Once upon a time ...
Group Blog
 
All blogs
 

จนกว่า จะพบกันใหม่

นึกหัวข้อไม่ออกว่าจะประมาณไหนดี??

มันเริ่มมาจากความคิดอกุศลของเราเองล่ะที่เห็นหญิงชายวัยใกล้เกษียณมาซื้อของที่ร้าน เมื่อถามว่าของทั้งหมดนั้น ใส่ถุงเดียวกันหรือเปล่า คือ เห็นมาด้วยกันแต่ต่างคนต่างเลือก ไม่แน่ใจว่าอยู่บ้านเดียวกันหรือเปล่ายังไง พี่ผู้หญิงตอบว่า แยกกันค่ะ ถ้าชาติหน้าเกิดมาคงจะได้อยู่ถุงเดียวกัน เรารีบกดสายตาให้อยู่กับข้าวของตรงหน้า อย่าเชียวนะ ชั้นรู้ว่าเธอคิดอะไรอยู่ อย่าคิดไปไกลกว่านี้ มันอาจจะไม่มีอะไรในคำพูดที่ว่าเลยก็ได้ และถึงมี ก็เป็นเรื่องของเขา ไม่ใช่เรื่องของเรา

พอเขาจากไป ก็ยังวนเวียนอยู่กับประโยคนั้นไม่ได้ นึกในใจว่า พี่คะ ถ้าเป็นอย่างที่หนูเข้าใจ ชาติหน้าเกิดมาพบกัน มันอาจจะไม่สุขสมอย่างที่พี่วาดหวังไว้ก็ได้ค่ะ

จริงๆแล้ว มีอีกหลายครั้งหลายคราที่เห็นชายวัยคราวพ่อพาเด็กสาวมาซื้อของ ไม่ได้คิดอะไรนอกจากญาติผู้ใหญ่มากับเด็ก แต่พอเพื่อนของญาติผู้ใหญ่มาเจอกันเข้าที่นี่ ได้ยินเขาคุยกันถึงได้รู้ว่า คุณผู้ใหญ่พาเด็กที่ไม่ใช่ญาติไปไหนต่อไหนมา...

.......

ข้อความข้างบน บันทึกไว้มานาน (เมษา 2011) มาค้นดูว่าคลับคล้ายคลับคลาเนื่องมาจากอ่านคำแนะนำของคุณดังตฤณข้างล่างนี้

//www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1352777222&grpid=01&catid=&subcatid=//www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1352777222&grpid=01&catid=&subcatid=

 

หากจะพูดกันบนพื้นฐานความเป็นจริง ถึงวิธีแก้ปัญหาให้เรื่องมือที่สาม มีชู้ นอกใจ ลดน้อยลงในสังคม ก็ต้องบอกว่า ยากมาก และไม่มีวิธีใดที่ "ง่าย" เลย ยิ่งการบอกให้ใครคนใดคนหนึ่งต้อง "ตัดใจ" ที่ใครชอบบอก ชอบแนะนำให้ทำกันนั้น มันก็ไม่ได้ทำได้ง่ายๆ เหมือน "ตัดเชือก" นี่หน่า

แต่ที่น่าสนใจ ก็คือ วันนี้เรามีข้อคิดดีๆ ที่น่าจะเป็นการ "ตัดไฟ" ตั้งแต่ต้นลม ซึ่งน่าจะทำได้ไม่ยากนัก จาก "ดังตฤณ" หรือ "ศรันย์ ไมตรีเวช" ผู้เขียนหนังสือ เสียดาย...คนตายไม่ได้อ่าน, รักแท้มีจริง, ความรักหลากสี, คำตอบ ใน facebook ฯลฯ หนึ่งในผู้สร้างเทรนด์ให้คนรุ่นใหม่หันมาสนใจธรรมะ และเป็นหนึ่งในผู้ให้คำปรึกษาปัญหาชีวิต ที่มีคนเขียนไปปรึกษาปัญหาความรักมากมายมาฝากกัน สำหรับใครที่ไม่อยากตกอยู่ในวังวนนี้

เริ่มจากสิ่งแรกที่ผู้หญิงควรรู้ไว้ก็คือ ผู้ชาย ผู้หญิง "คิดต่าง" กัน และรู้สึกต่างกัน โดยเฉพาะความคิด ความรู้สึก ที่นำไปสู่ปัญหาภรรยาน้อย

"ในเรื่องปัญหาเมียน้อยนั้น ก่อนอื่นเราต้องมองว่า มันมีพื้นฐานจากความต้องการทางเพศเป็นหลัก นี่คือ ธรรมชาติของผู้ชาย คือผู้ชายต้องการเปลี่ยนไปเรื่อยๆ แต่ผู้หญิงต้องการมีแค่คนเดียว มันต่างกันที่ธรรมชาติอยู่แล้ว ผู้ชายรักสนุก ในขณะที่ผู้หญิงรักความอบอุ่น ถ้าเรามองว่าปัญหาเกี่ยวกับเมียน้อย มันเกี่ยวกับความต้องการทางเพศ ผู้ชายที่มีเมียน้อย เขาไม่ได้ต้องการผู้หญิงที่ดีกว่าภรรยาของตัวเองในแง่นิสัย แต่ต้องการสีสัน ต้องการความเปลี่ยนแปลง"

"หลายๆ คนยังรัก ยังเทิดทูนภรรยา แต่อยากได้สีสัน อยากได้รสชาติใหม่ๆ เราต้องมองว่า ในเรื่องความต้องการทางเพศ แรกๆ ฝ่ายชายจะมองว่า การได้แตะต้องหญิงอื่น มันได้ล่วงเกิน ได้สนุกกับการจับต้องของที่ไม่ใช่ของของตน ของต้องห้ามมันมีความสนุก แต่พอได้มา มันจะกลายเป็นความรู้สึกเป็นหน้าที่ต้องทำความสุขให้ภรรยา และผู้หญิงพอถูกใครครอบครองไปแล้ว จะรู้สึกว่า ราคาตก ยิ่งเป็นของใครนานเท่าไร ยิ่งไม่น่าดึงดูด"

ดังตฤณ ยังบอกถึง "ความคิดอันตราย" ที่ผู้หญิง ซึ่งตกอยู่ในที่นั่ง "คนมาสาย" หรือตกเป็น ภรรยาน้อยของใครไปแล้วว่าคือ ความคิดว่า ผู้ชายกำลัง "หลง" ตัวเองอยู่ สุดท้ายแล้วก็ต้องทิ้งภรรยามาอยู่กับตัวเองจนได้ เป็นความคิดที่ยิ่งทำให้ ถลำตัวลึก จนถอนตัวไม่ขึ้น

"ผู้หญิงจะเชื่อมั่นตัวเองว่า เดี๋ยวจะดึงฝ่ายชายมาเป็นของตัวเองได้ จะเป็นความเชื่อขั้นพื้นฐานเลย โดยรู้สึกว่า ฝ่ายชายกำลังหลงตัวเองมากแล้วธรรมดาของผู้หญิงจะรู้สึกว่า อย่างนี้เสร็จแน่ ยังไงก็เป็นของเราแน่ เราไปบีบให้เขาหย่าที่หลังได้ คือพอไปตั้งความเชื่ออย่างนั้น ก็มาพบความจริงภายหลังว่า ตัวเองก็ถูกแทนที่ได้เหมือนกัน ผู้ชายถ้ายอมให้ภรรยาที่มีลูกกับตัวเองถูกแทนที่ได้ เขาก็พร้อมจะโดนแทนที่ไปเรื่อยๆ ให้ใครมาเสียบแทนไปเรื่อยๆ นี่ คือข้อเท็จจริง"

ข้อเท็จจริง อีกอย่างที่ ดังตฤณ เล่าจากประสบการณ์ที่มีแฟนๆ เขียนมาปรึกษาปัญหาความรักก็คือ

"เมียน้อยหลายคนต้องการกำลังใจ ต้องการวิธีที่จะเลิก อันนี้เป็นแง่มุมที่คนส่วนใหญ่มองไม่เห็น จะเห็นแต่ว่า ทำแบบนี้มันเลวนะ แต่จริงๆ เมียน้อยหลายคนตกไปอยู่ในฐานะของเมียน้อยเพราะถูกหลอก พอรู้ว่า ถูกหลอก ก็เกินกว่าจะถอนตัวแล้ว เพราะมีความผูกพันทางใจ เรื่องของความสะดวกสบายที่ได้รับ เรื่องของความรู้สึกว่า คนนี้ใช่ คือทั้งสองฝ่าย ต่างรู้สึกว่า ใช่ แต่ฝ่ายชายเพิ่งมาเปิดเผยว่า มีภรรยาแล้ว ซึ่งเมียน้อยหลายคนที่มีการศึกษาเป็นถึงดอกเตอร์หรือรวยกว่า เมียหลวง ก็มี"

ส่วนใครที่มีความคิดว่า การตกเป็นเมียน้อยอาจเป็นเรื่องของ กรรมเก่า หรือเปล่า ดังตฤณ มีข้อคิดที่น่าสนใจว่า

"ในกรณีของเมียน้อย ถ้าพูดกันตามหลักของกรรมวิบาก เป็นกรรมใหม่มากกว่ากรรมเก่า ในกรณีที่เลือกได้ ซึ่งเกินกว่าครึ่ง มันมีการตัดสินใจว่า จะเอา หรือ ไม่เอา ถ้ามีการตัดสินใจแบบนี้ แสดงว่า กรรมเก่าไม่ได้บีบมาว่าต้องเป็นเมียน้อย มันขึ้นอยู่กับสิทธิในการเลือกของคุณแล้วว่า คุณต้องการจะกินน้ำใต้ศอกหรือเปล่า"

"แต่บางคนเราต้องยอมรับว่า ถูกหลอกว่ายังไม่มีเมีย หรือที่เจอบ่อยที่สุดก็คือ บอกว่า เลิกกันแล้ว กำลังจะหย่ากันแล้ว แต่ปีหนึ่งก็แล้ว สองปีก็แล้ว ที่บอกว่าจะเลิกก็ไม่เลิกสักที ฝ่ายชายมักจะมีข้ออ้างว่า ภรรรยาไม่ยอมหย่า ลักษณะนี้ เขาเรียกว่า ถูกบีบมา คือเหมือนกับไม่ได้ตั้งใจจะเป็นเมียน้อย แต่ตกอยู่ในฐานะของเมียน้อยด้วยการถูกหลอกลวง"

แต่ไม่ว่าอย่างไร ทุกคนมีสิทธิเลือกทางเดินชีวิตให้กับตัวเองทั้งนั้น สำหรับใครที่อาจกำลังยืนอยู่บนทางสามแพร่ง กำลังเริ่มพูดคุย ใกล้ชิดกับคนที่มีเจ้าของ ดังตฤณ มีข้อคิดว่า ถ้าหากรู้ตัวว่าเขามีเจ้าของแล้ว และรู้ตัวว่า เราเริ่มมีใจให้กับเขา เราต้องไม่เปิดโอกาสให้มีการสานสัมพันธ์ต่อไป

"การที่เรากำลังคุยกับใคร ทั้งที่รู้ว่าเรามีใจกับเขา นี่ก็เป็นต้นเหตุของความทุกข์ อันยากจะถอนตัวแล้ว

ถ้าหากว่า เราได้กลิ่นควันไฟ ก็ยังไม่สาย ที่จะถอนตัวตั้งแต่ยังต้นลม

แต่ถ้าหากว่า เรายังคิดแต่ว่าไม่เป็นไร ยังไม่ผิดศีล ในที่สุดเราก็จะเอาตัวเข้าไปผูกรัดอยู่กับบ่วงทุกข์

หลักการง่ายๆ ถ้ารู้ว่า มีใจอยู่กับใคร แล้วรู้ว่าเขามีแฟนหรือภรรยาอยู่แล้ว อย่าไปต่อ อย่าไปพูด มันต้องใช้การหักดิบ ซึ่งอาจทำยากตรงที่เราอนุโลมตัวเองให้พูด ให้คุยไปสักระยะทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่า มันมีใจ แต่ก็ยังขืนคุย มันก็จะมีเงื่อนไขที่ยากขึ้นไปอีก"


แล้วก็จะต้องเจอทุกข์ใจแสนสาหัส รออยู่เบื้องหน้าแน่นอน !!!

.......

ในวงสนทนาของผู้หญิงเข้าวัด ใครต่อใครคงคิดว่า ผู้หญิงเข้าวัด วันวันคงพูดแต่เรื่องนั่งสมาธิ เดินจงกรม ถือศีลแปด แต่ที่เราเคยไปร่วมในวงสมูทตี้แห่งหนึ่ง มีบทสนทนาประมาณว่า

แอบชอบผู้ชายที่มีครอบครัวแล้ว เรียกว่าคลิกก็ได้ จะทำยังไงดี? ไม่ได้ชอบที่รูปลักษณ์แต่เป็นตัวตน ชอบที่ความคิดความเห็นดึงดูดใจอย่างแรง ฝ่ายชายเขาไม่ได้แสดงออกอะไรนะ แถมมีพูดเรื่องครอบครัวเป็นระยะ ไม่รู้จะบอกเป็นนัยหรือเปล่า 

ไม่เคยคิดว่าจะเป็นแบบนี้ได้ ทุกข์มาก ทุกข์ทางใจ ศีลห้ายังดีอยู่ ยังไงๆก็ไม่คิดว่าตัวเองจะผิดศีลข้อที่สาม เพียงแต่ไม่รู้จะจัดการกับความรู้สึกที่ว่ายังไงดี

พี่ที่อาวุโสทั้งทางวัยและประสบการณ์ในการภาวนาให้ความคิดเห็นว่า

อย่าไปแน่ใจนักเลยว่าจะไม่ผิดศีลข้อสาม เห็นมาหลายรายแล้ว พวกนักภาวนานี่แหละ มั่นอกมั่นใจนัก อีกอย่างที่น่าระวังคือ ผู้ชายบางคน เขารู้ได้โดย sense ว่าผู้หญิงแอบชอบเขา เพราะฉะนั้น นี่ก็เป็นจุดอ่อนที่ต้องระวังให้มาก

ผู้หญิงในวงคนหนึ่งแนะนำว่า ถ้าเป็นคู่แท้กันจริง ต้องเจอกันในยามที่ทั้งสองฝ่ายไม่มีภาระทางใจแบบนี้ แต่นี่ไม่ใช่คู่กัน อย่าไปคิดในแง่คลิก แล้วต้องเป็นคู่แท้ อะไรอย่างนั้นเลย ตัดใจซะเถอะ

พี่สาวคนเดิมบอกว่า อย่าเพิ่งไปมั่นใจว่าเราจะรักษาข้อสามได้ พี่เชื่อว่าทางกายจะไม่ก่อปัญหา ไม่มีการจับมือถือแขนหรือไปไหนกันสองต่อสองอยู่แล้ว แต่เอาเรื่องสัมมาวาจาให้อยู่ พูดเท่าที่จำเป็น ตัดเรื่องการพูดล้อเล่น พูดเพ้อเจ้ออะไรทั้งหลายออกไป ส่วนนี้ล่ะที่สำคัญที่สุด ทั้งพูดและเขียน เอาเท่าที่จำเป็นเท่านั้น

ตอนที่นั่งฟังตอนนั้น ยังไม่แน่ใจว่าสัมมาวาจาจะเอาอยู่ยังไง พอกลับมาฟังการสนทนาอีกรอบเมื่อเวลาผ่านไปหลายเดือน พบว่า ข้อนี้ล่ะที่จะกั้นความสัมพันธ์ได้ชะงัดนัก เพราะจะมาเป็นปลากัดนั่งมองหน้ากันและกัน มันก็ไม่เข้าที และสัมมาวาจาที่ว่า ไม่ใช่ระวังแต่เรื่องที่จะไปเป็นมือที่สามของใคร กลับกลายเป็นระวังวาจาและการเขียนในเรื่องอื่นๆด้วย เพราะการจะระวังกับคนคนเดียว มันไม่ได้ผลเท่าใดนัก หากแต่การฝึกสำรวมระวังไม่ว่าสถานการณ์ไหน กับใคร มันทำให้การวางใจไม่ได้จดจ่ออยู่กับคนคนเดียว แต่เสมอกับทุกคน ผลที่ได้มันก็ดีกว่าไปจดจ่อที่จะระวังกับคนคนเดียว 

(นึกถึงตัวเองตอนที่ฝึกเรื่องนี้ใหม่ๆ จะไม่นินทาเพื่อนร่วมงาน โอย...ยาก Smiley แต่พอฝึกไปๆ ไม่ว่าเพื่อนร่วมงานคนนี้หรือคนไหน มันก็จะได้ผลไปเอง ไม่ต้องไปจดจ่อว่าจะไม่นินทาคนนี้คนเดียว.. ยังไม่ได้ 100% หรอกนะ ก็...พยายามอยู่ Smiley )

พอจ.ชยสาโรเคยสอนว่า เกิดมาชาติหนึ่ง ในบรรดามรรคมีองค์แปด เอาให้ได้สัมมาวาจาข้อเดียวก็ถือว่าเยี่ยมแล้ว ท่านหมายรวมถึงการเขียนด้วยเพราะคนยุคเราติดสังคมออนไลน์กันมาก

 

สำหรับกรณีมือที่สาม สัมมาวาจาค่ะเป็นด่านแรก อันนี้เป็นแวดวงประสบการณ์ของผู้หญิงเข้าวัด

ถ้าไม่ใช่นักภาวนา จะไหวมั้ยน้ากับข้อนี้ Smiley แต่คุณดังตฤณก็ให้คำแนะนำแบบนั้นนะ ว่าอย่าไปต่อ อย่าไปพูด เอาใจช่วยละกันนะ ผู้หญิงทุกคน

ปล. ไม่เคยดูแรงเงาล่ะ เชยเนอะ เป็นแกะดำของสังคมรึเปล่า? Smiley

 




 

Create Date : 11 เมษายน 2554    
Last Update : 15 พฤศจิกายน 2555 19:52:52 น.
Counter : 626 Pageviews.  

คลื่นความคิดถึง

วันนี้ มีคนส่ง fw mail ที่เขาได้จาก facebook ใครสักคนหนึ่ง เป็นบันทึกเกี่ยวกับความคิดถึง

“ วันนี้.....คุณมีคนที่คิดถึงแล้วหรือยัง “

เคยคิด...เคยรู้สึกไหม ว่าตอนที่กำลังคิดถึงใครสักคนหนึ่ง แล้วเขาจะคิดถึงเรากลับมาบ้างหรือเปล่า
และ ความคิดถึงที่เรากำลังมีอยู่ตอนนี้ มันจะส่งไปถึงเขาคนนั้นบ้างไหม
เรื่องแบบนี้ บางทีมันก็ไม่สามารถบอกออกมาเป็นคำพูดได้เหมือนกัน
เพราะความคิดถึงมันเป็น “ความรู้สึก” ความรู้สึกบางครั้งไม่สามารถที่จะรับรู้
หรือบอกกล่าว ได้ด้วย วาจา หรือคำพูดใดๆ
อย่างเช่น ความรู้สึก คิดถึง ต้องรับรู้กันด้วยใจ การคิดถึงใครสักคน แล้วไม่สามารถระบาย
ไม่สามารถที่จะปลดปล่อยความคิดถึงนั้นได้ มันเป็นความคิดถึงที่ทรมานที่สุด
โทรคุยก็ไม่ได้ โทรไปก็ไม่รับ โทรศัพท์ไม่ค่อยเปิด แถม MSN ก็ยังไม่ออนไลน์
ถ้าบุคคลใดเจอสถานการณ์อย่างนี้เข้าไป อาจจะเป็นโรคชนิดหนึ่ง
โรคนี้เกิดจากการคิดถึงใครคนหนึ่งมากเกินไปจนระบายความคิดถึงไม่ทัน

โรคนี้มีชื่อว่า “โรคคิดถึงขึ้นสมอง” อาการของโรคนี้มีหลายๆอย่างแล้วแต่ว่า คนที่เป็นโรคนี้เกิดจากอาการคิดถึงมาก คิดถึงน้อยแค่ไหน
คนที่คิดถึงน้อยๆ พอประมาณ ก็อาจจะมีแค่อาการเพ้อเล็กน้อย
บ่นกับตัวเองว่าคิดถึงเขา สักคำสองคำอาการคิดถึงก็หายไป
คนที่เป็นมากๆ หน่อยก็อาจจะมีอาการ เหม่อลอย แอบยิ้มเองคนเดียว
เรียกชื่อคนอื่น ผิดๆ ถูกๆ เป็นชื่อคนที่คิดถึง หรือ
อาการแปลกอื่นๆที่มีไม่เคยมีมาก่อนอีกหลายอาการแล้วแต่
สถานการณ์จะพาไป แต่ถ้าหากคิดถึงมากสุดๆ ( สุดๆของหัวใจ )
แล้วคนที่เราคิดถึง ไม่คิดถึงตอบกลับมาล่ะก็
บุคคลนั้นจะเข้าสู่ภาวะของโรค ขั้นร้ายแรงที่สุด

หรือ อาจจะเรียกได้ว่าเป็น "โรคคิดถึงขึ้นสมองระยะสุดท้าย”
ผู้ที่เป็นโรคนี้ระยะสุดท้าย จะมีอาการ เหม่อลอย น้อยใจ
ไข้จับ รับรู้ได้ช้า เหน็บชาที่หัวใจ พูดอะไรไม่ออก
จะบอกใครก็ไม่ได้ และใจสลายในที่สุด....

*วิธีป้องกันโรค*

วิธีป้องกันก็มีอยู่หลายวิธี ที่ง่ายๆเลยก็คือ
หาคนที่ต้องการคิดถึงให้อยู่ใกล้ๆกับตัวเรา เจอกันได้ง่ายๆ ติดต่อง่ายๆ
พอเราคิดถึงก็ได้เจอได้คุยโดยไม่ต้องรอนานเกินไป .....

แต่สำหรับคนที่มีอยู่แล้ว แต่ไกลกัน ไม่ต้องหาใหม่
เพราะต้องการให้คิดถึงได้ง่ายๆ เหมือนกรณีแรกนะ มีวิธีเหมือนกัน
ถ้าเราอยู่ห่างกัน ก็แค่เพียงให้คิดถึงทีละน้อยๆ แต่บ่อยครั้ง อย่าได้ขาด
เช่น ครั้งนี้คิดถึง นิดนึง แต่มากพอที่จะให้ ความคิดถึงไปหยุดตรงกลาง
ระยะทางของทั้งสองคนได้ จากนั้นการคิดถึงครั้งที่สอง
ให้คิดถึงมากกว่าครั้งแรก นิดนึง เพื่อให้ความคิดถึงครั้งที่สองนั้น
มีแรงที่จะไปผลักความคิดถึงที่มีอยู่ก่อนแล้วก้อนนึงให้ไปถึงคนที่เราคิดถึง
และครั้งที่ สาม ที่ สี่ และครั้งต่อๆ ไป ต้องเพิ่มความคิดถึงให้มากขึ้นเรื่อยๆ
เพราะถ้าคิดถึงน้อยกว่า หรือพอๆ กันกับครั้งก่อนหน้านี้
จะทำให้ความคิดถึงไม่มีแรงผลักดันกันไป
ความคิดถึงก็จะสะสมไปเรื่อยๆ จนอาจจะทำให้เกิดอาการ
”ช่องทางแห่งความคิดถึงอุดตันได้ “

*ข้อควรระวัง*

จงอย่าพยายามเก็บความคิดถึงไว้มากๆ เพื่อจะส่งไปครั้งเดียวทั้งหมด
เพราะแรงส่งของความคิดถึงที่อยู่นานๆ อาจจะเสื่อมคุณภาพลงได้ถ้าใจไม่หนักแน่นพอ
อาจจะทำให้ความคิดถึงส่งไปไม่ถึงผู้รอรับได้ คงจะพอรับรู้กันไปบ้างแล้วนะ
เกี่ยวกับอันตรายที่จะเกิดขึ้นจากการมีความคิดถึง มากเกินไป หรือ การคิดถึงไม่ถูกวิธี ....
แต่อย่ากลัวทีจะคิดถึงใครนะ เพราะคนคนนั้น อาจจะรอความคิดถึงของคุณอยู่ก็ได้

สำหรับคนที่มีใครไว้ให้คิดถึงอยู่แล้วก็จงคิดถึงกันต่อไปให้นานๆ
อย่าได้มีวันจางหาย ลบเลือนไป
ส่วนคนที่โดนคิดถึงนั้นก็อย่าได้เล่นตัวมากละกัน
เพราะคงได้รู้แล้วว่าคนที่คิดถึงเขาทรมาน และ เสียใจมากแค่ไหน
ถ้าหากไม่ได้ความคิดถึงตอบกลับ หากคุณรู้ว่ามีคนคิดถึงคุณอยู่
อย่าได้รอช้าอยู่เลย ช่วยกรุณาแบ่งความคิดถึงที่คุณมีอยู่มากมายนั้น
แบ่งมาสักเล็กน้อย แล้วส่งกลับไปหาเขาบ้าง
ก่อนที่อะไรๆ มันจะสายไป และก่อนที่จะไม่มีใคร คิดถึงคุณอีกเลย


*********

สารภาพว่า อ่านข้อความที่ fw มาแล้วก็..งั้นๆล่ะ ใครที่คิดถึงใครจนเป็น"โรคคิดถึงขึ้นสมองระยะสุดท้าย" คงจะน่ากลัวอยู่ไม่เบา เรียกว่าคลื่นความคิดถึงที่ส่งไปดันไม่ยอมไปหาเป้าหมาย แต่ก่อเป็นคลื่นกวนเจ้าตัวซะมากกว่ากระมัง

นึกไปถึงว่าคลื่นความคิดถึงที่ส่งออกไป ถ้าคนที่มีคลื่นความคิดถึงตรงกัน คงจะรับแล้วส่งตอบกลับมาทางใดทางหนึ่ง ที่เจอกับตัวเองเลยก็เป็นทางโทรศัพท์ มั่นอกมั่นใจว่าคนที่โทรมาคือใคร เป็นได้ขนาดนั้น แต่คล้ายว่าเคยเกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว ตอนรับโทรศัพท์ไม่ได้แปลกใจด้วยว่าทำไมถึงรู้ว่าเป็นใครโทรมา

ส่วนที่ไม่ใช่โทรศัพท์ ก็คงจะมี email ที่เหมือนมีอะไรดึงดูดให้เปิด mail อ่านในตอนนั้น เพื่อที่จะพบว่าคนอีกฟากส่งข้อความมาเมื่อไม่ถึง 3 นาทีที่แล้ว แบบนี้เคยเป็นอยู่หลายครั้ง หรือแม้ในช่วงที่ห่างการติดต่อกันไปนาน วันไหนที่ส่งคลื่นความคิดถึงออกไป ก็พบว่ามีข้อความมานอนรอใน mailbox ได้อย่างน่าประหลาดใจ

เคยเข้าใจผิดว่า คนที่มีคลื่นความคิดถึงตรงกันหลายๆครั้งแบบนี้ น่าจะเข้าใจกันได้ดี น่าจะมีความสัมพันธ์ที่ยืดยาว แต่พบว่า เราเข้าใจผิดล่ะ แล้วมันก็ผ่านไป

พบว่า คลื่นความคิดถึงที่มีต่อใครๆในสองสามปีที่ผ่านมา มันไม่แรงแต่มันนุ่มนวล จะส่งความคิดถึงไปถึงใครหรืออะไรก็ตาม จะออกมาเป็นคลื่นในทางบวกซะส่วนใหญ่ คิดถึงแล้วก็อยากให้คนที่เราคิดถึงเขามีความสุข ประมาณนั้น และ...กำลังส่งไม่รุนแรง เมื่อมันไม่รุนแรง ก็แปลกที่ว่า ชักจะไม่เดือดเนื้อร้อนใจว่าคนที่เราคิดถึงจะต้องโทรมา จะต้องทำอะไรให้ จะต้อง.....

หรือว่า คลื่นความคิดถึงมันมีคลื่นแทรก หรือมีอิทธิพลของคลื่นตัวอื่น ทำให้แรงยึดกับบุคคลเหล่านั้นมันอ่อนกำลังลงไป ???




 

Create Date : 25 พฤศจิกายน 2553    
Last Update : 25 พฤศจิกายน 2553 20:41:30 น.
Counter : 27926 Pageviews.  

เหตุบังเอิญ หรือเรื่องจัดฉาก

วันก่อน รุ่นน้องที่เป็นนักเศรษฐศาสตร์ส่ง link blog ที่เขาเขียนเกี่ยวกับความรักมาให้อ่าน อ่านแล้วก็ ment ให้ไปหลายประโยค ^ ^

แล้วก็มานึกๆว่า ในเรื่องความรักของคนบางคู่ ทำไมเรื่องราวมันถึงดูจะมีเหตุบังเอิญเกิดขึ้นบ่อยจัง เหตุบังเอิญเหล่านั้น เมื่อมองย้อนกลับไปก็ชักสงสัยว่าใครเป็นคนจัดฉากเหล่านั้นขึ้นมา น้องคนที่ว่าเขียนใน blog เขาว่า คนคบกันเป็นเพราะ “มือที่มองไม่เห็น” ทำงาน ส่วนเวลาที่คนเลิกรากัน สาเหตุกลับเป็นเพราะมี “ตีนที่มองไม่เห็น” เข้ามา

เหตุบังเอิญที่ว่านั้นมีอะไรบ้างน้าสำหรับคนแปลกหน้าสองคนที่มาเจอกันด้วยเหตุที่ไม่เหมือนคู่ปกติธรรมดาทั่วไป แล้วค่อยๆค้นพบความบังเอิญแต่ละข้อขึ้นมาให้ได้แปลกใจกัน เอาตัวอย่างคู่ใกล้ๆตัวดีกว่า

ชื่อจริงของคนคู่หนึ่งที่ฟังแล้ว ราวกับเป็นพี่น้องกัน (ชื่อมันคล้องกันมากเลยล่ะ)
ชื่อเล่นของคนคู่นั้น ที่มีจุดให้คนคนหนึ่งบอกว่า ทำไมมันพ้องเสียงกันอีกแล้ว
ทำงานวงการอุตสาหกรรมเดียวกัน แล้วอีกฝ่ายเลยกลายเป็นที่ปรึกษาให้กับอีกฝ่ายไปโดยปริยาย
บ้านเกิดอยู่ใกล้กัน ที่อยู่ปัจจุบันก็ดันใกล้กันอีก
เล่นกีฬาบางอย่างได้ดีพอกัน ไม่น่าจะเป็นกีฬายอดฮิตหรอกนะ
เป็นรุ่นพี่รุ่นน้องสถาบันเดียวกัน แถมฝ่ายชายยังเป็นพวกรักสถาบันซะมากมาย ตั้งแต่โรงเรียนสมัยมัธยมยันมหาวิทยาลัย
ชอบเลี้ยงหมาเหมือนกัน คนหนึ่งอยากเลี้ยง ส่วนอีกคนกำลังเลี้ยงอยู่หลายตัวเชียว
คุยถึงวรรณกรรมบางอย่างด้วยกันได้ คุยถึง The Prince ได้ คุยถึงหมอเช ได้ ทั้งที่ฝ่ายหนึ่งชอบเล็กเสี่ยวหงส์ ส่วนอีกฝ่ายชอบโป้วอั้งเสาะ

ที่ไปด้วยกันไม่ได้ หรืออาจจะกลายเป็นว่าทำให้เข้ากันได้ดีก็ได้ คือ ฝ่ายหนึ่งจุดเดือดต่ำและอีกฝ่ายหนึ่งจุดเดือดสูง


ทั้งหมดข้างต้น มันเป็นเหตุบังเอิญทั้งนั้นเลยใช่มั้ย ที่ทำให้คนหนึ่งถูกใจอีกคนหนึ่งไปตอนไหนอย่างไม่รู้ตัว มือที่มองไม่เห็น มันคืออะไร ทำงานตอนไหน เราก็ไม่รู้เหมือนกัน

และ ตีนที่มองไม่เห็น มันคืออะไร หรือมันเคยปรากฏให้เห็นแล้วเพียงแต่ยังไม่เฉลียวใจ

มีคำถามที่ฟังดูเล่นๆแต่คนตั้งคำถามนั่นแหละที่รู้ตัวว่าตนเองจริงจังกับคำตอบนั้น วันนั้น เธอขับรถไปไกลเกือบถึงโคราชไปถวายสังฆทานตอนสาย รับรู้ข่าวคราวการจากไปของคนรอบข้างจากเพื่อนที่ไปด้วยกัน บ่ายวันนั้น เธอกลับมากรุงเทพฯไปงานศพพี่ที่ทำงานเก่าที่จากไปอย่างกะทันหันเช่นกัน และเย็นวันนั้น เธอขับรถไปที่จังหวัดบ้านเกิดเพื่อไปร่วมงานศพคุณครูสมัยมัธยมที่สนิทกันและจากไปอย่างคนที่รู้วาระของตัวเอง

เธอเลยกลับมาตั้งคำถามกับคนแปลกหน้าที่ความบังเอิญทำให้กลายเป็นคนคุ้นเคยว่า
“ความหมายของการมีชีวิตอยู่ คืออะไร”

คำตอบที่เธอได้รับ วูบแรกทำให้เธอรู้สึกว่า เหตุบังเอิญแค่ไหนก็ตามที่ทำให้คุ้นเคยกัน ไม่ได้ช่วยให้คำตอบที่ได้รับเติมเต็มความรู้สึกที่พร่องอยู่ในช่วงนั้นเลย

“อยากทำอะไรก็ทำ โดยไม่เดือดร้อนคนอื่น” นี่เป็นคำตอบที่เธอรู้สึกว่า เกิดระยะห่างของความคุ้นเคยขึ้นมา

เธอบอกเขาว่า สำหรับเธอเอง ก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันคืออะไร รู้แต่เพียงว่าเธอรักตัวเอง รักร่างกายและจิตใจของตัวเองมาก มากที่สุดก็ว่าได้ การมีชีวิตอยู่ในแต่ละวันของเธอจึงยึดโยงกับตัวตนของเธอตลอด และทำยังไงก็ได้ให้กายและใจของเธอมีความสุข

ตีนที่มองไม่เห็น อาจไม่ใช่ใครอื่นใด แต่เป็นความรู้สึกของใครฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหรืออาจจะทั้งสองฝ่ายก็ได้ ที่ทำให้ฉากที่เหมือนถูกจัดขึ้นมาต้องสลายลงไป


............

ปล. เขียนเรื่องข้างบนนี้ไว้ตอนต้นปี 52 ส่วนเหตุการณ์เกิดในปีก่อนหน้า

วันนี้ว่าง คิดถึงหลายคนที่ผ่านเข้ามาในชีวิต นึกถึงเหตุยึดโยงทั้งหลาย เลยเอาเรื่องนี้มาปัดฝุ่น 





 

Create Date : 04 พฤศจิกายน 2553    
Last Update : 24 ตุลาคม 2557 16:28:44 น.
Counter : 366 Pageviews.  

อกหัก ทำอะไรดี

ไม่ได้อ่านนิยายมา 2 ปีได้แล้ว เพราะไม่ได้รู้สึกถึงความรักแบบชั่วฟ้าดินสลายเหมือนเมื่อก่อน เจอประโยคที่ว่า “มีชีวิตอยู่เพียงเพื่อให้เธอรักและรักเธอ ก็พอแล้ว” อ่านแล้วยิ้ม แล้วก็วาง แย่จังที่ไม่คล้อยตามถ้อยคำหวานได้เหมือนก่อน หรือเพราะจริงจังกับชีวิตมากไป? มองโลกตามความเป็นจริงหรือเปล่าถึงรู้สึกแบบนี้ ถ้าได้อย่างนั้น ก็..ดีน่ะสิ

เมื่อวานเดินผ่านชั้นวางหนังสือนิยายที่เรียงราย อดที่จะหยิบมาดูหลังปกไม่ได้ อ่านเรื่องอะไรน้าของคุณดวงตะวัน นางเอกชื่ออะไรไม่รู้ พูดกับผู้ชายคนหนึ่งที่ถามเธอว่า ตอนที่อกหัก เธอทำอะไร เธอบอกว่าตัดกิ่งไม้ กิ่งพวงชมพู ถ้าจำไม่ผิด ตัดกิ่งนะ คงไม่ใช่ตัดต้นไม้ ฝ่ายชายเลยถามว่า เพราะ “เขา” ช่วยปลูกหรือเปล่า ...

เราเคยเขียนอะไรเล่นๆไว้ที่หนึ่งนานมาแล้วว่า เวลาอกหัก จะทำอะไรดี

บางคนกิน กิน กิน

บางคนเมามาย

บางคนร้องไห้ฟูมฟายไม่ออกไปไหน

บางคนทำตัวโทรม (ผู้หญิงบางคนที่แต่งหน้าทาปากทุกวัน พอไม่แต่งขึ้นมา น่ากลัวมากๆค่ะ )

บางคนระบายกับเพื่อนฝูง เม้าท์จนสายโทรศัพท์ไหม้ ประมาณนั้น

บางคนตัดผมสั้นมากกกก (ตอนที่อ่านเรื่องตัดกิ่งไม้ นึกถึงเพื่อนคนที่ตัดผมด้วยล่ะ)

บางคนเล่นกีฬาแก้กลุ้ม (เราว่าดีออก)

บางคนหันมาสนใจศึกษาหุ้นแทนศึกษานิสัยเพศตรงข้าม (เพื่อนคนหนึ่งเป็นอย่างนั้นแหละ บอกว่าเสียใจได้ 2 วัน แล้วก็อย่าเสียเวลาเลยดีกว่า ตอนนี้ทำกำไรได้หลายเท่าแล้ว)

บางคนนั่งคัดลายมือ



แหม...ถ้ามีเวลา ก็อยากไปอ่านเรื่องกิจกรรมตอนอกหักของใครๆบ้างเหมือนกัน แต่ที่คิดถึงเรื่องนี้สืบเนื่องมาจากนิยายเล่มนั้น เพราะเราทำตรงข้ามกับนางเอกในนิยาย ถ้านางเอกตัดต้นไม้ เราคงเป็นนางอิจฉาเพราะเราปลูกดอกไม้ เวลาเศร้าที ก็ปลูกดอกไม้ที การปลูกดอกไม้และได้ชื่นชมผลงานการเอาใจใส่ของตัวเอง มันดีมากๆๆเลยล่ะ

เสียดายที่พอความรู้สึกเซ็งเศร้ามันหายไป เลยไม่ได้ปลูกอะไรขึ้นใหม่อีก แย่จัง ปลูกใน FarmVille ชดเชยได้มั้ยเนี่ย

ถ้าใครที่ผิดหวังในเรื่องความรัก จะเป็นรักแบบไหนก็ตาม รักแม้สิ่งที่ถูกรักอาจไม่ใช่ตัวตนบุคคลใดก็ได้ แล้วหันมาปลูกต้นไม้ชดเชยความผิดหวังนั้น โลกนี้จะเป็นยังไงนะ

สงสัย คนออกความคิด ต้องไปหาอะไรปลูกช่วงสงกรานต์ซะแล้ว ชดเชยความผิดหวังจากความรักน่ะ





 

Create Date : 05 เมษายน 2553    
Last Update : 5 เมษายน 2553 20:00:07 น.
Counter : 1214 Pageviews.  

ตกเหว

เมื่อใกล้จะสิ้นปี 2552 ทำให้นึกไปถึงวันเวลาที่ผ่านมาแล้วผ่านไป นึกถึงตัวเลขที่คนเอามานับเพื่อใช้วัดอายุ แล้วก็นึกถึงน้องสาวคนหนึ่งที่เตรียมตัวเตรียมใจจะย้ายไปทำงานที่ต่างจังหวัด

น้องคนนี้เคยวางแผนครอบครัวให้กับตัวเองว่า จะต้องแต่งงานก่อนอายุ 30 จะต้องมีลูกอายุเท่านั้นเท่านี้ เมื่อสองปีก่อน ที่เธอคบกับพ่อม่ายที่ทำงานเดียวกัน ผู้ชายคนที่เธอคิดว่า น่าจะลงหลักปักฐานด้วยกันได้ดีที่สุดเท่าที่คบกับใครๆมา คู่ไหนๆก็คงคิดอย่างนั้น (หรือเปล่า?) เวลาที่อยู่ในภาวะที่เห็นโลกในแง่มุมนั้น แง่มุมที่เราสองคนจะมีกันและกัน คนที่รู้สึกว่าเข้าอกเข้าใจเรา...มากกว่าใครๆ

ตอนนั้น เธอวางแผนทางการเงินร่วมกับผู้ชายคนนี้ ต้องเก็บเงินปลูกบ้าน จะหาแหล่งเงินกู้ที่ไหนดี สารพัดเรื่องของคนที่เตรียมตัวจะสร้างครอบครัว ในระหว่างนั้น ก็มีเรื่องให้คิดแก้ปัญหา ทั้งลูกติดของผู้ชายคนนั้นที่ฝ่ายพ่อเป็นคนเลี้ยงดู ทั้งภรรยาที่หย่าไปแล้วแต่ยังกีดกันไม่ให้อดีตสามีไปคบกับใครใหม่ แถมยังเอาลูกมาเป็นตัวช่วยซะอีก ไอ้ที่คิดว่าไม่น่าจะมีปัญหา นับวันปัญหาจากบุคคลที่สาม สี่ ห้าก็เข้ามาเรื่อยๆ

ปีนี้เจอกัน เป็นปีที่เธออายุ 30 เธอเลิกรากับผู้ชายคนนั้นไปแล้ว

ในวันที่ผู้หญิงคนหนึ่งหวั่นกลัวกับตัวเลข 30 ก็ผ่านไปแล้วเช่นกัน คนที่เพิ่งผ่านหลักนับอายุนี้ไปหมาดๆ ไม่พูดถึงอนาคตของชีวิตคู่อีกแล้ว แต่กลับมองในเรื่องความมั่นคงของงาน คงเพราะต้องมาวางแผนใหม่ในการเลี้ยงดูคนในครอบครัวและตัวเธอเองด้วยกระมัง ทำงานมากกว่าเดิม ทั้งงานประจำและงานพิเศษ มีความสุขกับงานทั้งสองด้านของตัวเอง แท้จริงแล้วเธอเป็นคนที่มีความสุขกับการทำงานมาแต่ไหนแต่ไร จริงจังกับงาน ค้นคว้าความรู้ใหม่ๆที่เกี่ยวข้องกับงานที่ทำอยู่เสมอ มาฟุ้งซ่าน ผ่ายผอมไปทุกครั้งยามตกหลุมรักกับใครนี่ล่ะ น่าแปลกที่ความรักของผู้หญิงคนนี้ กลับทำให้เธอมีทั้งความสุข (มาก) และทุกข์ (มาก) ไปได้ซะทุกครั้ง

ตอนนี้กำลังเตรียมตัวไปทำงานที่ต่างจังหวัด คงเป็นลักษณะงานที่ต้องย้ายที่ไปเรื่อยๆ ก็ไม่รู้ว่าหลังจากปีที่ 30 ผ่านไปแล้ว น้องคนนี้จะไปตกหลุม (รัก) ที่ไหนอีกรึเปล่า เราสองคนคุยกันเล่นๆว่า หลุมดำที่ว่านี่ ลึกไม่ใช่เล่น ยามที่อยู่ในหลุมกับดักนั้น ทำไมถึงมองไม่ออกว่ามันไม่น่าอยู่สักนิด กว่าจะปีนขึ้นมาได้ ก็ทำเอาสะบักสะบอม แต่พอขึ้นมาแล้ว ก็ยังพลาดท่าตกลงไปได้อีก ราวกับมีแรงดึงดูดดึงให้เข้าไปหาอย่างนั้นล่ะ หรือจริงๆชีวิตก็เป็นอย่างนั้น มีหลุมกับดักอยู่ตลอดเวลา แล้วแต่ใครจะไปตกหลุมประเภทไหนเท่านั้นเอง

นึกถึงกลอนที่หลวงพ่อปราโมทย์ท่านยกมา เกี่ยวกับกิเลสตัวราคะ กิเลสเล็กกิเลสน้อยก็ประมาทไม่ได้เพราะมันจะพัฒนาไปเป็นกิเลสตัวใหญ่ ถึงเวลานั้นก็อาจจะเอามันไม่อยู่ เป็นกลอนที่อ่านเจอในหนังสืออริยสัจ อ่านครั้งเดียวก็จำได้แม่น อาจเพราะกลัวตกเหวก็เป็นได้

เหวลึก อย่านึกว่าเหวตื้น
ปากเหวลื่น อย่าคะนองไปลองผลัก
ตกเหวหิน ปีนป่ายยังง่ายนัก
ตกเหวรัก กระเสือกกระสนไปจนตาย




 

Create Date : 11 ธันวาคม 2552    
Last Update : 11 ธันวาคม 2552 22:39:14 น.
Counter : 633 Pageviews.  

1  2  3  4  

saifan
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




Friends' blogs
[Add saifan's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friends


 
 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.