ติดตาม twitter ได้ที่ @karnoi กด
ติดตามข้อมูลเว็บทาง FaceBook กด

ทายนิสัยจากการ ‘ตักข้าวกิน’ เขาเป็นคนอย่างไรกันแน่



วันนี้มีวิธีการสังเกตคนด้วยวิธีการทานข้าวมาฝากกันค่ะ ตรงกับแบบไหนไปตรวจสอบเลย


**ตักจากด้านในออกไปนอกจาน

แสดงว่าคุณเป็นคนที่มักจะมีระเบียบมีวินัย ความรับผิดชอบการงานเป็นอย่างดี ใครต่อใครมักให้ความเชื่อมั่นยอมรับในตัวคุณและให้คุณเป็นผู้นำ อีกทั้งเป็นคนที่มีจิตใจมั่นคงกับทุกเรื่องโดยเฉพาะในเรื่องของความรัก หากคุณรักใครเรียกว่า ยอมทุ่มเทหัวใจให้กับเขาอย่างไม่เปลี่ยนแปลง แต่หากคุณจับได้ถึงความไม่จริงใจ คุณจะจดจำแบบไม่มีวันลืม



**ตักจากด้านนอกเข้าหาตัว

คุณเป็นคนที่มักจะมีความคิดอ่านอย่างชัดเจน และเป็นคนที่มีความระมัดระวังตัวเองสูงไม่ค่อยจะเสียรู้ใครง่ายๆ แถมยังเป็นคนช่างสังเกตและมักเก็บเกี่ยวประสบการณ์ต่างๆ มาใช้ในการดำรงชีวิต รวมถึงเป็นคนที่แก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าได้เก่ง ด้านความรักมักจะไม่ลงตัวกับใครคนใดคนหนึ่งคุณจะเปิดโอกาสให้ตัวเองอยู่เสมอ จนกว่าคุณจะมั่นใจกับคนนั้นจริงๆ การเงินมักจะมีรายได้เข้ามาอย่างต่อเนื่องและคุณเป็นคนที่อยากสร้างฐานะให้มั่นคงในอนาคต



**ตักจากตรงกลางไปก่อน

แสดงว่าเป็นคนมีจุดมุ่งหมายชัดเจนและต้องฟันฝ่าไปให้ถึงตามที่มุ่งมั่นไว้ คุณไม่แคร์สายตาของใคร หากตั้งใจจะทำใดก็ทุ่มเทเต็มที่ จนบางครั้งสิ่งที่ทำมันอาจไปสะเทือนกับคนรอบข้างแบบที่คุณไม่ตั้งใจ คุณเป็นคนเก่งสามารถมองการณ์ไกลได้อย่างถูกต้อง กล้าพูดกล้าคิดและกล้าทำ จึงทำให้ชีวิตมักต้องเหนื่อยกว่าคนอื่น เรื่องความรัก เป็นคนจริงจังและยอมทำทุกอย่างให้กับคนรัก เรียกว่า ทุ่มสุดตัว และต้องการให้คนรักของคุณเอาอกเอาใจ



**ตักอาหารสะเปะสะปะตักตรงโน้นทีตรงนี้ที

บอกถึงความไม่เป็นระเบียบทำอะไรตามใจตัวเอง รักอิสระ และไม่ชอบให้ใครมาบังคับ หากใครต้องการให้คุณช่วยทำอะไรบอกเลยว่า ประโยคคำสั่งใช้ไม่ได้เลย และคุณเป็นคนเฮฮามีเพื่อนฝูงมาก เรื่องความรัก หากตกหลุมรักใครก็สวีทหวานแหววแค่ช่วงโปรโมชั่นเท่านั้น และหากคนรักของคุณมาบ่งการให้ต้องทำอะไรรับรองได้ว่าคบกันไม่นานก็โบกมือบ๊ายบายแน่นอน


ข้อมูลโดย : อ.รักษ์ ภัทร์มนต์  ::  Horo live
//variety.teenee.com/foodforbrain/70871.html




 

Create Date : 22 กรกฎาคม 2558   
Last Update : 22 กรกฎาคม 2558 8:28:40 น.   
Counter : 2830 Pageviews.  

อุทาหรณ์!!! สาวไทยเกือบโดนข่มขืนที่ต่างประเทศ!!



เรื่องนี้จะเรียกว่าเป็นเรื่องเตือนภัยก็ว่าได้ สำหรับสาวๆ ที่เดินทางไปเที่ยวต่างประเทศโดยเฉพาะในกรุ๊ปที่มีแต่ผู้หญิง เรื่องราวนี้ถูกถ่ายทอดจากหญิงสาวคนหนึ่งที่ตั้งกระทู้ผ่านเว็บพันทิพดอทคอม ชื่อกระทู้ว่า "เตือนภัย!!เกือบโดนข่มขืนที่ฮ่องกง" ตั้งโดย คุณ milkuji เราจึงขอหยิบเรื่องนี้มาเป็นอุทาหรณ์เตือนภัยสำหรับสาวๆ หรือใครก็ตามที่คิดจะไปเที่ยวต่างประเทศให้ระวังตัวกันนะจ๊ะ ไปดูกันเลยว่าเรื่องราวจะเป็นอย่างไร

สวัสดีค่ะ
เราเป็นผู้หญิงอ้วนคนหนึ่งที่ชอบการท่องเที่ยวแบบแบกเป้ เราเป็นคนง่ายๆ เน้นประหยัด ฮ่องกงเป็นเมืองหนึ่งที่เราสนใจจะไป เราดูรีวิว อ่านหนังสือ โดยรวมมันน่าสนใจมาก เอาหละ! จองตั๋ว ซื่อตั๋ว จองที่พัก เรากับเพื่อนผู้หญิงเลือกจองโฮสเทลที่ตึกมิราดอแมนชั่น ด้วยความคิดที่ว่า"เอาไว้แค่นอน ไม่ได้อยู่ทั้งวัน" เมื่อทุกอย่างพร้อมออกเดินทางไปด้วยความตื่นเต้น ฮ่องกงจะเป็นแบบไหนนะ ประเทศนะหรูหราเหมือนหนังสือไหมนะ..?...
เราเลือกไฟท์บินดึกสุด และนอนสนามบิน(ประหยัดค่าโรงแรมคืนแรก)

ตอนเช้าเราเดินทางเข้าเมืองด้วยMTR พอขึ้นมาจากMTRสิ่งแรกที่พบทำให้เราตกใจมาก ความสกปรกของบ้านเมือง..

เราเดินไปหาห้องพักที่ดึกมิราดอ มองดูสภาพตึกแล้ว วังเวง น่ากลัว สกปรก อารมณ์เหมือนหอพักเก่าๆในหนังจีน

จุดสำคัญมันไม่ได้อยู่ตรงนี้ มันเกิดหลังจากที่เราไปเที่ยวดิสนนี่แลนด์และรอดูโชว์จนปิดสวนสนุก เราเดินทางกลับมาถึงที่พักก็เกือบๆเที่ยงคืนแล้ว ตอนนั้นหิว จึงเดินเข้าเซเว่นข้างๆตึก ซื้ออาหารกล่องเวฟ เพื่อนเราอีกคนคอยดูอาหารที่เวฟอยู่ ส่วนเรามาจ่ายเงิน พอจ่ายเงินเสร็จเราก็เดินไปหาเพื่อนที่รออาหารเวฟอยู่ เพื่อนบอกเราว่า "อย่าหันไปข้างหลังนะ" แหม!!~ นิสัยผู้หญิงอะค่ะ พูดแบบนี้มันแน่นอนอยู่แล้ว เรา"หัน!!"ไปมองค่ะ เรารีบหันขวับกลับมาอย่างไว ภาพที่เห็นคือชายผิวสีเอาหนอนตัวเองออกมาจับเล่นค่ะ ผลเสียจากการหันไปมองทำให้มันเดินมาใกล้เรา แล้วพูดพลางเอามือถูหนอน เป็นภาษาอังกฤษแปลว่า "ไปเดทกับผมไหม? เราจะมีความสุขด้วยกัน เลี้ยงข้าวผมหน่อยสิ ไม่อย่างนั้นให้เงินผมก็ได้" เพื่อนเราไปขอความช่วยเหลือจากพนักงานเซเว่น พนักงานเซเว่นไม่ช่วยแถมพูดว่า"นั่นมันเรื่องของคุณ" ยิ้มสิคะ 



มันเดินมาใกล้มากขึ้น เรานิ่งไม่สนใจ ไม่มองหน้าด้วย ในใจคิดแค่ว่าทำไมอาหารเวฟมันนานจังวะ ไวไวดิ แล้วพอเสียงสวรรคดังขึ้น "ติ๊ง!" เย้อาหารเสร็จแล้วกูลาล่ะ ชายคนนั้นจับแขนเราพร้อมพูดว่า"ฉันรักเธอนะ ไปเดทกัน" เราตกใจมาก พูดด้วยภาษาไทยไปว่า "เฮ้ย! อย่ามายุ่งได้ป่ะ" เราคว้ากล่องข้าวรีบเดินออกจากเซเว่นอย่างไว เหมือนจะรอด....ชายคนนั้นเดินตามเรากับเพื่อนค่ะ บริเวณนั้นเวลาเที่ยงคืนไม่มีคนเลยค่ะเงียบ สงบ T^T เราเร่งฝีเท้าไวกว่าเดิม พอไปหน้าลิฟเราก็เห้นว่ามียามนั่งอยู่และห่างจากเราไม่ถึง1m ประตูลิฟเปิดเรารีบเข้าไปข้างใน รีบกดปิด
แต่ชายคนนั้นกดให้ลิฟเปิด และจะเข้ามาในลิฟด้วย เราร้องให้ยามช่วย ยามทำหน้าเฉยๆไม่มีท่าทีอะไร ประหนึ่งว่าเหตุการณ์ชินชาไปเสียแล้ว เอาไงดีล่ะ?!! เพื่อนเราตัดสินใจถีบหนอนของมันค่ะ คงจะแรงน่าดูเพราะมันลงไปนอนหน้าเขียวที่พื้น
จังหวะนี้แหละ ปิดประตูลิฟ เราอยู่ชั้น5 แต่เรากดหลอกมันคือ กดเลข 3 5 7 9 และไปแช่ที่ชั้น3นานๆหน่อย ให้มันเข้าใจว่าเราอยู่ชั้น3 พอถึงชั้น5เรารีบวิ่งเข้าห้องเลยค่ะ โชคดีที่พรุ่งนี้เราเดินทางไปมาเก๊าต่อพอดี 

รอดตัวไปสินะ!! ขนาดไม่สวยแถมอ้วนมาก มันยังจะเอาเลย สาวๆที่จะไปฮ่องกงระวังตัวและดูแลตัวเองด้วยนะคะ ไม่ต้องหวังให้ใครช่วยหรอกค่ะ
.

.
คราวหน้าถ้าไปอีกจะไปพักโรงแรมเลยดีกว่า เข็ดค่ะโฮสเทลอินฮ่องกง
ปล.เราเคยพักแบบนี้ที่สิงคโปร์ปลอดภัยดี ต้องเลือกประเทศด้วยนะคะ



ขอบคุณที่มา ::::: คุณ milkuji :: pantip.com :: //pantip.com/topic/33942831
//variety.teenee.com/foodforbrain/70832.html




 

Create Date : 21 กรกฎาคม 2558   
Last Update : 21 กรกฎาคม 2558 7:12:21 น.   
Counter : 1191 Pageviews.  

10 ฉากในวรรณคดีไทย ที่โหดร้ายที่สุด จนคุณรับไม่ได้

10 ฉากในวรรณคดีไทย ที่โหดร้ายที่สุด จนคุณรับไม่ได้

ในขณะที่ผู้ใหญ่บ้านเรากลัวว่าเด็กจะได้รับความรุนแรงจากละครหลังข่าว ที่มีแต่ฉากตบตี หรือ การ์ตูนญี่ปุ่น ที่เซ็นเซอร์แม้แต่หัวนมโกฮัง แต่เรากลับไม่เคยมองวรรณคดีไทยเลยว่า มันโคตรดาร์คและฮาร์ดคอร์แค่ไหน ถ้าคุณไม่เชื่อล่ะก็ว่า วรรณคดีไทยมันโหดเหี้ยมอำมหิตล่ะก็ ลองไปชม 10 ฉากเหล่านี้กัน

1. ขุนช้างขุนแผน – ตอนที่ขุนแผนเอามีดผ่าท้องนางบัวคลี่แล้วเอาลูกมาทำกุมารทอง


2. ลิลิตพระลอ – ตอนที่พระลอ เพื่อนแก้วและแพงทอง โดนธนูยิงตายพร้อมกันทั้ง 3 คน


3. นางสิบสอง – ตอนที่นางสิบสองโดนนางยักษ์ควักลูกตา จนตาบอดทั้ง 11 คน ส่วนน้องคนสุดท้อง โดนควักไปแค่ข้างเดียว


4. สังข์ทอง – ตอนพระสังข์ให้หกเขยเฉือนจมูกเฉือนหูมาแลกเนื้อกับปลา


5. นางสิบสอง – พี่ๆ ทั้ง 11 คนของนางเภาคลอดลูกตายแล้วแบ่งเนื้อเด็กกันกิน


6. ศรีธนญชัย – ศรีธนญชัยตอนผ่าน้องควักเครื่องในออกมาล้าง เพราะแม่บอกให้อาบน้ำให้น้องสะอาดทั้งข้างนอกข้างใน


7. ปลาบู่ทอง – เอื้อยโดนหลอกมาฆ่า โดยให้ตกไปในกระทะน้ำเดือดตาย อ้ายโดนประหาร แล้วเอาเนื้อไปทำปลาร้าแล้วส่งไปให้พ่อแม่กิน พ่อแม่ก็กินโดยไม่รู้ว่าเป็นเนื้อลูก จนกินถึงก้นไห เจอหัวลูกอยู่ข้างใน


8. นางอุทัยเทวี – นางอุทัยเทวี เอามีดโกนโกนผมนางฉันทนาออกจนหมด แล้วกรีดศีรษะนางฉันทนาแล้วเอาปลาร้าครอบหัวนางฉันทนาไว้ ห้ามเอาหม้อออกก่อนวันที่ 7 แต่ไม่ถึงคืนนางฉันทนาทนพิษบาดแผลไม่ไหว จึงสิ้นใจตาย


9. โสนน้อยเรือนงาม – ตอนที่นางกุลาถูกจับได้ว่าปลอมตัวเป็นเจ้าหญิงโสนน้อย ถูกลงโทษด้วยการแล่เนื้อเอาเกลือทา แล่วันละน้อยๆ จนขาดใจตายในที่สุด


10. สังข์ทอง – สังข์ทองทิ้งแม่บุญธรรมของตัวเองหลังจากรู้ว่าเป็นยักษ์ ขนาดแม่ร้องไห้เป็นสายเลือด อ้อนวอนขอให้ลงมาก็สังข์ทองก็ไม่สนใจ จนแม่ของตัวเองอกแตกตาย


ที่มา: //petmaya.com/10-ฉากวรรณคดีไทย-โหดๆ




 

Create Date : 21 กรกฎาคม 2558   
Last Update : 21 กรกฎาคม 2558 7:08:31 น.   
Counter : 4377 Pageviews.  

แคลงใจ…พ่อแม่เสียลูกน้อย สังเวยไข้เลือดออก..ทั้งที่หาหมอถึง 2 รอบ!!!



จากกรณีการเสียชีวิตของเด็กหญิง อายุ 10 ปี ซึ่งแพทย์ระบุสาเหตุว่า เสียชีวิตจากโรคไข้เลือดออกอย่างรุนแรงหลังผู้ปกครองพามารักษาตัวที่โรงพยาบาลไม่ทัน ท่ามกลางความสงสัยแคลงใจของพ่อแม่เด็กที่ยังติดใจการวินิจฉัยโรคเบื้องต้นของโรงพยาบาลท้องถิ่น


โดยพ่อแม่ของเด็กได้เล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับลูกสาวให้ฟังว่า ทางครอบครัวรู้สึกแคลงใจในการวินิจฉัยโรคของโรงพยาบาลประจำอำเภอ เนื่องจากเมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม ลูกสาวมีอาการไข้ขึ้นสูง จึงได้พาไปโรงพยาบาลใกล้บ้านพร้อมแจ้งกับแพทย์ว่า เด็กมีอาการเจ็บคอและมีเสมหะ แพทย์แค่สันนิษฐานว่าจะเป็นไข้เลือดออก แต่กลับจ่ายยาละลายเสมหะและยาแก้ปวดมาให้ และให้กลับไปดูอาการที่บ้าน จนกระทั่งช่วงค่ำของวันที่ 13 กรกฎาคม เด็กมีอาการตัวเย็น แต่บ่นว่าร้อนอยู่ภายใน ให้เอาน้ำใส่กะละมังมาให้นอนแช่ พ่อแม่เห็นท่าไม่ดีจึงนำตัวส่งโรงพยาบาลเดิม เมื่อแพทย์ตรวจเลือดก็พบว่าเป็นไข้เลือดออก จึงได้พักอยู่ที่โรงพยาบาล


ต่อมาช่วงกลางดึก เด็กเริ่มมีอาการชักเกร็งและอาเจียน รวมทั้งปัสสาวะและอุจจาระราดแบบไม่ได้สติตลอดทั้งคืน ช่วงเช้าวันที่ 14 กรกฎาคม ทางพ่อแม่จึงได้ทำเรื่องขอย้ายเข้าไปรักษาที่โรงพยาบาลมหาราชฯ เมื่อไปถึงเด็กไม่มีการตอบสนองใดๆ แพทย์จึงบอกให้ทำใจ ก่อนที่ลูกสาวจะเสียชีวิตลงในที่สุด อย่างไรก็ตามในวันนี้ทางครอบครัวก็ได้ทำพิธีฌาปนกิจศพให้กับบุตรสาว ถึงแม้จะรู้สึกแคลงใจกับการทำหน้าที่ของโรงพยาบาล อยากให้ดูแลเอาใจใส่ผู้ป่วยมากกว่านี้ แต่ก็ไม่ได้ติดใจเอาไว้ใดๆ อยากให้กรณีของลูกสาวตนเองเป็นอุทาหรณ์ ป้องกันไม่ได้กรณีเช่นนี้เกิดขึ้นกับใครอีก

จะรู้ได้ยังไง...ว่าลูกเป็นไข้ (เลือดออก) หรือเปล่า

ในกลุ่มที่มีอาการสามารถจำแนกได้เป็น 3 รูปแบบ ได้แก่

1. อาการที่เหมือนการติดเชื้อไวรัสทั่วๆ ไป ซึ่งมักพบในเด็กเล็ก อาจมีอาการไข้อย่างเดียว หรืออาจมีผื่นร่วมด้วย

2. ไข้แดงกี มักพบในเด็กโตหรือผู้ใหญ่ จะมีอาการไข้สูงเฉียบพลัน ปวดศีรษะ ปวดรอบกระบอกตา ปวดกล้ามเนื้อ และปวดกระดูก โดยทั่วไปอาการมักไม่รุนแรง

3. ไข้เลือดออก ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีการรั่วของพลาสมาออกนอกเส้นเลือด กรณีที่มีการรั่วมาก อาจทำให้ผู้ป่วยเข้าสู่ภาวะ ช็อกได้


เรามีวิธีสังเกตสัญญาณการรุกรานของไข้เลือดออก

การดำเนินโรคของไข้เลือดออกแบ่งเป็น 3 ระยะ ได้แก่

ระยะที่ 1 ระยะไข้สูง จะมีอาการไข้สูงประมาณ 2-7 วัน สามารถสังเกตได้คือแม้จะกินยาลดไข้ยังไง ไข้ก็ไม่ยอมลด เนื้อตัวและใบหน้าจะแดงกว่าปกติ บางคนอาจมีอาการเยื่อบุตาอักเสบ หรือมีผื่นขึ้น มีอาการคลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง อาจพบว่ามีจุดเลือดออกตามตัว

ระยะที่ 2 ระยะวิกฤต คือหลังจากที่มีไข้สูงระยะหนึ่งแล้ว ไข้จะลดลงอย่างรวดเร็ว และจะมีการรั่วของพลาสมา หรือน้ำเหลืองออกนอกเส้นเลือด ระยะนี้ใช้เวลาประมาณ 24-48 ชั่วโมงค่ะ ขึ้นกับผู้ป่วยแต่ละราย
ในกรณีที่รุนแรง ผู้ป่วยจะมีการรั่วของพลาสมาเป็นจำนวนมาก และถ้าให้สารน้ำโดยการกินหรือน้ำเกลือทางเส้นเลือดทดแทนไม่ทัน ผู้ป่วยจะอยู่ในภาวะความดันโลหิตต่ำหรือที่เรียกว่าช็อกได้

ระยะที่ 3 ระยะพักฟื้น เป็นระยะที่มีการดูดกลับของพลาสมาเข้าสู่กระแสเลือด ผู้ป่วยจะมีอาการโดย

ทั่วไปดีขึ้น โดยสังเกตได้ดังนี้
- คนไข้เจริญอาหารมากขึ้น
- ชีพจรเต้นช้าลง
- ในผู้ป่วยบางราย จะพบมีผื่นขึ้นตามร่างกาย เรียกว่าผื่นในระยะพักฟื้น
- ปัสสาวะออกมากขึ้น เมื่อเทียบกับระยะวิกฤต
หากพบว่าผู้ป่วยมีอาการข้างต้น ก็ถือว่ากำลังกลับเข้าสู่ภาวะปกติแล้วล่ะค่ะ ตามปกติในช่วงระยะพักฟื้น คุณหมอจะหยุดการให้สารน้ำหรือน้ำเกลือทางเส้นเลือด มิฉะนั้นอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนจากภาวะน้ำเกินได้

แล้วจะให้การวินิจฉัยได้อย่างไร?
เนื่องจากโรคนี้ไม่มียารักษาเฉพาะ การเฝ้าติดตามสังเกตการเปลี่ยนแปลงของอาการเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด จะได้พาบุตรหลานของท่านไปพบแพทย์ได้ทันเวลาและได้รับการดูแลที่เหมาะสมต่อไป
การวินิจฉัยโดยใช้อาการทางคลินิกร่วมกับการตรวจนับเม็ดเลือด โดยดูการเปลี่ยนแปลงของความเข้มข้นเลือด จำนวนเม็ดเลือดขาวและเกล็ดเลือด จะช่วยในการวินิจฉัยผู้ป่วยได้ถึงร้อยละ 95 และมักจะชัดเจนขึ้นเมื่อผู้ป่วยมีไข้มาแล้วโดยเฉลี่ยประมาณ 3-8 วัน

การตรวจเลือดเพื่อหาเชื้อไวรัสเดงกี ในปัจจุบันมีหลายโรงพยาบาลโฆษณาและสามารถให้บริการการตรวจประเภทนี้ได้ ซึ่งเป็นการตรวจที่มีราคาแพง จะได้ผลดีถ้าตรวจในระยะที่ผู้ป่วยยังมีไข้หรือในช่วงแรกของการเจ็บป่วยนั่นเอง

อีกประเภทหนึ่งคือการตรวจเลือดเพื่อหาภูมิคุ้มกันหรือแอนติบอดีต่อเชื้อไวรัส ส่วนใหญ่เป็นการตรวจเพื่อยืนยันการวินิจฉัย บางวิธีต้องเจาะเลือดตรวจ 2 ครั้ง ห่างกัน 1-2 สัปดาห์ จึงไม่ได้ช่วยในการรักษาของคุณหมอเท่าใดนัก เพราะคนไข้หายป่วยกลับบ้านไปแล้วผลการตรวจจึงจะกลับมา แต่เป็นการตรวจที่ราคาไม่แพง

เมื่อทราบดังนี้แล้ว ควรพิจารณาว่าการตรวจเหล่านี้ มีความจำเป็นต่อลูกน้อยที่ป่วยเป็นไข้มากน้อยเพียงใด ควรสอบถามข้อมูลจากคุณหมอให้เข้าใจ เพื่อประกอบการตัดสินใจค่ะ
รู้ทัน...รักษาได้   

การรักษายังคงเป็นเพียงการรักษาตามอาการเท่านั้น แต่การรักษาที่ดีที่สุด ขึ้นอยู่กับการดูแลเอาใจใส่และเฝ้าระวังติดตามอาการของโรคตามที่คุณหมอแนะนำค่ะ


* ระยะไข้สูงลอย
เป็นระยะสำคัญที่คุณพ่อคุณแม่ควรเฝ้าสังเกตอาการ การเปลี่ยนแปลง รวมทั้งให้การดูแลสุขภาพของเจ้าตัวเล็กอย่างใกล้ชิดค่ะ
- เมื่อพบว่าลูกเป็นไข้สูงลอย ให้กินยาพาราเซตามอลและเช็ดตัวให้บ่อยๆ เพื่อลดไข้ แต่มีข้อห้ามที่สำคัญคือ ห้ามกินยาแอสไพรินหรือยาในกลุ่มลดไข้สูง เนื่องจากมีผลทำให้เลือดออกง่ายขึ้น
- รับประทานอาหารตามปกติและพักผ่อนอย่างเพียงพอพยายามให้เจ้าหนูรับประทานอาหารที่มีประโยชน์และดูดซึมง่าย

* ระยะวิกฤต
ในช่วงท้ายของระยะไข้สูงลอยประมาณ วันที่ 3-5 หลังจากเริ่มมีไข้ ขอให้คุณพ่อคุณแม่คอยสังเกตอาการให้ดี ถ้าเจ้าหนูมีอาการผิดปกติ ให้รีบพาไปพบแพทย์โดยเร็วค่ะ คุณหมอจะทำการประเมินอย่างละเอียด และจะให้สารน้ำทางเส้นเลือดเพื่อทดแทนพลาสมาที่สูญเสียไป ป้องกันไม่ให้เข้าสู่ภาวะความดันโลหิตต่ำหรือช็อกค่ะ ใช่ว่าผู้ป่วยไข้เลือดออกทุกรายนั้นจะมีอาการรุนแรงเช่นนี้เสมอไป เนื่องจากผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงพบได้เป็นส่วนน้อย แต่ก็ไม่ควรประมาทนะคะ
รู้ทัน...ป้องกันได้ 


- กำจัดลูกน้ำยุงลาย บอกเจ้าหนูว่ายุงลายชอบวางไข่ในน้ำนิ่ง ชวนให้เขาช่วยเปลี่ยนน้ำในแจกันดอกไม้ อ่างเลี้ยงปลา ปิดฝาภาชนะใส่น้ำต่างๆ ให้มิดชิด
- สำรวจสิ่งแวดล้อมรอบตัวหนู เช่น ห้องนอน ควรมีมุ้งลวดกันเจ้ายุงมาเกาะแกะ
- ดูแลตัวเองและคนที่หนูรัก ตัวหนูก็ต้องคอยดูแลสุขภาพตัวเองนะคะ ต้องหม่ำอาหารที่มีประโยชน์ และนอนลับพักผ่อนให้เพียงพอ
หวังว่าคงคลายกังวลถึงภัยร้ายของเจ้ายุงลาย และเตรียมตัวตั้งรับกับไข้เลือดออกได้อย่าง "รู้ทัน" แล้วนะคะ


ขอบคุณที่มา ::::: Kids&School
//tnews.teenee.com/etc/125294.html




 

Create Date : 20 กรกฎาคม 2558   
Last Update : 20 กรกฎาคม 2558 8:54:08 น.   
Counter : 1048 Pageviews.  

คลีโอพัตราแห่งล้านนา "นางพญาอั้วเชียงแสน"



"นางอั้วเชียงแสน"

"นางอั้วเชียงแสน" ราชินีแห่งแคว้นพะเยา
คําว่า "อั้ว" นี้ไม่ใช่ชื่อเฉพาะ แต่เป็นคำระบุให้เห็นปูมหลังเดิมว่าเป็นเจ้าหญิงจากแว่นแคว้นไหน
อันเป็นธรรมเนียมการเรียกชื่อสตรีล้านนาในเขตลุ่มน้ำโขง กก อิง ยม
ตั้งแต่เชียงราย-เชียงแสน-พะเยา ไปจนถึงสิบสองปันนา เช่น
"อั้วมิ่งจอมเมือง" เป็นราชธิดาของเจ้าเมืองเชียงรุ่ง มีฐานะเป็นพระราชชนนีของพระญามังรายหรือ
"อั้วมิ่งเวียงไชย" เป็นพระมเหสีของพระญามังราย สืบเชื้อสายมาจากเวียงไชยปราการ
เช่นเดียวกับ "อั้วเชียงแสน" ราชธิดาของกษัตริย์เชียงแสน อันที่จริงพระนางมีนามว่า "สิม"
ตำนานบางเล่มจึงเรียกอีกชื่อว่า "นางอั้วสิม" ผู้เป็นพระมเหสีของพญางำเมือง
ส่วนพญางำเมืองเป็นกษัตริย์เมืองพะเยา หรือภูกามยาว (ผายาว)
มีศักดิ์เป็นญาติลูกพี่ลูกน้องกับพญามังราย กษัตริย์เชียงราย (หิรัญนครเงินยาง)
ทั้งคู่ประสูติปีเดียวกันประมาณ พ.ศ.1781-1782 จึงถือว่าเป็นสหชาติกัน
เหตุที่มีนามว่า "งำเมือง" นั้น เป็นเพราะมีอิทธิฤทธิ์ไม่ต่างจากพระร่วงเจ้า เสด็จไปทางไหน แดดก็ไม่ร้อน ฝนก็ไม่เปียก สามารถเสกท้องฟ้าให้ปกงำบดบังเมฆได้
เพราะร่ำเรียนวิชชาอาคมมาจากสำนักเขาสมอคอล
(บ้างเรียกดอยด้วน บ้างเรียกสำนักสุกกะทันตะฤษี) กรุงละโว้ 


โดยมีพระร่วงเป็นเพื่อนร่วมสำนัก แล้วเหตุไฉนเพื่อนเราจึงมาเผาเรือนชู้ทางใจ หรือชู้การเมือง?
น่าแปลกใจที่เรื่องราวรักๆ ใคร่ๆ ระหว่างนางอั้วเชียงแสนกับพระร่วง
ถูกบันทึกไว้อย่างเปิดเผยในเอกสารโบราณหลายฉบับ ราวกับเป็นเรื่องปกติสามัญ
แสดงว่าคนในอดีตมองว่าเหตุการณ์ตอนนี้มีความสำคัญ
ปฐมเหตุเกิดจากการที่พระร่วงคิดถึงสหายเก่าร่วมสำนัก
จึงได้เดินทางไปรดน้ำดำหัวพระญางำเมืองที่พะเยาแถบลุ่มแม่น้ำโขงในวันสงกรานต์
แสดงว่าอาณาเขตของพะเยาครั้งนั้นกว้างใหญ่ไพศาลจนจรดแม่น้ำโขง
น่าจะสร้างความสะพรึงกลัวให้แก่พญามังรายที่มีเขตแดนชนกันไม่น้อย
สอดรับกับข้อความในศิลาจารึกของพ่อขุนรามคำแหงที่กล่าวว่า
"น้ำในตระพังโพยสีใสรสกินดีเหมือนดั่งกูกินโขงเมื่อแล้ง"
ชัดเจนว่าพ่อขุนรามคำแหงเคยมาดื่มชิมน้ำในแม่น้ำโขงคราวหน้าแล้ง
ซึ่งก็ตรงกับเดือนเมษายน ถึงได้สามารถพรรณนาเปรียบเทียบรสชาติน้ำ
จากแม่โขงกับที่สระตระพังโพยในกรุงสุโขทัยว่ามีรสชาติดีพอๆ กัน




ระหว่างนั้นพระร่วงได้พบกับนางอั้วเชียงแสนผู้มีรูปโฉมงามล้ำจึงเกิดจิตปฏิพัทธ์รักใคร่
นางอั้วเชียงแสนได้ทำแกงถวาย พญางำเมืองไม่รู้ว่ากำลังหงุดหงิดอะไรอยู่หรือเปล่า
ชิมได้เพียงคำเดียวก็วางช้อนบ่นว่า "น้ำแกงมากไปหน่อย รสชาติจืดชืดไม่เข้มข้น"
ในขณะที่พระร่วงรีบเข้าไปปลอบประโลม พลางซดน้ำแกงนั้นหมดหม้อ
เรื่องเล็กๆ จึงกลายเป็นเรื่องใหญ่ จากนั้นทุกราตรีก็ไม่ยอมให้พญางำเมืองไปมาหาสู่ด้วย
ตำนานฝ่ายสุโขทัยเขียนตรงไปตรงมาว่า "พระร่วงรู้ว่านางอั้วรักพระองค์จึงได้เสียกัน"
แต่ตำนานฝ่ายพะเยาเล่าว่า พญางำเมืองเดินทางไปเจรจาศึกเรื่องพรมแดนเมืองกับพญามังราย
พระร่วงจึงลอบปลอมแปลงพระองค์ให้คล้ายกับพญางำเมือง เข้าสู่ห้องบรรทมนางอั้วอยู่หลายคืน
เมื่อนางอั้วเชียงแสนรู้ว่ามิใช่พระสวามีก็มิรู้จะทำฉันใดได้

ครั้นพญางำเมืองกลับมาและทราบเหตุการณ์จึงจับตัวพระร่วงมัดไว้ในเล้าสุ่มไก่
สั่งยายแก่คนหนึ่งดูแลหาอาหารให้ แต่ละวันมีเพียงปลาปิ้งตัวเล็กๆ พอประทังกาย
เป็นการลงโทษให้พระร่วงอับอาย ว่ากำลังถูกสบประมาท
แต่ความโกรธของพญางำเมือง จะฆ่าทั้งเพื่อนทั้งเมียก็เกรงจักเป็นเวรเป็นกรรม
จึงเชิญให้พระญามังราย ผู้เป็นญาติมาช่วยตัดสินคดีความแทน
พญางำเมืองนี่เองที่ชักนำให้พระร่วง กับพญามังรายได้มารู้จักกัน
หากตัดสินลงโทษพระร่วงรุนแรงก็เกรงว่าต้องเปิดศึกใหญ่กับทางสุโขทัย
ได้ไม่คุ้มเสีย พญามังรายเห็นว่าทั้งพระร่วงและพญางำเมือง

ต่างก็มีความรู้ความสามารถ
พญามังรายจึงให้กษัตริย์ทั้งสองขอขมาอโหสิกรรมต่อกัน
แค่ให้พญางำเมืองเรียกปรับสินไหมค่าเสียหายจากพระร่วงตามแต่จะเห็นสมควร

เมื่อยอมความกันได้ สามสหายจึงกรีดเลือดดื่มน้ำสาบานว่า
ต่อจากนี้จักซื่อสัตย์เกื้อกูลไม่เบียดเบียนกันอีก
สถานที่ที่กระทำสัตย์ปฏิญาณภายหลังเรียกว่าแม่น้ำอิง
เหตุเพราะสามสหายได้นั่งอิงหลังกัน
ณ ฝั่งแม่น้ำ เดิมชื่อแม่น้ำขุนภู




โศกนาฏกรรมซ้ำซากของสาวงามอั้วเชียงแสน
อันที่จริงก่อนจะเกิดเหตุการณ์นี้ ขอย้อนหลังกลับไปร่วม 20 ปี
พญางำเมืองเคยยกทัพไปตีเมืองปัว และมอบหมายให้นางอั้วเชียงแสนปกครองอยู่ระยะหนึ่ง
"พระญาผานอง" ผู้เป็นราชบุตรของเจ้าเมืองปัวองค์ก่อน ได้รวบรวมกำลังมายึดเมืองปัวคืน
แถมยังจับตัวนางอั้วเชียงแสนเป็นชายาอีก ชื่อของนางอั้วสิมหรืออั้วเชียงแสน
ปรากฏอยู่ในพงศาวดารเมืองน่าน ภาคที่ 10 ว่าเคยเป็นชายาพญาผานองแห่งเมืองปัว
แต่เชื่อว่าครั้งนั้นพญางำเมืองคงทำใจได้ ด้วยเป็นเหตุสุดวิสัย
โศกนาฏกรรมฉากสุดท้ายของนางอั้วเชียงแสน เกิดขึ้นในช่วงที่พญางำเมืองไปช่วยพญามังรายสร้างเมืองเชียงใหม่

นานหลายเดือน พระญามังรายรู้สึกซาบซึ้งน้ำใจของญาติผู้นี้จึงได้พระราชทานเจ้าหญิงองค์หนึ่งให้เป็นชายา

ข่าวนี้รู้แพร่งพรายไปถึงหูของนางอั้วเชียงแสน ทรงโกรธกริ้วเสียพระทัยอย่างรุนแรง
ถึงกับสั่งให้เสนาอำมาตย์จัดขบวนม้าพระที่นั่งมุ่งหน้าไปยังเชียงใหม่
หมายจักสังหารชายาน้อยนั้นให้ได้ แต่แล้วในระหว่างทางนั้นทนแบกรับความทุกข์ระทมไม่ไหว เสด็จไม่ทันถึงไหนก็ตรอมใจตายเสียก่อน

เมื่อพญางำเมืองทราบจึงรีบเสด็จกลับและนำศพของนางอั้วเชียงแสนมาไว้ที่วัดพระธาตุจอมทองเมืองพะเยา

ขอบคุณที่มา ::::: FB สืบสานตำนานล้านนา




 

Create Date : 20 กรกฎาคม 2558   
Last Update : 20 กรกฎาคม 2558 8:53:26 น.   
Counter : 1348 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  55  56  57  58  59  60  61  62  63  64  65  66  67  68  69  70  71  72  73  74  75  

tukdee
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 51 คน [?]










ติดตามข้อมูลของเว็บทาง twitter ได้ที่ @karnoi กด
ติดตามข้อมูลเว็บทาง FaceBook กด







Online Users


[Add tukdee's blog to your web]