แค่เปลี่ยนวิธีคิด ภาษาอังกฤษก็ไม่ใช่เรื่องยาก (ครูหนุ่ย)
 
 

เกร็ดภาษาอังกฤษ 8

ครั้งที่แล้ว ผมเขียนถึงการเรียนรู้ภาษาอังกฤษแบบไม่เสียสตางค์โดยการสังเกตภาษาอังกฤษ ตามผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ส่วนฉบับนี้ผมจะพูดการเรียนภาษาอังกฤษจากภาพยนตร์บ้างดีกว่า แต่ไม่ใช่การเรียนจากบทภาพยนตร์นะครับ อันนั้นมีคนพูดถึงเยอะแล้ว ผมขอพูดถึงชื่อภาพยนตร์ครับ
สมัยเป็นวัยรุ่น (บางคนแซวว่า สงสัยนานมาแล้ว) ตอนนั้นกำลังร้อนวิชา ผมจะรู้สึกขำปนหงุดหงิดทุกครั้งที่เห็นการตั้งชื่อภาษาไทยให้กับภาพยนตร์ต่างประเทศ คือถ้าเปรียบเทียบเฉพาะชื่อภาษาอังกฤษ กับภาษาไทย แทบไม่รู้เลยว่าเป็นเรื่องเดียวกัน เช่น
Terminator มีชื่อไทยว่า คนเหล็ก หลังจากนั้น ไม่ว่าหนังอะไรที่ อาร์โนลด์ เล่น ก็ต้องมีคำว่า คนเหล็ก อยู่ด้วยเสมอ
American Pie มีชื่อไทยว่า แอ้มสาวให้ได้ก่อนปลายเทอม พอมีหนังภาคต่อออกมา ทุกภาคก็ต้องมีคำว่า แอ้ม
Pretty Woman มีชื่อไทยว่า ผู้หญิงบานฉ่ำ หลังจากนั้น ไม่ว่าจูเลียโรเบิร์ตเล่นหนังเรื่องไหน ก็ต้องมี บานฉ่ำ
My Sassy Girl มีชื่อไทยว่า ยัยตัวร้ายกับนายเจี๋ยมจี้ยม หลังจากนั้น ไม่ว่าจอนจีฮุนเล่นหนังเรื่องไหน ก็กลายเป็น ยัยตัวร้าย ทุกที (ไม่ว่าจะรับบทเป็นคนดีขนาดไหน น่าสงสารจัง)
มีอีกเยอะครับ นี่ยังไม่นับ เฉินหลง (ต้องมีคำว่า ฟัด) โจซินฉือ (ต้องเป็น คนเล็ก) บรูซ วิลลิส (ต้องเป็น คนอึด) มีคนเคยนึกเล่น ๆ ว่า ถ้าดาราพวกนี้มาเล่นหนังร่วมกัน ชื่อหนังคงแปลกพิลึก เช่น คนเหล็กอึดฟัดยัยตัวร้ายบานฉ่ำ ^_^

พอพ้นวัยร้อนวิชามาแล้วจึงคิดได้ว่า การตั้งชื่อภาพยนตร์เป็นภาษาไทย เป็นทั้งศาสตร์และศิลป์และไม่ใช่เรื่องง่าย อีกทั้งคนตั้งก็ไม่ใช่ไม่มีความรู้ภาษาอังกฤษ เพราะหากแปลชื่อภาพยนตร์จากภาษาอังกฤษตรง ๆ ภาพยนตร์ก็คงไม่ค่อยน่าดูเท่าไหร่ ผมจะลองแปลชื่อภาพยนตร์ตรง ๆ แล้วให้ผู้อ่านลองเดาเล่น ๆ นะครับ ว่านี่คือภาพยนตร์เรื่องอะไร (ดูเฉลยด้านล่าง) แล้วลองถามใจตัวเองว่า อยากดูภาพยนตร์ชื่อแบบนี้หรือเปล่า
1. วันมะรืน 2. สามร้อย 3. ตาแดง 4. ชั่วโมงเร่งด่วน

เราจะเห็นว่าไทยกับฝรั่งมีวัฒนธรรมในการตั้งชื่อภาพยนตร์ต่างกัน (อันนี้รวมถึงการพาดหัวข่าวหนังสือพิมพ์ด้วยนะครับ วันหลังจะเล่าเรื่องนี้ให้ฟัง) ฝรั่งจะตั้งชื่อสั้น ๆ ให้ผู้ดูตีความเอาเอง หรือไปหาคำตอบกันเองในโรงภาพยนตร์ บางครั้งก็เป็นชื่อตัวละครเด่นในเรื่อง ส่วนคนไทยมักตั้งชื่อให้ผู้พบเห็นสามารถเดาเรื่องได้ทันที ครอบคลุมเนื้อหาของเรื่องเกือบทั้งหมด ซึ่งผมคิดว่า ยากมาก เพราะนี่ไม่ใช่การแปลชื่อภาพยนตร์ แต่เป็นการตั้งชื่อภาพยนตร์ขึ้นมาใหม่โดยมีองค์ประกอบที่ต้องคำนึงถึงมากมาย

ความสนุกของการเรียนรู้ภาษาอังกฤษจากชื่อภาพยนตร์ก็คือเมื่อเราเห็นชื่อภาพยนตร์ทั้งไทย และอังกฤษแล้ว ผมจะลองหาความหมายที่แท้จริงของชื่อภาษาอังกฤษ เปรียบเทียบกับชื่อไทย แล้วค่อยไปดูภาพยนตร์ทำให้เราเพลิดเพลินและแสวงหาความรู้ไปพร้อม ๆ กัน ลองเอาเทคนิคนี้ไปใช้นะครับ

(เฉลย)
1. The Day after Tomorrow (วิกฤติวันสิ้นโลก) 2. 300 (300 ขุนศึกพันธุ์สะท้านโลก) 3. Red Eye (เรดอาย เที่ยวบินระทึก) 4. Rush Hour (คู่ใหญ่ฟัดเต็มสปีด)




 

Create Date : 26 พฤษภาคม 2550   
Last Update : 26 พฤษภาคม 2550 12:57:35 น.   
Counter : 747 Pageviews.  


เกร็ดภาษาอังกฤษ 7

คราวนี้ผมจะมาแนะนำแหล่งเรียนรู้ภาษาอังกฤษแบบประหยัด ซึ่งรับประกันว่าได้ผลกว่าไปเรียนตามศูนย์สอนภาษาครับ (แต่ต้องใช้เวลาและความพยายามมาก ๆ นะครับ)

เรียนรู้ภาษาอังกฤษจากผลิตภัณฑ์ ผมติดนิสัยชอบอ่านฉลากผลิตภัณฑ์มาตั้งแต่เด็ก ผมมักตั้งข้อสงสัยเสมอว่า ชื่อผลิตภัณฑ์เกี่ยวข้องกับตัวผลิตภัณฑ์หรือไม่ จากการสังเกตมานานพบว่า มีทั้งเกี่ยวและไม่เกี่ยว ขอยกตัวอย่างอันที่สอดคล้องกันก่อนนะครับ
- Salz (salt) เค็มแต่ดี เห็นแล้วรู้เลยว่าต้องมีส่วนประกอบของเกลือ
- Paprika ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าใส่พริก
- Head and Shoulder หัวกับไหล่ (แปลเป็นไทยแล้วไม่ค่อยน่าใช้เลย) หมายถึงคนที่เป็นรังแคมักจะหล่นมาที่ไหล่
ต่อไปแบบที่คิดอย่างไรก็ไม่เห็นเกี่ยวกับตัวผลิตภัณฑ์เลย เช่น
- Modest บ้านเราอ่าน โมเด๊สท์ ฝรั่งอ่าน ม๊อดเดสท์ แปลว่า อ่อนน้อมถ่อมตน ไม่โอ้อวด
- Whisper แปลว่าเสียงกระซิบ เสียงลมพัด (อืม…คิดไม่ออกจริง ๆ ครับ ว่าเกี่ยวกันอย่างไร)

เห็นมั้ยครับแค่นี้เราก็ได้เรียนรู้ภาษาอังกฤษอย่างสนุกแล้วครับ สัญญากับผมนะครับ จากนี้ไปเมื่อจะใช้ผลิตภัณฑ์อะไรลองมองหาคำที่เป็นภาษาอังกฤษแล้วค้นหาความหมาย วันหนึ่งได้ศัพท์หลายคำเลยนะครับ คราวหน้าผมจะมาบอกต่อว่ามีวิธีเรียนรู้ภาษาอังกฤษแบบประหยัดอีกเยอะเลย ติดตามอ่านกันนะครับ




 

Create Date : 26 พฤษภาคม 2550   
Last Update : 26 พฤษภาคม 2550 12:58:41 น.   
Counter : 503 Pageviews.  


เกร็ดภาษาอังกฤษ 6

ผมกับเพื่อน ๆ พี่ ๆ ชอบเล่นมุขทางภาษาอังกฤษกัน ฟังเผิน ๆ เหมือนเราคุยภาษาอังกฤษ แต่ถ้าคุณครูสอนภาษาอังกฤษผ่านมาได้ยินคงต้องกุมขมับแน่ เช่น
- See you new. (เจอกันใหม่!?!) ซึ่งจริง ๆ ควรจะพูดว่า See you around. /See you later. /See you tomorrow.
- I walk play. (ฉันเดินเล่น!?!) ถ้าพูดว่า I go for a walk. จะฟังดูเป็นภาษาอังกฤษมากกว่า
- I swim water. (ฉันว่ายน้ำ!?!) จริง ๆ swim มันแปลว่าว่ายน้ำอยู่แล้ว เพราะฉะนั้น พูดแค่ก็ I swim. น่าจะเข้าใจแล้ว
- I jumped study. (ฉันโดดเรียน!?!) อันนี้ฝรั่งทึ่งมาก ๆ เพราะนั่งเรียนเฉย ๆ ก็เหนื่อยแล้ว เรียนไป กระโดดไป คงเหนื่อยพิลึก ลองเปลี่ยนมาเป็นคำนี้ดีกว่าครับ I skipped the class. (ถึงนักศึกษาจะพูดถูกแต่เราคงไม่อยากได้ยินประโยคนี้จากนักศึกษาเราหรอกใช่ไหมครับ)

ผมมาวิเคราะห์ดูแล้ว ภาษาเพี้ยน ๆ ที่เราได้ยินบ่อย ๆ น่าจะเกิดจากทั้งการตั้งใจให้ผิด ฟังแล้วขำ ๆ กับผิดจริง ๆ เพราะไม่รู้ เทียบตรง ๆ จากภาษาไทย วันนี้ผมจึงรวบรวมคำประเภทนี้(เท่าที่นึกออกตอนนี้)ไว้ให้อ่านกันเล่น ๆ นะครับ
- “ไปกินข้าวเย็นนี้ American Share นะ” พูดกับคนไทยด้วยกันก็คงเข้าใจ แต่ถ้าพูดกับฝรั่งเขาคงงง พาลไปนึกถึงหุ้นของ(บริษัท/ชาว)อเมริกัน ลองเปลี่ยนเป็นคำนี้นะครับ Let’s go Dutch./ Let’s share the bill.
- “น้อง ๆ เช็คบิน หน่อย” ฝรั่งจะได้ยินว่า “Check bin” เอ…แล้วให้เราไปตรวจสอบถังขยะทำไม หรือว่าจะมีการวางระเบิดในร้านนี้!!!!! ไปกันใหญ่เลยเห็นไหมครับ ประโยคนี้ผิด 2 ที่เลยครับ การเรียกให้บริกรเก็บเงิน ฝรั่งจะพูดว่า “Check, please” หรือ “Bill, please” เลือกสักอันนะครับ อย่าเอามาปนกัน ผิดอย่างที่ 2 ก็คือ คำว่า Bill ออกเสียงว่า บิล (ลองพูดว่า “บี” แล้วกระดกปลายลิ้นขึ้นแตะบริเวณเพดานปากสิครับ)
- “แก่แล้วยังลามกอีก Old man head snake” ประโยคนี้ฝรั่งงงโดยสิ้นเชิงเลยครับ คนประเภทนี้ฝรั่งเรียก Dirty old man ครับ
- “Hey, you! มาแวะร้านเราหน่อยสิคะ” คนไทยส่วนใหญ่เข้าใจว่า you แปลว่า คุณ จริง ๆ แล้ว you แปลว่าใคร หรือ อะไรก็ตามที่เราคุยด้วย เราคุยกับแม่ you ก็แปลว่าแม่ คุยกับเพื่อน you ก็แปลว่า เอ็ง แก มึง คุยกับแฟน you ก็อาจแปลว่า ตัวเอง (ฝรั่งที่เรียนภาษาไทยจะงงกับสรรพนามประเภทนี้มาก ตัวเอง คือ you ส่วน เค้า คือ I) หลังจากทำความเข้าใจแล้วว่า you แปลได้หลายอย่าง ขึ้นอยู่กับบริบท ส่วน Hey แปลว่า เฮ้ย! ครับ งั้นลองเดาดูเล่น ๆ นะครับว่า Hey, you! แปลว่าอะไร “เฮ้ยยย มึงน่ะ มาแวะร้านกูหน่อย” ^_^’
-ไทย “I’m getting married tomorrow”
ฝรั่ง “Are you serious?”
ไทย “No I’m happy” (งง…จะเครียดทำไม คนจะแต่งงาน ฝรั่งนี่ถามแปลก)
คนไทยมักเข้าใจว่า serious แปลว่า เครียด จริง ๆ แล้ว serious หมายถึง จริงจัง ไม่ได้พูดเล่น พูดจริง ๆ ที่เขาถามว่า “Are you serious?” ก็หมายถึง จริงเหรอ ไม่เห็นมีวี่แววมาก่อนเลยนะ อะไรประมาณนั้น เวลาตอบก็เลือกได้เลยครับ I’m serious. (จริง ๆ ครับ) I’m kidding. /I’m joking. (ล้อเล่นจ้ะ)
วันนี้เอาไว้แค่นี้ก่อนนะครับ วันหลังนึกออกแล้วจะมาเล่าสู่กันฟังอีก




 

Create Date : 26 พฤษภาคม 2550   
Last Update : 26 พฤษภาคม 2550 12:59:31 น.   
Counter : 1625 Pageviews.  


เกร็ดภาษาอังกฤษ 5

“Long Live the King”
ในปีมหามงคลนี้คำว่า “ทรงพระเจริญ” หรือ “Long Live the King” เป็นคำที่ได้ยิน หรือพบเห็นตามสื่อต่าง ๆ มากมาย แต่ผมเชื่อว่าผู้อ่านหลายท่านอาจยังไม่แน่ใจกับการอ่านออกเสียงคำว่า live ว่าควรจะอ่านว่าอย่างไร ใช่ไหมครับ
live เป็นคำคุณศัพท์ อ่านว่า (ไลฟ์) แปลว่า ยังมีชีวิตอยู่, (ถ่ายทอด)สด เช่น live concert
live เป็นคำกริยาวิเศษณ์ อ่านว่า (ไลฟ์) แปลว่า (ถ่ายทอด)สด เช่น The show is going out live. (เราจะเห็นคำนี้ที่มุมจอโทรทัศน์ ในรายการถ่ายทอดสดไงครับ)
live เป็นคำกริยา อ่านว่า (ลีฟ) แปลว่าอยู่อาศัย มีชีวิตอยู่, ดำรงชีวิตอยู่ เช่น I live in Korat. หรือ The memory will live for ever.
เพราะฉะนั้น เราจึงถวายพระพรแด่กษัตริย์ให้ทรงมีพระชนมายุ (มีชีวิต) ยืนยาวว่า “ลอง ลีฟ เดอะ คิง”




 

Create Date : 26 พฤษภาคม 2550   
Last Update : 26 พฤษภาคม 2550 12:59:55 น.   
Counter : 582 Pageviews.  


เกร็ดภาษาอังกฤษ 4

เมื่อหลายเดือนที่แล้ว ผมมีโอกาสได้ดูรายการเจาะใจที่เป็นช่วง Reality Show ทางรายการกำหนดโจทย์ให้คุณยิ่งยง ยอดบัวงาม ทำภารกิจ ขออภัยที่จำรายละเอียดไม่ได้แต่สรุปสาระสำคัญได้ว่า ต้องไปใช้ชีวิตอยู่ในประเทศออสเตรเลีย 7 วัน โดยไม่มีเงิน ต้องหาที่พัก และอาหารเอง ก่อนไปคุณยิ่งยงได้เข้าอบรมภาษาอังกฤษแบบเข้มข้นเพื่อใช้ภาษาในการสื่อสาร รายการในวันนั้นเป็นที่พูดถึงกันพอสมควร หลาย ๆ คนชื่นชมในความพยายามใช้ภาษาอังกฤษของคุณยิ่งยง ใช้ผิดบ้าง ถูกบ้าง แต่ก็สามารถสื่อสารกับฝรั่งได้ (อย่างเมื่อยมือ) มีเหตุการณ์หนึ่งที่ผมชอบและอยากนำมาเล่าสู่กันฟังก็คือ เมื่อคุณยิ่งยง (ขณะนั้นยังไม่ได้ทานข้าว ยังไม่มีที่พัก) ไปสอนมวยไทยให้ฝรั่ง ซึ่งฝรั่งก็ชื่นชมกับศิลปะของไทยมาก เมื่อสอนเสร็จเขาก็ให้ค่าตอบแทนตามสมควร คุณยิ่งยงก็กล่าวขอบคุณและ เมื่อพิจารณาแล้วว่าฝรั่งคนนี้เป็นคนใจดีน่าจะขอที่พักได้จึงตัดสินใจถามว่า
“May I sleep with you tonight?” ฝรั่งทำหน้างง ๆ คิ้วขมวดอยู่พักหนึ่ง แล้วก็ยิ้มและพยักหน้าอย่างเข้าใจ

sleep with ตามความเข้าใจของคุณยิ่งยง คือ ขอไปพักด้วยสักคืน แต่คำนี้มีความหมายลึกซึ้งกว่านั้นมาก sleep with ในพจนานุกรม Oxford แปลว่า to have a sexual relationship with somebody especially somebody to whom one is not married. แปลเป็นไทยว่า การมีความสัมพันธ์ทางเพศกับคนอื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคนที่ไม่ได้แต่งงานด้วย เข้าใจรึยังครับว่าทำไมฝรั่งคนนั้นถึงงง!

เมื่อดูรายการนี้จบ ผมได้ข้อคิดเกี่ยวกับการเรียนภาษาอังกฤษ 4 ข้อคือ
1. การเรียนภาษาอังกฤษแบบที่คนไทยกำลังเรียนกันอยู่ อาจไม่เพียงพอเช่น เราเรียนโครงสร้าง May I ………………? (ขออนุญาต) แล้วก็นำศัพท์ sleep (นอน) with (กับ) ไปเติม เราก็จะได้ประโยคที่ถูกไวยากรณ์ทุกอย่าง แต่ผิดความหมายในการสื่อสารอย่างร้ายแรง คนไทยบางคนที่เรียนภาษาอังกฤษมามาก แต่ไม่สามารถใช้ภาษาได้อย่างที่ควรเพราะเราเรียนแต่โครงสร้าง + คำศัพท์ แล้วสร้างประโยคกันเอาเองโดยไม่ค่อยมีโอกาสได้เห็นว่าเจ้าของภาษาเขาใช้ภาษากันจริง ๆ อย่างไร
2. ไม่มีทางลัดในการเรียนภาษา ไม่มีใครสามารถสอนให้ใครพูดภาษาใดภาษาหนึ่งได้ในเวลาอันสั้น เช่นแม้คุณยิ่งยงจะไปอบรมภาษาอังกฤษแบบเข้มข้นมาแล้ว ก็ยังไม่เพียงพอ มีคนเคยบอกว่า “การเรียนภาษาก็เหมือนการลดความอ้วน ทุกคนรู้ว่าควรจะทำอย่างไร แต่น่าเสียดายที่น้อยคนนักจะทำได้” เรามักชอบทางลัด โดยการกินยาลดความอ้วนแทนที่จะออกกำลังกายและควบคุมอาหาร เราจึงไปหลงเชื่อคำโฆษณาจากโรงเรียนกวดวิชาว่าสามารถทำให้เราพูดภาษาอังกฤษได้ภายใน 30 ชั่วโมง แทนที่จะฝึกฝนด้วยตัวเอง
3. การเรียนภาษาที่ดีที่สุดคือการมีโอกาสได้ใช้ภาษา เช่น คุณยิ่งยงไปอยู่ออสเตรเลียไม่กี่วัน เขาสามารถพัฒนาความสามารถทางภาษาขึ้นอย่างมาก ผมเชื่อว่ามากกว่าการไปอบรมภาษาอังกฤษเสียอีก
4. ฝรั่งพร้อมที่จะเข้าใจในสิ่งที่เราพยายามพูดเสมอ เราไม่เคยเห็นฝรั่งหัวเราะเวลาเราพูดผิด เพราะฉะนั้นไม่ต้องกลัวเลยหากเราจะพูดผิดไปบ้าง

สรุปได้ว่า หากเราอยากเรียนภาษาให้ได้ดี เราต้องหาโอกาสฟัง พูด อ่าน เขียน ในภาษานั้น ๆ ให้มาก จากประสบการณ์ ผมยังไม่เคยเห็นใครประสบความสำเร็จจากการเรียนภาษาเฉพาะในห้องเรียนเลย ทุกคนล้วนแต่ฝึกฝนเองนอกห้องเรียนทั้งสิ้น เหมือนที่ผมบอก ทุกคนรู้ว่าจะต้องทำอย่างไร ขึ้นอยู่กับว่าเราจะเริ่มทำเมื่อไหร่เท่านั้นเอง ตอนนี้ผมขอตัวไปลดความอ้วนก่อนนะครับ ^-^




 

Create Date : 26 พฤษภาคม 2550   
Last Update : 26 พฤษภาคม 2550 13:00:44 น.   
Counter : 516 Pageviews.  


1  2  3  4  5  6  7  

กลับมาแล้วเหรอ เก่งมาก ๆ เลย
 
Location :
นครราชสีมา Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 5 คน [?]




ขอฝากผลงานหนังสือเล่มแรกด้วยนะครับ "แค่เปลี่ยนวิธีคิด ภาษาอังกฤษก็ไม่ใช่เรื่องยาก" Photobucket
[Add กลับมาแล้วเหรอ เก่งมาก ๆ เลย's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com