All Blog
รีวิวหนังสือ "ถ้าโลกนี้ไม่มีแมว" โดย Genki Kawamura



ที่จริงช่วงครึ่งปีที่ผ่านมาก็มีหนังสือหลายเล่มที่ได้อ่านแล้วอยากรีวิวน่ะนะคะ แต่งานเยอะมากถึงมากที่สุด ได้แต่เข้าเน็ตมามองดูนู่นนั่นนี่ กะโหลกกะลาไปเรื่อยๆ เลยแทบไม่อัพหนังสือสักเท่าไร ขนาดงานหนังสือที่ผ่านมาก็ซื้อหนังสือหมดไปเยอะ ก็ไม่ได้เปิดถุงงานหนังสือให้ดูด้วยสิ =__=

หลังจากที่แก้ตัวเป็นวรรคเป็นเวรไปเรียบร้อยแล้ว ก็จัดการควักหนังสือที่อยู่ในถุงงานหนังสือเมื่อตอนปลายมีนาต้นเมษาปีนี้ขึ้นมา

ชะแวง...แมวอีกแว้ว (ถ่ายปกซะหน้ามืดเชียว -"-)



เรื่อง: ถ้าโลกนี้ไม่มีแมว
ผู้เขียน: Genki Kawamura
ผู้แปล: ดนัย คงสุวรรณ์
สำนักพิมพ์: Maxx Publishing

คำโปรย

เรื่องของบุรุษไปรษณีย์หนุ่มวัย 30 ปี ที่ใช้ชีวิตเรื่อยเปื่อย ไม่มีอะไรหวือหวา แต่แล้วจู่ๆ ก็รู้ว่าตนเองป่วยเป็นโรคร้ายกำลังจะตายภายในเวลาไม่กี่เดือน เขาสิ้นหวัง ท้อแท้ แต่อย่างน้อยเมื่อกลับถึงบ้าน ก็ยังมีแมวอย่างเจ้า ‘กะหล่ำ’ ที่เหมือนจะเป็นเพื่อนในชีวิตจริงเพียงคนเดียวของเขานั้นรอคอยอยู่

และเรื่องสุดเหลือเชื่อก็บังเกิด เมื่อ ‘ปิศาจ’ ตนหนึ่งปรากฎตัวขึ้นด้วยรูปลักษณ์ที่ธรรมดาๆ เหมือนตัวเขาเอง โดยปิศาจได้ยื่นข้อเสนอให้เขายอมแลกสิ่งต่างๆ ในชีวิตทีละอย่างที่จะหายจากโลกนี้ไปอย่างถาวร กับการต่อลมหายใจให้กับเขาเพิ่มไปทีละวัน แม้จะเป็นข้อเสนอที่สุดเพี้ยน แต่เพื่อการมีชีวิตอยู่ต่อ หนุ่มไปรษณีย์จึงยอมตกลง

แต่เหมือนเขาจะลืมนึกไปว่า สิ่งสุดท้ายที่เขาอาจต้องยอมสูญเสียเพื่อที่จะอยู่รอดต่อบนโลกใบนี้ ก็คือเจ้า ‘กะหล่ำ’ นั่นเอง…

โลกที่ปราศจากแมวจะเป็นเช่นใด?

ชีวิตจะเหลืออะไรถ้าสิ่งต่างๆ ที่สำคัญล้วนสูญสลายไปหมดแล้ว?

นี่คือเรื่องราวที่บอกเล่าถึงคุณค่าของการมีชีวิตอย่างเรียบง่าย แต่ส่งแรงสั่นสะเทือนถึงหัวใจของผู้คน คุณอาจจะเสียน้ำตาให้กับนิยายเล็กๆ เล่มนี้ ไม่ว่าคุณจะเป็นคนที่รักแมวหรือไม่ก็ตาม

ตามคำโปรยแหละค่ะ (เหมือนตัวเองใช้คำนี้ตลอดเวลาแปะคำโปรยเสร็จแฮะ) คุณบุรุษไปรษณีย์ที่ใช้ชีวิตอยู่คนเดียวกับแมวอีกตัวหนึ่ง เรื่องมันเริ่มต้นขึ้นก็ตอนที่เขาได้คุยกับหมอแล้วพบว่าตัวเองจะอยู่ได้ไม่นาน ในช่วงที่สิ้นหวังก็มีปีศาจปรากฏตัวขึ้น พร้อมยื่นเงื่อนไขให้กับคุณบุรุษไปรษณีย์ว่า จะให้สิ่งของหายไปในโลกหนึ่งอย่าง แลกกับชีวิตที่เพิ่มขึ้นหนึ่งวัน

วันหนึ่งที่โลกไม่มีโทรศัพท์...คุณบุรุษไปรษณีย์ได้ชีวิตเพิ่มมาหนึ่งวัน

วันหนึ่งที่โลกไม่มีหนัง...คุณบุรุษไปรษณีย์ก็ได้ชีวิตเพิ่มมาหนึ่งวัน

วันหนึ่งที่โลกไม่มีนาฬิกา...คุณบุรุษไปรษณีย์ก็ได้ชีวิตเพิ่มมาอีกหนึ่งวัน

วันหนึ่งที่โลกไม่มีแมว...

แลกชีวิตตัวเองหนึ่งวันกับแมว? แมวที่เป็นเพื่อนหนึ่งเดียวในวันที่เขาไม่มีใคร? แมวที่เป็นเหมือนตัวแทนของอดีตอันแสนสุขที่เขามีกับครอบครัว?

เขามีชีวิตเพิ่มหนึ่งวัน แลกกับวันเวลาที่จะไม่มีแมวอีกตลอดกาล?

แต่ละครั้งที่สิ่งของในโลกนี้หายไปนำพาให้คุณบุรุษไปรษณีย์ย้อนนึกไปถึงอดีตของตัวเอง จะบอกว่าย้อนกลับไปแก้ไขก็ไม่ถึงขนาดนั้น บอกว่าย้อนกลับไปมองและทำความเข้าใจสิ่งที่มันเกิดขึ้นน่าจะเหมาะกว่า แฟนเก่าที่เลิกกันไป เพื่อนที่เคยสนิทกันเมื่อในอดีต วาระสุดท้ายของแม่ และพ่อที่ไม่เคยไปมาหาสู่กันอีก

บางทีอดีตคือ สิ่งที่เรายอมปล่อยมันผ่านไปโดยที่ไม่คิดจะไปหาคำตอบกับมัน ปล่อยให้เป็นความทรงจำฝังแน่นอยู่กับตัว เป็นสิ่งที่ค้างคาใจแต่ไม่คิดจะหาสาเหตุ ได้แต่ปล่อยมันไปจวบจนกระทั่งช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิต คำถามที่มีอยู่แท้จริงแล้วมันอยู่ตรงนั้น ไม่ว่าเราจะลืมหรือไม่ มันก็อยู่ตรงนั้นคอยเราเสมอ

เราจะปล่อยให้มันคาใจโดยที่เราเหลือเวลาอีกแค่น้อยนิดเช่นนี้น่ะหรือ?

ถือว่าเป็นหนังสือที่ดีเล่มหนึ่งเลยค่ะ ในส่วนลึกๆ หนิงคิดว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีตของคุณบุรุษไปรษณีย์คนนี้น่าสนใจนะ ทำให้รู้สึกว่าคนเขียนคนนี้ช่างสังเกต และผ่านโลกมากในระดับหนึ่งที่ผ่านประสบการณ์แบบที่คนเป็นวัยรุ่นไม่อาจเข้าใจ อาจนึกไปไม่ถึงแต่มันมีอยู่จริง มีความเป็นมนุษย์อย่างแรงกล้าในงานเขียนของเขาชิ้นนี้

เช่น สิ่งที่ทำให้เลิกกับแฟน เป็นสิ่งที่จะบอกว่ามีเหตุผลก็ใช่ ไร้เหตุผลก็ใช่อีกเหมือนกัน มันคือสิ่งเดียวกับที่เคสพ่อแม่คู่หนึ่งต้องหย่าร้างกันเมื่อลูกของตัวเองตายและเป็นความตายที่สาเหตุไม่ได้มาจากพ่อแม่เสียด้วย แต่ทุกครั้งที่อยู่ด้วยกัน เห็นหน้ากันและกัน จะตอกย้ำถึงความตายของลูกตัวเองเสมอ การอยู่ด้วยกันทุกวินาทีคือความเจ็บปวด ก็อย่ากระนั้นเลย...

ฉันใดก็ฉันนั้น

และอีกเรื่องหนึ่งซึ่งหนิงไม่รู้ว่าเป็นเพราะสไตล์การแปล หรือเป็นลักษณะของคนญี่ปุ่น หรือเป็นสิ่งที่คนเขียนอยากสะท้อนอะไรบางอย่าง แต่หนิงรู้สึกว่าทำไมตัวละครดูเย็นชาจัง ไม่ว่าจะเป็นแฟน เป็นเพื่อน เป็นพ่อแม่ สิ่งที่คนเขียนโยนให้เราคือ การตีความอยู่ตลอด (อาจเป็นเพราะมองจากสายตาของคุณบุรุษไปรษณีย์ก็ได้) ไม่เว้นแม้แต่การกระทำของตัวละครอื่น

นี่เป็นจุดที่ชอบ ส่วนจุดที่ไม่ชอบก็มีอยู่แหละ แต่มันเป็นสไตล์งานเขียนของคนญี่ปุ่นที่หนิงไม่ชอบเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เรียกว่าไม่ใช่ความผิดของเรื่องนี้ก็คงได้มั้ง

คือ ในงานเขียนของคนญี่ปุ่น มันมีความถ่อมตัว อ่อนน้อมถ่อมตนบางอย่างซึ่งส่งผลให้เขาปิดกั้นความรู้สึกของตัวเองเป็นอย่างมาก เมื่อรู้สึกรัก ก็ไม่ได้มีความเวิ่นเว้อใดๆ ให้เรารู้สึกว่าพวกเขารัก เมื่อไรเกลียด ก็รู้สึกแต่ความเย็นชาที่เก็บกดอยู่ข้างใน ไม่แสดงออกจนไม่เข้าใจว่าความเกลียดมันอยู่ในระดับไหน รู้อีกทีก็ฆ่าคนไปแล้ว อะไรเทือกๆ นั้น

หนังสือญี่ปุ่นที่อ่านเลยไม่เคยทำให้อินเลยค่ะ (กลับกัน หนิงชอบการ์ตูนญี่ปุ่นนะ)

ดังนั้นทุกครั้งที่อ่านหนังสือญี่ปุ่น หนิงไม่เคยมีอารมณ์ร่วมไปกับเรื่องว่ารัก ชอบ ดีใจ เสียใจ โกรธ สงสาร เพราะไม่มีการเวิ่นเว้อ มีแต่เรื่องของการตีความตามสิ่งที่ตัวละครเห็น ตีความได้ไหม มันก็ได้อยู่หรอก แต่ไม่อินไง เพราะงั้นหนังสือนิยายญี่ปุ่นสำหรับหนิงคือการอ่านเอาเรื่อง อ่านเอาพล็อต แต่ไม่ได้อ่านเอาอารมณ์

แต่นี่ก็แค่ความคิดเห็นส่วนตัวน่ะนะ เป็นความไม่ชอบเรื่องญี่ปุ่นเป็นทุนเดิมแต่เห็นเรื่องนี้คนพูดถึงกันเยอะ เลยลองซื้อมาอ่านดู แล้วพบว่ามันก็ไม่เลวนะคะ ให้ความคิดและตั้งคำถามย้อนหาตัวเองได้ดีแบบที่ไม่ค่อยได้พบนักในหนังสือไทยที่อยู่บนชั้นหนังสือในตอนนี้ค่ะ :)




Create Date : 23 พฤษภาคม 2560
Last Update : 23 พฤษภาคม 2560 22:05:51 น.
Counter : 1869 Pageviews.

5 comments
  
ไม่กล้าอ่านและไม่กล้าดูหนังค่ะ >___<
โดย: kunaom วันที่: 24 พฤษภาคม 2560 เวลา:15:01:58 น.
  
กลับมาแล้ววว

ไม่ค่อยถูกสเป็คกะนิยายญี่ปุ่นเหมือนกัน เหมือนต้องเลือกเรื่องมากๆ (แต่การ์ตูนนี่อ่านได้อ่านดี) อารมณ์อย่างที่หนิงว่าเลย ไม่อิน เหมือนมันละเมียดละไมเกินไป ชอบหนังสือที่อ่านแล้วได้ย้อนคิด แต่ก็ต้องการความบันเทิงด้วยนะ
โดย: Froggie วันที่: 24 พฤษภาคม 2560 เวลา:17:21:23 น.
  
kunaom -- ยังไม่ได้ดูหนังเหมือนกันค่ะ แต่หนังสืออ่านได้นะคะ ไม่ได้โหดร้ายขนาดนั้น

Froggie -- เรื่องนี้นับว่าไม่เลวค่ะ แต่อารมณ์อ่านเอาพล็อต เอาความคิดอะไรแบบนั้นมากกว่า ดีกว่าพวก non-fiction หน่อยนึง (ในแง่อารมณ์)
โดย: peiNing วันที่: 24 พฤษภาคม 2560 เวลา:22:56:15 น.
  
นิยายญี่ปุ่น ส่วนใหญ่จะอ่านแนวสืบสวน ฆาตกรรมเสียมากกว่า

แนวรักอ่านการ์ตูนเอาค่ะ (แต่ก็ไม่ค่อยได้อ่านเท่าไรแล้ว )

สำหรับเรา เราว่าคนญี่ปุ่นค่อนข้างเก็บตัว เก็บความรู้สึก จนมองแล้วเย็นชาจริง ๆ แหละค่ะ
โดย: Serverlus วันที่: 26 พฤษภาคม 2560 เวลา:20:02:57 น.
  
คุณ Serverlus -- ไม่เคยสัมผัสคนญี่ปุ่นจากประเทศแม่จริงๆ เคยเจอแต่คนญี่ปุ่นจำพวกระหกระเหินอยู่นอกประเทศ พวกนี้หลายคนค่อนข้างเปิดกว้างนะคะ เลยจะติดภาพคนญี่ปุ่นในลักษณะนั้น พอเวลาที่ไปอ่านหนังสือของเขาก็เลยแปลกใจน่ะค่ะ :)
โดย: peiNing วันที่: 31 พฤษภาคม 2560 เวลา:13:16:19 น.
ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
 *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

peiNing
Location :
กรุงเทพ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 45 คน [?]



เป็นเด็กกรุงเทพแท้ๆ แต่อยู่บ้านนอกของกรุงเทพน่ะนะ ไม่ได้ชอบอะไรเป็นพิเศษนอกจากแกล้งสัตว์เลี้ยงที่บ้าน นั่นคือนกฮู้ผู้มีอายุ 10 ปีได้ (นกแก่มีหนวด) (แต่ตอนนี้ในที่สุดนกฮู้ก็จากไปอย่างสงบ ไม่รู้อายุรวมเท่าไรแต่มาอยู่ที่บ้านได้ 11 ปี ขอไว้อาลัยปู่ฮู้ ขอให้ไปสู่สุขคตินะ T^T)

ขอชี้แจงอีกอย่าง ชื่อ peiNing นี้ เป็นชื่อที่พี่กะน้องใช้ร่วมกันสองคน ดังนั้นอย่างงว่าเดี๋ยวก็แทนตัวว่ารุ้งบ้างหนิงบ้าง ก็มันคนละคนนิ (รุ้งน่ะคนพี่ หนิงน่ะคนน้อง)

FB สำหรับคนชอบงานเขียน peiNing ค่ะ

FB สำหรับคนชอบบทความสอนห้องเรียนนิยายค่ะ

  •  Bloggang.com