แปลนิยาย : 2 อาเบะ โนะ เซอิเม (ต่อ)

กรุณาอ่านคำออกตัวของผู้แปลจากตอนแรกนะคะ
เอาหละ เรามาต่อเรื่องของ อาเบะ โนะ เซอิเม กันดีกว่า ตอนนี้ยังคงเป็นประวัติคร่าวๆ เหมือนการแนะนำตัวเหมือนตอนที่แล้วนะคะ ส่วนตอนหน้า จะเริ่มเรื่องราวการผจญภัยของเซอิเมกับฮิโรมาสะกันค่ะ

<(_ _)>


------------------------------------------------------------------------

ขอให้เราย้อนกลับไปยังเรื่องราวใน เรื่องเล่าของปัจจุบันและอดีต

มาต่อกันเลย

ขณะเซอิเมอาศัยอยู่ในคฤหาสน์ที่เฝ้าระวังทางเข้าออกของปีศาจ มีพระชรารูปหนึ่งมาขอพบเขา พระชรานั้นพาศิษย์น้อยอายุเพียงสิบกว่าขวบมาด้วยสองคน

“ท่านมาเยือนด้วยเหตุอันใดหรือ” เซอิเมเอ่ยถามพระ

“อาตมาจำพรรษาอยู่ที่เมืองฮาริมะ” พระรูปนั้นตอบ ฉายาของเขาคือ จิโตขุ

เมื่อบอกชื่อแล้ว พระก็เริ่มเล่า ว่าตนเดินทางมาเพื่อหวังจะขอเรียนอาคมของลัทธิเต๋า และจากที่ได้ยินมา เซอิเม เป็นปรมาจารย์ที่มีอาคมแก่กล้าที่สุด เป็นได้หรือไม่ที่จะขอศึกษาหนทางแห่งเต๋าจากเซอิเมสักนิด

เข้าใจหละเซอิเมคิดในใจเมื่อได้ยินถ้อยคำของพระ

“โคโนะ ฮาอุชิ วะ โคโนะ ดาอุ นิ คาชิโคขิ ยัทซึ นิโคโซะอารินุเร โซเระ งะ วาเร โอะ โคโคโรมิมุ โทะ คิตารุ นาริ” “kono haushi ha kono dau ni kashikoki yatsu nikoso arinure. Sore ga ware wo kokoromimu to kitaru nari—”

เซอิเมมองเห็นตัวตนที่แท้จริงของพระชรา ไม่ต้องสงสัยเลยว่า พระรูปนี้ อันที่จริงเชี่ยวชาญอาคมของเต๋า และมาเพื่อทดสอบเซอิเม

บางทีศิษย์น้อยสองคนที่มากับพระรูปนี้คงเป็นข้าช่วงใช้ อืมมม เซอิเมยิ้มในใจ

ในภาษาญี่ปุ่นคำว่า ข้าช่วงใช้ สามารถเขียนได้สองแบบ

จะอ่านว่า ชิคิจิน หรือ ชิคิงามิ ก็ได้ ในปัจจุบันโรงเรียน อิซานางิ ในเกาะชิโกกุ ซึ่งยังมีการสอนอาคมของลัทธิเต๋าจะเรียกว่า ชิคิโอจิ ข้าช่วงใช้เหล่านี้เป็นวิญญาณ ซึ่งปกติมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า แต่ก็มิได้เป็นวิญญาณที่มีอำนาจมากมายนัก พวกมันมักอ่อนแอ และถูกควบคุมด้วยวิธีการเฉพาะเพื่อให้มาเป็นข้าช่วงใช้ กระนั้นระดับของวิญญาณที่สามารถนำมาทำข้าช่วงใช้ ไม่ว่าจะเป็นแข็งแกร่งหรืออ่อนแอนั้น ก็ขึ้นอยู่กับความสามารถของผู้เป็นนายนั่นเอง

“โอ้” เซอิเมอุทานพร้อมกับพยักหน้า ข้าช่วงใช้ทั้งสองนั้นน่าทึ่งทีเดียว
ข้าช่วงใช้ที่พระจิโตขุสร้างนั้น ไม่อาจออกมามีรูปลักษณ์งดงามกว่านี้อีกแล้ว

“ข้าพเจ้าได้ฟังเรื่องราวของท่านแล้ว อย่างไรก็ดี ในวันนี้ข้าพเจ้ามีธุระ ไม่อาจแบ่งเวลาให้ท่านได้ ดังนั้น...”

เซอิเมบอกพระชราว่าให้เลือกวันดีและกลับมาใหม่อีกครั้ง พร้อมกับเก็บมือเข้าไปในชายแขนเสื้อและร่ายเวทย์ เขาขยับมือเป็นสัญลักษณ์ในแขนเสื้อของตน

“เช่นนั้นก็ได้ อาตมาจะเลือกวันดี และกลับมาหาท่านอีกครั้ง” พระชราพนมมือยกขึ้นทำความเคารพก่อนจะลาจากไป

แต่เซอิเมนั้น ไม่ได้ขยับไปไหน

เขายังคงยืนอยู่ที่เดิม มือกอดอก เงยหน้ามองฟ้า

ไม่นานนัก เขาก็มองเห็นผ่านประตูรั้วที่เปิดอยู่ว่าพระชรารูปนั้นกลับมา หลังจากที่คงเดินไปได้สักสองหรือสามช่วงถนน ขณะที่เดินมา พระก็มองหาตามรถลากที่ผ่านมาบ้าง หรือตามซอกมุมที่คนสามารถไปซ่อนอยู่ได้บ้าง แล้วก็กลับมาหยุดยืนตรงหน้าเซอิเม

“พูดตามตรง” เขาเอ่ยกับเซอิเม “จู่ๆ อาตมาก็มองไม่เห็นศิษย์ทั้งสองซึ่งควรจะเดินตามมา ท่านจะช่วยคืนสองคนนั้นให้กับอาตมาได้หรือไม่”

“คืนหรือ?” เซอิเม ทำเป็นไม่รู้เรื่องรู้ราว

“ข้าพเจ้าไม่ได้กระทำการใด ท่านควรจะรู้ดี เพราะข้าพเจ้าอยู่กับท่านตลอดเวลา แล้วจะนำศิษย์ของท่านไปซ่อนได้อย่างไรกันเล่า”

เมื่อได้ฟังเช่นนี้ พระชราก็ก้มศีรษะให้เซอิเม “ขอโทษเถิด ความจริงแล้วทั้งสองนั้นไม่ใช่ศิษย์ของอาตมาหรอก แต่เป็นข้าช่วงใช้ ที่มาพบท่านในวันนี้เพื่อหวังจะทดสอบ แต่ก็มีบางอย่าง ที่อำนาจของอาตมาไม่อาจเอื้อมถึงเสียแล้ว โปรดอภัยให้ด้วย”

จิโตขุค้อมศีรษะลง

“เรื่องที่ท่านคิดทดสอบข้าพเจ้านั้นไม่เป็นไรหรอก แต่ข้าพเจ้าไม่หลงกลอุบายง่ายๆ เช่นที่ท่านแสร้งเป็นแน่” ทันใดเซอิเมก็เปลี่ยนน้ำเสียงพร้อมกับยิ้ม

แม้จะไม่ใช่ยิ้มแกนๆ แต่ก็ไม่ใช่รอยยิ้มที่สดใสเท่าใดนัก เขากระซิบคาถาสั้นๆ ด้วยริมฝีปากที่ยังคงแย้มยิ้มนั้น

วินาทีที่เขาร่ายคาถา ศิษย์น้อยสองคนของพระชราก็วิ่งเข้าประตูรั้วมา ทั้งสองถือปลาและขวดเหล้าสาเกมาด้วย

“ข้าพเจ้าแค่ใช้เด็กสองคนไปซื้อของพวกนี้มาเท่านั้น ข้าพเจ้าชมชอบการมาเยือนของท่าน พาทั้งสองกลับไปกับท่านเถิด”

มันคงน่าสนใจไม่น้อย หากเซอิเมกล่าวด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ แต่ในเรื่องเล่าของปัจจุบันและอดีต ก็มิได้มีบันทึกเอาไว้มากกว่านี้ บอกเพียงแต่ว่าศิษย์น้อยทั้งสองวิ่งกลับมา พระชราซึ่งประทับใจอย่างยิ่งกล่าวว่า “ก่อนหน้าเหตุการณ์วันนี้ อาตมาเคยคิดว่าการใช้ข้าช่วงใช้เป็นสิ่งง่ายดายมาตลอด แต่การบดบังข้าช่วงใช้จากสายตาผู้อื่นจนมองไม่เห็นนั้น มิใช่สิ่งที่คนทั่วไปสามารถทำได้เลย” เขาตื่นเต้นจนหน้าแดงเรื่อไปหมด

และเพื่อเป็นการขอร้องเซอิเมให้รับเป็นศิษย์ พระชราได้หยิบกระดาษออกมา เขียนชื่อของตนลงไป และส่งให้เซอิเม สำหรับผู้ใช้เวทย์ทั้งหลาย การเขียนชื่อของตน และมอบให้กับผู้อื่น มิใช่สิ่งสามัญที่ทำกัน เพราะมันเท่ากับการส่งมอบชีวิตของตนให้แก่คนผู้นั้นทีเดียว

แต่เรื่องในหนังสือ เรื่องเล่าของปัจจุบันและอดีต ก็ดำเนินเรื่องอื่นต่อไป

ในอีกคราวหนึ่ง

อาเบะ โนะ เซอิเม เดินทางไปยังบ้านของพระสังฆราช ฮิโรซาวะ โนะ คันโจ มีกลุ่มขุนนางและพระหนุ่มๆ อยู่ที่นั่นด้วย และพวกเหล่านั้นเข้ามาชวนเซอิเมสนทนา เพราะทุกคนเคยได้ยินข่าวลือต่างๆ นานาเกี่ยวกับเซอิเม ไม่นาน หัวข้อสนทนาจึงวกมาที่เรื่องความสามารถของเขา มีหลายคนที่ตั้งคำถามเขาตรงๆ เช่นขุนนางคนหนึ่งถามว่า

“ข้าพเจ้าได้ยินมาว่าท่านสามารถควบคุมข้าช่วงใช้ แต่ว่าท่านสามารถทำอย่างอื่น เช่นใช้พวกมันไปสังหารคนได้หรือไม่”

“ท่านกำลังเสียมารยาทนะ ที่มาถามเกี่ยวกับเคล็ดวิชาที่ข้าพเจ้าปฏิบัติ”

เป็นได้ว่าในตอนนั้นเซอิเมทำหน้าตาหน้ากลัว และจ้องไปที่ขุนนางหนุ่มที่บังอาจถามเรื่องนั้นกับเขา แต่เมื่อเห็นแววหวาดกลัวปรากฏในดวงตาของขุนนางคนนั้น เขาก็เอ่ยต่อว่า “อา...ไม่หรอก ข้าช่วงใช้ไม่สามารถสังหารมนุษย์หรือทำอะไรทำนองนั้นได้” จากนั้นก็จะปลอบกับรอยยิ้ม “แม้ว่าจะมีอีกหลายวิธีที่จะทำเช่นนั้นก็ตาม...” ไม่น่าสงสัยเลยที่เขาจะเสริมแบบนั้น

“ถ้าอย่างนั้น พวกแมลงคงจะฆ่าง่ายกว่าใช่ไหม” ขุนนางอีกคนถามขึ้น

“จะว่าอย่างไรดีล่ะ...”

ขณะที่เซอิเมพยายามตอบอย่างธรรมดาที่สุดเท่าที่จะทำได้ กบจำนวนหนึ่งก็กระโดดเข้ามาในสวน

“ท่านสังหารพวกมันสักตัวได้หรือไม่” ขุนนางคนหนึ่งถามขึ้น

“ได้น่ะได้ แต่ท่านก็รู้ว่าการฆ่าสัตว์ตัดชีวิตมัน...”

“มีปัญหาอะไรหรือ”

“ถึงแม้ว่าข้าพเจ้าจะสามารถสังหารได้ แต่ข้าพเจ้าไม่สามารถคืนชีวิตให้กับมันได้ และการเอาชีวิตโดยไม่มีสาเหตุนั้นเป็นบาป”

“เพียงตัวเดียวเท่านั้น”

“ข้าพเจ้าก็อยากเห็นด้วยตาตนเองเช่นกัน”

“ข้าพเจ้าด้วย”

“ข้าพเจ้าก็ด้วย”

ตอนนั้นเองที่ทั้งขุนนางและพระต่างก็เห็นพ้องกัน

ความใคร่รู้สะท้อนอยู่ในดวงตาของทุกคนเป็นหนึ่งเดียว ต่างก็สงสัยนักว่าวิชาของเซอิเมจะแก่กล้าซักเพียงใดเมื่อเทียบกับที่ได้ยินมา
แววตาของพวกเขายังบอกอีกว่าหากเซอิเมไม่ยอมแสดงความสามารถที่นี่และตอนนี้ มันจะกลายเป็นเรื่องนินทากาเลเรื่องใหม่ ว่าแท้จริงแล้วเซอิเมไม่ได้เก่งอย่างที่ใครๆ ร่ำลือ

เซอิเมมองดูทุกคนและเอ่ย “พวกท่านบังคับข้าพเจ้า”

เขากระซิบบางอย่าง และยกมือขาวขึ้นคีบใบหลิวใบหนึ่งจากกิ่งที่ห้อยระชายคาเข้ามาไว้ระหว่างนี้วเรียวขาว และปลิดมันมาจากก้าน เขาร่อนใบไม้ไปพร้อมกับร่ายคาถาเบาๆ

ใบหลิวนั้นพุ่งผ่านอากาศไปลอยอยู่เหนือกบตัวหนึ่ง เมื่อมันตกลงบนตัวกบ ก็เหมือนกับกระแทกลงบนตัวกบอย่างแรง เนื้อและเครื่องในของกบกระเด็นกระจายไปทั่ว เมื่อเห็นดังนั้น ทุกคนก็หน้าซีดด้วยความกลัว ในเรื่องเล่าของปัจจุบันและอดีตอธิบายไว้เช่นนี้

เห็นได้ชัดว่าเซอิเมใช้ข้าช่วงใช้ในคฤหาสน์ของเขาเมื่อไม่มีใครอยู่ เพราะถึงแม้จะไม่มีคน บานหน้าต่างก็ขยับเปิดและปิด และแม้จะไม่มีใครเฝ้าแต่ประตูรั้วก็ปิดตัวเองได้ ดูเหมือนว่าเซอิเมจะรายล้อมด้วยเรื่องมหัศจรรย์

ผู้คนยังคงแปลกใจ เมื่ออ่านเรื่องราวอื่นๆ ของ อาเบะ โนะ เซอิเม และพบว่าเขาใช้อำนาจของตนอย่างไม่แยแส เหมือนกับที่เขาใช้กับพระจิโตขุ และกับกบตัวนั้น เซอิเมชื่นชอบการทำเช่นนั้น ทำให้ดูเหมือนเขายังมีด้านที่เป็นเด็กอยู่เช่นกัน แม้จะตรงข้ามกับอากัปกริยาที่ห่างเหินและใบหน้าเย็นชา

เรื่องที่เล่ามานี้ คงทำให้เราพอเดาได้ว่าเขาเป็นคนอย่างไร แต่ อาเบะ โนะ เซอิเม คนนี้ หากจะว่ากันตามจริง ก็อาจนับเป็นคน “หาดีไม่ได้” ด้วยเช่นกันทั้งๆ ที่เขาทำงานในวังหลวง

เขายังจัดเป็นบุรุษที่งดงามหาตัวจับยาก ด้วยเรือนร่างสง่า ผิวขาวผ่อง และดวงตาเยือกเย็น เมื่อใดที่เขาเยื้องกรายผ่าน สาวสรรกำนัลนางต่างพากันจับกลุ่มซุบซิบ แน่นอนว่าเขาเคยได้รับเพลงยาวจากท่านหญิงในตระกูลสูงครั้งสองครั้งเช่นกัน

และแม้จะดูเหมือนว่าเขาปฏิบัติตัวอย่างชาญฉลาดกับผู้บังคับบัญชา แต่หลายครั้งเขากลับพูดด้วยน้ำเสียงสั้นๆ ห้วนๆ เขาเคยทำตัวเลยเถิดจนถึงกับเผลอตะโกนเรียกพระจักรพรรดิว่า “เฮ้ย”

ริมฝีปากที่แย้มยิ้มอย่างมีเสน่ห์ บางคราวอาจเปลี่ยนเป็นแสยะยิ้มอย่างร้ายกาจ

ส่วนหนึ่งในหน้าที่การเป็นอาจารย์ลัทธิเต๋าของเขาก็คือการแนะให้ผู้คนหลีกหนีโชคร้ายที่จะบังเกิด โดยเฉพาะกับข้าราชปริพาน เขาจำต้องให้คำแนะนำที่ดีที่สุด

เขาได้รับมอบหมายจดจำโคลงกลอนของข้าราชปริพานหนุ่มๆ และมีความสามารถในเชิงกวีเช่นกัน เขาเล่นเครื่องดนตรีได้บ้าง อย่างเช่นพิณน้ำเต้าแบบจีน หรือขลุ่ย

ข้าพเจ้าเชื่อว่าสมัยเฮอันนั้นเป็นยุคมืดอันยิ่งใหญ่

ข้าพเจ้าตั้งใจจะเริ่มต้นเรื่องราวของข้าพเจ้า ณ บัดนี้ เรื่องราวของบุรุษผู้ล่องลอยผ่านความมืดมนอันน่าหวาดหวั่นนั้น ราวกับก้อนเมฆในสายลม

-------------------------------------------------------------------------


บทแรกที่เป็นการแนะนำตัว เซอิเม ก็จบลงตรงนี้นะคะ ต่อไปจะเข้าสู่เรื่องราวเมื่อเซอิเมและฮิโรมาสะเผชิญกับเหตุการณ์ต่างๆ ซึ่งก็มีทั้งน่ากลัว และน่าขัน บางคราวก็เป็นเรื่องเศร้า เรื่องของชีวิต ความตาย และผู้คนที่ต้องวนเวียนอยู่ในวัฏจักรนั้น น่าเสียดาย ที่ฮิโรมาสะไม่มีบทแนะนำตัวของตัวเอง (ก็เป็นแค่กิ๊ก เอ๊ย เพื่อนพระเอกนี่นา อิอิ)

มีความคิดเห็นแนะนำติชมอย่างไรบอกกันได้นะค้า

งานนี้ก็ต้องขอบคุณคนชื่อเหมือนวัวที่ช่วยเบต้าให้เช่นเคยค่า (ว่าแต่... บทต่อไปล่ะ?)



Create Date : 27 กันยายน 2549
Last Update : 21 พฤศจิกายน 2550 17:08:01 น. 2 comments
Counter : 589 Pageviews.

 
^^" ม๊ออออออออออ


โดย: แม่มดพันปี วันที่: 6 ตุลาคม 2549 เวลา:1:14:30 น.  

 
สำนวนเยี่ยมมากค่ะ ขอบคุณที่เขียนมาให้ข้าผู้น้อยมีโอกาศได้อ่าน ไม่อย่างนั้นคงไม่มีโอกาศแน่ เนื่องจากอ่านภาษษญี่ปุ่นไม่ออกจริงๆ ^^


โดย: mira IP: 58.10.85.222 วันที่: 22 พฤษภาคม 2554 เวลา:20:47:36 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

เด็กหญิงสระบัว
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add เด็กหญิงสระบัว's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.