แปลนิยาย : 5 บิวะเกนโจ 3

The Biwa named Genjo บิวะเกนโจ 3




คืนนั้น ชายสามคนมาพบกัน สถานที่นัดคือใต้ต้นเชอร์รี่ (ซากุระ) หน้าท้องพระโรงชิชิน

เซย์เมย์มาสายที่สุด

เขาแต่งกายสบายๆ ด้วยเสื้อคลุมล่าสัตว์สีขาวเนื้อนุ่ม สาเกเหยือกใหญ่ผูกเชือกคล้องอยู่กับข้อมือซ้าย

เขาถือโคมในมือขวา แต่ดูเหมือนจะเดินมาไกลขนาดนี้โดยไม่ได้จุดมันเลย

ฮิโรมาสะสวมรองเท้าส้นไม้ทำจากหนังสีดำยืนรออยู่ที่ใต้ต้นเชอร์รี่ เขาดูราวกับจะไปออกศึก แม้จะแต่งกายด้วยชุดของข้าราชสำนัก แสวมหมวกเกราะ โนทซึอิตะ ที่เอวด้านซ้ายห้อยดาบยาว แถมยังถือธนูไว้อีกด้วย ส่วนลูกศรเอาใส่กระบอกสะพายไว้

“หวัดดี” เซย์เมย์ตะโกนทักมา

“สวัสดี” ฮิโรมาสะตอบ

มีพระรูปหนึ่งยืนอยู่ข้างๆ ฮิโรมาสะ เขามีรูปร่างเล็ก สะพายบิวะทำจากไม้ไผ่ไว้อันหนึ่ง

“ผู้นี้คือท่านเซมิมารู”

ฮิโรมาสะแนะนำหลวงพ่อชรากับเซย์เมย์

เซย์เมย์โค้งศีรษะทักทายอย่างนอบน้อมงดงาม
“ท่านคงเป็นใต้เท้าเซย์เมย์สินะ…”

“ใช่แล้ว ข้าพเจ้าคืออาเบะ โนะ เซย์เมย์ ประจำกรมลัทธิเต๋า”
วาจาของเซย์เมย์สุภาพ และสุขุม
“ข้าพเจ้าได้ยินกิตติศัพท์ของท่านจากฮิโรมาสะบ่อยครั้งยิ่ง พระคุณเจ้าเซมิมารู”

เขายังคงมีกริยาเรียบร้อย เรียบร้อยกว่าตอนที่อยู่กันสองคนกับฮิโรมาสะ

“อตามภาพก็เช่นกัน ที่ได้ยินเรื่องของท่านเซย์เมย์มากมายจากท่านฮิโรมาสะ”
พระร่างเล็กก้มศีรษะเล็กน้อย หลวงพ่อมีลำคอเล็กและเรียว ดูราวกับลำคอของนกกระสา

“เมื่อข้าเล่าให้หลวงพ่อฟังเรื่องได้ยินเสียงบิวะกลางดึก ท่านก็ว่าท่านอยากมาฟังด้วยตนเอง” ฮิโรมาสะอธิบาย

เซย์เมย์ชำเลืองมองฮิโรมาสะและเอ่ย

“ทุกคืนท่านแต่งตัวออกมาแบบนี้เหรอ”

“โอย ไม่หรอก แต่เพราะคืนนี้มีคนอื่นมาด้วยน่ะสิ เวลามาคนเดียวข้าคงไม่แต่งอย่างนี้หรอก”

พอฮิโรมาสะพูดจบ ทุกคนก็ได้ยินเสียงของบุรุษแว่วๆ มาจากทางท้องพระโรงเซอิเรียว มันเป็นเสียงต่ำพร่าทุกข์ระทม

“รักที่ถูกทอดทิ้ง...” เสียงนั้นกระซิบราวมาจากที่ไกลแสนไกล
เมื่อเสียงนั้นใกล้เข้ามา ทุกคนก็เห็นร่างขาวซีดปรากฏขึ้นรางๆ ร่างนั้นเลี้ยวตรงหัวมุมตรงสุดทางทิศตะวันตกของท้องพระโรงชิชินเดน

ละอองฝนที่เบาบางยิ่งกว่าเส้นไหมทักทอรอบร่างนั้นท่ามกลางความเย็นเยือกของรัตติกาล

“我が名はまだき立ちけり….”

มันเป็นเงาร่างของบุรุษที่อยู่หลังม่านเม็ดฝนที่ไม่มีวันตกถึงพื้น
มันเดินช้าๆ ไปใต้ต้นส้ม ใบหน้าขาวซีดไม่ได้หันมองไปทางใด
มันแต่งกายด้วยชุดของขุนนางข้าราชสำนัก สวมหมวกสีม่วงอมแดงเข้ม ดาบที่ประดับตกแต่งอย่างงดงามห้อยอยู่ข้างเอว และกางเกงขายาวที่สวมอยู่ก็ลากไปตามพื้น

“นั่นมันท่านทาดามินี่...” เซย์เมย์พึมพำ

“เซย์เมย์” ฮิโรมาสะหันไปมองเซย์เมย์

“人知れずこそ、想ひ初めしか”

“เพียงแค่คิดว่าเขาต้องมาวนเวียนอยู่เพราะเรื่องนั้นเพียงเรื่องเดียว ช่วยปลดปล่อยเขากันดีกว่า...”

แต่เซย์เมย์ไม่ได้คิดจะใช้เวทย์มนต์ของเขาทำอะไรทั้งสิ้น

“hitoshirezukozo, omoihajimeshika”

แล้วร่างนั้นก็หายไป เมื่อมาถึงหน้าท้องพระโรงชิชิน
จางหายไปในอากาศ ปลาสนาการไปพร้อมๆ กับกลอนบาทสุดท้าย

“เสียงของเขาฟังดูระทมทุกข์เหลือเกิน”เซมิมารูกระซิบ

“บางทีเจ้ายักษ์นั่นก็อาจจะเช่นเดียวกัน” เซย์เมย์พูดขึ้น

สิ้นคำเซย์เมย์ พวกเขาก็ได้ยินเสียงบิวะ

เซย์เมย์ปรบมือเบาๆ

เมื่อเขาทำเช่นนั้นก็ปรากฏร่างของหญิงสาวโฉมสะคราญคนหนึ่งเยื้องกรายอย่างงดงามออกมาจากเงามืด เธอสวมเสื้อคลุมแบบจีน และชุดกิโมโนสิบสองชั้นที่ลากยาวอยู่เบื้องหลัง เธอเดินเข้ามาในวงแสงจากโคมที่ฮิโรมาสะถืออยู่ ชุดของเธอเป็นสีเฉดเดียวกันทั้งหมดคือสีม่วงเหมือนดอกไลแลค และมีเนื้อผ้าเบาบาง หญิงสาวคนนั้นหยุดตรงหน้าเซย์เมย์ และลดสายตาลงเล็กน้อย

“มิตซึมุฉิจะเป็นคนนำทางเราไป” เซย์เมย์เอ่ย

หญิงสาวเอื้อมมือขาวผ่องมารับโคมไปจากเซย์เมย์ ทันใดโคมนั้นก็ส่องสว่าง

“มิตสึมุฉิยังงั้นเหรอ” ฮิโรมาสะถาม

“นั่นไม่ใช่ชื่อที่ท่านตั้งให้กับต้นวิสเทอเรียใหญ่นั่น...?”

ฮิโรมาสะนึกถึงสีของดอกไม้ช่อเดียวที่ยังบานอยู่ในสวนบ้านเซย์เมย์ขึ้นมาได้ และยังกลิ่นหอมหวานของมันอีก ไม่หรอก เขาไม่ได้เพียงแค่นึกออก ไม่ต้องสงสัยเลยว่ากลิ่นนั้นกรุ่นจากร่างของหญิงสาวตรงหน้าผ่านอากาศยามค่ำคืนมาแตะจมูกฮิโรมาสะ

“เธอเป็นข้าช่วงใช้อย่างนั้นหรือ?”

เมื่อได้ยินฮิโรมาสะพูดเซย์เมย์ก็อมยิ้ม

“มันเป็นเวทย์มนต์อย่างไรล่ะ” เขากระซิบตอบ

ฮิโรมาสะจ้องหน้าเซย์เมย์

“ท่านนี่แปลกคนจริงๆ เชียว” เขาพูดพร้อมกับถอนใจ

เขามองดูเซย์เมย์ผู้ซึ่งส่งโคมให้หญิงสาว แล้วหันกลับมามองโคมในมือของตนเอง ตอนนี้ เหลือฮิโรมาสะเพียงผู้เดียวที่ยังถือโคมอยู่

“สงสัยข้าพเจ้าจะเป็นเพียงผู้เดียวที่ต้องการแสงสว่างกระมัง”

“อาตมาตาพิการ ดังนั้นทั้งวันและคืนจึงไม่แตกต่างกัน” เซมิมารูเอ่ยเบาๆ
มิตสึมุฉิหันหลังในชุดสีม่วงดอกไลแลคของนางให้พวกเขาและออกเดิน ตัดผ่านสายฝนที่โปรยปรายลงมาบางเบาราวกับหมอก

แตร่ง
เสียงบิวะดังแว่วมา

“ไปกันไหม” เซย์เมย์เอ่ยชวน

....................................................................

เซย์เมย์เดินตัดผ่านความมืดและสายหมอกราวไม่สนใจอะไร มีขวดใส่เหล้าสาเกห้อยจากข้อมือ ซ้ำยังยกขวดขึ้นจิบเป็นระยะๆ

เขาดูจะชื่นชอบค่ำคืนนี้ และเสียงดนตรีที่ดังแว่วมายิ่งนัก

“ดื่มหน่อยไหม ฮิโรมาสะ” เซย์เมย์ถาม

“ไม่หละ ขอบคุณ” แรกๆ ฮิโรมาสะก็ปฏิเสธดี จนกระทั้ง...

“ธนูท่านจะยิงไม่ตรงเป้าหากท่านเมาหรืออย่างไร?”
พอโดนเซย์เมย์แหย่เช่นนี้ เขาก็เลยเริ่มดื่ม

แม้กระนั้น เสียงบิวะก็ยังฟังดูเศร้าสร้อย

เซมิมารูเดินเงียบๆ มาได้พักใหญ่แล้ว เขาตั้งใจเงี่ยหูฟังเสียงบิวะอย่างหลงใหล

“นี่เป็นครั้งแรกที่อาตมาได้ยินบทเพลงนี้ มันฟังดูรันทดเหลือเกิน ท่านว่าไหม”

เซมิมารูเอ่ยขึ้นด้วยเสียงแผ่วเบา

“มันจับใจเหลือเกินทีเดียว” ฮิโรมาสะเห็นด้วย พลางสะพายธนูของเขาไว้บนบ่า

“มันน่าจะเป็นบทเพลงจากต่างประเทศ” เซย์เมย์พูดบ้าง แล้วก็จิบสาเกอีก

ทั้งสามซึ่งเริ่มชินกับความมืด พากันเดินไปในค่ำคืนที่กรุ่นกลิ่นพืชพรรณเขียวชอุ่ม

แล้วพวกเขามาถึงใต้ประตูราโชในที่สุด
และก็เหมือนกับที่ทุกคนคาดเอาไว้ พวกเขาสามารถได้ยินเสียงของบิวะดังลงมาจากเหนือประตู

ทั้งหมดยืนสงบอยู่พักหนึ่ง นิ่งฟังเสียงดนตรีนั้น และขณะที่ฟังอยู่ พวกเขาก็สังเกตว่าท่วงทำนองนั้นเปลี่ยนไป

ในตอนนั้นเอง เซมิมารูก็กระซิบเบาๆ อีกครั้ง

“ข้าจำเพลงนี้ได้”

“อะไรนะท่าน?” ฮิโรมาสะหันไปมองเซมิมารู

“เมื่อครั้งก่อนที่ข้ายังเป็นเพียงพระฝึกหัด ที่ชิคิบุ ข้ามีโอกาสได้เล่นเพลงเพลงหนึ่งซึ่งข้าไม่รู้จักทั้งชื่อและประวัติความเป็นมา ข้าคิดว่ามันคล้ายกับเพลงนี้เหลือเกิน”

เซมิมารูปลดบิวะของตนจากหลังและ

แตร่ง

เขาเริ่มบรรเลงบิวะของตน ประสานกับเสียงของบิวะที่ดังลงมาจากประตูราโช

แตร่ง

แตร่ง


บิวะทั้งสองเล่นเข้าคู่ประสานกัน

ตอนต้นนั้น เสียงบิวะของเซมิมารูยังฟังดูลังเล
แต่อาจเป็นได้ว่าเสียงบิวะของเซมิมารูดังขึ้นไปถึงข้างบน เสียงบิวะจากบนประตูจึงเริ่มบรรเลงเพลงเดิมซ้ำอีกครั้ง
เมื่อได้เล่นซ้ำ ความลังเลก็หายไปจากเสียงบิวะของเซมิมารู และในที่สุด ก็เข้าจังหวะกับเสียงบิวะจากบนประตู

มันช่างเป็นดนตรีที่งดงามยิ่ง
เสียงบิวะสองตัวดังสอดประสาน หลอมรวมกันกังวานไปในอากาศยามค่ำคืน
เสียงที่ทำให้ผู้ที่ได้ยินถึงแก่ขนลุกซู่สั่นสะท้าน

เซมิมารูพริ้มหลับดวงตาพิการของตนลงอย่างปิติ และบรรเลงท่วงทำนองด้วยบิวะของเขาราวกับกำลังไล่ตามบางอย่างที่พลุ่งพล่านอยู่ในตัวเอง

เขาดูมีความสุขอย่างยิ่งยวด

“ข้าเป็นคนที่มีความสุขที่สุดแล้วหละ เซย์เมย์...”
ฮิโรมาสะกระซิบกับเซย์เมย์ ดวงตารื่นด้วยหยาดน้ำใสๆ
“ที่คนธรรมดาๆ สามารถได้ยินบทเพลงเช่นนี้ได้...”

แตร่ง
แตร่ง


เสียงบิวะล่องลอยในความมืดขึ้นไปถึงสรวงสวรรค์เบื้องบน ตอนนั้นเองที่พวกเขาได้ยินเสียง

เสียงต่ำพร่า เหมือนกับเสียงของสัตว์

แรกๆ ก็เป็นเพียงเสียงกระซิบแทรกในบทเพลง แต่แล้วก็ค่อยๆ ดังขึ้น
มันดังมาจากเหนือประตูราโช

บางสิ่ง ที่อยู่บนประตูนั้นกำลังขับร้องคลอไปกับดนตรีที่มันบรรเลง แล้วจู่ๆ บิวะทั้งสองก็หยุดเล่นพร้อมๆ กัน เหลือเพียงเสียงนั้นเท่านั้นที่ดังก้องอยู่

เซมิมารูยังคงแหงนดวงตาพิการของตนไปยังสวรรค์เบื้องบน ราวกับพยายามจะจับเสนาะเสียงสุดท้ายของบิวะที่ยังสั่นสะท้านอยู่ในอากาศ ใบหน้ายังดูมีความสุขอย่างล้นเหลือ

คำพูดเริ่มตะกุกตะกักปนเปกับเสียงร้อง
มันเป็นภาษาต่างประเทศ

“นั่นไม่ใช่ภาษาของราชวงศ์ถัง” เซย์เมย์สังเกตุ

หลังจากตั้งใจฟังอีกครู่หนึ่ง เขาก็พูดขึ้น “มันเป็นภาษาโบราณของชมพูทวีป”

คำพูดของเขาเลือนหายไปในหมอก

ชมพูทวีป อินเดีย

“ท่านรู้ได้อย่างไร” ฮิโรมาสะถาม

“ข้าฟังออกบ้างนิดหน่อย”

เซย์เมย์เสริมว่าเขาเคยคุยกับพระมาพอสมควรเหมือนกัน

“แล้วมันว่าอย่างไรบ้าง”
เซย์เมย์ได้ยินฮิโรมาสะถามขณะกำลังตั้งใจฟังเสียงนั้น

“มันว่า ข้าเศร้า... และตอนนี้มันบอกว่า ข้ามีความสุขด้วย แล้วก็ หลังจากนั้นมันก็เอ่ยนามของสตรี…”

ภาษาอินเดียในที่นี้คือภาษาสันสกฤต ซึ่งเป็นภาษาโบราณ และเป็นภาษาที่ใช้ในบทสวดทางศาสนา

พระไตรปิฎกนั้นจารขึ้นในภาษานี้ และพระสูตรมากมายที่มาจากจีนก็แปลงจากเสียงในภาษานี้มาเป็นอักษรจีนเช่นกัน

และแม้ในยุคเฮอัน ก็ยังมีคนอยู่จำนวนหนึ่งที่เข้าใจภาษานี้ อันที่จริงแล้ว ถึงแก่มีคนอินเดียจำนวนหนึ่งอยู่ในญี่ปุ่นในเวลานั้นด้วย

“ท่านว่านามของสตรีอย่างนั้นหรือ”
“มันพูดว่า สุเรีย”
“โสเรีย”
“อาจจะเป็นโสริยา หรือโสริยา”

เซย์เมย์มองขึ้นไปเหนือประตูราโชอย่างเศร้าๆ
แสงโคมนั้นสว่างไม่มากนัก และสูงขึ้นไป ทุกอย่างตกอยู่ในม่านหมอก

เซย์เมย์ตะโกนขึ้นไปยังเหนือประตูด้วยภาษาต่างด้าว

ทันใดนั้นเอง เสียงพร่ำพูดก็หยุดลง

“ท่านพูดว่าอะไรน่ะ?”

“ข้าบอกว่ามันเล่นบิวะได้ดี...”

อีกอึดใจหนึ่ง เสียงห้าวๆ ก็พูดลงมาจากเหนือศีรษะของพวกเขา

“เจ้าเป็นใครกัน ที่เล่นดนตรีจากบ้านเกิดของข้า และพูดภาษาบ้านเกิดของข้า”

แม้จะฟังดูแปร่งๆ แต่ก็เป็นภาษาญี่ปุ่นอย่างแน่นอน

“พวกเราเป็นข้าราชสำนักของราชวังในนครหลวงแห่งนี้” ฮิโรมาสะตอบไป

“เจ้าชื่ออะไร” เสียงนั้นถามอีก

“มินาโมโตะ โนะ ฮิโรมาสะ...” ขุนนางหนุ่มตอบอีกครั้ง

“มินาโมโตะ โนะ ฮิโรมาสะ เจ้ามาที่นี่สองคืนติดกันแล้วใช่หรือไม่”
เสียงนั้นถามอีก

“ใช่” ฮิโรมาสะรับ

“ข้าคือเซมิมารู” หลวงพ่อชราพูดขึ้นบ้าง

“เซมิมารู เจ้าเพิ่งจะเล่นบิวะเมื่อซักครู่ใช่หรือไม่?”

เมื่อเสียงนั้นถามคำถามนี้ แทนที่จะตอบ เซมิมารูก็ดีดบิวะของตนครั้งหนึ่ง

แตร่ง

“ส่วนข้าคือมาซานาริ”

เมื่อได้ยินเซย์เมย์เอ่ยเช่นนั้น ฮิโรมาสะก็หันไปมองเขาอย่างสงสัย
ทำไมท่านจึงบอกชื่อปลอมกับมันไปเล่า ใบหน้าเขาดูเหมือนจะบอกเช่นนั้น

เซย์เมย์เงยหน้ามองขึ้นไปบนประตูราโชนิ่งอยู่

“แล้วอีกคน...” เสียงนั้นชะงักไป

“มิใช่มนุษย์ อย่างนั้นใช่ไหม” มันเอ่ยเบาๆ

“ท่านจะว่าอย่างนั้นก็ได้” เซย์เมย์ตอบ

“มันเป็นข้ารับใช้อย่างนั้นรึ” เสียงนั้นถาม

เซย์เมย์พยักหน้ารับ ดูเหมือนมันจะสามารถมองลงมาเห็นข้างล่างได้

“เจ้ามีชื่อเรียกหรือเปล่า” คราวนี้เป็นเซย์เมย์ที่ถาม

“กันดาตะ” (Kandata) มันตอบเบาๆ
(หมายเหตุผู้แปล - ชื่อเดียวกับวิญญาณบาปที่พระพุทธเจ้าส่งแมงมุมไปช่วยในเรื่อง คุโมะ โนะ อิโตะ)

“นั่นเป็นชื่อภาษาต่างชาติหรือ”

“ใช่แล้ว ข้าเกิดในดินแดนที่เจ้าเรียกว่าอินเดีย”

“แต่ตอนนี้เจ้าดูเหมือนไม่ได้มีชีวิตอยู่อีกแล้วนี่”
“ไม่หรอก” กันดาตะรับ

“เจ้าเคยเป็นอะไรล่ะ”

“ข้าเป็นนักดนตรีเร่ร่อน ข้าเป็นลูกที่เกิดจากสนมลับของมหาราชาในแคว้นหนึ่ง แต่แคว้นของข้าก็ถูกทำลายในสงครามกับแคว้นข้างเคียง ข้าทิ้งบ้านเกิดเมืองนอนมา ตั้งแต่ยังเด็กข้าสนใจการดนตรีมากกว่าการศึกมาตลอด และเมื่ออายุได้เพียงสิบปีข้าก็ได้หัดเล่นเครื่องดนตรีที่นิยมกันมากในตอนนั้น และเชี่ยวชาญพิณห้าสาย...”

น้ำเสียงของมันฟังดูละห้อยหาอดีต

“และข้าก็มีเพียงพิณนั้นติดตัว เมื่อข้าเดินทางไปยังอาณาจักรถัง ที่ซึ่งข้าใช้เวลาส่วนใหญ่ แล้วมันก็กว่าร้อยห้าสิบปีมาแล้วที่ข้าโดยสารเรือมากับพระสังฆราชคูไคมายังดินแดนแห่งนี้”

“โอ้”

“ข้าตายเมื่อร้อยยี่สิบแปดปีที่แล้ว ข้าเป็นช่างทำเครื่องดนตรีอยู่ใกล้ๆ กับวัด โฮกะ ใน เฮย์โจเคียว แต่คืนหนึ่งมีขโมยบุกเข้าในบ้านของข้าและตัดหัวข้า”

“แล้วทำไมท่านจึงกลายสภาพเป็นเช่นนี้หละ”

“ข้าคิดว่าข้าอยากกลับไปเห็นบ้านเกิดด้วยตาตัวเองอีกครั้ง ข้ารู้สึกสมเพชตัวเองที่ต้องมาจบชีวิตในต่างถิ่นเพราะถูกขับไล่ออกจากประเทศของข้าเช่นนี้ ความรู้สึกเหล่านั้นกระมังที่ทำให้ข้ายังไม่ไปผุดไปเกิด”

“ข้าเข้าใจหละ...” เซย์เมย์พยักหน้าพร้อมกับพูดอีก

“แต่ กันดาตะ”

“ว่าอย่างไร” เสียงนั้นถามกลับ

“เจ้าขโมยเกนโจมาด้วยเหตุอันใดกันหรือ”

“อันที่จริง ข้าเองเป็นผู้สร้างบิวะเกนโจเมื่อครั้งข้ายังอยู่ในราชอาณาจักรถัง” เสียงนั้นตอบมา ทั้งเบาและสงบ

เซย์เมย์ถอนใจหนักๆ

“เช่นนั้นเองหรอกหรือ...?”

“มันเป็นความสัมพันธ์ที่น่าแปลกนัก ท่านมาซานาริ” เสียงนั้นพูดขึ้น

มันเรียกเซย์เมย์ด้วยชื่อที่เขาบอกกับมันเมื่อสักครู่นี้

แต่เซย์เมย์ไม่ได้ตอบความ

“ท่านมาซานาริ...” มันเรียกอีกครั้ง

ฮิโรมาสะหันไปมองเซย์เมย์

รอยยิ้มระบายบนริมฝีปากสีระเรือของเซย์เมย์ เขามองขึ้นไปในความมืดเหนือบานประตู

ทันใดฮิโรมาสะก็เข้าใจ


“บางที เกนโจอาจจะเคยเป็นของเจ้าเมื่อนานมาแล้ว แต่ตอนนี้มันเป็นของเรา มีทางไหนไหมที่เจ้าจะยอมคืนมัน...” ฮิโรมาสะพูดพลางเงยหน้าขึ้นไปบ้าง

“ข้าไม่คิดจะคืนมันหรอก” เสียงนั้นตอบเบาๆ แต่แล้ว หลังจากนิ่งไปครู่หนึ่ง

“มีสิ่งหนึ่งที่ข้าอยากจะแลกเปลี่ยนด้วย”

“อะไรล่ะ”

“ข้าละอายนักที่จะกล่าวออกมา แต่ในวันที่ข้าลอบเข้าวังหลวง ข้าพบกับนางข้าหลวงคนหนึ่งที่ทำให้ใจข้าหวั่นไหว”

“อะไรนะ”

“ข้าแต่งงานกับผู้หญิงคนหนึ่งตอนอายุได้ 16 และนางข้าหลวงนางนั้นก็ดูเหมือนภรรยาของข้าเหลือเกิน”

“……”

“อันที่จริง ข้าแอบเข้าไปในวังหลวงกลางดึกก็เพื่อจะแอบดูนาง แต่แล้ว ข้าก็ไปพบเกนโจเข้า”

“……”

“ข้าพยายามจะเข้าหานางด้วยอำนาจของข้า แต่ก็ทำไม่ได้ ดังนั้นข้าเลยเอาเกนโจมาแทนเพื่อระลึกถึง โสริยา ภรรยาของข้าในอดีต การเล่นบิวะช่วยปลอบประโลมหัวใจที่เศร้าโศกของข้าได้”

“เช่นนั้น เจ้าต้องการให้พวกข้าทำเช่นไรเล่า”

“ช่วยโน้มน้าวนางข้าหลวงผู้นั้นให้มาหาข้าทีเถิด เพียงแค่ราตรีเดียว ขอให้ข้าหลุดพ้นจากพันธะวิวาห์ของข้าเพียงชั่วคืน หากพวกเจ้าช่วย ข้าจะส่งนางคืนในตอนเช้า และไปจากที่นี่ทันที”

เสียงนั้นตอบ ดูราวกับว่ามันได้ร้องไห้คร่ำครวญมาระยะหนึ่งแล้ว

“ข้าเข้าใจแล้ว”

ผู้ที่ตอบคือฮิโรมาสะ

“เราจะกลับไปและปรึกษาเรื่องนี้กับองค์จักรพรรดิ และหากเราสามารถทำตามคำขอของเจ้าได้ เราจะนำนางข้าหลวงผู้นั้นมาด้วยในคืนพรุ่งนี้”

“ขอบคุณ”

“แล้ว นางข้าหลวงคนนั้นรูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไรเล่า”

“นางเป็นสตรีสูงศักดิ์นาม ทามาคุสะ มีไฝเล็กๆ อยู่บนหน้าผากขาวผ่องของนาง”

“หากคำขอของเจ้าสำฤทธิ์ผล ข้าจะยิงธนูดอกนี้มาที่นี่ แต่หากถูกปฏิเสธ ข้าจะยิงธนูสีดำมาแทน ตกลงไหม”

“ข้าจะขอบคุณเจ้าอย่างมาก”
เสียงนั้นตอบ

“นี่ ว่าแต่...”
คนที่พูดคราวนี้กลับเป็นเซย์เมย์ซึ่งเงียบไปได้ระยะหนึ่ง

“เจ้าจะไม่เล่นบิวะของเจ้าให้เราฟังอีกซักครั้งหรือ”

“บิวะของข้างั้นรึ?”

“อืม”

“นั่นเป็นสิ่งที่เจ้าไม่ต้องขอหรอก หากข้าอยู่ในรูปกายเดิม ข้าคงจะลงไปเล่นให้เจ้าฟังที่ข้างล่างนั่นแล้ว แต่รูปร่างของข้าในตอนนี้น่าละอายยิ่งนัก ข้าจะขอนั่งเล่นอยู่บนนี้”
เสียงนั้นตอบ

แตร่ง

เสียงบิวะดังขึ้น

เสียงเสนาะไม่ได้แผ่วหาย แต่ยังคงค้างสะท้อนสะเทือนอยู่ในอากาศเหมือนกับใยบางของแมงมุม

ท่วงทำนองของมันยิ่งพิสดารพันลึกกว่าบทเพลงก่อนหน้า มิตสึมุฉิผู้ซึ่งยืนนิ่งเงียบมาโดยตลอดทันใดก็ย่อตัวลง วางโคมลงที่พื้นก่อนจะยืดตัวขึ้น
นางชูมือขาวเรียวบางขึ้นสู่ท้องฟ้ายามราตรี และขยับเคลื่อนย้ายมือนั้นราวกับคลื่นกลางอากาศ

นางเริ่มร่ายรำเข้ากับบทเพลงจากบิวะ

“โอ...”

ฮิโรมาสะอุทานด้วยความพิศวง พลางถอนใจ เสียงเพลงและการร่ายรำก็จบลง

แต่แล้ว
เสียงนั้นก็ดังมาจากเบื้องบนอีก

“เป็นการร่ายรำที่งดงามมาก ข้าคิดว่าบางทีพวกเจ้าอาจจะผิดสัญญา ข้าจึงจะแสดงอำนาจของข้าให้พวกเจ้าดู”

“บางทีหรือ”

“เพื่อที่พวกเจ้าจะได้ไม่คิดตุกติกในวันพรุ่งนี้อย่างไรเล่า”

เมื่อเสียงนั้นกล่าวจบ ก็มีแสงสีเขียวพุ่งจากชั้นที่สองของประตูราโชลงใส่ร่างของมิตสึมุฉิ

ในวินาทีที่แสงนั้นห้อมล้อมร่าง สีหน้าของนางดูเจ็บปวดแสนสาหัส ริมฝีปากสีแดงสดเปิดเผยอจนเห็นไรฟัน แล้วนางก็เลือนหายไป

บางสิ่งปลิวพริ้วในแสงโคมที่นางวางเอาไว้ และค่อยๆ ร่วงลงพื้น

เมื่อเซย์เมย์เดินไปเก็บมันขึ้น สิ่งนั้นกลับเป็นดอกวิสเทอเรียดอกหนึ่ง

“ได้โปรดตอบรับความปรารถนาของข้าด้วย”

เสียงนั้นเอื้อนเอ่ยลงมาอีก และก็หยุดไป เหลือเพียงหมอกที่เหมือนผ้าไหมแผ่กระจายอยู่ในเงามืดของราตรีที่เงียบสงัด

เซย์เมย์จรดริมฝีปากลงบนดอกวิสเทอเรียที่ถืออยู่ระหว่างนิ้วขาวผ่องพลางแย้มยิ้มน้อยๆ




ยามเย็นของวันถัดมา

คนสี่คนยืนอยู่ใต้ประตูราโช

สายฝนตกปรอยราวเข็มเล่มเล็กๆ จากฟากฟ้าที่ค่อยๆ มืดลง เซย์เมย์ ฮิโรมาสะ และบุรุษอีกผู้หนึ่งยืนอยู่ข้างหญิงสาวนางหนึ่งท่ามกลางสายฝน

บุรุษนั้นเป็นนักรบ นามของเขาคือ คาชิมะ โนะ ทาคัทซึงุ

เขาคาดดาบยาวไว้ที่เอว และถือคันศรด้วยมือซ้าย มีกระบอกใส่ลูกศรที่เอวด้านขวา เมื่อสองปีก่อนเขาสังหารปีศาจแมวที่มาโผล่ในปราสาทด้วยธนูและลูกศรเดียวกันนี้อย่างกล้าหาญ

ส่วนหญิงนางนั้นคือ ทามาคุสะ

นางจัดว่าเป็นหญิงงาม ด้วยมีดวงตาโตและจมูกโด่งตรงเป็นสัน อายุของนางคงเพียงสัก 18 หรือ 19 ปีเท่านั้น

เซย์เมย์ยังคงแต่งกายเช่นเดียวกับเมื่อคืนวาน เว้นเสียแต่ว่าเขาไม่ได้เอาไหเหล้าสาเกติดมาด้วยเท่านั้น

ฮิโรมาสะก็เช่นกัน เพียงแต่คืนนี้เขาไม่ได้เอาธนูและลูกศรมาด้วย

เสียงบิวะดังขึ้นจากเหนือศีรษะของพวกเขา

ทั้งสี่ยืนฟังเงียบๆ ไม่นานเสียงบิวะก็หยุดลง

“ข้าเกือบจะทนรอไม่ได้”

เสียงนั้นดังลงมา

มันเป็นเสียงเดียวกับเมื่อคืนนี้แน่ๆ แต่วันนี้มันฟังดูลิงโลดอย่างเห็นได้ชัด

“เราทำตามที่สัญญาไว้” ฮิโรมาสะเอ่ยขึ้น

“ผู้ชายที่มาด้วยเปลี่ยนไปคนหนึ่งนี่นา”

“เซมิมารูไม่มาน่ะ เราทำตามที่สัญญาเอาไว้ทุกอย่างแล้วนะ ข้าไม่ได้คิดว่าเราสัญญาอะไรเกี่ยวกับเขาเอาไว้ อีกคนก็เลยมาแทน”

“อ้อ”

“ถ้าเช่นนั้น เจ้าจะคืนบิวะให้กับเราเมื่อเราส่งผู้หญิงให้เจ้าหรือไม่”

“ให้ผู้หญิงมาก่อน”

เสียงดนตรีตัวโน้ตหนึ่งดังกังวานลงมาจากเบื้องบน
“มัดนางไว้ด้วยเชือกนั้นนะ ข้าจะดึงนางขึ้นมา หากไม่ผิดตัว ข้าจะหย่อนบิวะลงไปทันที”

เสียงนั้นบอก

“ตกลง”

ฮิโรมาสะก้าวออกไปพร้อมกับหญิงนางนั้น เขามัดเธอไว้ด้วยเชือกเส้นใหญ่

เมื่อเชือกพันรอบตัวเธอเรียบร้อยแน่นหนาดี มันก็เริ่มดึงเชือกขึ้นไป ทีละนิ้ว ทีละนิ้ว จนถึงยอดของประตูราโช หญิงนางนั้นก็ปีนขึ้นไป ร่างของนางค่อยๆ กลืนหายไปในความมืด

ไม่นานนัก

“โอ้...”

เสียงนั้นดังขึ้น

“เป็นโสริยาจริงๆ”

เสียงนั้นเต็มตื้นไปด้วยความปรีดา

“ข้าถูกใจนางยิ่งนัก”

แล้ววัตถุสีดำชิ้นหนึ่งก็ผูกติดกับเชือกและหย่อนลงมาจากยอดประตู

ฮิโรมาสะแกะเชือกออก
“เกนโจนี่”

เมื่อฮิโรมาสะกลับมาสมทบกับชายอีกสองคนพร้อมกับถือกล่องใส่บิวะที่ทำจากไม้โรสวู้ดกลับมาให้เซย์เมย์ดู

ตอนนั้นเองที่มันเกิดขึ้น

เสียงน่าสยดสยองดังลงมาจากเหนือประตูราโช เป็นเสียงของสัตว์ร้ายที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวด ราวกับถูกเชือด

“ข้าถูกหลอกกกกกก”

เสียงนั้นกรีดร้อง

พวกเขาได้ยินเสียงของบางอย่างสัมผัสกันแว่วมาจากข้างบน

แล้วเสียงผู้หญิงก็หวีดขึ้นบ้าง
แต่แล้วเสียงเธอก็เงียบหายไปทันที
เสียงวัตถุบางอย่างร่วงลงกระทบพื้น

แล้วก็เสียงเหมือนน้ำกระฉอกออกจากอ่าง และหยดลงบนพื้น กลิ่นอุ่นๆ คาวๆ ของทองแดงกระจายไปในอากาศยามค่ำคืน

มันเป็นกลิ่นของเลือด

“ทามาคุสะ!!!”

เซย์เมย์ ฮิโรมาสะ และ ทาคัทซึงุ ตะโกนออกมาเป็นเสียงเดียวกันขณะวิ่งถลาไปที่ใต้ประตูราโช

ที่นั่น พวกเขาเห็นรอยเปื้อนสีคล้ำ

เมื่อยกโคมขึ้นส่องก็เห็นว่ามันเป็นรอยเลือดจริงๆ

จั้บ จั้บ พลัก พลัก ... โครม

เสียงเหมือนเนื้อถูกฉีก และเหมือนของหนักๆ ถูกทิ้งลงมา และบางอย่างก็ตกลงที่พื้นใต้ประตูราโช

มันเป็นแขนของผู้หญิงสองข้างที่ยังมีมือติดอยู่และอาบไปด้วยเลือด

“บ้าที่สุด”

ทาคัทซึงุตะโกน

“เกิดอะไรขึ้น”

ฮิโรมาสะคว้าไหล่ของทาคัทซึงุพลางถาม

“ทามาคุสะทำพลาด”

“อะไรนะ”

“นางพยายามเด็ดหัวเจ้าปีศาจด้วยมีดลงอาคมที่ได้มาจากพระที่ภูเขาเออิ แต่ดูเหมือนเธอจะทำพลาดเสียแล้ว”

ขณะที่พูด ทาคัทซึงุก็ขึ้นสายเกาทัณฑ์ไปด้วย

“ทามาคุสะ เป็นน้องสาวข้า เราปฏิญาณจะทำสิ่งนี้ด้วยกัน นางเห็นด้วยว่าการทอดตัวให้ปีศาจจะทำให้นางอับอายไปจนถึง...”

“ท่านว่าอะไรนะ?”

ในขณะที่ฮิโรมาสะเอ่ยปาก แสงสีเขียวก็ค่อยๆ ลอยลงมาจากเหนือประตูราโช

ทาคัทซึงุขึ้นสายธนู และยิง ลูกศรนั้นเล็งไปยังใจกลางของดวงแสง

มีเสียงร้อง เหมือนเสียงของสุนัข และแสงนั้นก็ตกลงที่ฐานของประตู

ที่นั่น ชายร่างประหลาดยืนอยู่ มันเปล่าเปลือย

ผิวดำสนิท จมูกโด่งแหลม

อกผอมๆ มองเห็นซี่โครงเป็นแนว

ดวงตาเป็นประกายของมันจับจ้องชายทั้งสาม ปากแยกแสยะ มองเห็นเขี้ยวคมโผล่พ้นออกมา มันคาบมือของผู้หญิงเอาไว้ในปากนั้น

ปากของมันเปื้อนเป็นสีแดงฉานจากทั้งเลือดของมันและเลือดจากมือที่มันคาบไว้

ตัวมันเต็มไปด้วยขนตั้งแต่ช่วงเอวลงมา และยังมีขาเหมือนสัตว์

องคชาติเห็นได้เด่นชัดภายใต้ขนสัตว์นั้น

ลูกธนูฝังลึกอยู่กลางหน้าผากของมันดูราวกับเขาที่โผล่ออกมา

มันดูเหมือนภาพของยักษ์กินคน

ยักษ์กินคนที่กำลังหลั่งน้ำตาสีเลือด

มันกลืนแขนผู้หญิงลงไป

แล้วหันมามองชายทั้งสามด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความเศร้าสร้อยและเคียดแค้นชิงชัง

ทาคัทซึงุยิงธนูอีกดอกหนึ่ง

ลูกดอกนั้นซ้ำเข้าไปที่หน้าผากของเจ้ายักษ์

“อย่า!”

ขณะที่เซย์เมย์ตะโกน เจ้ายักษ์ก็พุ่งเข้าใส่

ตอนที่ทาคัทซึงุขึ้นสายธนูอีกดอกนั้นเอง ยักษ์กระโดดเข้างับคอเขา

ทาคุทซึงุหงายหลังล้มลง ลูกธนูยิงหายไปบนท้องฟ้าดำมืด

ยักษ์หันมามองคนที่เหลือทั้งสองอย่างเศร้าๆ

ฮิโรมาสะชักดาบยาวออกมา

“อย่าขยับ ฮิโรมาสะ”
เจ้ายักษ์พูด

“อย่าขยับ มาซานาริ”
มันหันไปทางเซย์เมย์และพูดเช่นเดียวกัน

ฮิโรมาสะยืนนิ่งทั้งๆ ที่ยังชักดาบอยู่ เขาขยับตัวไม่ได้

ข้าเศร้าใจยิ่งนัก เจ้ายักษ์กระซิบด้วยเสียงแผ่วแหบแห้ง

เปลวไฟสีเขียวสดปรากฏออกจากปากของมัน

“เศร้ายิ่งนัก เศร้านัก”

ขณะที่มันกระซิบ เปลวไฟสีเขียวก็ทยอยออกมา ส่องสว่างในรัตติกาลอันมืดมิด

หยาดเหงื่อไหลจากหน้าผากของฮิโรมาสะ

เขาถือดาบในมือขวา และเกนโจในมือซ้าย เขาขยับตัวไม่ได้ไม่ว่าจะพยายามมากแค่ไหน

“ข้าจะกินเนื้อพวกเจ้าและเอาเกนโจกลับไป”

เมื่อเจ้ายักษ์เอ่ยเช่นนั้น

“เจ้าจะไม่ทำอะไรกับเนื้อของพวกเราหรอก”

เซย์เมย์ขัดขึ้น

เขายิ้มเศร้าๆ

เซย์เมย์ก้าวมาข้างหน้าอย่างสบายๆ และหยิบดาบออกจากมือของฮิโรมาสะ

“เจ้าลวงข้า มาซานาริ” ยักษ์พูด

เซย์เมย์เพียงแต่ยิ้ม ไม่ตอบความ

เพราะแม้ว่ามันจะเป็นชื่อปลอม แต่หากตอบรับ มันก็จะกลายเป็นมนต์ที่ผูกมัดเขาได้

เพราะฮิโรมาสะให้ชื่อจริงแก่มันไปเมื่อคืนก่อน และตอบรับตอนที่มันเรียก จึงถูกมนต์สะกดเอาไว้

แต่ชื่อที่เซย์เมย์ให้ไปเป็นชื่อปลอม

เจ้ายักษ์ทำขนพอง

“อย่าขยับ กันดาตะ”

เซย์เมย์เอ่ยขึ้น

และถึงแม้จะยังทำขนพองฟู แต่เจ้ายักษ์ก็ไม่ขยับตัว

เซย์เมย์จรดปลาบดาบลงที่ท้องของกันดาตะและคว้านมันออก
เลือดจำนวนมากทะลักออกมา

เซย์เมย์ล้วงเอาบางสิ่งที่ชุ่มไปด้วยเมือกเลือดออกมาจากท้องของมัน

มันเป็นหัวของหมา

หัวหมานั้นขยับปากพยายามจะงับเซย์เมย์
“เป็นหมาเองหรือนี่”

เซย์เมย์รำพึง

“นี่เป็นร่างจริงของเจ้ายักษ์ วิญญาณของกันดาตะอาจจะบังเอิญไปเจอหมาที่เพิ่งตายแล้วก็เลยเข้าสิง”

ก่อนที่เซย์เมย์จะพูดจบ ร่างที่แข็งทื่อของกันดาตะก็เริ่มขยับ

หน้าของมันเริ่มเปลี่ยน มีขนงอกออกมา และแหลมยื่นเหมือนหน้าของหมา

มีลูกธนูสองดอกยื่นออกมา

ทันใด ฮิโรมาสะก็หลุดจากมนต์สะกด

“เซย์เมย์!”

เขาร้องเรียกเสียงดัง

เสียงนั้นสั่นเครือ

ร่างผุพังของหมาตัวหนึ่งกองอยู่บนพื้นตรงที่กันดาตะยืนอยู่ถึงเมื่อครู่

มีเพียงหัวโชกเลือดในมือของเซย์เมย์เท่านั้นที่ยังขยับอยู่

“เอาเกนโจมานี่”

เซย์เมย์พูด และฮิโรมาสะส่งเกนโจให้เขา

“คราวนี้ให้มันสิงบิวะที่ขยับไม่ได้นี่ดีกว่า”
เซย์เมย์ถือหัวหมาด้วยมือขวา และยื่นแขนซ้ายไปตรงหน้ามัน

งับ!
หัวหมาแยกเขี้ยวงับลงบนมือของเขา

ตอนนั้นเอง เมื่อมันหลุดจากมือขวาของเซย์เมย์ เขาก็ใช้มือนั้นบังดวงตาของมันไว้

หัวหมางับมือซ้ายของเขาแน่น และไม่ตกลงบนพื้น

“วางเกนโจลงบนพื้น”

เซย์เมย์บอก

ฮิโรมาสะวางเกนโจลงบนพื้น

เซย์เมย์ย่อตัวลง วางหัวหมาที่ยังกัดมือซ้ายของเขาไว้แน่นลงบนเกนโจ

เลือดไหลจากมือที่โดนกัด

เซย์เมย์จ้องที่หัวหมานั้น

“นี่ เจ้าน่ะ”

เซย์เมย์เอ่ยกับหัวหมาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

“บิวะตัวนี้เสียงดีใช่ไหมล่ะ”

เขาพึมพำ

เขาค่อยๆ เลื่อนมือที่บังตาของหมานั้นออก
ดวงตานั้นปิดสนิท

เซย์เมย์งัดขี้ยวหมาออกจากมือซ้าย เลือดยังไหลโกรก

“เซย์เมย์...”

ฮิโรมาสะเรียก

“คันดาตะย้ายไปสิงในเกนโจแล้ว”

“ท่านร่ายมนต์อย่างนั้นหรือ”

“ใช่”

เซย์เมย์พูดเป็นเสียงกระซิบ

“ด้วยคำพูดพวกนั้น...?”

“ท่านไม่รู้หรือ ฮิโรมาสะ ว่าไม่มีมนต์ใดๆ ได้ผลมากกว่าไปกว่าถ้อยคำอ่อนหวาน มันยิ่งจะเห็นผลมากขึ้นอีกถ้าที่ท่านร่ายใส่เป็นหญิงสาว”

เซย์เมย์เอ่ย รอยยิ้มน้อยๆ ระบายบนเรียวปาก

ฮิโรมาสะจับจ้องใบหน้านั้นนิ่งอยู่

“ท่านนี่เป็นคนที่เข้าใจยากจริงๆ”

เขาบ่น

เมื่อไรก็ไม่รู้ ที่หัวหมาบนเกนโจได้กลายเป็นเพียงกะโหลกสีขาว กะโหลกเก่าแก่ ซีดขาวของหมาตัวหนึ่ง

*****************************************

จบตอน "บิวะเกนโจ"

ตอนต่อไป "ผู้หญิงไม่มีปาก" --> อาจจะมาต่อตอนจขบ.ไม่ขี้เกียจ


Create Date : 18 สิงหาคม 2551
Last Update : 18 สิงหาคม 2551 15:19:23 น. 4 comments
Counter : 798 Pageviews.

 

แวะมาเจิมอ่านและอยากบอกว่า
คุณแปลได้ดีมากๆ ค่ะ


โดย: อุ้มสี วันที่: 18 สิงหาคม 2551 เวลา:15:31:48 น.  

 
สนุกมากๆ ค่า


โดย: pugga IP: 125.25.193.73 วันที่: 1 กันยายน 2551 เวลา:17:56:03 น.  

 
ตามมาจากบล็อคค่ะ:D
เรื่องของเซย์เมย์ถูกพูดถึงไว้ในอนิเม/มังกะอยู่หลายเรื่อง แต่บุคลิกของเขาในเรื่องทั้งหลายที่พอจะเคยดูหรืออ่านมาบ้างมันทำให้ฉันไม่ได้สนใจเขาสักเท่าไหร่เลย
แต่พอดูละครอมเมียวจิทั้ง2ภาคนี่ล่ะค่ะ
ความรู้สึกในตอนนั้นคือต้องแบบนี้ล่ะ!
เรื่องของอ.บาคุ ;D


โดย: ชูกะ IP: 125.26.250.137 วันที่: 10 สิงหาคม 2552 เวลา:19:22:12 น.  

 
อยากอ่านอีกๆๆๆ จังค่ะ


โดย: mira IP: 58.10.85.222 วันที่: 22 พฤษภาคม 2554 เวลา:21:15:59 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

เด็กหญิงสระบัว
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add เด็กหญิงสระบัว's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.