แปลนิยาย : 4 บิวะเกนโจ 2

กรุณาอ่านคำออกตัวของผู้แปลจากตอนแรกนะคะ บทนี้ การผจญภัยแรกของเซอิเมกับฮิโรมาสะกำลังจะเริ่มแล้วค่ะ






Ommyoji : The Biwa named Genjo… อมเมียวจิ ตอน บิวะเกนโจ 2

ในคืนที่ฮิโรมาสะได้ยินเสียงเกนโจ เขาเข้าเวรเฝ้าวังในตอนกลางคืนที่ท้องพระโรงเซอิเรียวเดน

อย่างที่รู้กันอยู่ว่าเรื่องนี้มีบันทึกไว้ใน เรื่องเล่ากาลเก่าก่อน ด้วยเช่นกัน

“此人(博雅)、管絃の道極たる人にて、此玄象の失せたる事を思ひ歎ける程に、人皆静なる後に、博雅清涼殿にして聞けるに、南の方に当りて、彼の玄象の弾く音有り”

เมื่อเขาลืมตาขึ้น และเงี่ยหูฟังเสียงนั้น เขาก็จำได้ทันทีว่ามันเป็นเสียงของเกนโจ

แต่แรกเขาคิดว่าวิญญาณแค้นของ มิบุ โนะ ทาดาชิ โกรธแค้นพระจักรพรรดิเรื่องวันงานประชันกลอนจึงขโมยเกนโจไปและเอาไปนั่งเล่นอยู่ที่ไหนซักแห่งใกล้ๆ กับประตูซุซาคุ

แต่พอคิดว่าเขาอาจจะฟังผิดก็ได้ ฮิโรมาสะจึงตั้งใจเงี่ยหูฟังอีกครั้ง และคราวนี้มั่นใจว่าเสียงบิวะนั้นเป็นเสียงของเกนโจจริงๆ เขาเป็นคนที่มีพรสวรรค์พิเศษ เรียกว่ามีความเชี่ยวชาญในการแยกเสียงเครื่องดนตรี ดังนั้นจึงไม่น่าจะจำเสียงผิดพลาด

ฮิโรมาสะคิดว่ามันช่างแปลกเหลือเกิน จึงพาเด็กรับใช้คนหนึ่งออกเดินตามเสียงไป โดยสวมเพียงเสื้อคลุมเครื่องแบบและรองเท้าปักลายเท่านั้น

เขาเดินออกจากห้องพักทหารยามที่ประตูคุ้มภัย เขาเริ่มเดินลงใต้ ไปยังประตูซุซาคุ

แต่ก็ยังได้ยินเสียงบิวะดังมาจากข้างหน้าห่างออกไป เขาจึงเดินลงใต้ต่อไปตามถนนซุซาคุ

ไม่ใช่ที่ประตูซุซาคุ มันน่าจะอยู่ใกล้ๆ หอสังเกตการณ์ข้างหน้านั่น

ดูเหมือนอะไรบางอย่าง ที่ไม่ใช่วิญญาณแค้นของทาดามิได้ขโมยเกนโจไป ปีนขึ้นไปบนหอสังเกตการณ์ และนั่งเล่นบิวะอยู่บนนั้น

แต่เมื่อเขาเดินไปถึงหอสังเกตการณ์ กลับยังได้ยินเสียงบิวะดังอยู่ห่างออกไปอีก ซ้ำมันยังดังเท่าๆ กับตอนที่ได้ยินจากท้องพระโรงเซอิเรียวเดน ซึ่งน่าแปลกเอามากๆ ไม่น่าเป็นไปได้เลยที่มนุษย์ธรรมดาจะเป็นผู้บรรเลง

เด็กรับใช้ที่มาด้วยเริ่มหน้าซีด

เมื่อเดินลงใต้ต่อไปเรื่อยในที่สุดก็ไปถึงประตูราโช มันเป็นประตูที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น กว้างถึงเก้าและสูงถึงเจ็ด ดูมืดทะมึนสูงขึ้นไปถึงเงาสวรรค์ ตอนนั้นเอง ฝนก็เริ่มตกปรอยๆ เป็นละอองบางๆ เขาได้ยินเสียงบิวะดังลงมาจากยอดประตู แต่มันก็มืดเหลือเกิน

เมื่อมองขึ้นไปจากที่ที่ยืนอยู่ พวกเขาสามารถเห็นได้เพียงชั้นแรกของประตูราโชเป็นเงาวูบไหวอยู่ในแสงโคมที่เด็กรับใช้ถือมา แต่ชั้นที่สองนั้นซ่อนอยู่ในความมืด มองไม่เห็นอะไรเลย

เสียงบิวะดังอย่างไพเราะออกมาจากเงานั้นเอง

“กลับกันเถิดท่าน”

เด็กรับใช้บอกเสียงสั่น หากฮิโรมาสะเป็นคนแน่วแน่ ไม่มีทางที่เขาจะหันกลับหลังจากมาได้ไกลถึงขนาดนี้ แต่จะบรรยายความไพเราะของเสียงบิวะนั้นได้อย่างไรกันเล่า?

มันเป็นบทเพลงที่เขาไม่เคยได้ยินมาก่อน และกังวานหวานของบิวะก็สั่นสะท้านอยู่ในอกของฮิโรมาสะ

แตร่ง

เสียงบิวะแว่วมา

แตร่ง
แตร่ง

มันช่างเป็นท่วงทำนองที่ไพเราะและโศกเศร้าอะไรเช่นนี้ ฟังดูเกือบจะเหมือนเจ็บปวด

“さても、世には隠れたる秘曲があるものよーー”
satemo yoniwakukuretaruhikyokugaarumonoyo


ฮิโรมาสะคิด

เมื่อเดือนแปดของปีที่แล้ว ฮิโรมาสะเคยได้ยินเพลง ริวเซ็น และ ทาคุโบคุ ซึ่งเป็นบทเพลงที่ประพันธ์ขึ้นลับเฉพาะสำหรับบิวะ ที่เขาได้ยินนั้นพระชราตาบอด เซมิมารู เป็นผู้บรรเลง

เขาต้องไปยังที่แห่งหนึ่งอยู่ติดกันถึงสามปีทีเดียว กว่าเขาจะมีโอกาสได้ฟังเพลงที่ว่านั้น

หลวงพ่อตาบอดผู้หนึ่งอาศัยอยู่อย่างสันโดษที่โอซาก้า พระรูปนั้นคือ เซมิมารู

มีข่าวซุบซิบในหมู่นักเป่าขลุ่ยว่าเขารู้จักบทเพลง ริวเซ็น และ ทาคุโบคุ ซึ่งกล่าวกันว่าไม่มีผู้ใดสามารถบรรเลงได้แล้ว ฮิโรมาสะเองก็เป็นหนึ่งในยอดนักขลุ่ย เมื่อได้ยินข่าวเช่นนั้นก็อยากฟังบิวะของหลวงพ่อขึ้นมาทันที

何ど不思懸所には住むぞ。京に来ても住めかし 

เขาส่งสารไปหาเซมิมารูที่โอซาก้า

Nandofushiketokoroniwasumuzo kyounikitemojyumekashi

“ไยท่านจึงเลือกอาศัยในถิ่นห่างไกลเช่นนั้นเล่า? ไยท่านไม่มาอาศัยเสียที่นครหลวง?” นั่นคือข้อความที่เขาส่งไป แต่เซมิมารูกลับดีดบิวะของตน และร้องเป็นเพลงตอบ

世中はとてもかくてもすおしてむ宮も藁屋もはてしなけれ

Yonakawatotemokakutemosuoshitemu miyamo warayamo hateshinakereba

“โลกนี้สามารถจะแปรเปลี่ยนไปได้ตามแต่จะต้องการ ไม่ว่าจะวังหลวงหรือกระท่อมมุงฟาง ทั้งสองสิ่งมิใช่ต้องถึงจุดจบในวันหนึ่งเช่นเดียวกันหรือ?”


เขาบรรเลงบิวะคลอกับคำตอบนี้ เมื่อฮิโรมาสะได้ยิน เขาก็ยิ่งประหลาดใจ

“พระรูปนี้ย่อมเป็นผู้ที่มีอารมณ์สุนทรีอันสูงส่งยิ่งนัก

หลวงพ่อชราภาพมากไม่อาจอยู่ได้ตลอดกาล และข้าเองก็ไม่รู้ว่าตนจะตายเมื่อไร หากหลวงพ่อสิ้นไป ดูท่าว่า ริวเซ็น และ ทาคุโบคุ คงสาบสูญไปกับท่าน เพราะเหตุนี้ข้าจึงอยากฟังบทเพลงทั้งสองยิ่งนัก ข้าอยากฟังเหลือเกิน

เขาได้แต่นั่งเสียอกเสียใจ

แต่แม้กระทั่งเขาไปหาหลวงพ่อชราด้วยตนเองและขอร้องให้ท่านบรรเลงเพลงให้ฟัง หลวงพ่อก็มิใช่บุคคลที่ยอมกระทำเช่นนั้นโดยง่าย และแม้ว่าท่านจะยอมบรรเลง แต่หัวใจของท่านจะอยู่ในบทเพลงแน่หรือ ลึกๆ ในใจของฮิโรมาสะ เขาอยากฟังหลวงพ่อบรรเลงบทเพลงอย่างเต็มใจ หากเป็นไปได้

เริ่มจากคืนที่เขาขบคิดเรื่องนี้ ชายหนุ่มผู้แน่วแน่ของเราก็เริ่มไปเยี่ยมเยียนที่พักของพระชรา

เขาซ่อนตัวอยู่ใกล้กับอาศรมของเซมิมารูและรออย่างใจจดใจจ่อพลางคิด หลวงพ่อจะเล่นเพลงในคืนนี้หรือเปล่านะ หรือว่าจะเป็นคืนนี้

ฮิโรมาสะทำเช่นนั้นอยู่ถึงสามปี

แม้ว่าเขาจะไม่ได้ไปที่นั่นในคืนที่ต้องเข้าเวรในวังหลวง แต่ความตั้งใจของเขาก็จริงจังและไม่ใช่เรื่องเล่นๆ

หลวงพ่อต้องเล่นในคืนนี้แน่ๆ ในเมื่อดวงจันทร์งดงามขนาดนี้ มิใช่ว่าคืนนี้เต็มไปด้วยดนตรีของหริ่งเรไรที่เหมาะกับเพลงริวเซ็นหรอกหรือ

ในคืนเช่นนั้นหัวใจของฮิโรมาสะจะหวั่นไหวยามรอคอย เฝ้าแต่จะคิดว่า “หลวงพ่อต้องเล่นแน่ๆ ต้องเป็นคืนนี้แน่ๆ”

และในปีที่สามนั่นเอง ในค่ำคืนของวันที่ 15 เดือน 8 เมื่อดวงจันทร์เป็นเพียงเงาเลือนรางอยู่หลังหมู่เมฆที่สายลมพัดผ่าน

ทันใดก็มีเสียงของบิวะดังกังวาน

เพียงแค่ท่อนเดียวที่ได้ยินแว่วๆ ในสายลม ฮิโรมาสะก็รู้ทันทีว่ามันคือ ริวเซ็น

หัวใจของเขาเต็มตื้น

ท่ามกลางความมืดมิด พระชราบรรเลงบทเพลงจากหัวใจ เขาถึงกับขับร้องคลอไปกับเสียงบิวะ

逢坂の関に嵐の激しきに強しひてぞ居たる夜をすごすとて
“博雅これを聞きて、涙を流して哀れと思ふ事無限し” เรื่องของปัจจุบันและอดีต บันทึกไว้เช่นนี้


ไม่นานนัก หลวงพ่อชราก็รำพึงขึ้นกับตัวเอง

“อา คืนนี้ช่างงดงามนัก บางทีอาจจะไม่มีใครอื่นในโลกนี้ที่จะร่วมแบ่งปันความสุนทรีกับข้า ไม่มีใครมาในคืนนี้ แม้แต่คนที่มีความรู้เกี่ยวกับบิวะเพียงน้อยนิด ข้าอยากมีค่ำคืนที่มีคนสนทนาด้วยเหลือเกิน…”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น ฮิโรมาสะก็ก้าวออกไปโดยไม่คิด “หากท่านต้องการใครสักคนเช่นนั้น ข้าพเจ้าก็อยู่ที่นี่แล้ว”

แน่นอนว่าชายผู้นี้ ผู้ซื่อตรงจริงใจในทุกสิ่ง จะก้าวเข้าไปอย่างยินดี หัวใจเต้นระรัว และแม้แต่ใบหน้าก็ซับเลือดฝาดเป็นสีระเรื่อ

“แล้วท่านเป็นผู้ใดกันเล่า”
“คาดว่าท่านคงลืมข้าพเจ้าไปแล้ว ข้าพเจ้าชื่อ มินาโมโตะ โนะ ฮิโรมาสะ ข้าเคยส่งคนมาเชิญท่านไปนครหลวงอย่างไรล่ะ”

“อ้อ ท่านผู้นั้นเอง” เซมิมารูจำฮิโรมาสะได้

“ท่านเพิ่งจะบรรเลง ริวเซ็น ใช่หรือไม่” ฮิโรมาสะเอ่ยถาม

“ท่านต้องเป็นผู้มีความรู้ดีทีเดียว”

เมื่อได้ยินน้ำเสียงที่ทั้งประหลาดใจและดีใจของเซมิมารู ฮิโรมาสะก็รู้สึกราวกับได้ก้าวเข้าไปในสวรรค์ และดังที่ฝันเอาไว้ หลวงพ่อชราเริ่มบรรเลงท่วงทำนองอันลึกล้ำของ ทาคุโบคุ ต่อหน้าเขาโดยไม่อิดเอื้อน และเมื่อเขาได้ยินเสียงเพลงที่ดังลงมาจากเหนือประตูราโช ฮิโรมาสะก็นึกถึงค่ำคืนนั้น

บทเพลงที่เขาได้ยินนั้นไพเราะยิ่งกว่า ริวเซ็น หรือ ทาคุโบคุ มันฟังดูไร้กาลเวลาและแสนเศร้า แฝงไว้ด้วยท่วงทำนองอันลึกลับ ฮิโรมาสะรู้สึกสงสัยเป็นกำลัง เขานิ่งฟังเสียงบิวะที่ลอยลงมาจากเหนือประตูนั้นอยู่นาน

ในที่สุด เขาก็ตะโกนถามออกไป

“ท่านใดบรรเลงบิวะอยู่เหนือประตูราโชกันหรือ เสียงนั้นเป็นเสียงของเกนโจซึ่งหายไปจากวังหลวงเมื่อสองวันก่อน คืนนี้ข้าพเจ้าได้ยินเสียงเพลงแว่วมาเมื่ออยู่ในท้องพระโรงเซอิเรียวและเดินตามเสียงมาถึงที่นี่ แต่บิวะตัวนั้นเป็นตัวโปรดขององค์จักรพรรดิ...”

วินาทีที่เขาเอ่ย เสียงบิวะก็หยุดลง รู้สึกราวกับจู่ๆ มันก็หายวับไป

โคมที่เด็กรับใช้ถือมาพลันดับวูบลง

“จากนั้นข้าก็กลับบ้าน” ฮิโรมาสะบอกกับเซอิเม

เขาเล่าต่อว่าเด็กรับใช้รู้สึกกลัวมากถึงกับร้องไห้สะอึกสะอื้นเมื่อโคมดับ

“นั่นคือเมื่อสองคืนก่อนอย่างนั้นหรือ”

“ใช่แล้ว”

“แล้วเมื่อคืนล่ะ”

“อันที่จริง เมื่อคืนข้าก็ได้ยินเสียงบิวะเหมือนกัน”

“แล้วท่านตามไปหรือเปล่า”

“ไปสิ แต่คราวนี้ไปคนเดียว”

“ไปที่ประตูราโชน่ะหรือ”

“ใช่ ข้าไปคนเดียว ข้าฟังเสียงบิวะอยู่ซักพัก ไม่มีทางเลยที่มนุษย์คนไหนจะขึ้นไปนั่งเล่นบิวะอยู่บนนั้นได้นานขนาดนั้น เมื่อข้าตะโกนขึ้นไป เสียงนั่นก็หยุดอีก แล้วโคมของข้าก็ดับ แต่คราวนี้ข้าเตรียมตัวไป ก็เลยจุดโคมขึ้นใหม่ แล้วก็ปีนขึ้นไป”

“ปีนเหรอ? ท่านปีนประตูเนี่ยนะ?”

“แหงสิ” ฮิโรมาสะกล้าบ้าบิ่นจริงๆ

มันไม่ใช่แค่มืด แต่เป็นมืดสนิท และแม้จะคาดว่าอีกฝ่ายจะไม่ใช่มนุษย์ หรือหากเขาโดนโจมตี การปีนขึ้นไปไม่ได้ช่วยอะไรเขาเลย

“แต่ข้าก็ต้องหยุดนะ” ฮิโรมาสะแย้ง

“หยุดปีนน่ะหรือ”

“ใช่ ตอนข้าปีนขึ้นไปก็มีเสียงดังลงมา”

“เสียงหรือ?”

“เสียง หรือไม่ก็อะไรคล้ายๆ อย่างนั้น มันเป็นเสียงคนกรีดร้อง ไม่ก็สัตว์ มันน่ากลัวเอามากๆ” ฮิโรมาสะบอก

“เมื่อปีนขึ้นไปได้ครึ่งทางในความมืด ข้าพยายามเงยหน้ามองข้างบนเอาไว้ แต่แล้ว อะไรบางอย่างก็ตกลงมาโดนหน้าของข้า…”

“มันคืออะไรล่ะ?”

“เมื่อข้าปีนกลับลงมาและดูมันชัดๆ ก็เห็นว่าเป็นลูกตาของมนุษย์ที่เน่าแล้ว อาจจะเอามาจากป่าช้าที่ไหนซักแห่ง” ฮิโรมาสะบอกว่าเขาหมดความตั้งใจที่จะปีนขึ้นไปอีก

“ข้าคงไม่สามารถทำอะไรสำเร็จได้หากข้าปีนขึ้นสูงเกินไปและทำเกนโจเสียหาย”

“แล้วท่านอยากให้ข้าทำอย่างไรเล่า” เซอิเมถามเขา

ทั้งเหล้าและปลาหมดไปแล้ว

“มากับข้าคืนนี้สิ”

“นี่ท่านจะไปอีกเหรอ”

“แน่อยู่แล้ว”

“พระจักรพรรดิรู้หรือยังน่ะ”

“ยังหรอก ข้ายังไม่บอกเรื่องนี้กับใคร ข้าบอกให้เด็กรับใช้เงียบเอาไว้ด้วย”

“อืมมม”

“ไอ้ตัวที่อยู่บนประตูราโชน่ะไม่ใช่คนแน่นอน” ฮิโรมาสะมั่นใจ

“แล้วมันเป็นตัวอะไรกันหละ ถ้าไม่ใช่คน?”

“ไม่รู้สิ อาจจะเป็นยักษ์ก็ได้ ยังไงก็เหอะ ในเมื่อมันไม่ใช่คน ก็เป็นหน้าที่ของท่านแล้วหละ”

“เป็นอย่างนั้นไปเสียนี่ หืม?”

“ข้าอยากเอาเกนโจกลับมา แต่ข้าก็อยากได้ยินเสียงบิวะนั่นอีกครั้งด้วย”

“ข้าไปก็ได้”

“โอ้...”

“แต่มีข้อแม้ข้อนึง…”

“อะไรล่ะ”
“เอาเหล้าไปด้วย”

“เหล้าเหรอ?”

“ข้าเกิดอยากจะฟังเพลงนั่นไป จิบสุราไปขึ้นมาน่ะสิ” พอเซอิเมพูดจบฮิโรมาสะก็นั่งอึ้งไปพักหนึ่งก่อนจะพึมพำ

“ก็ได้ ก็ได้”

“งั้นก็ไปกัน”

“ได้ ไปกัน”

และมันก็เป็นไปตามนั้น


To be continue



หมายเหตุ**

1) เซมิมารู พระ กวี และนักดนตรีมีชื่อในสมัยเฮอัน บทกลอนทังกะของเขาบทหนึ่งมีรวบรวมไว้ใน โองุระ เฮียะขุนิน อิชชุ
ข้อมูลเพิ่มเติม - //en.wikipedia.org/wiki/Semimaru

2) ริวเซ็น และ ทาคุโบคุ ถือเป็นเพลงเอกของการบรรเลงบิวะ



Create Date : 21 พฤศจิกายน 2550
Last Update : 21 พฤศจิกายน 2550 17:10:00 น. 1 comments
Counter : 467 Pageviews.

 
อ่านด้วยหัวใจเต้นระทึก แต่ดูจากวันที่ update แล้ว ท่าทางวาสนาของข้าพเจ้าคงจะสั้นนัก


โดย: mira IP: 58.10.85.222 วันที่: 22 พฤษภาคม 2554 เวลา:21:04:07 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

เด็กหญิงสระบัว
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add เด็กหญิงสระบัว's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.