ข้อดีของวันครู
สวัสดีวันครูครับผมมานั่ง ๆ นึกดู จนถึงวันนี้ผมจำครูได้กี่คนอืม...มีไม่เยอะเท่าไหร่ เพราะเราไม่ประทับใจหรือเพราะเราไม่ใส่ใจ เราเรียนรู้จากคนอื่นเยอะแยะ แต่ความทรงจำเปราะบางของเราทำให้เราจำไม่ได้และเผลอคิดไปว่า...เรารู้มันได้ด้วยตัวเองและหลงลืมครูผู้อบรมสั่งสอนทั้งทางตรงและทางอ้อมข้อดีของวันครูคือ วันที่เราจะได้กลับมามองย้อนดูตัวเองว่าเราเป็นนักเรียนที่กตัญญูหรือยังเราเป็นครูที่ทุ่มเทหรือเปล่ากราบสวัสดีครูทุกคนครับ
ความรักทำให้คนตาบอด (ดีขึ้น)
"อาจารย์คะ หนูขออัดเสียงตอนอาจารย์สอนนะคะ" เนตรนภา พูดกับผมเป็นครั้งแรกในวิชาโครงสร้างภาษาอังกฤษ ขณะเครื่องอัดเสียงถูกส่งต่อมาหน้าห้อง ผมไม่รู้สึกอึดอัดอะไรที่มีนักศึกษาพิการทางสายตามาเรียนร่วม อาจเป็นเพราะผมมีโอกาสคลุกคลีกับคนตาบอดมาตั้งแต่เด็ก จึงค่อนข้างเข้าใจธรรมชาติของเขา"หนูจะให้ครูอัดเสียงตลอดชั่วโมง หรืออัดเฉพาะตอนมีสาระล่ะ" ผมถามเพราะเกรงว่าจะเปลืองเนื้อเทป และแบตเตอรี่ "แล้วแต่อาจารย์เลยค่ะ" เนตรนภาตอบเสียงใส "งั้นครูจะอัดแต่ตอนมีสาระแล้วกัน"ผมชอบสโลแกนที่คุณอุ้มกับรายการเจาะใจร่วมกันทำโครงการเพื่อหางานให้คนตาบอด "ความรักทำให้คนตาบอด (ดีขึ้น)" ฟังแล้วทำให้จิตใจคนตาดี (สั้นเล็กน้อย) ชุ่มชื้นขึ้นเหมือนกัน สมัยเป็นนักเรียนผมโชคดีเหลือเกินที่มีโอกาสดูแลเพื่อนตาบอดที่มาเรียนร่วม เพื่อนตาบอดคนนี้ของผมชื่อ ชิต (ผมชอบแซวว่าถ้าจะไปเรียนเมืองนอกให้เปลี่ยนชื่อก่อนนะ) เราไปไหนมาไหนด้วยกันตลอด จนผมรู้สึกเหมือนเป็นแฝดสยาม ชิตทำให้ผมต้องตั้งใจเรียน เพราะต้องคอยอธิบายบทเรียนให้เขาฟัง ขอบคุณนะ ชิตเขาทำให้ผมรู้ว่า คนตาบอดก็คือคนธรรมดานี่เอง มีอารมณ์ความรู้สึก ความต้องการเหมือนเราทุกอย่าง เขาก็ยังชอบดู (ฟัง) บอล, ดู (ฟัง) หนัง, ฟังข่าว อ่านและฟังหนังสือ ชอบเล่นซุกซนเหมือนเด็กในวัยนั้น เหมือนผมทุกประการเขายังทำให้ผมรู้อีกว่าคนตาบอดไม่ได้ต้องการการดูแลเป็นพิเศษ เขาแค่อยากเป็นคนปกติคนหนึ่งเท่านั้นเอง เมื่อผมไปเป็นครู ผมจึงไม่เอาอกเอาใจคนตาบอดเป็นพิเศษ ผมจะมองเขาเป็นนักศึกษาปกติคนหนึ่ง ซึ่งเขาพอใจเช่นนั้น เขายังทำให้ผมรู้อีกว่า คนตาบอดไม่ได้ต้องการเงินบริจาค ความสงสาร ความเห็นใจ สิ่งเดียวที่เขาต้องการคือ "โอกาส" ที่เขาจะได้แสดงความสามารถด้านอื่นที่ชดเชยความสามารถด้านการมองเห็น เขาต้องการแค่ "โอกาส" ในการทำงาน เพื่อหาเงินเลี้ยงชีพ ...เท่านั้นเองเขายังสอนผมเขียนอักษรเบรล (แต่ตอนนี้ลืมไปหมดแล้ว) เขายังบอกผมว่าเวลาพาคนตาบอดเดิน เราต้องเดินนำหน้าเล็กน้อยให้เขาแตะที่ต้นแขนด้านหลัง ไม่ใช่ดันหลังให้เขาเดินไปก่อน (เหมือนที่ผมเคยทำ) ตอนเรียนจบ เขาและเพื่อน ๆ ที่ศูนย์ฯคนตาบอด จัดงานเลี้ยงเพื่อขอบคุณผม และลองให้ผมลองเล่นเกมส์ (ปิดตา) กับคนตาบอด ทำให้เราเข้าใจความรู้สึกของเขามากขึ้น ทุกวันนี้ ชิตอยู่พัทยา ว่าง ๆ เขาก็ยังมาหาผมที่โคราชอยู่บ่อย ๆ (เขามาคนเดียว ผมยังงงว่าเขามาได้อย่างไร)ทุกวันนี้เมื่อมีนักศึกษาตาบอดมาเรียนในห้อง ผมก็อดนึกถึงเพื่อนเก่าไม่ได้ ผมปฏิบัติต่อเนตรนภาอย่างเท่าเทียมกับนักศึกษาคนอื่น เพื่อไม่ให้เขารู้สึกแปลกแยก สิ่งพิเศษเพียงสิ่งเดียวที่ผมทำเพิ่มให้เนตรนภาก็คือ ผมจะอ่านข้อความที่อยู่ในเอกสารดัง ๆ เพื่อบันทึกเทปให้เขาเอากลับไปฟังที่บ้าน บางวันก็อัดเสียงได้เกือบเต็มม้วน บางวันกลับแทบไม่ได้อัดเสียงเลย (แสดงว่าวันนั้นไม่ค่อยมีสาระ) เวลาผมเล่าอะไรตลก ๆ ผมจะไม่อัดเสียง เพราะคิดว่ามันไม่ค่อยจำเป็น แต่ก็มีบางวันเหมือนกันที่เผลอ อัดไปตลอดชั่วโมง เนตรนภาก็กลับมาเล่าให้ฟังว่า "แม่หนูชอบค่ะอาจารย์" ^_^
ปั้นดินให้เป็นดาว
ผมเป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัยเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง ที่ต้องยอมรับว่าเราเป็นมหาวิทยาลัยที่ขยายโอกาสให้นักศึกษาตามต่างจังหวัดเข้ามาพัฒนาตนเอง เพื่อน ๆ หลายคนชวนไปสอนมหาวิทยาลัยใหญ่ ๆ ที่มีชื่อเสียง พยายามโน้มน้าวผมว่า นักศึกษาในมหาวิทยาลัยดัง ๆ สอนง่าย เพราะส่วนใหญ่ผ่านระบบคัดเลือกอย่างเข้มข้น พูดง่าย ๆ ก็คือ นักศึกษาเก่งอยู่แล้วในระดับหนึ่ง เงินเดือนก็มากกว่ากันเป็นเท่าตัว (ผมบรรจุวุฒิปริญญาโท ได้เงินเดือน 7,780 บาท) ผมปฏิเสธไปพร้อมกับเหตุผลเท่ห์ ๆ ว่า ถ้าครูเก่ง ๆ ไปอยู่ในมหาวิทยาลัยดัง ๆ หมด แล้วมหาวิทยาลัยในต่างจังหวัดใครจะสอน แล้วยังเสริมอีกว่า สอนเด็กเก่ง ไม่ท้าทายเท่าสอนเด็กอ่อนหรอก เพื่อนก็เลยหมั่นไส้ ปล่อยให้เรากินอุดมการณ์ไปตามยถากรรมเป้าหมายในชีวิตความเป็นครูของผมคือ ผมจะปั้นดินให้เป็นดาว ผมเชื่อเสมอว่า คนสามารถพัฒนาได้ ผมยังจำได้ถึงวันที่นักศึกษาเข้ามาปีหนึ่ง ผมถามว่า How old are you? นักศึกษาตอบว่า Im fine thank you, and you? 5 ปีผ่านไปแล้ว ผมและเพื่อน ๆ ร่วม ๆ อุดมการณ์ก็ยังพยายามอย่างเต็มที่เพื่อพัฒนาเด็กต่างจังหวัดเพื่อให้มีอนาคตตามที่เขาต้องการ ถึงแม้ผมจะปรับเป้าหมายในชีวิตเล็กน้อย คือ ผมไม่จำเป็นต้องปั้นดินทุกก้อนให้เป็นดาวหรอก แค่ดินส่วนใหญ่กลายเป็นของที่มีประโยชน์เช่น หม้อ กระถางต้นไม้ ถ้วย หรืออะไรก็ตาม ผมก็มีความสุขแล้วล่ะครับ
สอนยากง่ายต่างกัน
การสอนระดับประถม มัธยม และมหาวิทยาลัยนั้น ค่อนข้างต่างกัน จากที่สอนมาแล้วทุกระดับพบว่าสอนระดับประถมนั้นต้องใช้ความอดทนสูง เพราะเด็กสมาธิสั้น ไม่ควรอธิบายเนื้อหาตรง ๆ เพราะเด็กไม่อดทนฟังอะไรนาน ๆ ได้หรอกครับ ต้องใช้วิธีสอดแทรกความรู้ผ่านกิจกรรมต่าง ๆ เช่น เพลง เกมส์ ในความเห็นของผมไม่ควรสอนไวยากรณ์ในระดับนี้ เด็กควรรู้คำศัพท์ที่พบเจอในชีวิตประจำวัน เริ่มจากของใกล้ตัวที่สุด เป้าหมายสูงสุดคือให้เด็กมีทัศนคติที่ดีต่อภาษาอังกฤษก็พอส่วนการสอนระดับมัธยมต้นนั้นง่ายขึ้นมาหน่อยเพราะเด็กส่วนใหญ่มีความสนใจมากขึ้น มีสมาธิจดจ่อมากขึ้น แต่เด็กก็ยังชอบการทำกิจกรรม เล่นเกมส์อยู่ดี แต่ต้องระวังเรื่องการเลือกกิจกรรมเพราะเด็กวัยนี้จะอายและกลัวเสียหน้า การชมเชยจึงเป็นการให้รางวัลที่ดี เด็กควรรู้วงศัพท์มากขึ้น อาจมีการสอนโครงสร้างประโยค ไวยากรณ์ได้บ้างเด็กระดับม.ปลายจะเริ่มห่วงใยอนาคตตัวเอง กลัวไม่มีที่เรียนจึงสนใจเรียนมากเป็นพิเศษ (หมายถึงเด็กส่วนใหญ่นะครับ) การทำกิจกรรมเล่นเกมส์จึงถูกมองว่าเสียเวลา ไร้สาระ ไม่เป็นประโยชน์ต่อการสอบเข้ามหาวิทยาลัย แม้การสอนภาษาเพื่อการสื่อสารเป็นสิ่งที่ดี แต่ก็ไม่ควรละทิ้งสิ่งที่เด็กจะต้องนำไปสอบ ควรสอนควบคู่กันไป ไม่เช่นนั้นเด็กก็จะไปติวข้างนอกอยู่ดี การสอนระดับมหาวิทยาลัยนั้นง่ายที่สุด เด็กมีวุฒิภาวะพร้อมที่จะเรียน ถ้าเด็กคุยกันก็ไม่ต้องคอยดุ แค่ครูชำเลืองมองก็รู้ตัวแล้ว ระบบสังคมจะทำให้เขารู้จักเกรงใจเพื่อนในห้อง แต่การสอนระดับนี้ต้องมีความรู้ดี ตอบคำถามได้ ให้คำแนะนำในการศึกษาหาความรู้ ครูที่สอนระดับนี้จึงไม่เครียดเวลาสอน แต่ต้องแสวงหาความรู้ตลอดเวลา เพราะถ้าเราคาดหวังให้เด็กเป็นนักศึกษา (ที่ต้องศึกษาหาความรู้) ครูก็ต้องเป็นนักศึกษาหาความรู้เช่นกัน
เป็นครูครั้งแรกในชีวิต 2
พอได้มาสอนวิชาที่ตัวเองไม่ถนัด การเตรียมตัวที่ดีเท่านั้นที่จะช่วยได้ ผมกลับไปไล่อ่านหนังสือระดับประถม มัธยม ตำราสอนภาษาอังกฤษต่าง ๆ ไปซื้อมาอ่านหมด คืนก่อนสอนนอนไม่หลับ กระสับกระส่าย เตรียมสอนทุกขั้นตอน ซ้อมแล้วซ้อมอีก แต่ก็ยังไม่มั่นใจเลยว่าจะทำได้หรือเปล่า และแล้ววันนั้นก็มาถึง เคยแต่นั่งเรียนที่โต๊ะพอต้องไปยืนอยู่หน้าห้องเป็นครั้งแรกมันประหม่าจริง ๆ เหงื่อออก มือชื้น หูอื้อ หน้าร้อนผ่าว พูดผิด ๆ ถูก ๆ โชคดีที่นักเรียนห้องนั้นก็เป็นนักเรียนเข้าใหม่ จึงตื่นเต้นพอ ๆ กัน แต่ในสายตานักเรียนครูก็ดูเก่งเสมอ คิดได้อย่างนั้นก็เลยคลายความตื่นเต้น ชวนนักเรียนคุยทำความรู้จักกันไปก่อน พอจะเริ่มสอนจริง ๆ นักเรียนคนหนึ่งยกมือถามว่า อาจารย์เป็นครูมานานแค่ไหนแล้วคะ ผมก้มมองดูนาฬิกา ประมาณ 10 นาทีแล้วครับ ^_^