเอาไว้เกรงใจเสียที” คุณดวงทิพย์ตอบพลางบีบไหล่ว่าที่ลูกสะใภ้เป็นเชิงให้กำลังใจซึ่งนั่นก็ทำให้รู้สึกอบอุ่นขึ้นมากมาย
“แล้วนี่น้องพลูรู้เรื่องหรือยังล่ะ?” คำถามของบิดาทำให้สองคนมองหน้ากันอย่างกังวล
“ตรงนี้แหละครับสำคัญที่สุด ถึงต้องขอความช่วยเหลือจากทุกคนไงครับว่าอย่าเพิ่งบอกเรื่องนี้กับน้อง เราสองคนตกลงกันแล้วว่าจะรอให้น้องเรียนจบซะก่อนค่อยจัดงาน”
“ไม่เข้าท่า! เจ้าพลูมันโตพอที่จะแยกแยะเหตุและผล มัวแต่มาถนอมกันอย่างนี้เมื่อไหร่มันจะเลิกเอาแต่ใจกันล่ะ
อีกอย่างก็เห็นสองคนนี้สนิทกันดีอยู่แล้วนี่นะ ไม่น่าจะติดขัดตรงไหน” คุณลำเภาคัดค้านความคิดที่ไม่ค่อยสร้างสรรค์ของหลานชาย
“แฟงเห็นด้วยกับคุณหมากนะคะ น้องพลูผูกพันกับคุณหมากมาก แฟงไม่อยากรีบเข้ามาทำให้เธอรู้สึกว่ากำลังจะถูกแย่งของรัก”
“เหลวไหล! เอาไว้แม่จะพูดกับใบพลูเอง” คุณดวงทิพย์ตัดบทและยื่นคำขาดไปในคราวเดียวกัน
“แม่ครับ...ถือว่าผมขอร้อง อีกไม่กี่เดือนน้องพลูจะเรียนจบแล้ว ระหว่างนี้ก็ต้องรบกวนคุณพ่อให้ไปพูดกับคุณอาวารี จะดูฤกษ์ดูยามเอาไว้ก่อนก็ได้...ผมไม่ค่อยถนัดหรอกเรื่องพวกนี้”
“แต่พ่อไม่เห็นเหตุผลว่าต้องทำอย่างนี้เลยนะลูก จะรอทำไมในเมื่อลูกบอกเองว่าพร้อมแล้ว”
“เถอะครับพ่อ...ผมรักน้องพลูที่สุด ไม่อยากทำให้น้องว้าวุ่น ไหนจะต้องกังวลเรื่องไอ้ชลแถมยังมีเรื่องผมพ่วงเข้ามาอีก” ถึงจะรอดชีวิตจากเงื้อมมืออดีตเพื่อนแต่ก็ยังไม่วายเหน็บ รมย์นลินเลยต้องแอบหยิกสีข้างเตือนสติ
“พูดถึงเรื่องคุณชล...ไหนๆหมากกับหนูแฟงก็ตกลงปลงใจกันแล้ว ย่าว่าจัดงานพร้อมกันเสียเลยดีไหม?”
“ไม่ได้นะครับคุณย่า ผมยังไม่ยอมให้น้องพลูแต่งงานเด็ดขาด ผมแต่งคนเดียวพอ” คนพูดทำเสียงขึ้นจมูกทำให้รมย์นลินต้องค้อนขวับ
“อะไรกันเจ้าหมาก? จะมีลูกเมียแล้วยังไม่เลิกหวงน้องอีก ใจคอจะปล่อยให้มันขึ้นคานรึไง?”คุณย่าว่าหลานชายคนโต
“โธ่! ย่าครับ...ถ้าผมเห็นสมควรแก่เวลาเมื่อไหร่ก็เมื่อนั้นแหละครับ แต่ตอนนี้ผมอยากให้น้องพลูอยู่กับเราก่อน เอาไว้ช่วยเลี้ยงลูกผมไง จริงไหมจ๊ะแฟง?” เขาหันมาขอความคิดเห็นคนนั่งข้างๆ เลยได้ตาเขียวๆแทนคำตอบ
“ตามใจ...พ่อไม่อยากขัดใจลูก ถ้าเราสองคนเห็นชอบแบบนี้พ่อก็ไม่ว่าอะไร ถ้าอย่างนั้นเราคงต้องหาเวลาไประยอง ไปพูดกับคุณวารีไว้ก่อน”
“ไม่ต้องลำบากหรอกค่ะ คุณแม่จะขึ้นมากรุงเทพทุกเดือนอยู่แล้ว”
“งั้นก็ดี...ระหว่างนี้หมากก็ดูแลหนูแฟงดีๆ แล้วอย่าได้ทำอะไรฉาบฉวยให้เสียมาถึงเราได้ล่ะ ไม่งั้นพ่อจะแพ่นกบาลแกเอง” คุณเที่ยงธรรมกำชับบุตรชายแล้วทุกคนก็หัวเราะขึ้นพร้อมกัน เทียมภพอาศัยจังหวะนั้นกระซิบข้างหูรมย์นลินจนคนฟังขนลุกเกรียว
“ไม่ทันแล้วล่ะครับพ่อ”
แต่นาทีต่อมาเสียงหัวเราะก็เงียบสนิทเมื่อน้องคนเล็กที่ทุกคนกำลังพูดถึงเดินเข้ามาพร้อมโน้ตเพลงที่แต่งขึ้นเองมาอวดครูสาว ดวงตาทรงอัลมอนด์ฉายประกายกังขาขณะกวาดตามองทุกคนจนมาหยุดตรงพี่ชายกับคุณครูที่นั่งกุมมือกันอยู่บนพื้น ปฏิกิริยานั้นทำให้รมย์นลินรีบดึงมือออกมาประสานไว้บนตักอย่างเดิม
“น้องพลูได้ยินว่าใครจะแต่งงานกันเหรอคะ?”
“หนูกำลังจะมีพี่สะใภ้แล้วนะน้องพลู...ดีใจไหมคะ?” คุณดวงทิพย์บอกลูกสาวแต่ไม่มีเสียงตอบรับใดๆนอกจากการหันหลังกลับแล้ววิ่งออกไปจากตรงนั้นทันที รมย์นลินหน้าสลดลงทันควัน
“เดี๋ยวผมไปคุยกับน้องเองครับ” เขาหันมาบอกพร้อมกับบีบไหล่รมย์นลินอย่างให้กำลังใจแล้วรีบวิ่งตามน้องสาวที่มายืนสงบสติอารมณ์ในศาลาแปดเหลี่ยม
“พี่หมาก...จะแต่งงานกับพี่แฟงจริงๆหรือคะ?” เสียงสั่นน้อยๆปนหอบหายใจทำให้เทียมภพใจคอไม่ดี จริงอยู่ว่าน้องสาวสนิทกับรมย์นลินในฐานะที่เป็นครู แต่ในฐานะอื่นก็ไม่แน่ใจว่าจะคิดอย่างไร
“คือ...ยังไม่ใช่ตอนนี้หรอกนะจ๊ะ ยังอีกนาน” เทียมภพจับมือทั้งสองข้างของน้องสาวไว้กันไม่ให้ผลุนผลันวิ่งหนีไป
“ทำไมล่ะคะ? ทำไมไม่มีใครบอกน้องพลูเลย! อย่างนี้ก็หมายว่า...อีกไม่นานพี่แฟงก็ต้องเข้ามาอยู่ในบ้านเรา พี่หมากก็จะมีครอบครัวใหม่ แล้ว...” แทนดาวพูดด้วยน้ำเสียงที่คนพี่ตีความว่ากำลังตัดพ้อน้อยอกน้อยใจ
“น้องพลูสบายใจได้เลยนะ ถึงยังไงพี่ก็รักเราเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง ทุกอย่างที่หนูเคยได้...ก็ต้องได้เหมือนเดิม” เทียมภพย้ำหนักแน่นแต่แทนดาวกลับส่ายหน้าราวกับไม่ยอมรับในสิ่งที่ได้ยิน
“ถ้ารักน้องพลู...ทำไมต้องปิดบังกันด้วย เห็นน้องพลูเป็นอะไรคะ? พี่หมากรู้ไหมว่าน้องพลูรอคอยวันนี้มานานแค่ไหน?” แทนดาวพูดต่อเรื่อยๆแต่เทียมภพกลับเริ่มเอะใจกับคำพูด
“รอคอย…หนูหมายถึงอะไรคะ?”
“เอ๊า...ก็น้องพลูเชียร์พี่หมากกับพี่แฟงมาเป็นปี ลุ้นจนหืดขึ้นคอกว่าพี่สองคนจะลงเอยกันได้ โอ๊ย...แฟนคลับ
โล่งอกซะที” คำเฉลยทำให้คนเกิดก่อนตกตะลึงจนเผลอเขย่าตัวน้องสาวหัวสั่นคลอน
“อะไรนะ? ไอ้ที่เราตะบึงตะบอนทำท่างอนตุ๊บป่องนี่ไม่ใช่เพราะโกรธที่พี่จะแต่งงานหรอกรึ?”
“โกรธ? ใครเขาคิดแบบนั้นกันล่ะ น้องพลูแค่ดีใจมากเท่านั้นเอง แล้วที่วิ่งหนีมานี่ก็เพราะกลัวว่าตัวเองจะปล่อยเสียงกรี๊ดจนคุณย่าตกใจต่างหาก พี่หมากนี่นะ...คิดมากไม่เข้าท่า” คนตัวเล็กเอ็ดพี่ชายเสียงดังแล้วทำท่านับนิ้วไล่รายการอะไรบางอย่าง
“เอ...ต้องรีบเตรียมชุดสวยๆสักสี่ห้าชุด ต้องไปดูชุดของ วีร่า แวง ที่ช้อปฮ่องกงด้วยล่ะ ตอนนี้กำลังออกคอลเลคชั่นใหม่ ให้ยัยพวกนั้นมาเป็นเพื่อนเจ้าสาวด้วย แล้วก็ต้องซ้อมเพลงหวานๆเอาไว้เล่นในงานะ พี่หมากต้องซื้อเปียโนหลังใหม่ให้น้องพลูนะ งานช้างแบบนี้ต้องแกรนด์เปียโนเท่านั้น...อัพไรท์ที่ใช้อยู่ไม่ไหวหรอก” เสียงแจ๋วๆร่ายรายการต่างๆให้พี่ชายที่ยังยืนเปื้อนยิ้มแก้มปริฟัง
“โธ่...พี่ก็กังวลว่าเราจะไม่อยากให้แต่งงาน เห็นวันก่อนยังแง๊วๆอยู่เลยว่ายังไม่อยากให้แต่ง”
“ที่น้องพลูพูดวันนั้นนึกว่าพี่หมากจะแต่งกับยัยสิตาหน้าปลอม คิ้วปลิง นมซิลิโคนต่างหากล่ะ ลืมไปว่าพี่หมากเปลี่ยนมาอินเลิฟกับพี่แฟงตั้งนานแล้ว”
“เฮ้อ...ทำเอาพี่หัวหมุนหมดเลยนะ แฟงก็กลัวว่าเราจะไม่ยอมรับเขา” มือหนาลูบผมสลวยของคนเกิดที่หลังอย่างโล่งใจ
“น้องพลูสมหวังต่างหากที่พี่แฟงจะมาเป็นพี่สะใภ้ เธอเป็นผู้หญิงที่เพียบพร้อมที่สุดในความคิดของน้องพลู” แทนดาวจับมืออุ่นที่ประคบประหงมตนมาแต่เยาว์วัยมาแนบแก้ม รู้สึกมีความสุขเหลือล้นที่พี่ชายจะได้มีครอบครัวเสียที “น้องพลูรอวันที่พี่หมากถอดเขี้ยวเล็บลงเอยกับใครสักคนแล้วก็มีหลานเล็กๆ เพราะว่าจะได้เอาเวลาไปทุ่มเทกับครอบครัวให้หมด จนไม่มีเวลามาสะกดรอยตามน้องพลู” คำพูดที่ฟังออกจะซึ้งในตอนแรกแต่หักมุมเอาตอนท้ายทำให้คนฟังอดไม่ได้ที่จะหยิกจมูกเล็กแรงๆ
“ไหงพูดงี้ล่ะยัยตัวยุ่ง ถึงพี่จะมีครอบครัวไปแต่เรายังต้องอยู่บ้านเดียวกัน เพราะฉะนั้น...พี่ก็จะคอยสอดส่องดูแลเราอย่างเดิม” เทียมภพจูบหน้าหน้าผากมนอย่างรักใคร่ รมย์นลินที่ยืนหลบมุมอยู่ไม่ไกลแอบปาดน้ำตาเงียบๆขณะมองภาพสองพี่น้องที่กำลังหัวเราะให้กัน

ชลธีถึงกับปวดหัวหนึบเมื่อผู้ช่วยส่วนตัวมารายงานว่าใครมาขอพบในเวลาแบบนี้ การมาปรากฏตัวที่นี่อีกครั้งของเปรมยุตานำความไม่สบายใจมาเยือนเงียบๆ แต่ถ้าหากปฏิเสธที่จะพบ...หล่อนก็ต้องหาวิธีเข้ามาจนได้อยู่ดี เลยต้องยกเลิกนัดรับประทานอาหารกลางวันกับลูกค้าออกไปก่อน
“คุณมีธุระอะไรกับผมอีกล่ะปราง?” น้ำเสียงราบเรียบเป็นการทักทายที่ทำให้คนฟังนึกน้อยใจอยู่กลายๆ ชลธีทำเหมือนหล่อนไม่มีตัวตน
“ปรางแค่คิดถึงคุณเท่านั้นเองค่ะ ตอนนี้ก็เที่ยงพอดี...งั้นเราไปหาอะไรกินกันดีไหม?” ร่างอรชรเคลื่อนเข้ามาใกล้จนได้กลิ่นน้ำหอมฉุนจัดผสมกลิ่นผิวกายที่คุ้นเคยแต่มิได้สร้างความตราตรึงใจอีกต่อไป มันกลับกลายเป็นสิ่งที่เขาออกจะ ‘รังเกียจ’ เสียด้วยซ้ำ
“ผมไม่สะดวกหรอก ถ้าธุระของคุณด่วนมากจริงๆ...ว่ามาเลยก็ได้” ชายหนุ่มผายมือไปที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้าม เปรมยุตาย้ายตัวเองไปนั่งอย่างว่าง่าย หากแต่แววตาบ่งบอกถึงความถือดีและไม่ได้ลดละความมุ่งมั่นตั้งใจเลย
“ชลจะหลบหน้าปรางอย่างนี้ตลอดไปเลยหรือคะ? ลืมไปแล้วเหรอว่าทำอะไรเอาไว้กับปรางบ้าง”
“ผมว่าเราคุยกันรู้เรื่องแล้วนะปราง ทุกอย่างมันจบไปแล้วนะเท่าที่ผมจำได้”
“คุณก็พูดง่ายๆนี่คะชล ใช่สิ...ตอนนี้คุณคงมีความสุขกับคู่หมั้นเด็กจนลืม ‘เมียหลวง’ อย่างปรางไปแล้ว!” ริมฝี ปากฉาบลิปสติกสีชมพูโพล่งขึ้น
“ผมยังไม่เคยแต่งงานเพราะฉะนั้นก็ยังไม่มี ‘เมียหลวง’ อย่างที่คุณอุปโลกน์ตัวเอง...เสียใจด้วยนะ” นัยน์ตาดุคมจ้องกลับเขม็ง
“ถ้าชลคิดว่ามันจะง่าย...ก็ต้องขอบอกว่าอาจจะผิดหวังนะคะ ปรางจะไม่ยอมให้ ‘ใคร’ มาพรากคุณไปจากปรางอีก” หญิงสาวผุดลุกขึ้นแล้วจะเดินออกไปแต่ชลธีวิ่งไปขวางไว้ ว่าถ้า ‘ใคร’ ในที่นี้หมายถึงแทนดาวแล้วล่ะก็…เขาจะไม่มีวันยอมให้หล่อนทำอะไรบ้าๆแน่
“ปราง! คุณต้องการอะไรน่ะ? คุณทำแบบนี้เพื่ออะไร?”
“เพื่อเราไงคะ ครั้งนึงคุณเคยบอกว่ารักปรางแล้วเราก็มีอะไรกันมาก่อนที่คุณจะรู้จักเธอด้วยซ้ำ แล้วตอนนี้ล่ะคะ... ปรางเป็นอะไร?” หล่อนแผดเสียงใส่หน้าเอย่างไม่เกรงใจ
“ปราง....คุณเองไม่ใช่เหรอ? ที่เป็นฝ่ายเดินไปจากผมเอง”
“ชลไม่เข้าใจ! คิดเหรอว่าปรางอยากจะทำแบบนั้นจริงๆ ปรางรักคุณนะคะชล ถึงตอนนี้ก็ยังรักคุณ!” เปรมยุตาโผเข้ากอดแนบแน่น ชลธีรีบผละออกโดยเร็วเพราะหล่อนไม่ใช่ผู้หญิงที่เขาเคยรู้จักอีกต่อไปแล้ว คนที่เคยรักที่สุดกำลังกลับมาทำร้ายชีวิตของเขาเอง
“เรา ‘จบ’ กันไปนานแล้วนะปราง...ตั้งแต่วันที่คุณฆ่าลูกของผม แล้วไหนจะวันที่คุณเดินจากผมไป คุณคิดบ้างไหมว่าผมจะเสียใจแค่ไหน?” ชลธีกำหมัดแน่น ความรู้สึกบีบคั้นอย่างหนักก่อตัวขึ้นอีกครั้งเมื่อเห็นอีกฝ่ายฟูมฟายร้องไห้ ถ้าเป็นเมื่อก่อนคงจะทนดูอยู่ไม่ได้แน่แต่ว่าตอนนี้เขามีจิตใจที่มั่นคงพอต่อคนๆเดียว
“กลับไปเถอะนะปราง...ผมไปส่งก็ได้”
“เพราะนังเด็กขบเผาะคนนั้น! ชลถึงไม่สนใจใยดีปรางเลย” เปรมยุตาแผดเสียงดังต่อเนื่อง โชคดีที่ห้องทำงานของเขามิดชิดพอที่จะกันเสียงรบกวนต่างๆได้ดีเยี่ยม ไม่งั้นคงต้องมีคนได้ยินและคิดว่ากำลังทำมิดีมิร้ายเปรมยุตาอยู่แน่ๆ
“อย่าเอาน้องพลูมาเกี่ยวนะปราง! อย่าทำตัวเป็นคนที่พูดจาไม่รู้เรื่องนะ”
“แตะไม่ได้เลยหรือคะ?”
“ใช่! เพราะว่าเธอไม่รู้เรื่องอะไรด้วย อย่าได้คิดไปตามรังควาญเธอให้ต้องวุ่นวายใจ”
“เด็กนั่นคงจะสดกว่า...ใหม่กว่าใช่ไหมล่ะ? ชลถึงได้ลงทุนพาไปหมั้นกันถึงระยอง ทิ้งปรางเอาไว้คนเดียวเหมือนของตายไร้ค่า!”
“ผมจะบอกเป็นครั้งสุดท้าย...อย่าเอาน้องพลูมาเกี่ยว” เสียงของเขาเย็นชาพร้อมกับส่งสายตาว่างเปล่าจ้องมอง
ใบหน้าเปื้อนน้ำตาชุ่มฉ่ำ
“ถ้าชลยังดึงดันที่จะปฏิเสธเรื่องของเราอย่างนี้ต่อไปแล้วล่ะก็...ปรางคงต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อเป็นการทวงสิทธิ์ให้ตัวเอง ปรางไม่มีอะไรจะเสียแล้วค่ะชล แต่จะไม่ยอมเสียคุณไปอีกแน่ๆ” ชลธีมองตามร่างระหงที่เดินคอตั้งออกไปช้าๆ เขาเป็นห่วงแทนดาวเหลือเกิน เด็กสาวที่เป็นดังแก้วตาดวงใจของคนทั้งบ้านจะรับมือหรือใช้สติในการจัดการกับปัญหาที่จะเกิดขึ้นได้อย่างไรหนอ
ชายหนุ่มเดินไปเปิดลิ้นชักโต๊ะทำงานหยิบเอาผลการตรวจร่างกายมาคลี่อ่านอีกรอบ แม้มันจะไม่ทำให้ความเคลือบแคลงใจลดลงเท่าใดนักแต่ก็ยังดีกว่าไม่มีหลักฐานอะไรเลยถ้าหากว่าเปรมยุตาต้องการจะใช้เรื่องนี้มาเป็นข้อต่อรอง ถ้าอ่านเกมไม่ผิด...เดาว่าหล่อนคงไม่ได้ต้องการเอาชนะด้วยวิธีการเรียกร้องให้แต่งงานด้วยแน่ แต่อาจต้องการทำให้แทนดาวเข้าใจผิดและเกลียดเขาไปตลอดชีวิต หรือไม่...ก็ทำลายชื่อเสียงของเขาด้วยวิธีอื่น
นัยน์ตากระด้างไล่อ่านทีละตัวอักษรบนกระดาษประทับตราโรงพยาบาลระบุผลการตรวจเลือดว่าพบตัวยาซึ่งเป็นสารประเภทเดียวกับยานอนหลับ ส่วนอีกบรรทัดหนึ่งเขียนด้วยลายมือหวัดๆว่าไม่พบ ‘ร่องรอย’ การมีเพศสัมพันธ์ มุมล่างขวาของจดหมายลงลายเซ็นยุ่งๆของนายแพทย์อชิตะ รัษฎาธร ชลธีพับจดหมายเก็บใส่ซองอย่างเดิมแล้วลุกออกไปสูดอากาศตรงระเบียงด้านนอก มือหนาดึงบุหรี่ต่างประเทศมาสูบผ่อนคลายความหนักหน่วงที่เกาะกินความคิดทั้งมวลขณะนึกทบทวนบทสนทนาระหว่างตนกับอชิตะเมื่อหลายวันก่อน
“ในเบื้องต้นไม่พบ ‘ร่องรอย’ หรือ ‘คราบ’ อะไรที่บอกว่าคุณได้มีเพศสัมพันธ์ไปเมื่อสี่ชั่วโมงก่อน ส่วนผลการตรวจเลือดต้องรออีกวันนะ” อชิตะบอก ‘คนไข้’ ยามวิกาลที่สีหน้าดูผ่อนคลายขึ้นมากเมื่อฟังรายงานผลจากปากหมอหนุ่มมาดเนิร์ด
“แต่จะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม...ถ้าคุณจะใช้ผลการตรวจนี้ไปแจ้งความคงจะไม่ได้ผล เพราะว่าต้องตรวจร่างกายด้วยกันทั้งสองฝ่ายเพื่อหาดีเอ็นเอของคุณจากคู่กรณีด้วย”
“ผมคงไม่แจ้งความอะไรให้วุ่นวาย แค่อยากพิสูจน์ข้อสงสัยเท่านั้น” ชลธีนั่งนิ่ง สายตาจดจ้องมองอชิตะที่กำลังเก็บสเตทโทสโคปกับข้าวของอื่นๆลงกระเป๋าแล้วถามสิ่งที่ค้างคาในใจออกไป
“ทำไมหมอถึงช่วยผม?”
“คำตอบง่ายมากเลย...ก็ผมเป็นหมอ”
“แต่ผม...เคยพูดจาไม่ดีแล้วก็...วางมวยกับหมอด้วย” ชลธีเปลี่ยนสายตามามองมือตัวเองที่สานกันอยู่บนโต๊ะเมื่อระลึกถึงสิ่งที่เคยกระทำกับอชิตะ จนแอบคิดว่าความบาดหมางส่วนตัวอันน่าจะนำมาซึ่งความ ‘เหม็นขี้หน้า’ จนนึกอยากจะกลั่นแกล้งตนคืน
“นั่นมันเรื่องส่วนตัวระหว่างเรา ส่วนเรื่องนี้เป็นเรื่องของสุขภาพร่างกาย คุณเป็นคนไข้...ผมก็รักษาไปตามหน้าที่เท่านั้น อีกอย่าง...ไม่ดีหรือที่จะได้มีหลักฐานไปแสดงให้น้องพลูดูถ้าวันนึงเธอเกิดรู้เรื่องเข้าแล้วเข้าใจผิด” นายแพทย์หนุ่มตอบสบายๆราวกับว่ามันไม่ใช่เรื่องใหญ่โตหนักหนาอะไรแต่คนฟังตาวาวโรจน์
“ถามจริงเถอะ นี่นอกจากจะเป็นหมอแล้ว....ยังรับจ๊อบเป็นนักสืบด้วยหรือเปล่า?”

ทุกอย่างเป็นไปตามที่ชลธีคิดเอาไว้ไม่มีผิด อีกสามวันต่อมาก็ปรากฏพาดหัวข่าวจากเพจข่าวบันเทิงรายหนึ่งโชว์หราอยู่บนหน้าฟีดงเพจโซเชียลชื่อดัง ใบหน้าคมจับจ้องที่จอคอมพิวเตอร์ คิ้วเข้มแทบจะผูกเป็นปมกับมือชื้นเหงื่อกำเม้าส์แน่นขณะคลิกภาพที่ปรากฏบนจอสี่เหลี่ยมดูซ้ำแล้วซ้ำเล่า
“หลุด! คนหน้าคล้ายนักธุรกิจดัง ช. หิ้วสาวขึ้นคอนโด คาดซุ่มเงียบซุกลูก-เมีย” นัยน์ตาดุหรี่มองภาพชายหญิงคู่
หนึ่งที่ยืนนัวเนียกัน แม้จะเห็นหน้าไม่ชัดเจนแต่คนคุ้นเคยกันดีก็คงเดาไม่ยากว่าเป็นเขา ไหนจะชื่อย่อที่บอกใบ้เสียชัดเจนขนาดนี้ นัยน์ตากระด้างไร้อารมณ์ใดๆกวาดอ่านเนื้อข่าวต่อเงียบๆ
“แซ่บซี๊ดจากใต้เตียงเมื่อนักธุรกิจหนุ่มโสดที่เพิ่งประกาศหมั้นหมายกับเด็กสาววัยกระเตาะไปไม่นานเพิ่งจะปูดความลับว่าแอบซุกเมียลับๆไว้ที่คอนโดส่วนตัว ผู้ใกล้ชิดแอบกระซิบแฉว่าคุณ ช. เจ้าของอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่คนนี้มีภรรยาเป็นตัวตนอยู่แล้วแต่ความที่ชอบทำบุญเลยเปิดสถานรับเลี้ยงต้อยเด็กสาวชื่อว่า ‘พืชสมุนไพร’ ด้วยเหตุผลทางธุรกิจ งานนี้ไม่รู้ว่าน้ำพริกถ้วยเก่ากับพืชสมุนไพร...อะไรจะนัวถึงใจคุณ ช. มากกว่ากัน”
“ผมเห็นแล้ว กำลังหาทางจัดการอยู่” ชลธีวางสายจากเพื่อนนักข่าวสายบันเทิงคนหนึ่งแล้วกลับมาดูภาพนั้นต่อ ตั้งแต่หนุ่มน้อยยันหนุ่มมาก...ใช่ว่าจะไม่เคยถูกข่าวคาวพรรค์นี้เล่นงาน เขาคงไม่มานั่งกลัดกลุ้มกังวลให้เสียเวลาทำมาหากินแน่ถ้าเนื้อหาไม่ได้พาดพิงถึงสตรีที่พยายามกันออกไปจากวังวนอุบาทว์นี่ มือหนาครุ่นคิดอยู่สักครู่ก็ต่อโทรศัพท์หาใครคนหนึ่งอย่างรีบร้อน
“ไอ้พวกนี้! ปล่อยมานานจนเหลิง ถ้าพวกแกยังไม่รู้จักชลธีตัวจริง...วันนี้จะได้รู้จัก”
“เทพ...ไปดูหน่อยว่าไอ้คนเขียนข่าวนั่นมันอยู่ที่ไหน แล้วก็ช่วยจัดการให้มันออกไปหาข่าวไม่ได้สักเดือน” เสียงเหี้ยมเกรียมสั่งงานลูกน้องคนสนิทเสร็จก็โยนโทรศัพท์มือถือลงบนโต๊ะอย่างแรงจนมันกระดอนไปชนกองจดหมายร่วงกระจายบนพื้น จากนั้นกดโทรศัพท์บนโต๊ะทำงานต่อเบอร์ภายใน
“คุณนาตาชา...ช่วยติดต่อแอดมินเพจ ‘รู้แล้วแชร์’ บอกว่าให้ลบสกู๊ปข่าวที่เขียนพาดพิงผมออกเดี๋ยวนี้ อ้อ...เก็บภาพกับเนื้อหาส่งให้ทนายไปแจ้งความไว้เลย ถ้าจำเป็นจะต้องใช้เงินช่วยปิดข่าวก็บอกทันที” พอวางสายไม่ถึงครึ่งนาทีเสียงเรียกเข้าจากโทรศัพท์เครื่องเดิมก็ดังขึ้นอีก
“ว่าไงคุณนุช?”
“คุณเทียมภพมาขอพบค่ะ” ชลธีสบถเบาๆในลำคอแล้วเดินปึงปังออกไปพบกับเพื่อนเคยสนิทที่นั่งเคาะนิ้วรออยู่ในห้องรับแขกอย่างใจเย็นเหลือเชื่อ บนโต๊ะมีกระดาษสองสามแผ่นวางอยู่คู่กับถ้วยกาแฟควันโชยกรุ่น ฝ่ายนั้นส่งสายตาเยือกเย็นจับจ้องมองบุรุษผู้ซึ่งครั้งหนึ่งได้สาบานเป็นเพื่อนตายตั้งแต่ก้าวเข้าประตูมาจนนั่งลงตรงข้ามกัน
“อ้าวลูกปลา...มาด้วยเหรอ?” ชลธีมองผ่านหน้าตาเอาเรื่องของคนที่มารอพบไปยังปาลิดานั่งยิ้มแป้นอยู่บนเก้าอี้ถัดไป
“คุณเทียมภพบอกว่าจะมาธุระที่นี่ ลูกปลาเลยขอตามมาด้วย เนี่ย...ไม่เห็นหน้าพี่ชลเป็นอาทิตย์แล้วนะคะ กลับไปนอนบ้านมั่งสิ ลูกปลาฝึกทำปอเปี๊ยะเห็ดหอมจนฝีมือสู้ใบพลูได้แล้วนะ” ปาลิดาจีบปากเล่าจ๋อยๆยิ้มจนเปลือกตาชั้นเดียวฉาบสีดำไล่เฉดแบบสโม๊กกี้อายส์หยีจนแทบปิด
“ปาลิดา...ไปรอข้างนอกก่อน ผมจะคุยธุระกับคุณชลธี” เทียมภพโบกมือให้หยุดพูดแล้วส่งสายตาออกคำสั่งกับสาวหมวยที่พามาด้วยแล้วหันมาคุยกับคนต้นเรื่อง
“ข่าวน่ารักๆ กุ๊กกิ๊กที่แชร์กันกระหน่ำจนเพจแทบล่มเมื่อเช้านี้ทำให้ฉันฟินม๊าก...มาก ก็เลยอยากมาดูหน้าดาราตัวเป็นๆแล้วก็แสดงความยินดีด้วย ดังแล้วนะ…คุณ ช.!” เทียมภพเลื่อนกระดาษที่ปริ้นท์จากคอมพิวเตอร์ให้คนที่เพิ่งออกสรรพนามเรียกว่า ‘คุณ ช.’ ตามพาดหัว
“คนหน้าคล้าย....เฮอะ นี่เป็นเพราะฉันคุ้นเคยกับแกมาตั้งแต่เสียงยังไม่แตกหนุ่มจนหมาเลียตูดไม่ถึงเลยรู้ว่ามันไม่ใช่แค่คล้าย...แต่ใช่เลยล่ะ” น้ำเสียงนั้นทั้งดุดันและเย้ยหยันเต็มที่
“ฉันก็ไม่ได้ปฏิเสธว่าเป็นตัวเอง แต่สิ่งที่เห็นมันไม่ได้เป็นอย่างที่คิดนะ” ชลธีเหวี่ยงกระดาษพวกนั้นลงบนโต๊ะอย่างไม่ไยดีแล้วมองกลับคู่สนทนาด้วยสีหน้าบึ้งตึง
“ถุย! ...แมนๆหน่อยสิวะ ไอ้ชล! นึกแล้วไม่มีผิดว่าแกก็ยังไม่ทิ้งสันดานเดิมๆที่ชอบกินแล้วทิ้ง ไม่เก็บกากให้เรียบร้อย ถึงได้ขึ้นพาดหัวแซ่บซี้ดแบบนี้ไง” เทียมภพขึ้นเสียงแต่ยังคุมอารมณ์ได้ดี
“วันนั้นฉันไม่ได้มีอะไรกับปราง! ทุกอย่างเป็นการจัดฉากแล้วก็มีหลักฐานยืนยันด้วย”
“หลักฐาน? ได้ข่าวว่านอกจากภาพนิ่งแล้วยังมีเวอร์ชั่นคลิปด้วยนะ แต่เสียดายที่เราทั้งคู่ไม่ทันได้ดูเพราะระหว่างที่นั่งรอแก...ฉันจ่ายเงินแสนนึงให้ไอ้เพจอัปรีย์ลบเรื่องนี้เสียเหี้ยน ไม่ใช่เพราะอยากปกป้องชื่อเสียงแกในฐานะที่เป็นประธานกรรมการใหญ่ของทวีกิจหรอกนะ...แต่กลัวยัยพลูจะมาเห็นเข้า” เทียมภพหยิบโทรศัพท์มาดูอีกครั้งก็ไม่พบข่าวนั้นแล้ว
“ฉันสั่งทนายให้ไปแจ้งความแล้ว แกไม่ต้องทำขนาดนี้ก็ได้ ฉันไม่อยากติดหนี้ใคร”
“มัวแต่รอแจ้งความก็พอดียัยพลูคงช็อกเสียสติถ้าเห็นภาพกับคลิปสิบแปดบวกเข้า อย่าว่าแต่แสนเล้ย...ล้านนึงฉันก็ยอมจ่ายเพื่อซื้อความสุขสงบใจให้น้องสาว เห็นหรือยังว่าฉันรักทะนุถนอมแทนดาวขนาดไหน? ไม่เหมือนแก...มีแต่จะหาเรื่องทำให้เธอเจ็บช้ำน้ำใจ แล้วยังงี้จะทำใจยอมรับเป็นน้องเขยได้ไงวะ?”
“อธิบายปากเปล่าไปแกก็ไม่เชื่อ ถามหน่อยเถอะ...กะโหลกตุงๆของแกนี่มีสมองอยู่หรือแค่เป่าลูกโป่งยัดไว้วะ? แกดูดีๆ...มันเป็นมุมกล้อง”
“เฮอะ! นี่ขนาดอยู่ข้างนอกยังได้มุมกล้องสโลว์ซบขนาดนี้ แล้วตอนอยู่ในห้องจะเห็นกี่ซอก กี่มุม กี่ท่าวะ? ถ้าแกอยากกลับไปอยู่กินกับปรางแล้วจะมายุ่งกับยัยพลูทำไม?”
“ไอ้หมาก....ฉันจะพิสูจน์ให้แกเห็นว่าเรื่องนี้ไม่ใช่ความผิดของฉัน” ชลธีถอนหายใจแรงจนไหล่โยก
“ชล...ยัยพลูของฉันทนไม่ได้แน่ที่จะต้องเจอเรื่องอัปยศนี่ ฉันเลี้ยงน้องมาแบบโลกสวยดุจเจ้าหญิงในนิยาย แกไปเถอะนะ...ไปจากชีวิตแทนดาวเงียบๆ”
“ขอโทษค่ะที่เสียมารยาท คุณชล...ชาช่าเชคดูแล้วนะคะ ข่าวนั่นหายไปแล้ว คาดว่ามีใครสั่งลบไปก่อนค่ะ” นาตาชาเปิดประตูเข้ามาขัดจังหวะพูดคุยเพื่อรายงานข่าวใหม่ ชลธีพยักหน้ารับรู้แล้วปรายตากลับมามองคู่สนทนาที่เบะปากให้อย่างน่าหมั่นไส้ยิ่งนัก
“ตรงไหนสูบบุหรี่ได้มั่งวะ? อั้นมานานแล้ว” เทียมภพถามหงุดหงิดพลางควักซองบุหรี่ออกมา
“ถ้าแกไม่รีบกลับก็ลงไปนั่งละเลียดจิบกาแฟริมสระข้างล่าง...ทางนี้” ชลธีเดินนำไปที่สระว่ายน้ำที่ว่า บางทีก็อยากลองเชิงว่าถ้าเพื่อนคนนี้ได้เห็นอะไรสวยๆงามๆอย่างแหม่มนุ่งบิกินี่แล้วอารมณ์จะดีขึ้นหรือไม่ อีกประการหนึ่ง...จะได้พิสูจน์ด้วยว่าคนอย่างเทียมภพเลิกนิสัย ‘สอยสาว’ พร้อมที่จะมาเป็นน้องเขยหรือยัง
“รู้แล้วแชร์...เราตามเพจนี้อยู่นี่ แล้วพี่ชลให้ลบข่าวอะไรหว่า?” ปาลิดาที่ยืนหลบฟังอยู่แถวนั้นเก็บความสงสัยเอาไว้แล้วอาศัยจังหวะนั้นแอบย่องเข้าในห้องทำงานเก่าเพื่อตามหาเอกสารหรือหลักฐานที่จะช่วยให้ตัวเองพ้นมลทินจากการถูกใส่ร้ายว่ายักยอกเงิน แต่ต่อมสงสัยก็สั่งให้เข้าไปในห้องทำงานของเจ้านายเก่า หญิงสาวย่องเงียบกริบไปที่โต๊ะจึงได้เห็นภาพข่าวที่เปิดค้างไว้บนจอคอมพิวเตอร์
“เฮ้ย! นี่มันรูปพี่ชลกับยัยเปรมยุตานี่นา” หญิงสาวเบิ่งตาเรียวเล็กให้กว้างที่สุดเพื่อที่จะเพ่งดูภาพตรงหน้าให้ชัดๆริมฝีปากฉาบสีส้มนู้ดอ้าค้างๆน้อยขณะกวาดตาอ่านเนื้อหาข่าว พออ่านจบสายตาสอดรู้สอดเห็นก็สะดุดกับกองจดหมายที่ร่วงกระจายบนพื้น ปาลิดาถือวิสาสะหยิบฉบับบนสุดที่เป็นผลการตรวจร่างกายมาเปิดอ่านแล้วก็พาให้เอะใจ นึกถึงบทสนทนาที่ได้ยินสองหนุ่มนั่นคุยกันเรื่องหลักฐานอะไรบางอย่าง ประกายตาแฝงรอยเจ้าเล่ห์วาบขึ้นแล้วตัดสินใจเก็บจดหมายใส่กระเป๋าไปด้วย
เทียมภพไม่ได้ลงมาสูบบุหรี่อย่างที่บอกเมื่อครู่แต่หาทางเลี่ยงสายตาสอดรู้สอดเห็นของเลขาฯสาวกับปาลิดาที่
คอยเอาแต่จะเดินโฉบมาใกล้ๆสร้างความรำคาญและทำให้ไม่สะดวกที่จะพูดคุยเรื่องส่วนตัวกัน สองหนุ่มนั่งมองกาแฟควันกรุ่นในถ้วยโดยไม่มีทีท่าว่าจะยกขึ้นจิบ มีแต่ความเงียบที่กางกั้นระหว่างบุรุษหน้าคมเคร่งขรึมกับบุรุษใบหน้าสำอาง
เป็นนานกว่าที่ฝ่ายหนึ่งจะยอมเปิดประเด็น
“ทีแรกฉันกะจะมาตื้บแกให้กระอักเลือด แต่มาคิดๆดูอีกที...ถึงทำแบบนั้นแกก็ไม่หยุดตามป้อนตามหยอดน้องฉันอยู่ดี สู้มาเจรจากันดีๆจะดีกว่า” เทียมภพยกกาแฟขึ้นดื่มอึกแรกพลางมองไปยังสระน้ำที่มีสาวสวยนุ่งห่มน้อยชิ้นนอนอาบแดดอยู่บนเตียงผ้าใบ ชลธีลอบสังเกตสายตาของเพื่อนแต่ก็ไม่พบอะไรอื่นนอกความเมินเฉย
“ฉันจะคืนเงินแสนนั่นให้เดี๋ยวนี้เลย ส่วนข่าวที่ออกมา...ฉันจะไปพูดกับปราง”
“ไม่ต้องยุ่งยากหรอก ฉันบอกแล้วว่าทำเพื่อน้อง...ไม่ใช่เพื่อแก อ้อ...แล้วก็ตัดปรางออกไปจากเรื่องที่เราจะตกลงกันด้วย” เทียมภพจ้องหน้าฉงนสนเท่ของคนตรงข้ามแต่ก็ยังไม่พูดอะไรต่อจนคนรอฟังต้องเตือน
“พูดมา”
“ขอร้องเถอะ...ไปเสียจากชีวิตของแทนดาว ผู้หญิงบนโลกมีนับแสนนับล้านที่พร้อมจะยอมตกลงปลงใจกับแก ขอเว้นไว้แค่แทนดาวคนเดียว อย่าทำร้ายดวงใจดวงนี้ของฉันอีกต่อไปเลย” เทียมภพสลัดความทระนงและทิฐิทั้งหมดพูดขอร้องเพื่อนเคยรัก
“ฉันทำไม่ได้! ความรักที่ฉันมีต่อเธอมันมากเสียจน...ต่อให้ตายแล้วกลับชาติมาเกิดอีกก็ยังไม่หมดรัก” สิ่งที่พูดออกไปถึงจะฟังดูเหมือนท่อนพลอดรักในนิยายตลาดแต่มันก็ไม่ได้เกินจริงเลยเพราะคนพูดรู้สึกแบบนั้นจริงๆ
“ถ้าแกทำไม่ได้...งั้นฉันจะเป็นคนพาเธอออกไปจากชีวิตแกเอง ฉันจะส่งน้องไปเรียนต่อต่างปะเทศ” เทียมภพสูดหายใจเข้าปอดลึก คิดอยู่แล้วว่าชลธีต้องไม่ยอมก็เลยเตรียมแผนสำรองไว้ การพาน้องหนีไปไกลๆน่าจะเป็นอีกทางออกหนึ่งที่จะช่วยอยู่ห่างๆจากคนพรรค์นี้
“แล้วแกคิดเหรอว่าฉันจะไม่ตาม?”
“ฉันรู้ว่าแกต้องตามแน่...แต่มั่นใจว่าแกจะตามไม่เจอ ชล...เราสองคนต่างก็รู้นิสัยกันดี ฉันรู้ว่าแกจะต้องพลิกแผ่นดินหาตัวเธอ ส่วนฉัน...ก็จะเปิดฟ้าผ่ามหาสมุทรเอาเธอไปซ่อนให้พ้นหูพ้นตาแกจนได้นั่นแหละ”

แทนดาวมองภาพในมือตาค้างอย่างไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่เห็น ดวงตาทรงอัลมอนด์แทบไม่ไม่กระพริบขณะไล่อ่านข้อความบรรยายภาพทีละตัวอักษรนิ่งนานราวกับว่าสะกดคำไม่ออก ปาลิดานั่งคนสมูทตี้โยเกิร์ตในแก้วเล่นอย่างใจเย็นระหว่างรอให้คนตรงข้ามอ่านข้อความให้จบ
“เนี่ย...ลูกปลาว่าจะเอาไปให้ดูตั้งแต่สามวันก่อนแล้วแต่ไม่ว่างเลย เห็นพี่...เอ่อ..คุณเทียมภพบอกว่าใบพลูจะมาวันนี้ก็เลยเอาให้ดูนี่แหละ ตอนเห็นข่าววันแรกก็รีบแคปหน้าจอแล้วเก็บเอาไว้ให้เธอเลยนะ...กลัวตกข่าว” ปาลิดาเล่าที่มาของภาพนี้พลางลอบสังเกตอาการ โชคดีที่แอบเก็บเอาไว้ได้ทันก่อนที่เทียมภพจะสั่งให้เอาไปย่อยทิ้ง
“ก็...ข่าวเขียนบอกว่า ‘คนหน้าคล้าย’ ไม่ได้บอกว่าเป็นตัวจริงนี่” แทนดาวพิจารณาแล้วแสดงความเห็นที่คนรอฟังอยู่นานทำท่าทางคล้ายจะ ‘ผิดคาด’ นิดๆ เลยนั่งเงียบรออีกสักหน่อยเผื่อจะเปลี่ยนความคิดแต่ทว่าใบหน้าเรียบสงบปราศจากรอยกังวลซ้ำยังทำท่าไม่ให้ความสนใจกับมันทำให้คนรอดูปฏิกิริยาเป็นฝ่ายเต้นเสียเอง
“โอ๊ย...โลกสวยอย่างที่พี่ชายเธอบอกไม่มีผิด ดู๊ดู...ตรงนี้นะคะคุณ ‘พืชสมุนไพร’ นี่มันทางเดินไปห้องพักส่วนตัวที่อยู่บนชั้นเดียวกับออฟฟิศพี่ชล แล้วนั่นน่ะ...ประตูห้องนอน! ลูกปลาจำได้เพราะเคยช่วยพี่ชลหิ้วยัยปรางขี้เมาเข้าไปนอนพัก” นิ้วที่จิ้มแรงๆบนภาพกับคำพูดย้ำแล้วย้ำอีกของปาลิดาก็ยังคงไม่สามารถทำให้เกิดอาการไหวติงใดๆ
“ห้องที่โรงแรมมันก็เหมือนๆกันนั่นแหละ พลูอ่านแล้วก็เฉยๆนะ มันก็แค่ข่าวไร้สาระแก่นสาร เหมือนกับข่าวซุบ
ซิบดารารายวันนั่นแหละ พี่หมากเองก็เคยโดนข่าวทำนองนี้เล่นอยู่บ่อยๆ พลูชินแล้วล่ะ” แทนดาวตอบอย่างไม่ยี่หระแล้วตั้งหน้าตั้งตาตักขนมเข้าปากต่อไป
“อ้าว! นี่เธอไม่เชื่อข่าวนี่เลยรึ? ลูกปลาอุตส่าห์ขโมย..เอ๊ย...แคปหน้าจอไว้ได้เชียวนะ ไปหาอ่านอีกก็ไม่เจอแล้ว” ปาลิดามองอีกฝ่ายโกรธๆเมื่อเห็นเพียงรอยยิ้มมุมปากกับการส่ายหน้าไปมาของคู่สนทนา
“ว่าแต่...ลูกปลาเคยเลี้ยงยูนิคอร์นไหม?”
“เกี่ยวไรกับยูนิคอร์น?” ปาลิดางงหนักกับคำถามประหลาดที่ไม่เกี่ยวกับเรื่องที่คุยกันตอนนี้
“อ้าว...ก็โลกสวยไงล่ะ คนโลกสวยอย่างพลูไม่เชื่อข่าวนี่หรอก ว่าจะกลับไปวิ่งเล่นในทุ่งดอกลาเวนเดอร์ ไล่จับกระต่ายน้อยขนปุยคุยกับผีเสื้อแล้วก็พาเจ้ายูนิคอร์นไปเดินเล่นรับแสงแดดอ่อนๆกับสายลมโชยเอื่อยๆ...”
“พูดจาเพ้อเจ้อ! เชอะ…ไม่เชื่อก็ตามใจ เราอุตส่าห์หวังดีมาบอกข่าวให้หูตาสว่างว่าพี่ชลกำลังถูกยัยปรางหน้าสวยแต่ใจทรามโฉบไป รู้งี้ไม่น่าคาบมาให้เลย เรื่องส่วนตัวก็ยังไม่จบยังต้องสละเวลางานอันมีค่ามายุ่งเรื่องของชาวบ้านอีก ดูเถอะ...เนื้อก็ไม่ได้กิน หนังก็ไม่ได้รองนั่ง แถมยังต้องเอากระดูกมาแขวนคอ เสียเวลาจริงๆ” ปาลิดาบ่นยาว ยกตัวเองราวกับเป็นนางฟ้าใจดีที่มาช่วยให้เจ้าหญิงตาบอดได้เห็นทางสว่าง
“ไปทำงานต่อดีกว่า อ้อ...เงินเดือนเรายังไม่ออกนะ ช่วยจ่ายค่าน้ำกับขนมให้ด้วยแล้วกัน” แทนดาวพยักหน้าส่งๆแล้วจิ้มขนมคำสุดท้ายเข้าปากที่ชาจนไม่รับรู้รสชาติหวานละมุนของมัน
“ยัยบื้อเอ๊ย! ดี…โง่แบบนี้ก็สมควรแล้วที่พี่ชลถูกฉกไป โธ่เอ๊ย...งั้นไอ้ผลตรวจนี่ก็ไม่มีประโยชน์อะไรแล้วสิ ในเมื่อยัยพืชสมุนไพรไม่เชื่อข่าวนั่นอยู่แล้ว พี่ชลก็คงไม่ต้องหาอะไรมาช่วยยันความบริสุทธิ์หรอก” ปลาลิดาขยำรายงานผลการตรวจร่างกายทิ้งถังขยะแถวนั้นแล้วเดินกระฟัดกระเฟียดจากไปย่างขัดใจที่แผนการสร้างความร้าวฉานไม่เป็นผลอย่างที่คิดไว้
ปาลิดามิเคยตระหนักเลยว่าความคิดน้อย คิดเอาชนะ คิดเอาแต่ความสนุกสะใจของตัวเองกำลังจะฆ่า ‘ต้นรัก’ ในรั้วใจของคนสองคนที่ช่วยกันเพาะเมล็ดอย่างยากลำบากกว่าที่จะแตกยอดอ่อนจนใกล้จะผลิดอกอยู่แล้วให้กลับเฉาและคงจะเหี่ยวตายไปในไม่ช้า
พอคล้อยหลังคนส่งสารผู้ปรารถนาดี สองมือน้อยที่สั่นระวิงก็บีบขยำกระดาษใบเดิมจนมันย่นยู่อยู่ในกำมือเดียว ริมฝีปากเม้มหากันจนเจ็บ ไม่ช้าน้ำตาหยดหนึ่งก็หยดย้อยแล้วถูกปาดจนเหือดไปด้วยปลายนิ้วเกือบจะทันที ในความคิดของแทนดาว...น้ำตาคือเครื่องหมายของความอ่อนแอซึ่งจะต้องซ่อนไว้ไม่ให้ใครเห็น
“น้องพลูอย่าคิดมากนะครับ พี่กับปรางจบกันไปหลายปีแล้ว ตอนนี้พี่กับเขาก็เป็นเพียงแค่คนเคยรู้จัก...”
จำได้ว่าได้ยินประโยคนี้จากเขาเมื่อไม่นานนี้เองมิใช่หรือ? แค่เห็นรูปก็รู้ตัวแล้วว่าเป็นใครไม่ต้องบอกชื่อย่อหรือบอกใบ้กันให้เขว ลักษณะที่เป็นเขา ความสูง รูปร่าง ทรงผม รสนิยมการแต่งตัว ทุกอย่างถูกบันทึกเอาไว้ในหน่วยความจำอย่างดี เรียกว่าต่อให้หลับตาก็สามารถนึกภาพชายหนุ่มนัยน์ตาสีเหล็กใบหน้าคมคายไร้รอยยิ้มนามว่า ‘ชลธี’ อันมีความหมายตามพจนานุกรมราชบัณฑิตยสถานว่า ‘ทะเล’ ห้วงน้ำกว้างใหญ่จรดเส้นขอบฟ้าอันกระแสของมันซอกซอนไปได้ทุกทิศทุกทางไม่เคยหยุดอยู่ ‘ที่ใด’ และไม่เคยเป็น ‘ของใคร’
“เราเคยเจอแต่สิ่งดีๆ มีแต่ความสุข พอได้รู้จักเขา...โลกใบนี้ก็ยิ่งน่าอยู่ขึ้นไปอีก แต่...ชีวิตจริงเราไม่ใช่เจ้าหญิงแล้วจะโศกาอาดูรไปทำไมถ้าต้องเจอกับความจริงที่ไม่งดงาม” แทนดาวบอกกับตัวเองพลางคลี่กระดาษในกำมือออกอีกครั้งและรีดให้เรียบที่สุดก่อนจะพับมันใส่กระเป๋าแล้วเดินเร็วๆลงมาจากชั้นบนของร้านกาแฟเจ้าประจำออกมาโบกแท็กซี่

ชลธีมองสาวน้อยที่กำลังคิดถึงมาตลอดหลายวันด้วยสายตาถวิลหาเต็มเปี่ยม เขารีบออกจากห้องประชุมก่อน
เวลาพอได้รับรายงานว่าสาวน้อยคนเดิมมานั่งคอยอยู่ที่นี่ ความดีใจที่ได้เจอกันทำให้ลืมเรื่องข่าวเสียสนิท
“รอพี่นานไหมครับ? ติดนิสัยชอบทำเซอร์ไพรส์แบบพี่ล่ะสิ” ชายหนุ่มเดินมานั่งข้างๆแล้วทำท่าจะกอดแต่อีกฝ่ายรีบเบี่ยงตัวหลบ
“น้องพลูทราบว่าพี่ชลจะเข้าไปที่บ้านวันเสาร์นี้ แต่ว่าคิดถึงจนรอไม่ไหว...เลยมาหาเสียแต่วันนี้ค่ะ” คำพูดรื่นหูชวนแช่มชื่นไม่อาจทำให้ชลธียิ้มได้อย่างสนิทใจนักเพราะมันช่างขัดกับแววตาเรียบเฉยและเนื้อเสียงที่ค่อนไปทางเหน็บแนม
“หืม...จริงเหรอเนี่ย เซอร์ไพรส์จริงๆด้วยที่น้องพลูเป็นฝ่ายบอกคิดถึงพี่ก่อน” มืออุ่นจับปอยผมยาวอย่างแสนคิดถึงแล้วรวบทั้งหมดมาสูดดมเต็มปอด
“ทำไมจะไม่คิดถึงล่ะคะ? วันไหนที่ไม่มีเรื่องของพี่ชลมากวนใจ...วันนั้นก็จะนอนไม่หลับ” ประโยคนี้สะกิดใจคนฟังอย่างมากเพราะตนเคยพูดเหมือนกันว่าถ้าวันไหนไม่มีเรื่องของหล่อนให้คิด วันนั้นก็จะนอนไม่หลับ
“แล้วพี่ไปกวนใจอะไรคนสวยอีกล่ะครับ?” แทนคำตอบ หญิงสาวหยิบกระดาษแผ่นนั้นให้ ชลธมองมันนิดหนึ่งอย่างสังหรณ์ใจแล้วรับมาคลี่อ่าน
“คุณ ช. ในรูปนี่คือพี่ชล ถูกไหมคะ? ส่วนคุณพืชสมุนไพรนี่ฟังดูน่ารักดี...น้องพลูชอบ” รอยยิ้มประชดประชันแย้มกว้างขึ้นเมื่อเห็นคนข้างๆนิ่งอึ้งกับของกำนัล
“ใช่...คนในภาพคือพี่ ผู้หญิงที่มองไม่เห็นหน้าคือปราง สถานที่ในภาพ...ก็คือที่นี่” ชลธีตอบรับทันทีจนคนส่งสารต้องแปลกใจเสียเอง แสดงว่าเขารู้เรื่องนี้มาแต่แรกแต่จงใจ ‘ปิด’
“ดีค่ะ...รับกันแมนๆแบบนี้น้องพลูชอบ” แทนดาวยันกายลุกขึ้นเดินไปหยุดยืนริมหน้าต่างแล้วทอดสายตามองไกลออกไปอย่างไร้จุดหมาย
“อย่าเพิ่งตีโพยตีพาย อย่าเพิ่งวิ่งหนี อย่าด่วนสรุป ภาพที่เห็นมีคนจงใจแกล้งให้เราเข้าใจผิดกัน วันนั้นพี่ถูกวางยานอนหลับแล้วก็ไม่ได้มีอะไรกับปราง อ้อ...ไม่ใช่แค่คำพูดปากเปล่านะ พี่มีหลักฐานการตรวจร่างกายด้วย” ชายหนุ่มรีบไปเปิดลิ้นชักแล้วค้นหาอะไรกุกๆกักๆ พอไม่เจอก็เปลี่ยนมารื้อค้นกองเอกสารบนโต๊ะแล้วลามไปตรงชั้นหนังสือ
“อ้าวเฮ้ย! ไปอยู่ที่ไหนวะ?” ชลธีสบถด้วยความโมโหเมื่อหาจดหมายฉบับนั้นไม่เจอ เสียงคุ้ยเขี่ยข้าวของเริ่มดังโครมครามจนเลขานุการสาวต้องเข้ามาดู
“คุณชลหาอะไรคะ? นุชช่วยไหม?”
“ไม่ต้อง! แล้ววันนี้ผมไม่สะดวกพบใคร ไม่รับโทรศัพท์จากใครทั้งนั้น” เสียงตะคอกดังลั่นทำเอาสินีนุชต้องยกมือทาบอกแล้ววิ่งลนลานออกไปเพราะตั้งแต่มาทำงานที่นี่ยังไม่เคยเห็นชลธีใส่อารมณ์เกรี้ยวกราดเช่นนี้กับพนักงานคนไหนเลยไม่ว่าจะ ‘พื้นเสีย’ มาจากไหนหรือด้วยเรื่องอะไรก็ตาม
“น้องพลู...พี่กำลังหาผลตรวจร่างกายอยู่ จะได้ดูให้เห็นกับตาว่าสิ่งที่พี่พูดมันเป็นความจริง” เขาร้องบอกแทนดาวที่ยังยืนสงบนิ่งหันหลังให้ตรงริมหน้าต่างบานกระจก
“แม่งเอ๊ย!...เก็บไว้ตรงไหนวะ?” เสียงสบถเป็นระยะสลับกับการรื้อข้าวของยังได้ยินอยู่เรื่อยๆแต่แทนดาวไม่ใส่ใจและไม่เคลื่อนไหวใดๆ อาการไหวติงเพียงอย่างเดียวก็คือมือข้างหนึ่งลูบสัมผัสกับวัตถุเย็นๆที่สวมอยู่บนข้อมือข้างซ้าย
“พี่ชลคะ...ไม่ว่าพี่ชลกำลังหาอะไรอยู่ จะสำคัญมากน้อยแค่ไหน...น้องพลูก็ไม่อยากจะเห็นแล้วล่ะค่ะ”
“น้องพลู...พี่บอกแล้วไงว่าอย่าเพิ่งด่วนสรุปอะไร” เขาก้าวยาวๆเข้าไปหาร่างบางที่ยังคงยืนนิ่งแล้วหมุนไหล่ให้หันมาหันมาพูดคุย ดวงตาทรงอัลมอนด์มีแต่ความเงียบสงบจนหัวใจของเขาเริ่มรู้สึกชา แทนดาวปลดมือทั้งสองข้างออกจากไหล่แล้วเดินไปหยุดยืนใกล้โต๊ะทำงานที่มีข้าวของและเอกสารต่างๆที่ถูกรื้อค้นกองสุมอยู่
“น้องพลูไม่ได้ด่วนสรุป...แต่ตรองมาดีแล้วจากการพิจารณาเหตุการณ์หลายครั้งประกอบกัน” คนพูดพยายาม
อย่างยิ่งยวดที่จะบังคับเส้นเสียงไม่ให้สั่นพร้อมๆกับสะกดกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลขณะวางกำไลรูปดอกลิลลี่ ออฟ เดอะ วัลเล่ย์ที่เขามอบให้เมื่อครั้งเริ่มต้นความสัมพันธ์อันดี
“ในเมื่อไม่มีทั้งแหวน ไม่มีทั้งกำไล...และ...ไม่มีความไว้วางใจ น้องพลูตัดสินใจลาออกจากสถานรับเลี้ยงต้อยแห่งนี้เพื่อที่คุณ ช. จะได้ไม่ต้องลำบากในการแอบซ่อนซุกลูกเมียอีกต่อไป”
“น้องพลูจ๋า...ได้โปรดเถอะนะ เชื่อใจพี่นะ...อย่าทำแบบนี้สิครับ” ชลธีใจหายและตกใจไปพร้อมๆกันขณะมองดูการกระทำของหญิงสาว
“น้องพลูไม่อยากเป็นเงาของใครทั้งนั้นค่ะ”
“คิดได้ยังไงเนี่ย...พี่ไม่เคยเอาน้องพลูมาแทนใคร” ชลธีส่ายหน้าตกใจกับความคิดนี้
“แล้วทำไมพี่ชลแอบไปมีอะไรกับเธออีกโดยที่ยังคบน้องพลูไปด้วย พี่ชลทำอย่างนั้นทำไมคะ? เผื่อเลือกอย่างนั้นเหรอ?”
“ไม่ใช่นะน้องพลู! มันไม่ใช่แบบนั้นนะ พี่ไม่รู้ว่าจะอธิบายยังไงให้น้องพลูเข้าใจ จะให้ทำยังไงถึงจะเชื่อว่าพี่ไม่ได้กลับไปคบหรือมีอะไรกับเขา!” ชลธีรู้สึกถึงก้อนแข็งๆที่จุกตรงคอ การอธิบายว่าไม่ได้มีอะไรกับเปรมยุตานั้นยากกว่าทำให้หล่อนยอมรับฟังคำอธิบายในตอนนี้
“น้องพลูเคยมองว่าพี่ชลมีชีวิตส่วนตัวคล้ายกับพี่หมากหลายอย่างแม้กระทั่งการมีข่าวพัวพันกับสาวๆอยู่เนืองๆ แต่ก็ยอมรับได้เพราะมันเป็นเรื่องธรรมดาที่ผู้ชายเขาเป็นกัน จะต่างกันตรงที่ว่าพี่หมากเป็นคนเด็ดขาดและชัดเจนกับเรื่องนี้มาก รักก็รักจริง...เลิกก็เลิกขาด ตอนนี้น้องพลูเข้าใจแล้วว่าทำไมพี่หมากถึงไม่ชอบพี่ชล ทำไมถึงกีดกันเรา”
“พี่ไม่เคยหลอกหรือคิดจะเอาน้องพลูมาแทนที่ใคร น้องพลูคือ ‘ความสุขที่หวนคืนมา’ ของพี่ เป็นความรักลึกซึ้งที่ไม่คิดว่าชีวิตนี้จะได้พบ” เขาพยายามจ้องลึกลงไปในดวงตาคู่สวยทั้งๆที่แทบจะทรงตัวยืนอยู่ไม่ไหวเพราะหัวใจปริร้าวจนแทบจะแตกเป็นเสี่ยงอยู่รอมร่อ
“พี่ชลตัดสินใจอีกครั้งเถอะนะคะ พี่สองคนกลับมาเริ่มต้นกันใหม่อย่างจริงๆจังๆดีกว่า มัวแต่หลบซ่อนอย่างนี้...คนที่เจ็บที่สุดคงหนีไม่พ้นหนังหน้าไฟอย่างน้องพลู รอยถลอกเล็กๆน้องพลูหายาใส่เองได้...ไม่นานก็หายดี แต่ถ้าปล่อยให้แผลมันกว้างและลึกจนลามกลายเป็นบาดทะยัก...น้องพลูอาจไม่รอดแน่”
คำพูดนุ่มนวลแต่บีบคั้นหัวใจเปล่งออกมาโดยไม่สั่นคลอนแม้แต่น้อย ไม่มีแม้เพียงสักหนึ่งหยดของน้ำตาทำให้ชลธีประจักษ์แก่ตาแก่ใจวินาทีนี้เองว่า...สตรีที่ยืนอยู่ตรงหน้ามีความเด็ดขาดและเด็ดเดี่ยวกว่าชายอกสามศอกอย่างเขามากมายนัก หล่อนไม่ต้องการได้รับการถนอมปลอบโยนใดๆ ไม่มีแม้แต่สัญญาณแห่งความเสียอกเสียใจเช่นมวลน้ำตา หรือเพียงแค่ประกายสั่นวูบไหวก็ไม่แสดงให้เห็นเลย
ชลธีต้องกระพริบตาถี่ๆจนแน่ใจว่าสตรีที่ยืนไหล่ตั้งคอตรงคนนี้คือ แทนดาว ทวีกิจไพศาล เด็กสาวที่ใครๆต่างปรามาสว่าอ่อนแอ อ่อนต่อโลกจนไม่สารถปล่อยให้ออกไปใช้ชีวิตตามลำพังได้ ร่างสูงทรุดตัวลงนั่งห่อไหล่บนโซฟาแล้วแหงนหน้าขึ้นเพื่อบังคับให้น้ำอุ่นๆไหลย้อนกลับเข้าไปในดวงตา เขาไม่โทษใครทั้งนั้นที่เอาเรื่องนี้ไปบอกแทนดาว เขาโทษตัวเองเพียงผู้เดียวที่ปล่อยให้ความผิดซ้ำผิดซากเกิดขึ้นจนมิอาจมีสิทธิ์แก้ตัวใดๆอีก
“แทนดาว ถ้าจะฆ่าพี่ก็ฆ่าร่างกายสกปรกนี้ไปด้วยสิ...อย่าฆ่าแต่หัวใจ” เขาเรียกชื่อหญิงสาวด้วยเสียงอันอ่อนแรงขณะมองตามร่างบางที่เดินห่างไปเรื่อยๆ หัวใจชาด้านจนไม่แน่ใจว่ายังเต้นอยู่หรือเปล่าต่อเมื่อยกมือขึ้นสัมผัสแล้วรู้สึกถึงสัญญาณชีพจรซึ่งเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้สำนึกได้ว่าตัวเองยังหายใจอยู่ อันเป็นการหายใจเอาแต่อากาศเข้าสู่ร่างกายเพื่อให้ชีพดำรงอยู่เพียงอย่างเดียว มิได้รับรู้ถึงการมีจิตวิญญาณและสัมผัสจากประสาททั้งห้า
แทนดาวเดินออกมาจากที่ตรงนั้นอย่างคนที่ไร้หัวใจไม่ต่างกัน ด้วยความตั้งแต่เกิดมาไม่เคยรู้สึกถึงความรักอื่นใดนอกจากความรักที่ครอบครัวมีให้ หัวใจดวงน้อยไม่เคยต้องชอกช้ำเพราะพิษแห่งรักเสน่หาอันเกิดกับเพศตรงข้าม เลยไม่แน่ใจว่าไอ้ความรู้สึกโหวงเหวงหน่วงๆที่เป็นอยู่นี่คืออาการของคนที่ผิดหวังในความรักหรือไม่ แต่เท่าที่นึกออก...ไม่ว่าจะในละครหรือในหนังสือนวนิยายก็บรรยายถึงคนช้ำรักว่ามีสภาพตรอมตรมหัวใจ หม่นหมองโศกเศร้า ยิ่งถ้าเป็นนางเอกก็ต้องร้องไห้ฟูมฟายเป็นวรรคเป็นเวร มือบางยกขึ้นสัมผัสดวงตาของตัวเองแผ่วเบาเพื่อลองตรวจสอบดูว่ามีน้ำตาไหลออกมาบ้างหรือไม่ เมื่อไม่พบกับความเปียกชื้นบนแก้มก็แปลกใจว่าทำไมอาการผิดหวังในความรักของตนถึงไม่เหมือนกับนางเอกละครเอาเสียเลย
“แทนดาว....ร้องไห้ออกมาเถิด เธอรักเขามากขนาดนี้...จะไม่ร้องไห้สักนิดเลยเหรอที่ต้องตัดใจคืนเขาให้เจ้าของเดิมไป”

“วันนี้คุณชลอารมณ์เสียมาจากไหนก็ไม่รู้ค่ะ นุชโดนตวาดลั่นเลย คุณแทนดาวก็นั่งหน้าซีดอยู่ในห้องด้วย สงสัยคงทะเลาะกันแรงเลยล่ะค่ะ” เสียงบทสนทนาที่ดังลอดมาจากห้องน้ำข้างๆสะกดหญิงสาวที่กำลังจะล้างหน้าล้างตาหยุดยืนฟังนิ่งโดยอัตโนมัติเพราะมีการเอ่ยชื่อตนเอง ไม่เพียงเท่านั้น...จิตสำนึกสั่งให้เข้าไปในห้องน้ำที่อยู่ติดกันแล้วรีบหยิบโทรศัพท์เครื่องเล็กออกมากดอัดเสียงที่ดังข้ามผนังกั้นเข้ามา
“อ้อ...นุชเล่าให้ฟังหรือยังคะ ว่าวันก่อนคุณลูกปลามาที่ออฟฟิศด้วยค่ะ มากับเจ้านายใหม่นั่นแหละ ไม่รู้ว่ามาหาหลักฐานเรื่องนั้นหรือเปล่า อุ๊ย...ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ นุชจัดการลบร่องรอยไม่ให้ใครสาวถึงตัวพวกเราได้หรอกค่ะ” แทนดาวยกมือปิดปากกลั้นเสียงอุทาน คำว่า ‘พวกเรา’ แสดงว่ามีคนอื่นร่วมวางแผนกับสินีนุชใส่ร้ายปาลิดา
“ว่าแต่...นุชมีเรื่องต้องใช้เงินสิ้นเดือนนี้อีกสามหมื่น คุณพอจะมีให้ไหม? แหม...เงินสองแสนนั่นหมดไปตั้งนานแล้วค่ะ ไอ้เจ้าหนี้มันมาทวงอยู่หน้าบ้านปาวๆทุกวัน ถ้าไม่คืนให้มัน...นุชคงโดนยำเละแน่ ขอครั้งนี้แค่สามหมื่นเท่านั้นค่ะ แล้วเรื่องนั้นจะเป็นความลับตลอดไป” แทนดาวแนบหูกับผนังกั้นให้มากขึ้นไปอีกเพื่อเก็บรายละเอียด มือที่กำโทรศัพท์เริ่มมีเหงื่อซึมออกมา
“นุชไม่ได้จะหักหลังคุณนะคะ แต่ถ้าไม่จำเป็นก็ไม่ขอหรอกค่ะ คิดดูนะ...กว่าจะหาทางกำจัดคุณลูกปลาไปได้ต้องเสี่ยงตารางขนาดไหน ถ้าคุณชลรู้เข้านุชไม่รอดแน่ โอนเข้าบัญชีเดิมเลยค่ะ...คุณปราง” บทสนทนาจบเพียงแค่นั้นแล้วก็มีเสียงกดน้ำตามมา แทนดาวรอจนมั่นใจว่าได้ยินเสียงคนเดินออกไปแล้วก็ลอบระบายลมหายใจยาว ปาลิดาถูกใส่ร้ายจริงๆแล้วเป็นโชคดีเหลือเกินที่เก็บหลักฐานไว้ได้ ถ้า ‘ปราง’ ที่สินินุชเลขาฯหน้าห้องของชลธีคุยด้วยคือคนๆเดียวกับ ‘ปรางของคุณ ช.’ แล้วล่ะก็...อยากรู้จริงๆว่าชลธีจะตัดสินเรื่องนี้อย่างไร
“พี่ชลเลี้ยงงูพิษไว้ใกล้ตัวแท้ๆ ทีนี้ปาลิดาจะได้พ้นข้อครหาเสียที” แทนดาวเก็บโทรศัพท์แล้วรีบออกมา สิ่งที่จะทำต่อไปคือนำหลักฐานไปให้ปาลิดาแล้วก็ให้มาบอกเล่าเก้าสิบกับชลธีเอาเอง หล่อนจะไม่มีวันไปพบหน้าหรือเอาตัวเข้าไปพัวพันกับผู้ชายคนนั้นอีกเด็ดขาด

เกือบเที่ยงคืนแล้วที่แทนดาวยังคงนั่งจมโซฟาในห้องรับแขก สายตาว่างเปล่าจับจ้องโทรทัศน์ที่เปิดรายการประกวดร้องเพลงของต่างประเทศทิ้งไว้แต่ดูเหมือนจิตใจของคนดูไม่ได้จดจ่อที่หน้าจอสี่เหลี่ยมผืนผ้าเลย ตัวเองยังไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าปล่อยให้ใจมันล่องลอยไปแห่งหนใด นานๆทีก็จะหยิบเอาโทรศัพท์มาดู มีสายเรียกเข้าที่ไม่ได้รับอยู่สิบห้าสายจากคนๆเดียวกัน ในครั้งสุดท้ายที่เบอร์นั้นโทรเข้ามาก็ตัดสินใจตั้งค่า ‘ปฏิเสธสาย’ ในที่สุด หญิงสาวตัดสินใจดีแล้วว่าจะไม่รับ ไม่คุย ไม่เปิดประตูให้บุรุษหน้านิ่งคนนั้นเข้ามาอยู่ในวังวนชีวิตอีก
“น้องพลู...ครึ่งค่อนคืนแล้วทำไมยังไม่ไปนอนอีก พรุ่งนี้มีเรียนเช้าไม่เหรอคะ?” เทียมภพที่เพิ่งกลับถึงบ้านแปลกใจที่เห็นไฟในห้องนั่งเล่นเปิดอยู่ เห็นน้องสาวนั่งดูรายการโทรทัศน์รอบดึกก็ยิ่งสงสัยเพราะตามปรกติวิสัยของคนเกิดทีหลังไม่เคยรอดูอะไรตอนดึกดื่น ถ้าเป็นรายการโปรดจริงๆก็จะไปหาคลิปย้อนหลังมาดู
“น้องพลูซ้อมพูดพรีเซ้นต์โปรเจคพรุ่งนี้ค่ะ” คำตอบเรียบเฉยทำให้รู้สึกตะหงิดๆ เทียมภพเหวี่ยงเสื้อนอกพาดกับเท้าแขนแล้วย่อตัวลงนั่งข้างๆมองหน้าน้องสาวอย่างตั้งคำถาม ดวงตาสีนิลเหลือบมองบนโต๊ะกาแฟก็ไม่เห็นมีหนังสืออะไรสักเล่มหรือชีทสักแผ่นนอกจากกระดาษยับยู่ยี่แผ่นเดียว
“เหรอคะ? พี่ว่าไม่ใช่มั้ง พี่เลี้ยงของพี่มา...รู้หรอกว่าน้องพลู ‘มีเรื่อง’ อยากคุยกับพี่” เทียมภพกดรีโมทปิดทีวีปล่อยให้ความเงียบเข้าครอบคลุมห้องกว้าง แทนดาวมองหน้าพี่ชายด้วยสายตาราบเรียบอยู่อย่างนั้น
“น้องพลูเพิ่งรู้ว่า...ตัวเองเริ่มจะดังแล้ว ได้เป็นข่าวกับเขาด้วย อ่านแต่ข่าวของพี่หมากมานาน พอได้อ่านข่าวตัวเองบ้าง...มันเขินชอบกลค่ะ” คำตอบเป็นปริศนาทำให้คนรอฟังต้องนิ่งคิดก่อนจะหยิบกระดาษยับๆแผ่นนั้นมาดู ชายหนุ่มนิ่งเงียบไปนานเพื่อหาคำอธิบายที่คิดว่าจะกระทบความรู้สึกของคนฟังให้น้อยที่สุดแต่มันตันไปหมดทุกทาง คิดว่าได้ทำทุกวิถีทางอย่างดีที่สุดแล้วเพื่อสกัดกั้นไม่ให้เรื่องนี้รู้ถึงน้องสาวที่รัก
“ได้มายังไง?”
“ประเด็นสำคัญไม่ใช่ว่าน้องพลูได้ข่าวนี้มายังไงหรอกค่ะ แต่ที่ติดใจก็คือ...พี่หมากรู้เรื่องนี้อยู่แล้วใช่ไหมคะ?”
“มันก็แค่ข่าวซุบซิบไร้สาระ คนหน้าคล้ายคนโน้นคนนี้ก็เอามาเขียนล่อเป้าเรียกแขกเข้าไปดูเพื่อเพิ่มเรตติ้ง จะได้
มีแฟนเพจตามเยอะๆ ค่าโฆษณาต่างๆก็จะตามมา มันเป็นกลยุทธ์การตลาดน่ะจ้ะ”
“ถ้ามันไร้สาระ ถ้ามันเป็นแค่ ‘คนหน้าคล้าย’ อย่างที่พี่หมากว่า แล้วทำไมต้องปิดกันด้วยคะ? น้องพลูเข้าไปหาข่าวนี้ในเน็ตก็ไม่เจอแล้ว”
“นี่...ไอ้เจ้าของเพจคงได้สติรู้ว่าถ้าลงข่าวมั่วๆสุ่มสี่สุ่มห้าก็โดนฟ้องกระเป๋ากลวงน่ะสิ หรือไม่...ไอ้คนที่ดัน ‘หน้าคล้าย’ กับคนในข่าวอาจจะไปเจรจาให้ลบทิ้งล่ะมั้ง” เทียมภพหลบตาน้องสาวที่จ้องมองมาอย่างจับผิด
“นี่พี่หมากยังคิดว่า...น้องพลูเปราะบาง เหยาะแหยะ จนไม่อาจจะทนดูหรือรับรู้เรื่องอะไรพวกนี้ได้เหรอคะ? ถึงต้องระแวดระวังปิดบังอำพรางกันตลอด”
“ช่างมันเถอะน่า...เรื่องกากขยากแบบนี้อย่าไปใส่ใจให้รกสมองเลย...ไปนอนเถอะไป” เทียมภพรีบลุกขึ้นแล้วจะฉุดตัวน้องสาวให้ลุกตามแต่ก็กลับถูกดึงแขนให้นั่งลงอย่างเดิม
“พี่ชล คุณปราง น้องพลู รักสามเส้า....เราสามคน นี่ถ้าน้องพลูมียางอายน้อยกว่านี้นิดเดียว...ก็จะโทรเรียกนักข่าวมานั่งฟังแถลงว่าตัวเองสละตำแหน่งเส้าที่สามไปแล้ว”
“น้องพลูพูดจาอะไร? ฟังไม่เพราะหูเลยนะ นี่...พี่ดูปราดเดียวก็รู้แล้วว่ามันเป็นมุมกล้อง” เทียมภพบีบมือน้องสาวแน่นขึ้นพร้อมๆกับห้ามฟันไม่ให้กัดลิ้นตัวเองที่ยอมกลืนน้ำลายหยิบยกเอาประโยคเดียวกับที่ชลธีพูดวันนั้นมาใช้กับน้องสาว เขาไม่ต้องการให้แทนดาวต้องคิดมากกับสิ่งที่เห็น ที่สำคัญ...อยากให้เรื่องระหว่างน้องกับอดีตเพื่อนรักจบลงอย่างนุ่มนวลที่สุด
“วันนี้น้องพลูไปพบพี่ชลมาค่ะ” คำสารภาพทำให้อาการกังวลของคนพี่แปรเปลี่ยนเป็นร้อนรุ่มดังเพลิงเผาแต่ก็ยอมสงบเสงี่ยมไม่โวยวาย
“ไปทำไม!”
“ก็ช่วยแบ่งเบาภาระของพี่หมากไงคะ จะได้ไม่ต้องเป็นธุระไปบอกเขาว่าห้ามมายุ่งกับน้องพลูอีก”
“คืออะไร?” เทียมภพลูบแก้มซีดๆของน้องสาวจนรู้สึกถึงอุณหภูมิอุ่นจัดจนเกือบร้อน อุ้งมืออุ่นคอยลูบหลังไหล่
ราวกับจะช่วยซับความหม่นหมองในหัวใจที่เริ่มฉายชัดอยู่ในดวงตาคู่สวย
“น้องพลูไปบอกยุติความสัมพันธ์กับเขา...ด้วยตัวเอง” แทนดาวจับมือทั้งสองข้างของพี่ชายแน่นคล้ายกับจะใช้มันยึดเหนี่ยวไม่ให้ตกลงไปในบ่อแห่งความทรมานอารมณ์
“น้องพลู...ไม่เป็นอะไรใช่ไหมคะ?” เทียมภพกลืนก้อนแข็งๆลงคอแล้วกอดน้องสาวแนบอก น่าแปลก...ที่กลับไม่โล่งอกโล่งใจเรื่องที่ได้ยิน ไม่เข้าใจว่าทำไมยังต้องเป็นกังวลในเมื่อคนที่เขารักพบทางสว่างแล้ว เขาควรจะดีใจด้วยสิถึงจะถูก
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ น้องพลูกับเขารู้จักกันในเวลาอันสั้น มันไม่ลึกซึ้งเกินไปกว่านี้ได้หรอกค่ะ” แทนดาวยันตัวออกจากอกอุ่นแล้วยิ้มเศร้าๆให้พี่ชาย เทียมภพมองน้องสาวเพื่อหาร่องรอยหยาดน้ำตาแต่ก็ไม่มีออกมาให้เห็นเลย เขากดศีรษะเล็กให้แนบอกเพื่อซ่อนรอยทุกข์ใจที่เห็นน้องสาวต้องเศร้าสร้อย ตัวเองก็เจ็บไม่แพ้กันที่ทำหน้าที่ได้ไม่ดีพอ ครั้งหนึ่งเขาเคยให้สัญญาว่าจะรักและดูแลไม่ให้น้องคนนี้ต้องพบกับความผิดหวังหรือเสียใจ แล้วสิ่งที่คนเกิดทีหลังกำลังเผชิญอยู่คืออะไร? จะเจ็บ จะทุกข์ทนแค่ไหน?
เทียมภพรู้ซึ้งดีว่าการพลาดหวังจากคนที่เรารักมันเจ็บปวดทรมานเกินจะเอ่ย นึกถึงคราวที่ตัวเองใช้เวลานับแรมปีในการลบลืมเรื่องราวและสมานแผลบาดเจ็บในหัวใจ แล้วแทนดาวที่ถูกฟูมฟักมาอย่างทะนุถนอมจะรับมือกับความเจ็บปวดได้หรือ?
“ถ้าหนูเจ็บ...อัดอั้น...หรือเสียใจก็ระบายออกมาสิจ๊ะ พี่หมากของหนูอยู่ตรงนี้...ร้องออกมาสักนิดสิคะ ให้พี่ได้สบายใจว่าหนูรู้จักปลดปล่อยความรู้สึกเสียใจกับความรักที่ไม่แฮปปี้ เอนดิ้ง” ฝ่ามืออุ่นช้อนประคองใบหน้าซีดเซียวไว้ในอุ้งมือแล้วจุมพิตแผ่วตรงหน้าผากลาดนูนเป็นการปลุกปลอบ
“ไม่ต้องปลอบน้องพลูหรอกค่ะ ใจมันชาจนไม่รู้สึกอะไรแล้วล่ะ นี่มันคือชีวิตของจริงค่ะ...ไม่มีเจ้าชาย ไม่มีปราสาท ไม่มีม้ายูนิคอร์นหรือกระต่ายขนปุย เลิกพยายามปกป้องน้องพลูจากโลกไร้มลภาวะได้แล้วนะคะ ขอให้น้องพลูได้ลองเจอกับความผิดหวังเหมือนๆกับคนทั่วไป” แทนดาวเสียเองเป็นฝ่ายพูดให้พี่ชายสบายใจ เทียมภพรู้สึกป่วนปั่นที่ตอนนี้ความคิดในหัวตีกันวุ่นไปหมด แทนดาวไม่ตกใจหรือฟูมฟายกับภาพที่เห็นอย่างที่คิดพะวงไปเอง ไม่ร้องไห้แทบบ้าคลั่งกับความผิดหวังในรักอย่างที่คาดการณ์ไว้ เท่านี้ก็รู้แล้วว่าน้องสาวต้องแบกรับความทุกข์โศกขนาดไหน หล่อนกำลังว่ายวนอยู่ในท้องทะเลแห่งความโศกเศร้าและว่ายทวนกระแสความหนาวเหน็บของเกลียวคลื่นแห่งความขื่นขมที่ตีซัดเข้ามาในชีวิตเป็นระลอกแรก ความเหนื่อยล้าทำให้อ่อนกำลังจนไม่มีเรี่ยวแรงแม้แต่จะขับน้ำตาออกมา!
แทนดาวครวญคิดซ้ำไปซ้ำมา หรือเป็นเพราะตั้งแต่แต่รู้จักกับบุรุษนัยน์ตาสีเหล็กคนนี้ก็มีเรื่องให้เสียน้ำตาเล็กๆน้อยๆอยู่เนืองนิจจนเคยชินเสียแล้ว ครั้งนี้จึงไม่มีน้ำตาสักหยด แต่ก็ดีแล้วมิใช่หรือที่ยับยั้งหัวใจเปราะบางไม่ให้ถลำเกินเลยไปมากกว่านี้
จงเจ็บเสีย...จงปวดใจเสียให้รู้รสของพิษสงแห่งรัก หลังจากวันนี้จะไม่อีกแล้ว...ดาวดวงนี้จะทอแสงเพียงหรี่เรืองซ่อนตัวตรงเส้นขอบฟ้าอันมืดมิดเพียงลำพัง มิอาจล่องลอยไปเปล่งประกายไสวสว่างเพียงหนึ่งเดียว ณ ท้องทะเลแห่งนั้น

“สีผึ้ง...ทำไมไอ้นี่ถึงหลุดมาได้?” ปลายเดือนเดินปิดปากหาวหวอดๆลงบันไดมาอย่าง่วงงุนเพราะถูกพี่ชายขี้ใจร้อนปลุกมาคุยกลางดึก หญิงสาวขยี้ตาสองสามครั้งแล้วดูสิ่งที่พี่ชายยัดใส่มือให้
“อะไรคะ? เอ๋....นี่พี่หมากไปเอามาจากไหนอีกล่ะ?” ปลายเดือนเบิ่งตากว้างเมื่อเห็นสิ่งที่อยู่ในมือชัดเจน
“พี่ต้องถามมากกว่า จำได้ไหม...วันนั้นพี่ให้เราจ่ายเงินเพื่อลบข่าวนี่ ทำไมยัยพลูถึงได้มันมา?”
“จำได้สิคะ ก็พี่หมากโทรบอกผึ้งให้โอนเงินตั้งแสนให้เพจบ้านั่น ผึ้งก็รีบดำเนินการทันทีโดยไม่มีใครรู้เพราะว่าเป็น
คนโอนเงินออนไลน์ด้วยตัวเอง ไม่ได้ใช้เลขาฯหรือบอกใครเลย อีกอย่าง...ผึ้งรู้มาว่าไอ้คนเขียนข่าวไปมีเรื่องกับนักเลงที่ไหนไม่รู้ ป่านนี้ยังนอนหยอดน้ำข้าวต้มอยู่โรงพยาบาลแน่ะ มันคงไม่มีแรงวิ่งโร่คาบข่าวมาให้หรอก” ปลายเดือนมองหน้าพี่ชายสลับกับภาพนั้นงงๆ
“พี่บอกตรงๆว่าไม่อยากจะคิดเยอะแต่ก็อดไม่ได้ สีผึ้ง...พี่พอรู้มาว่าเราเองก็คิดยังไงกับไอ้ชล แต่...ใบพลูเป็นน้องนะ! ทำไมต้องทำร้ายจิตใจน้องแบบนี้ด้วยล่ะ?”
“พี่หมาก! นี่พี่คิดว่าผึ้งเอาข่าวนี้ให้น้องดูเหรอคะ? ถ้าทำแบบนั้นแล้วจะเสียเงินเป็นแสนทำไมกัน สู้ปล่อยให้มันเอาลงทั้งภาพทั้งคลิปไปเลยไม่ดีกว่าเหรอคะ?” ปลายเดือนเถียงคอขึ้นเอ็นพร้อมกับมองหน้าคนเป็นพี่อย่างผิดหวัง
“พี่ขอโทษ...คือ...พี่แค่อยากรู้เท่านั้นเอง”
“ใช่สิคะ...ผึ้งมันแค่ลูกผู้น้อง พี่หมากจะมาไว้เนื้อเชื่อใจอะไร” น้ำเสียงสั่นไหวตัดพ้อระคนโกรธทำให้เทียมภพหน้าสลดที่วู่วามจนไม่ทันคิดไตร่ตรอง
“สีผึ้ง! ทำไมพูดแบบนี้? พี่รักเราเท่าๆกับยัยพลูนั่นแหละ เอาเถอะ...อาจจะมีใครบางคนที่เก็บข่าวนี้ได้ทันก่อนโดนลบแล้วเอามาให้ยัยพลูดูโดยไม่ตั้งใจ ไปนอนเถอะ...พี่ไม่รบกวนแล้ว” เทียมภพบีบบ่าน้องสาวคนรองแล้วเดินกลับไป ปลายเดือนมองตามขณะที่ในใจก็พยายามเรียบเรียงเรื่องราวต่างๆ
“ใครกันที่ส่งข่าวนี้ให้ยัยพลู คงกะจะทำให้สองคนนี้ผิดใจกันล่ะสิ”
“แต่จะว่าไป...มุขบ้านๆสร้างความร้าวฉานแบบนี้ดูอ่อนไปเสียหน่อย เพราะถ้าผึ้งคิดจะทำลายใบพลูจริงๆ มันต้องแรงกว่านี้ค่ะ..พี่หมาก” หญิงสาวกระซิบกระซาบกับตัวเอง ไม่มีใครจะได้เห็นประกายตาบางอย่างที่ลุกพรึ่บราวเปลวเทียนถูกน้ำมันเบนซิน






Create Date : 27 เมษายน 2559
Last Update : 29 เมษายน 2559 9:33:37 น.
Counter : 669 Pageviews.

1 comments
  
ดีจ้า มาทักทายนะจ้ะ sinota ซิโนต้า Ulthera สลายไขมัน SculpSure เซลลูไลท์ ฝ้า กระ Derma Light เลเซอร์กำจัดขน กำจัดขนถาวร รูขุมขนกว้าง ทองคำ ไฮยาลูโรนิค Hyaluronic คีเลชั่น Chelation Hifu Pore Hair Removal Laser freckle dark spot cellulite SculpSure Ultherapy กำจัดไขมัน adenaa ลบรอยสักคิ้วด้วยเลเซอร์ ลบรอยสักคิ้ว Eyebrow Tattoo Removal เพ้นท์คิ้ว 3 มิติ สักคิ้ว 3 มิติ
ให้ใจหายใจ สุขภาพ วิธีลดความอ้วน การดูแลสุขภาพ อาหารเพื่อสุขภาพ ออกกำลังกาย สุขภาพผู้หญิง สุขภาพผู้ชาย สุขภาพจิต โรคและการป้องกัน สมุนไพรไทย ขิง น้ำมันมะพร้าว ผู้หญิง ศัลยกรรม ความสวยความงาม แม่ตั้งครรภ์ สุขภาพแม่ตั้งครรภ์ พัฒนาการตั้งครรภ์ 40 สัปดาห์ อาหารสำหรับแม่ตั้งครรภ์ โรคขณะตั้งครรภ์ การคลอด หลังคลอด การออกกำลังกาย ทารกแรกเกิด สุขภาพทารกแรกเกิด ผิวทารกแรกเกิด การพัฒนาการของเด็กแรกเกิด การดูแลทารกแรกเกิด โรคและวัคซีนสำหรับเด็กแรกเกิด เลี้ยงลูกด้วยนมแม่ อาหารสำหรับทารก เด็กโต สุขภาพเด็ก ผิวเด็ก การพัฒนาการเด็ก การดูแลเด็ก โรคและวัคซีนเด็ก อาหารสำหรับเด็ก การเล่นและการเรียนรู้ ครอบครัว ชีวิตครอบครัว ปัญหาภายในครอบครัว ความเชื่อ คนโบราณ
โดย: สมาชิกหมายเลข 4061181 วันที่: 25 สิงหาคม 2560 เวลา:15:46:04 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

อิสวารายา
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



ถ้าย้อนกลับไปเมื่อปี 2007 นักเขียนหน้าใหม่นามปากกาว่าอิสวารายาได้ถือกำเนิดขึ้นพร้อมๆกับนวนิยายรักอบอุ่นหัวใจเรื่อง ปลูกรักในรั้วใจ จำได้ว่าเมื่อ 9 ก่อนนั้นนวนิยายเรื่องยาวนี้เป็นที่นิยมของแฟนนักอ่านที่น่ารักหลายท่าน เนื้อเรื่องได้ดำเนินมาถึงตอนใกล้จบแต่ writer ก็หยุด update ต่อจนจบเนื่องจากเกิดเหตุคอมพิวเตอร์ขัดข้อง เนื้อหาที่เป็นต้นฉบับไม่สามารถเรียกมาได้ ก็เลยหมดกำลังใจที่จะนั่งพิมพ์ใหม่ เนื้อเรื่องที่ได้ post ไว้ทั้ง 3 pages (Dek-D, Bloggang, Jamsai) ก็ไม่เหมือนฉบับ rewrite ที่ได้วางพลอตเอาไว้จนถึงตอนอวสาน พอทิ้งไปนานๆเข้าก็เริ่มไม่มีเวลาเพราะยุ่งกับงานรวมถึงการศึกษาต่อ

จนกระทั่งวันนี้ ผ่านไปแล้ว 9 ปี ก็คิดถึงปลูกรักในรั้วใจขึ้นมา เลยลอง search ใน google ก็ยังพบว่าปลูกรักในรั้วใจยังคงอยู่ ประกอบกับมีนักอ่านบางท่านยังคงมา comment อยู่ อิสวารายาก็รู้สึกผิดและคิดว่าควรจะสานต่อปลูกรักในรั้วใจให้สมบูรณ์เสียที ให้สมกับที่แฟนนักอ่านรอคอยให้น้องพลูกับพี่ชลกลับมา ดังนั้นจึงนั่ง copy เนื่อเรื่องจากเวบเอามาเขียนใหม่ โดยอิสวารายาเริ่มหยิบเนื้อหามาค่อยๆ rewrite ใหม่ตั้งแต่เดือน พ.ย. 58

น้องพลูกับพี่ชลกำลังจะกลับมา พร้อมกับเนื้อหาที่ปรับแต่งใหม่ให้เข้ากับยุคสมัย นอกจากนั้นยังพิ่มบท ตัวละคร เพื่อให้มีอรรถรสมากขึ้น

นวนิยายเรื่องนี้จะได้รับการตีพิมพ์หรือไม่นั้นไม่สำคัญ แต่อิสวารายาคิดถึง น้องพลู พี่หมากและพี่ชล และต้องการให้พวกเขากลับมา มาร่วมสร้างความรัก ความอบอุ่น กับนวนิยายรักน่ารักเรื่องนี้กันใหม่อีกครั้งนะคะ

รักและคิดถึงที่สุด
อิสวารายา
20 ก.พ. 2559
New Comments
  •  Bloggang.com