แค่เปลี่ยนวิธีคิด ภาษาอังกฤษก็ไม่ใช่เรื่องยาก (ครูหนุ่ย)
 
 

เกร็ดภาษาอังกฤษ 28

เรื่องของ V3 ยังไม่จบครับ โครงสร้างที่จำเป็นต้องใช้ V3 ยังมีอีก (ตามที่เกริ่นไว้คราวที่แล้ว) นั่นคือโครงสร้าง Passive Voice นั่นเอง ตอนเด็ก ๆ เราจะได้เรียนว่า จะต้องมี V.to be + V3 ความหมายของมันก็คือ “ประธานถูกกระทำ” แล้วก็มีตัวอย่างประมาณนี้
Dang kicked Dum. (แดงเตะดำ)
Dum was kicked by Dang. (ดำถูกเตะโดยแดง)
เคยสงสัยเหมือนผมไหมครับ ว่าในเมื่อทั้งสองประโยคมีความหมายเหมือนกัน แล้วจะพูดให้มันยากทำไมหนอ เรียน ๆ ไปก็ดูเหมือนมันจะไม่มีประโยชน์ พอคิดว่ามันไม่มีประโยชน์ ก็เลยพาลไม่สนใจมัน จริง ๆ แล้วโครงสร้างนี้มีประโยชน์มากครับ และใช้อย่างแพร่หลายโดยเฉพาะอย่างยิ่งในการเขียน เมื่อเราอ่านข่าว (ภาษาอังกฤษ) เราจะพบเห็นโครงสร้างนี้แทบจะตลอดเวลา หากเราไม่ทราบโครงสร้างอาจจะทำให้สับสนในการอ่านได้เช่น
Dang killed Dum yesterday. (สองคนนี้คงจะแค้นกันมาก)
Dang was killed yesterday.
หากเราไม่ทราบว่ามีโครงสร้าง Passive ในภาษาอังกฤษ คงจะงงไม่น้อยว่าใครตาย เช่นประโยคแรก ดำตาย ประโยคที่สอง แดงตาย
นอกจากนี้ประโยชน์ที่เห็นได้ชัดของโครงสร้างนี้คือ เมื่อเราไม่รู้ว่าใครเป็นคนทำ หรือไม่อยากบอกว่าใครทำ
Dang stole my money. (เรารู้ว่าแดงเป็นคนขโมยจึงใช้โครงสร้างธรรมดาได้)
My money was stolen. (ไม่รู้ว่าใครขโมย จึงเลี่ยงมาใช้โครงสร้าง Passive)
I was told that you were gay. (ไม่อยากบอกว่าใครเป็นแหล่งข่าว)
และยังใช้เมื่อประธานเป็นสิ่งของ เพราะสิ่งของทำกริยาเองไม่ได้
This book was bought from The Mall. (หนังสือซื้อตัวเองไม่ได้ ต้องถูกซื้อมา)
My house was built in 2000. (บ้านก็สร้างตัวเองไม่ได้)
เราจะเห็นได้ว่าโครงสร้างนี้ให้ความสำคัญกับสิ่งหรือคนที่ถูกทำมากกว่าคนทำ แต่หากเราต้องการบอกว่าใครทำ ก็สามารถเติม by…. ได้ เช่น My money was stolen by Dang.
โครงสร้างนี้หากแปลเป็นภาษาไทย ควรใช้ความระมัดระวังในการแปล ไม่เช่นนั้นจะเป็นภาษาแปลก ๆ เช่น “หนังสือถูกอ่านโดยฉัน” “ก๋วยเตี๋ยวถูกกินโดยคนไทย” เพราะหลักการแปลมีอยู่ว่าหากเป็นสิ่งไม่ดีจะแปลว่า “ถูก...” เช่น ถูกทำโทษ ถูกตี ถูกชน แต่หากเป็นเรื่องดี เรามักจะใช้ “ได้รับ...” เช่น ได้รับรางวัล ได้รับความรัก หรือแปลให้เป็น active ไปเลยเช่น “ฉันอ่านหนังสือ” หรือ “คนไทยกินก๋วยเตี๋ยว” แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่กับบริบท และสำนวนของผู้แปลเอง ไม่เช่นนั้นเราก็คงเห็นภาษาไทยในคราบภาษาอังกฤษอย่าง “อยากเป็นคนที่ถูกรัก” ซึ่งฟัง ๆ ก็น่ารักดี แต่มีกลิ่นนมเนยมากไปหน่อย หวังว่าบทความนี้จะถูกอ่านโดยเพื่อน ๆ และถูกใจทุกคนเช่นเคยนะครับ (ถูกใจนี่ไม่ใช่ Passive นะครับ ^_^)




 

Create Date : 22 พฤศจิกายน 2551   
Last Update : 22 พฤศจิกายน 2551 14:16:35 น.   
Counter : 568 Pageviews.  


เกร็ดภาษาอังกฤษ 27

มาถึงพระเอกของเรา คือกริยาช่อง 3 นั่นเอง การใช้ v3 (ขอเรียกย่อ ๆ แบบนี้แล้วกันนะครับ) ซึ่งถ้าอ่านมาตั้งแต่ต้นก็จะพบว่ามันไม่เกี่ยวกับอนาคตแต่อย่างใด แต่เราจะใช้มันใน 2 กรณีดังนี้


1. Present/ Past Perfect Tense (have/has/had +V3)


2. Passive Voice (V.to be+V3)


เห็นชื่อมันแล้วอย่าเครียดนะครับ เดี๋ยวผมจะอธิบายให้เข้าใจง่าย ๆ เหมือนเคยเริ่มจาก Perfect ก่อนแล้วกันนะครับ ผมเชื่อว่าหลาย ๆ คนคงเคยเรียนมาแล้วผมให้เวลานึกก่อนว่า มันคืออะไร.................. คำตอบที่ได้ก็คงประมาณว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตั้งแต่อดีต จนถึงปัจจุบัน และมีแนวโน้มว่าจะดำเนินต่อไปในอนาคต หรือเหตุการณ์ที่เพิ่งจบไปแต่ยังส่งผลถึงปัจจุบัน อะไรประมาณนี้ใช่ไหมครับ เป็นคำอธิบายที่ดี แต่เข้าใจยากไปหน่อย (ในความรู้สึกผม) เอาเป็นว่าดูตัวอย่างกันก่อนดีกว่าครับ


กรณีที่ 1


I have eaten pizza. ฉันเคยกินพิซซาแล้วนะ (โรยมะพร้าว โรยน้ำตาล โรยงา อร่อยดี ^_^)


I have seen this movie. ฉันดูหนังเรื่องนี้แล้ว (อย่ามาชวนอีกเลย)


สรุปว่าในกรณีแรกเราใช้ในการเล่าประสบการณ์ เคยทำนั่น เคยทำนี่แล้วนะ มาถึงตรงนี้เราอาจจะสับสนกับ past simple ได้ ต้องลองเทียบความต่างกันดู


I have drunk beer. ฉันเคยดื่มเบียร์แล้วนะ (เล่าประสบการณ์ ไม่บอกว่าดื่มเมื่อไหร่ แต่เคยทำแล้วนะ)


I drank beer last night. เมื่อคืนฉันดื่มเบียร์ (เล่าเหตุการณ์ในอดีต มักระบุเวลาด้วย)


***หมายเหตุ เราสามารถใช้โครงสร้างนี้กับกริยาได้เกือบทุกตัวยกเว้น go เช่น หากเราจะบอกว่า ฉันเคยไปเชียงใหม่แล้วนะ เราจะไม่พูดว่า I have gone to Chiangmai. แต่เราจะพูดว่า I have been to Chiangmai. เพราะ have gone แปลว่า ไปแล้ว (ไปลับ ยังไม่กลับมา) เช่น My husband has gone. (สามีหนีไปแล้ว หรืออาจหมายถึงเสียชีวิตแล้วก็ได้)


กรณีที่ 2


เมื่อประโยคบอกเล่า หมายถึงเคยทำแล้ว ได้ทำแล้ว พอเป็นประโยคคำถามก็จะหมายถึง เคยทำไหม ได้ทำหรือยัง เช่น


Have you ever seen this movie?


Have you ever been to USA?


Have you done your homework?


กรณีที่ 3


ฉันทำสิ่งนี้มาเป็นเวลาเท่าไหร่แล้ว ดูตัวอย่างแล้วไปประยุกต์ใช้เลยนะครับ


I have studied English for 10 years.


I have known him since 1990.


สังเกตไหมครับว่า V3 มักจะไม่มาเดี่ยว ๆ จะต้องมากับ have/has/had เสมอ เวลาไปเจอ กริยาบางตัวที่ V2 กับ V3 หน้าตาเหมือนกัน ก็ขอให้สังเกตตรงนี้นะครับ ลองเปรียบเทียบสองประโยคนี้นะครับว่าประโยคไหนเป็นกริยาช่องไหน และความหมายต่างกันอย่างไร


1. I read your blog last year.


2. I have read your blog since last year.




 

Create Date : 04 กุมภาพันธ์ 2551   
Last Update : 4 กุมภาพันธ์ 2551 10:03:44 น.   
Counter : 758 Pageviews.  


เกร็ดภาษาอังกฤษ 26

พรุ่งนี้ (23 ธ.ค.50) แล้วนะครับ จะเป็นวันที่ประชาชนมีอำนาจมากที่สุด ผมเชื่อว่าทุกคนคงไปใช้สิทธิของเราอย่างเต็มที่ เพื่อกำหนดอนาคตของประเทศไทย ว่าแล้วเรามาเรียนเรื่องอนาคตกันดีกว่า (หาที่ลงจนได้) ^_^

ยังจำได้ไหมครับว่า เด็กไทยส่วนใหญ่มักคิดว่าอนาคตคือ verb ช่อง 3 (ถ้าจำไม่ได้ให้กลับไปอ่านเกร็ดฯที่ 23 ) แต่จริง ๆ แล้วการสร้างประโยคอนาคตมีหลักกว้าง ๆ ดังนี้ครับ

1. will/shall +v. infinitive

เป็นการคาดเดาอนาคต เช่น

- Mr. D will probably be a prime minister. (มิสเตอร์ดี ในที่นี้เป็นชื่อสมมตินะครับ ไม่ใช่นักร้องขวัญใจเด็กเล็ก)

- I think Liverpool will win tonight.

เป็นการให้คำสัญญา, เสนอความช่วยเหลือ, ข่มขู่, บอกการตัดสินใจ

- I will call you tonight. (สัญญา)

- Shall I carry your bag? (เสนอความช่วยเหลือ)

- I will hit you if you do that again. (ขู่)

- OK. I will buy this shirt. (บอกการตัดสินใจ)


2. v.to be+v.ing/ v.to be+going to

บอกอนาคตที่ได้วางแผนไว้แล้ว ตัดสินใจแล้ว

-I am seeing him tomorrow. (นัดกันไว้แล้ว)

-I am going to buy a new car soon. (ตัดสินใจแล้ว)

-I am seeing a movie tonight. (นัดเพื่อนแล้ว ซื้อตั๋วแล้ว)

-It is going to rain. (เห็นแนวโน้มว่าจะเกิดแน่ ๆ )

จริง ๆ แล้ว เรื่อง อนาคตเป็นเรื่องยาก และซับซ้อน ยังมีความแตกต่างยิบย่อยอีกมากมาย ในบางสถานการณ์ก็สามารถใช้ได้หลาย ๆ โครงสร้าง เอาเป็นว่า ในภาษาพูด ใช้ไปเถอะครับ อันไหนก็ได้ ขอให้มีคำแสดงเวลาในอนาคตก็แล้วกัน แต่ที่แน่ ๆ ไม่เห็นเกี่ยวกับ verb ช่อง 3 เลย จริงไหมครับ ^_^ อ้าว...แล้วไอ้ verb ช่อง 3 มันมีไว้ทำอะไร คงต้องติดตามอ่านตอนต่อไปนะครับ I will tell you next time. (สัญญา)




 

Create Date : 22 ธันวาคม 2550   
Last Update : 22 ธันวาคม 2550 19:38:15 น.   
Counter : 471 Pageviews.  


เกร็ดภาษาอังกฤษ 25

มาว่ากันต่อเรื่อง tenses นะครับ

2. Past Simple Tense (ใช้กริยาช่อง 2)

หลักการนั้นง่ายมากครับ เราใช้เล่า "เหตุการณ์ในอดีต และมักจะระบุเวลาในอดีตด้วย" เช่น หากเราจะเล่าว่าเมื่อวานนี้เราทำอะไรบ้าง ก็จะต้องใช้ tense นี้ล่ะครับ ลองเปรียบเทียบประโยค 2 ประโยคนี้ดูนะครับ

I go to school by bus. (ใช้กริยาช่องที่ 1 แสดงว่าปกติทำแบบนี้)

I went to school on foot yesterday. (ใช้กริยาช่องที่ 2 แสดงว่าพูดถึงอดีตที่ระบุเวลา เมื่อฝรั่งได้ยินประโยคแบบนี้ เขาก็สามารถตีความต่อได้ว่า ปกติคงไม่เดินไป แต่เฉพาะเมื่อวานนี้เท่านั้นที่ทำแบบนั้น)

I usually see a movie at the Mall. (ปกติไปดูที่นี่)

I saw a movie at the Mall last night. (ไปดูที่เดิมนั่นแหละ แต่พอระบุเวลาในอดีต ก็ต้องเปลี่ยนกริยาเป็นช่องที่ 2 ไงครับ)

เห็นไหมครับว่าไม่ยาก แต่ความยากของ tense นี้ก็คือ การเปลี่ยนกริยาให้เป็นอดีตนั่นล่ะครับ ผมพอจะบอกได้ว่า กริยาส่วนใหญ่จะเติม -ed แต่จะมีกริยาอีกกลุ่มหนึ่งที่เรียกว่า Irregular Verbs หรือที่เราเรียกว่ากริยา 3 ช่องนั่นล่ะครับ ที่ต้องเปลี่ยนรูปเมื่อเป็นอดีต (อยากรู้ว่ามีอะไรบ้างก็ไปหาซื้ออ่านกันเอาเองนะครับ)

ความยาก (แต่สนุก) อันต่อไปก็คือ แล้วเราควรจะออกเสียงกริยาที่เติม -ed ว่าอย่างไร เหมือนที่ผมทิ้งท้ายไว้คราวที่แล้วว่า love กับ loved ออกเสียงต่างกันอย่างไร หลายคนคิดว่าไม่สำคัญ แต่จริง ๆ แล้วสำคัญมาก เพราะในภาษาเขียนเราเติม -ed เห็นชัดเจนว่าเป็นอดีต แล้วในภาษาพูดล่ะครับ ผู้ฟังจะรู้ได้อย่างไรว่า I love you. หรือ I loved you.

อ.หนุ่ย-- (เขียนบนกระดาน stopped, helped) อ่านว่าอย่างไรครับ

นักเรียน-- สต๊อปเป็ด, เฮ้ลเป็ด

อ.หนุ่ย-- อืม...กาลครั้งหนึ่ง มีเป็ดเดินมา นายพรายใจร้ายตะโกนว่า "Stop เป็ด" เป็ดตกใจ ไม่รู้จะทำอย่างไร พอดีมีอัศวินขี่ม้าขาวมา "Help เป็ด"

นักเรียน-- (ขำกลบเกลื่อน เพราะรู้ว่าตัวเองอ่านผิด และไม่น่าจะเกี่ยวอะไรกับเป็ด)

อ.หนุ่ย-- ที่เราอ่านผิดเพราะเราไปสะกดตามตัวที่เราเห็น ลองอ่านคำนี้ดูนะ (เขียนอีกคำ played )

นักเรียน-- เพลย์...... (ไม่กล้าอ่านต่อ)

ครับ ภาษาอังกฤษก็เป็นอย่างนี้ล่ะครับ ไม่สามารถออกเสียงตรง ๆ ได้เสมอไป เช่น put (พุท) cut ไม่เห็นจะอ่านว่า คุท ส่วนหลักในการออกเสียง -ed นั้นมีหลักกว้าง ๆ ดังนี้ครับ

คำที่ลงท้ายด้วยเสียง t ออกเสียงเป็น ถิด เช่น started

คำที่ลงท้ายด้วยเสียง d ออกเสียงเป็น ดิด เช่น reloaded

คำที่ลงท้ายด้วยเสียง f, k, p, s, sh, ch ออกเสียงเป็น (t) เช่น walked (วอล์คท), stop (สต๊อปท์), watched (ว็อทชท)

นอกนั้นออกเสียง (d) ตามหลังเบา ๆ เช่น loved (เลิฟด), played (เพลย์ด)

อย่าลืมนะครับว่านี่เป็นหลักการคร่าว ๆ ในการออกเสียง หากอยากรู้ว่าเสียงจริง ๆ เป็นอย่างไร ลองปรึกษาพจนานุกรมดี ๆ หรือ ให้เจ้าของภาษาออกเสียงให้ฟังนะครับ




 

Create Date : 22 ธันวาคม 2550   
Last Update : 22 ธันวาคม 2550 19:37:19 น.   
Counter : 431 Pageviews.  


เกร็ดภาษาอังกฤษ 24

คำถามที่เกิดขึ้นกับผมเสมอก็คือ เราเรียน tenses ไปทำไม ตอนนี้ผมได้คำตอบแล้วครับ แต่ผมจะยังไม่บอก เอาไว้อ่านบทความนี้จบก่อนแล้วผู้อ่านน่าจะได้คำตอบครับ

1.Present Simple Tense (ใช้กริยา ช่อง 1)

เราเรียนมาตั้งแต่เด็กว่ามันคือ "ปัจจุบัน" แล้วไอ้ปัจจุบันมันคือตอนไหนล่ะครับ นักเรียนของผมส่วนใหญ่จะเข้าใจว่า "ปัจจุบัน" คือ "ตอนนี้" จริง ๆ แล้วให้เปลี่ยนมาจำใหม่ว่า "ปัจจุบันยังทำอยู่" จะได้ไม่สับสน นอกจากนั้นยังใช้กับเหตุการณ์ที่ "เกิดขึ้นเป็นปกติ เป็นประจำ" นึกออกหรือยังครับ ว่าเราทำอะไร "เป็นปกติ ประจำ ปัจจุบันยังทำอยู่" บ้าง ส่วนใหญ่ก็เป็นพวกกิจวัตรทั้งหลาย เช่น อาบน้ำ (หวังว่าปัจจุบันทุกคนก็ยังทำอยู่นะครับ) กินข้าว ฯลฯ

อ.หนุ่ย--ถ้าแฟนพูดกับเธอว่า "I love you" เธอควรจะดีใจไหม

นักเรียน-- (ส่วนใหญ่) ดีใจค่ะ/ (ส่วนน้อย) ไม่ดีใจค่ะ หนูเกลียดมัน

อ.หนุ่ย--อย่าเอาเรื่องส่วนตัวมาปนกับเรื่องเรียน (เดินไปเขกหัวไอ้พวกส่วนน้อยที่แกล้งตอบผิด) เราควรจะดีใจเพราะอะไรครับ

(ถึงตอนนี้อยากให้ผู้อ่านตอบในใจก่อนไปดูคำตอบของนักเรียนผมนะครับ)



นักเรียน--เพราะเขาใช้ verb ช่อง 1 แสดงว่าเป็นปัจจุบันก็ยังรักอยู่

อ.หนุ่ย-- เก่งมาก แล้วประโยคนี้ล่ะ "He loves me." love เติม s ทำไม

นักเรียน-- เขารักหนูมากกกก ค่ะ

อ.หนุ่ย-- !?!

ไอ้คำตอบแรกน่ะถูกครับ เมื่อไหร่ก็ตามที่เราฝรั่งใช้ verb ช่อง 1 ให้รู้ไว้เลยว่าเหตุการณ์นั้นยังเกิดขึ้นอยู่ ยังไม่เลิกทำ ส่วนเหตุผลที่ต้องเติม s ในประโยคที่ 2 คือ เมื่อประธานเป็นเอกพจน์ (ยกเว้น I, You) กริยาเติม s ด้วย (อย่าถามผมนะครับว่าทำไม ผมก็ไม่ทราบเหมือนกัน)

แล้วเราจะเรียน tenses ไปทำไม ลองเทียบ 2 ประโยคนี้นะครับ

a) I love you. ^_^

b) I loved you. T_T

ใช่แล้วครับ แต่ละ tense บอกเวลาที่ต่างกันไงครับ นี่แค่เริ่มต้นนะครับ จริง ๆ รายละเอียดปลีกย่อยมีเยอะแยะครับ อย่าลืมว่าทุกกฎเต็มไปด้วยข้อยกเว้น สิ่งที่ผมนำมาเล่าเป็นเพียง concept ส่วนใหญ่เท่านั้น อ่านพอได้ idea คร่าว ๆ เฉย ๆ หากอยากรู้ต่อ หาอ่านได้ตามหนังสือไวยากรณ์ทั่วไปครับ

จริง ๆ อยากเขียนต่อนะครับ แต่ว่ากลัวมันจะยาวเกินไป เดี๋ยวจะไม่น่าอ่าน เอาไว้คราวหน้าผมจะมาเล่าเรื่อง verb ช่อง 2 ให้ฟัง เมื่อนำมาเทียบกับ verb ช่อง 1 จะทำให้เราเข้าใจมากขึ้น วันนี้ฝากให้ไปคิดเล่น ๆ นะครับว่าประโยค a) กับประโยค b) ออกเสียงต่างกันอย่างไร




 

Create Date : 22 ธันวาคม 2550   
Last Update : 22 ธันวาคม 2550 19:36:33 น.   
Counter : 535 Pageviews.  


1  2  3  4  5  6  7  

กลับมาแล้วเหรอ เก่งมาก ๆ เลย
 
Location :
นครราชสีมา Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 5 คน [?]




ขอฝากผลงานหนังสือเล่มแรกด้วยนะครับ "แค่เปลี่ยนวิธีคิด ภาษาอังกฤษก็ไม่ใช่เรื่องยาก" Photobucket
[Add กลับมาแล้วเหรอ เก่งมาก ๆ เลย's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com