3 นิสัยที่สั่นคลอนสถานะทางการเงิน

 

3 นิสัยที่สั่นคลอนสถานะทางการเงิน  

หลายคนคงเคยดูละครที่แม่ของพระเอกซึ่งเคยเป็นถึงคุณหญิงมีฐานะร่ำรวย และมีหน้ามีตาในสังคม แต่พอสามีเสีย ชีวิตก็ตกต่ำ จากที่เคยร่ำรวยมีชื่อเสียงก็เริ่มต้องขายสมบัติเก่า เพื่อมาใช้หนี้สิน จนถึงขั้นนำบ้านไปค้ำประกันและโดนยึด พอประสบปัญหาด้านการเงินหนักเข้า ครอบครัวก็แตกแยก บีบลูกๆ ให้แต่งงานกับคนรวยเพื่อหวังสมบัติของคนอื่นมาประคองฐานะและหน้าตาในสังคม เรื่องแบบนี้ไม่ว่าใครก็คงไม่อยากให้เกิดกับครอบครัวของตนเอง แต่ก็ยังมีคนที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะว่ามีนิสัยที่สั่นคลอนความมั่นคงทางการเงินของตนเองและครอบครัวอยู่ บทความนี้ เราจะมาดูกันว่านิสัยเหล่านั้นคืออะไร และจะสามารถป้องกันการล่มจมจากนิสัยนั้นได้อย่างไร

 

1. ก่อร่างสร้างหนี้ ใช้เงินอนาคต ปัจจุบันสื่อสารการตลาดเข้าถึงกลุ่มคนได้มากขึ้น นอกจากการโฆษณาทางโทรทัศน์แล้ว ยังมีการตลาดทาง Internet ที่สื่อเข้าถึงตัวบุคคลได้ง่าย ทำให้คนในสังคมเกิดความอยากจะเป็นเจ้าของสินค้าตามกระแสนิยม เช่น โทรศัพท์มือถือราคาแพง Tablet รุ่นใหม่เอามาใช้เล่นเกมส์ อุปกรณ์อิเล็คโทรนิกส์อันทันสมัยต่างๆ แม้กระทั่งแพคเกจทัวร์ต่างประเทศที่เห็นกันมากขึ้น รวมถึงคูปองจ่ายเงินล่วงหน้าเพื่อจะได้ทานอาหารนอกบ้านในร้านสุดหรู ก็มีให้เห็นเต็มไปหมด ส่งผลให้คนใช้เงินไปกับสิ่งเหล่านี้มากกว่าเงินที่หามาได้ในแต่ละเดือน จึงนิยมนำเงินอนาคตมาใช้ล่วงหน้าไปก่อน แต่มักจะลืมคิดไปว่าเงินที่ยืมอนาคตมาใช้นั้น จะต้องจ่ายคืนไปพร้อมกับดอกเบี้ยเงินกู้ที่สูงกว่าดอกเบี้ยเงินฝากหลายเท่านัก และเมื่อมีภาระหนี้ที่ต้องผ่อนชำระในแต่ละเดือนรวมอยู่เป็นค่าใช้จ่ายประจำเดือน แต่ก็อยากจะใช้ชีวิตเหมือนเดิม เช่น เดิมหาได้ 100 ใช้ 120 จึงไปกู้มา 20 พอเดือนถัดไป ใช้ 120 รวมหนี้ที่ต้องชำระอีก 5 เป็น 125 ต้องไปกู้มาเพิ่มอีก ผ่านไป 1 ปี หนี้อาจท่วมเป็นค่าใช้จ่ายเดือนละ 200 ก็เป็นได้ พอหนักเข้าก็เต็มวงเงิน ไม่มีใครให้กู้แล้ว แถมยังถูกเจ้าหนี้ฟ้องร้องมายึดทรัพย์สินที่มีอยู่ ทำให้ต้องเดือดร้อนและใช้ชีวิตอยู่อย่างลำบาก

 

ด้วยเหตุนี้แล้ว เราจึงไม่ควรเห็นแก่ความสนุกเฉพาะหน้า ไม่ควรยอมเป็นหนี้เพื่อการอุปโภคและบริโภค หนี้ที่ดี ควรเป็นหนี้เพื่อการลงทุนเท่านั้น เช่น หนี้สินเชื่อที่อยู่อาศัย เนื่องจากในระยะยาว บ้านจะมีราคาสูงขึ้นจากราคาที่ดินปรับตัวขึ้นตามภาวะเงินเฟ้อและความต้องการครอบครองที่ดินในตลาด หรือลงทุนในธุรกิจที่ศึกษามาเป็นอย่างดีแล้วว่าคุ้มค่ากับดอกเบี้ยที่จะต้องเสีย ทั้งนี้ต้องไม่เป็นหนี้เกินตัว คำว่าเกินตัวนั้นโดยทั่วไปยินยอมให้ยอดผ่อนชำระหนี้ทั้งหมดไม่เกิน 40% ของรายได้ ซึ่งจะเหลือเงินอีกไม่น้อยกว่า 60% ไปเก็บออมและใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน 

 

2. หน้าใหญ่ไร้เงินออม หลายคนอาจไม่ถึงขั้นเป็นหนี้พอกพูน แต่ก็มีโอกาสเกิดปัญหากับสถานะการเงินได้ถ้ามีพฤติกรรมใช้เงินเดือนชนเดือน ซึ่งอาจมาจากการซื้อสิ่งของที่ไม่จำเป็น เช่น ซื้อเครื่องประดับทำให้ตัวเองดูดีเกินฐานะ หรือผ่อนสินค้าที่เกินความพอดี ทำให้ไม่มีเงินเหลือเก็บออมเป็นเงินสำรอง หากเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉินขึ้นมา เช่น คนในครอบครัวเจ็บป่วย รถเสียต้องซ่อม บ้านต้องซ่อมจากน้ำท่วม หรือแม้กระทั่งตกงาน กว่าจะหางานใหม่ได้ก็อาจใช้เวลาหลายเดือน แล้วไม่มีเงินออมหรือญาติพี่น้องให้หยิบยืม ที่พึ่งแหล่งสุดท้ายจึงมักจะเป็นบัตรกดเงินสด หรือบัตรเครดิต จะดีกว่าไหมถ้าหากเราสร้างที่พึ่งยามเกิดเหตุฉุกเฉินทางการเงิน เป็นเงินสำรองสักหนึ่งก้อน เพื่อเตรียมพร้อมรับมือเหตุไม่คาดฝัน

 

การจะสร้างเงินสำรองขึ้นมานั้น จะต้องเริ่มจากการเก็บออมออกจากรายได้ การตั้งใจจะใช้เงินที่เหลือมาเก็บออมทำได้ยากกว่าการเก็บออมในวันที่รับเงิน เหลือจากการออมเท่าไหร่ค่อยใช้จ่าย โดยที่การเก็บออมนั้น อย่างน้อยควรจะเก็บให้ได้ 1/10 ของรายได้ แต่ถ้าสามารถเก็บได้ถึง 1/3 จากรายได้อย่างสม่ำเสมอ ก็จะสามารถสร้างกองเงินสำรองขึ้นมาได้อย่างรวดเร็ว และยังสามารถนำเงินออมส่วนเกินไปลงทุนสร้างสินทรัพย์ที่ให้กระแสเงินสดมาเป็นรายได้เสริมอีกด้วย เงินสำรองที่เหมาะสมของแต่ละคนจะมีปริมาณไม่เท่ากัน ผู้ที่งานมั่นคง ไม่ค่อยมีภาระทางบ้าน และทรัพย์สินที่ต้องคอยดูแลมากนัก ก็แนะนำให้มีเงินสำรอง 3 เท่าของรายจ่ายต่อเดือน ส่วนผู้ที่มีภาระเยอะ หรือมีรายได้ที่ไม่แน่นอน แนะนำให้มีเงินสำรอง 6 เท่าของรายจ่ายต่อเดือน เงินสำรองนี้เมื่อมีการใช้ไป จะต้องออมเงินมาเติมให้กลับสู่สถานะปกติด้วย

 

3. ซื้อของไม่ดูความคุ้มค่า บางครั้งคนเราอาจเข้าใจผิดว่าการประหยัดด้วยการซื้อของที่มีราคาถูกมากๆ จะทำให้เราเหลือเงินเก็บได้มากกว่าการซื้อของแพง ซึ่งไม่จริงเสมอไป ยกตัวอย่างเช่น การซื้อรองเท้าที่มีราคาถูกมากๆ อาจทำให้ใส่ได้ไม่สบาย ใช้ได้ไม่นานก็ต้องซื้อคู่ใหม่มาเปลี่ยน ทำให้แม้ว่าจะเสียเงินในแต่ละครั้งไม่มาก แต่ก็ต้องเสียเงินซื้ออยู่บ่อยๆ สู้หาซื้อรองเท้าคู่ที่ใส่ได้สบาย วัสดุทนทานสามารถใช้ได้เป็นเวลานาน แล้วมีราคาที่เหมาะสมกับคุณภาพใส่จะดีกว่า อีกกรณีหนึ่งจะกล่าวถึงเรื่องอาหารการกิน บางท่านเป็นคนประหยัดมากๆ อาจเพราะต้องการเก็บเงินออมให้ได้มากที่สุด ทุกๆ วันกินแต่บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปมื้อละไม่ถึง 10 บาท กินติดๆ กันเป็นเดือนๆ ทำให้ร่างกายขาดสารอาหาร และล้มป่วยลง เงินที่ออมได้กลับต้องนำไปจ่ายเป็นค่าหมอรักษาจนหมด อีกทั้งยังอาจต้องกู้เงินฉุกเฉินมาจ่ายค่ายารักษาเพิ่มอีก ทำให้แทนที่จะมีเงินออมกลับต้องเป็นหนี้ไปอีก การซื้อของที่มีคุณภาพ หรือทานอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการ ในราคาที่เหมาะสมนั้น จะช่วยให้เราเดินสายกลาง ไม่ประหยัดจนต้องเดือดร้อนในภายหลัง และไม่ฟุ่มเฟือยจนไม่มีเงินออม 

 

ถ้าเราสามารถแก้ไขนิสัยที่ไม่ดีต่อฐานะทางการเงินดังที่กล่าวมาได้ ถึงแม้ว่าตอนเริ่มต้นเราอาจไม่มีฐานะที่ร่ำรวย แต่เมื่อผ่านการเก็บหอมรอมริบไปได้สม่ำเสมออย่างมีวินัยแล้ว เราก็มีโอกาสสร้างความมั่นคง และมั่งคั่งได้ไม่แพ้ผู้ที่เกิดมามีฐานะร่ำรวย หัวใจของเศรษฐีอยู่ที่การใช้เงินให้น้อยกว่าฐานะของตัวเอง จะได้มีเงินเหลือเก็บออม และนำเงินออมนั้นไปต่อยอดลงทุนเพิ่มความมั่งคั่ง 

 

 

 

ขอขอบคุณ คุณ วรินทร์ สุรพลชัย , AFPT

ฝ่ายวางแผนและให้คำปรึกษาทางการเงินส่วนบุคคล ธนาคารกสิกรไทย

 

 

 




 

Create Date : 20 พฤศจิกายน 2556   
Last Update : 20 พฤศจิกายน 2556 17:24:54 น.   
Counter : 460 Pageviews.  


กว่าจะรู้ค่าของเงิน

          ชีวิตทุกคนหนีไม่พ้นคำว่าเงิน ไม่ว่าจะมีมากหรือมีน้อย ขอเพียงแค่เรารู้คุณค่า แต่กว่าเราจะได้รู้คุณค่าของเงิน เราก็ผลาญมันไปซะเกือบหมดแล้ว ข้อคิดดีๆที่ผมขออนุญาตนำมาเสนอ หวังว่าจะช่วยเตือนใจ เตือนสติให้กับเพื่อนๆหลายๆคนได้เริ่มหันมาเห็นความสำคัญ และเห็น ชีวิตจริงจากส่วนหนึ่งของชีวิตผมด้วยครับ รวมถึงเจ้าของบทความที่ผมนำมาแชร์นะครับ


          เงินทองเป็นของหายาก เราทุกคนล้วนได้ยินคำเหล่านี้อยู่เป็นประจำ แต่อาจจะไม่เคยเข้าใจความหมายนั้นจริง ๆ สักที เพราะเมื่อเงินผ่านมือเข้ามาทีไรก็มักจะปล่อยให้มันผ่านออกไปแบบง่ายดาย จนเมื่อรู้ตัวอีกครั้งก็กลับกลายเป็นว่าใช้เงินเกินตัวไปซะแล้ว คุณ Aoyoyoo_mame สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม ก็คืออีกหนึ่งคนที่กว่าจะรู้ตัวก็กลายเป็นคนมีหนี้สินติดตัวถึงหลักแสน และนั่นทำให้เขาตระหนักได้ว่า "คนเรากว่าจะรู้คุณค่าของเงินหนึ่งบาท ก็คือตอนที่เรามีเงินอยู่ห้าบาทนั่นแหละ" ลองไปดูประสบการณ์เรื่องนี้จากคำบอกเล่าของเขากันค่ะ...


คนเรามันจะรู้ค่าของเงินหนึ่งบาทก็ตอนที่เรามีเงินอยู่ห้าบาทนั้นแหละครับ

            วันนี้เหนื่อยกับงานครับ เลยนั่งนิ่ง ๆ ที่ออฟฟิศ เปิดเว็บอ่านกระทู้เก่า ๆ ในเว็บหูฟังที่เคยบ้าอยู่เป็นปี ๆ อ่านแล้วก็มีสายจากเพื่อนคนหนึ่งเข้ามา โทรมาขอยืมเงินซึ่งก็บอกไปตามความจริงว่ามี..แต่ให้ไม่ได้ เพราะของเก่ายังไม่ได้คืนเลย ก็จบไป

            แต่หลังจากนั้นมานั่งนึกถึงตัวเองเมื่อสักสิบปีผ่านมาแล้วครับ ผมเองเคยเป็น "คนล้มเหลว" มาก่อน แต่ก่อนก็ผ่านมันมาได้ ก็เลยอยากจะแชร์ ให้หลาย ๆ ท่านได้อ่านกันครับ ลองอ่านเล่น ๆ ผ่าน ๆ ตาดูละกันครับ

            คนเรามันจะรู้ค่าของเงินหนึ่งบาทก็ตอนที่เรามีเงินอยู่ห้าบาทนั้นแหละครับ ผมเป็นคนประเภทที่ทำอะไรแบบไม่คิดหน้าคิดหลังมาก่อน สมัยหาเงินเองได้ ก็เที่ยวไปเรื่อย กินเหล้า ติดเด็กคาราโอเกะ (ของเขาดีจริง ๆ) สมัครบัตรเครดิตเป็นว่าเล่น ยิ่งมียิ่งรูด พอถึงวันหนึ่ง มันเหมือนคนเพิ่งตื่น เพิ่งได้สติ ทำไมกรูมีหนี้ตั้งสองแสนกว่าบาทวะ ไปทำอะไรมาบ้างวะเนี่ย แทบไม่เป็นผู้เป็นคน

            โดนเค้าทวงทั้งทางโทรศัพท์ มาหาที่บริษัท โอย สารพัดจะอาย ไหนจะโดนเพื่อนรักกันโกงเงินที่กู้มาจะทำธุรกิจไปอีก จำได้ไหมสมัยก่อนมีการหิ้ว nokia 8210 มาจากฮ่องกง ราคาแบบแจ่มมาก ผมโดนเพื่อนโกงไปอีกแสน สรุปเบ็ดเสร็จ เป็นหนี้เกือบสามแสน ตอนนั้นกินเงินเดือนหมื่นสี่ ประมาณนี้ เครียดมากกกกกกกกกกกกกกกกกกก

            คิดฆ่าตัวตายหนีปัญหาตั้งหลายครั้ง ผมเก็บตัวอยู่คนเดียวเกือบปี ทนไม่ไหว ไปสารภาพกับพ่อแม่ผม ท่านไม่ได้ว่าอะไรผมเลย แค่บอกว่า "คนเราไม่มีทางที่มันจะสำเร็จไปได้ทุกอย่าง มีเรื่องให้เจ็บบ้างก็ดีแล้ว จะได้เป็นบทเรียน พ่อกับแม่ไม่มีเงินก้อนจะช่วยใช้หนี้ให้หรอก แต่พ่อกับแม่พร้อมจะเป็นกำลังใจให้ในทุก ๆ ครั้งที่ลูกล้มลงอีก"

            ผมก็ได้สติว่าไม่มีเวลาให้เรามานั่งเศร้าสนิมสร้อยอีกแล้ว ผูกเองก็ต้องแก้เอง ผมก็เลยมานั่งวางแผนเลยว่ามีเงินเข้าเท่าไหร่ รายจ่ายอันไหนต้องจ่ายก่อนหลังอย่างไร ใช้เงินทุกอย่างให้มีประโยชน์ที่สุด อย่าไปหนีคนทวงหนี้ โทรไปหามันแทนบอกว่า มาช่วยกรูคิดหน่อยว่าจะใช้หนี้กันยังไง เมื่อก่อนเคยแต่หลบ ไม่เคยจ่าย ตอนนี้มาเลย จะให้เดือนละพันจนกว่าจะหมด เอาไหม

            เอาทำสัญญากัน อันไหนประนอมหนี้ได้ ก็ว่ากันไป รายจ่ายส่วนตัวที่เคยใช้ก็ตัดออกให้หมด ค่าเหล้า ค่าบุหรี่ ค่าโทรศัพท์หาแฟน (เลิกไปซะหากเขาไม่เข้าใจเรา) ค่าเสื้อผ้า ค่าภาษีสังคมต่าง ๆ ตอนนั้นผมก็เป็น engineer อยู่ คนนับถือก็เยอะ แต่ผมก็ต้องบอกไปตรง ๆ ว่า อย่าให้ซองผมเลย ผมไม่มีตังค์ใส่ ขอไปช่วยลงแรงแทนแล้วกัน

            อายก็อาย แต่ก็ต้องทำ ลูกน้องมาขอยืมตังค์ ร้อยนึงยังไม่มีให้มันเลยครับ เอาข้าวมากินเองทุกวัน ให้แม่ทอดไข่ แกง เกิง อะไรก็แค่กินได้ อายไหมที่ต้องมานั่งกินข้าวอยู่คนเดียว อายครับ แต่ก็ต้องทำ จากที่เคยนั่งมอเตอร์ไซค์รับจ้างออกมาขึ้นรถเมล์ไปทำงาน ก็ปั่นจักรยานเอา ประหยัดวันละยี่สิบ เดือนหนึ่งก็หกร้อยนะเอ้า

            เดินผ่านร้านลูกชิ้นของโปรด ไม้ละห้าบาท ยังซื้อกินไม่ได้เลย เพราะในกระเป๋าเอามาเฉพาะค่ารถเมล์ สามบาทห้าสิบเท่านั้น ผมมีเงินเหรียญห้าสิบสตางค์ เหรียญสลึงอยู่ ก็เอามาใช้ซะ ตอนจ่ายค่ารถเมล์แรก ๆ ก็อาย แต่ก็ต้องทำ

            ผมบังคับตัวเองไม่ให้มีรายจ่ายที่ไม่จำเป็นอยู่อย่างนี้ สองปีครับ หนี้ผมเหลือห้าหมื่นกว่าบาท พอดีถูกหวยไปได้งานใหม่ เงินเดือนเยอะกว่าเดิมสองเท่า ทีนี้ทุกอย่างก็สบายขึ้นครับ สองเดือนต่อมาหนี้ก็หมด คิดในใจก็บอกตัวเองว่า เราจะไม่ให้มันเป็นอย่างนั้นอีกแล้ว หลังจากนั้นมาเงินทุกสตางค์ที่ผมมีผมก็ใช้อย่างรู้คุณค่ามาตลอด บัตรเครดิตยังใช้อยู่ แต่จ่ายเต็มทุกครั้ง ไม่ปล่อยให้มันได้ดอกเบี้ยเราอีก

            จนทุกวันนี้ผมบอกกับตัวเองว่า หากไม่ได้มีโอกาสผ่านเรื่องราวร้าย ๆ ในอดีต ผมก็คงไม่รู้ค่าของเงิน เหมือนในปัจจุบันนี้หรอกครับ ผมภูมิใจในตัวเองมาก ไม่ได้ภูมิใจที่ใช้หนี้หมด แต่ภูมิใจที่ทำให้พ่อกับแม่ ปลื้มใจที่เราเปลี่ยนแปลง ปรับปรุงตัวเองได้สำเร็จ ผมก็เก็บเรื่องนี้เป็น masterpiece ไว้คอยสอนน้อง สอนหลาน พร้อมกับเตือนตัวเองอยู่เสมอว่า จะใช้เงินอย่างไรมันขึ้นอยู่กับเรา ชีวิตเราเราจะเลือกซ้ายหรือขวามันก็อยู่ที่เรา เลือกทางเดินให้เหมาะสมกับตัวเองดีที่สุด

            แต่หากเป็นปัจจุบันนี้ อยากได้อะไรก็คงจะต้องเก็บเงินก่อน ไม่ซื้อเสื้อผ้าสักสองเดือน ไม่ซื้ออย่างอื่นที่เราอยากได้ หรือไปหางานพิเศษทำ มีหลายคนในนี้ที่เก็บตังค์จากการทำงาน KFC ไปซื้อหูฟังที่อยากได้ ทำอย่างนั้นท้องเราก็ไม่ต้องหิว แถมยังภูมิใจที่ได้มาด้วยความพยายามอีกต่างหาก ผมขอโทษหากทำให้กระทู้มันหดหู่ไปด้วยเรื่องความหลังของผม แค่อยากจะเอาประสบการณ์มาให้ท่านอื่น ๆ ได้เป็นบทเรียน หากท่านใดไม่เห็นด้วยกับมุมมองของผม ก็ขออภัยมานะที่นี้ด้วยครับ...

            "ไม่มีทางที่วันของเรามันจะมืดไปตลอดหรอก สักวันมันต้องสดใสแค่เราอดทนรอแค่นั้นเอง"

สุดท้ายนี้

ขอขอบคุณบทความดีดีจากคุณ Aoyoyoo_mame สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม
ขอขอบคุณ website kapook.com ที่ทำให้ผมได้พบเจอบทความดีๆอย่างนี้




 

Create Date : 17 ตุลาคม 2556   
Last Update : 17 ตุลาคม 2556 15:55:40 น.   
Counter : 1171 Pageviews.  


สิ่งที่ควรทำก่อนอายุ 40

  สิ่งที่ควรทำก่อนอายุ 40

20 ข้อ ที่ควรรู้และปฏิบัติก่อนอายุ 40

1.ไม่ต้องตั้งใจเรียนมากไป เอาแค่พอใช้ได้ก็พอ เพราะโลกแห่งความเป็นจริง วัดกันที่ผลงานไม่ใช่ที่เกรด

2.การทำกิจกรรมในรั้วมหาวิทยาลัยนั้นสำคัญมากพอๆ กับการคร่ำเคร่งหน้าตำราเรียน

3.เลือกงานที่เราชอบนั้นใช่ แต่อย่าลืมด้วยว่า อาชีพนั้น สามารถเลี้ยงดูตัวเราได้จริงหรือเปล่า ถ้าไม่ใช่ก็อย่าหลอกตัวเอง

4.เมื่อถึงวัยทำงาน ใครเก็บเงินก่อน รวยเร็วกว่าและสิ่งสำคัญที่ต้องจำไว้ คือ " ชีวิตที่ไม่มีหนี้ คือชีวิตที่ประเสริฐที่สุด "

5.หาเป้าหมายในชีวิตให้เจอโดยเร็วที่สุด เพราะมันจะเป็นเครื่องนำทางของคุณ ในชาตินี้ตลอดไป

6.ซื้อบ้านก่อน ที่จะซื้อรถ เพราะบ้านมีแต่จะมีมูลค่าเพิ่มขึ้น รถมีแต่มูลค่าลดลง ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่า รถ=ลด

7.ดอกเบี้ยบ้านนั้นมหาโหดมาก รีบใช้ให้หมดโดยเร็วพลัน ก่อนที่จะแก่ แล้วผ่อนไม่ไหว

8.การเก็บเงินเป็นแค่บันไดขั้นแรกสู่ความร่ำรวย แต่ขั้นต่อไปคือ การรู้จักลงทุน

9.อย่าเป็นศัตรูกับใครก็ตามบนโลกนี้ เพราะคุณจะไม่มีทางรู้ว่า วันนึงข้างหน้าเขาอาจจะยิ่งใหญ่มาก จนกลับมาทำร้ายคุณก็เป็นได้

10.คอนเน็กชั่นหรือสายสัมพันธ์เป็นสิ่งที่สำคัญมากๆ ต่อให้เก่งแค่ไหน ก็สู้การมีเพื่อนเยอะไม่ได้

11.ควรมีงานทำมากกว่า 1 งาน เพราะความมั่นคง ไม่เคยมีบนโลกใบนี้

12.อย่าคิดว่าตัวเองทำอะไรได้แค่อย่างเดียว เพราะความสามารถของคนเรา มีมากกว่า 1 เสมอ

13.เมื่อมีโอกาสใดเข้ามาก็ตาม จงอย่าปฏิเสธ ถึงจะล้มเหลว แต่มันก็คือ ประสบการณ์

14.สร้างเนื้อ สร้างตัว ให้ได้เร็วที่สุด ในขณะที่คุณยังมีกำลัง ยังเป็นหนุ่ม-สาว เพราะการฝ่าฟันอุปสรรคในช่วงอายุมาก ไม่ใช่เรื่องสนุก

15.ออกเดินทางท่องเที่ยวตั้งแต่ยังหนุ่มสาวเพราะเมื่อมีครอบครัวแล้ว การเดินทางจะเป็นเรื่องยุ่งยากกว่าเดิม

16.เลือกคู่ชีวิต จงคิดให้ดีๆ อย่าดูแต่ข้อดีของเขา แต่ต้องดูด้วยว่าเราสามารถรับข้อเสียของเขาได้มากน้อยแค่ไหน

17.การมีแฟน หรือสามีภรรยา ยังเลิกกันได้ แต่ความเป็นพ่อ แม่ ลูก นั้นเลิกกันไม่ได้ เพราะฉะนั้น ควรดูแลพวกเขาให้ดีๆ

18.ความสำเร็จที่มากมายแค่ไหน ก็ไม่สามารถทดแทนความล้มเหลวของครอบครัวได้

19.ลองหาเวลาอยู่ว่างๆ ไม่ต้องทำอะไรเลยดูบ้าง อย่าแบกโลกทั้งใบไว้คนเดียว และอีกอย่างงานก็ไม่ใช่ทุกอย่างของชีวิต

20.สุขภาพเป้นเรื่องสำคัญอันหนึ่ง โปรดถนอมตัวเองให้มาก เมื่อยังเป็นวัยรุ่น อย่าใช้ชีวิตให้หนักเกินไป




 

Create Date : 25 กรกฎาคม 2556   
Last Update : 25 กรกฎาคม 2556 20:44:21 น.   
Counter : 744 Pageviews.  


Your Energy Boost Up

5 Things to boot up your energy


อาหารบางชนิดทำให้พละกำลังคุณสามารถเพิ่มขึ้นได้ ทำให้ความอ่อนล้าของคุณหายไป ลองมาดูกันนะครับ ว่ามีอะไรบ้าง

1.เมล็ดฟักทอง u> แหล่งของแมกนีเซียม สารอาหาร ซึ่งดีเด่นในเรื่องของการให้พลังงาน ช่วยขจัดความอ่อนเพลียไปจากร่างกายของคุณ จากการวิจัยในสหรัฐอเมริกาพบว่า การรับประทานเมล็ดทานฟักทองสามารถเพิ่มออกซิเจนให้กับผู้ที่ทำกิจกรรมต่างๆ ได้ ทำให้สามารถทำงานได้ยาวนานขึ้น ไม่เหนื่อยง่าย รับประทานเป็นของว่างได้ ควรทานอย่างสม่ำเสมอ วันละ 1 ใน 4 ถ้วยต่อวัน

2.ถั่ววอลนัต แม้ถั่วชนินนี้จะไม่ได้มาจากทะเลน้ำลึก แต่เป็นแหล่งโอเมก้า 3 ชั้นดี ถั่วชนิดนี้สามารถช่วยลดความเครียดหรือความรู้สึกกดดันได้ โดยรับประทานที่ระดับปริมาณ 1 ใน 4 ถ้วยต่อวัน จะให้พลังงานที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายถึง 90 แคลอรี่

3.ดาร์กช็อคโกแลต แม้ฟังชื่อจะไม่น่าทานเพราะมันขม แต่คุณประโยชน์ของดาร์กช็อคโกแลตนั้น มากมายมหาศาลเลยทีเดียว เพราะจากการวิจัยพบว่า ผูป่วยที่ทานดาร์กช็อคโกแลตประมาณ 45 กรัม ทุกวันเป็นเวลา 2 เดือนติดกัน พบว่าผู้ป่วยมีความอ่อนเพลียลดลงเนื่องจากได้รับสารโพลีฟีนที่มีอยู่ในดาร์กช็อคโกแลต และยังทำให้สารเซโรโทนินหรือสารแห่งความสุขภายในร่างกายเพิ่มขึ้นอีกด้วย

4.แตงโม</u> เป็นอีกผลไม้ชนิดหนึ่งที่คนนิยมทาน แถมยังช่วยเรียกความสดชื่นให้กับร่างกายเป็นอย่างดี จึงเหมาะกับผู้ที่เสียเหงื่อมาก จึงช่วยรีเฟรชร่างกายที่อ่นล้าได้ดี สำหรับคนทั่วไปที่ไม่ได้เสียเหงื่อคงไม่ต้องพูดถึงว่าเมื่อทานแล้วจะสดชื่นขึ้นขนาดไหน

5.พริกหยวกแดง เป็นพริกชนิดหนึ่งที่ไม่เผ็ดและอุดมไปด้วยวิตามินซีและสารต้านอนุมูลอิสระและจากการศึกษาพบว่า หากได้รับวิตามินซีอย่างน้อย
6 กรัม ทุกวัน เป็นเวลา 2 สัปดาห์จะทำให้ร่างกายสดชื่นไม่อ่อนเพบีย เพราะฮอร์โมนที่ทำให้เกิดความเครียดลดระดับลงนักโภชนาการจึงแนะนำว่า ถ้าหากต้องการรับวิตามินซีในระดับที่เหมาะสม ให้ทานพริกหยวกแดง 1 ถ้วย ทุกวัน โดยคุณอาจจะนำไปปรุงอาหารจานเด็ดหรือทานสดๆ

ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความชอบของแต่ละคนนะครับ




 

Create Date : 19 สิงหาคม 2554   
Last Update : 19 สิงหาคม 2554 14:20:48 น.   
Counter : 553 Pageviews.  


แนวคิดเรื่อง Service Mind รู้เขา รู้เรา


Service Mind
Service Mind คืออะไร

Service Mind นั้นถือเป็นหัวใจสำคัญของงานบริการ คนที่ทำงานบริการจะต้องให้บริการแก่ลูกค้าด้วยจิตใจที่รักงานบริการอย่างเต็มเปี่ยม และแสดงออกให้ลูกค้าเห็นถึงความเอาใจใส่ของคุณที่มีต่อลูกค้าให้สมกับที่เป็นพนักงานบริการลูกค้า โดยคำว่า Service Mind สามารถแยกออกเป็น 11 คำ ตามตัวอักษร ได้ดังนี้

“เซอร์วิซ (Service) หรือบริการ:

S (smile) ยิ้มแย้มเข้าไว้ เพื่อให้ลูกค้าเกิดความรู้สึกดี ๆ เวลาเข้ามารับบริการจากเรา ฝึกยิ้มบ่อย ๆ โดยฝึกยิ้มกับกระจก เวลาพูดให้มองกระจกไปด้วย ยิ้มไปเพื่อให้เกิดรอยยิ้มในน้ำเสียง แม้ไม่ได้เห็นหน้ากันก็สามารถรับรู้ได้ว่าคนพูดกำลังยิ้มอยู่

R (rapidness) รวดเร็วและมีคุณภาพ ยุคนี้ทุกอย่างต้องรีเร่งแข่งขันกัน ใครให้บริการได้รวเร็วทันใจกว่าย่อมได้เปรียบ

V (value) ไม่ว่าจะทำอะไรต้องคำนึงถึงมูลค่าเพิ่มด้วย ทำอย่างไรให้บริการของเราเกิดคุณค่าสูงสุด ลูกค้าเกิดความพึงพอใจสูงสุด และปรารถนาจะกลับมาใช้บริการอีก และจะทำอย่างไรจึงจะปรับเปลี่ยนให้งานในส่วนของเราให้มีคุณค่าเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

I (impression) ทำช่วงเวลาแรกพบให้น่าประทับใจมากที่สุด ดูแลในเรื่องบุคลิก การแต่งกายให้สะอาด สุภาพ ถูกกาลเทศะ ดูดีในภาพรวม เพื่อให้ลูกค้าเกิดความประทับใจตั้งแต่แรกพบ

C (Courtesy) ความสุภาพอ่อนโยนทำให้ผู้ที่พบเห็นหรือมีปฏิสัมพันธ์ด้วย รู้สึกประทับใจในความอ่อนน้อมถ่อมตน สำหรับคนไทยการยกมือไหว้ เป็นมารยาทอันงดงามที่จะทำให้ผู้ใหญ่เกิดความรักใคร่เอ็นดู

E (Endurance) ความอดทน จำเป็นมากสำหรับงานบริการ เพราะลูกค้ามีหลากหลายรูปแบบ บางคนมาแบบอารมณ์ร้อน เราก็ต้องรู้จักควบคุมอารมณ์ เอาน้ำเย็นเข้าลูบ จะช่วยผ่อนหนักให้เป็นเบาได้



“มายด์ (Mind)” หรือจิตใจ:

M (make believe) การมีความเชื่อในสิ่งที่ถูกต้อง ดีงาม ทำให้คนเรามีความสุข เชื่อในงานที่ทำ มีความสุขและรักในงานบริการ เพื่อให้เกิดการบริการที่ดีที่สุด ลูกค้าได้รับสิ่งที่ดีที่สุดจากเรา

I (insist) ยืนหยัดในสิ่งที่ทำ ไม่ว่าจะเจออุปสรรคปัญหาสักกี่ครั้ง ก็ไม่ท้อถอย แม้เจอลูกค้าตำหนิ ต่อว่า หรือลูกค้าเอาแต่ใจ ก็ต้องอดทน และจะประสบความสำเร็จในที่สุด

N (necessitate) เพราะลูกค้าคือคนสำคัญ และต้องการได้รับการดูแลจากเราเป็นอย่างดี เราต้องทำให้ลูกค้าทุกคนเป็นคนพิเศษ ไม่แบ่งแยกหรือเลือกที่รักมักที่ชัง

D (devote) อุทิศตนให้กับงานที่ทำ ทุ่มเททำงานด้วยหัวใจบริการอย่างเต็มที่ สักวันก็จะมีความเห็นความตั้งใจจริงของเรา ลูกค้ารัก เพื่อนร่วมงานชื่นชอบ เจ้านาย ชื่นชม

ทั้ง 11 คุณสมบัติของ Service Mind ที่กล่าวมานี้ คือ หัวใจของงานบริการที่คนทำงานบริการพึงมี เพื่อการเป็นพนักงานบริการลูกค้าที่ดี สร้างความประทับใจให้แก่ลูกค้าเมื่อเข้ามารับบริการจากคุณ และเมื่อคุณสามารถมัดใจลูกค้าไว้ได้ คุณก็จะได้ลูกค้าที่ภักดี และไม่เปลี่ยนใจจากคุณไปไหน









 

Create Date : 03 พฤษภาคม 2554   
Last Update : 3 พฤษภาคม 2554 16:33:30 น.   
Counter : 922 Pageviews.  


1  2  3  4  5  6  7  

ผู้ประสบภัยจากความรัก
 
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 4 คน [?]




[Add ผู้ประสบภัยจากความรัก's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com