ติดตาม twitter ได้ที่ @karnoi กด
ติดตามข้อมูลเว็บทาง FaceBook กด

ส้มตำถาด กินมากๆมีภัยต่อร่างกาย



ส้มตำถาด ที่เป็นกระแสชื่นชอบและเป็นที่ได้รับความนิยมกันเป็นอย่างมากในช่วงนี้ โดยได้มีวัยรุ่นได้ไปหาซื้อกันมากินเป็นจำนวนมากไม่ว่าจะเป็น รุ่นเล็ก-รุ่นใหญ่ แต่หารู้ไม่ว่า ส้มตำถาด นั้นกินมากเป็นภัยต่อชีวิต!!


     โดยทั้งนี้ เชียวชาญได้สุ่มตรวจถาดสังกะสีที่ใช้ใส่ส้มตำถาดมาทดลอง พบว่ามีปริมาณสารแคดเมียมเกินมาตรฐานกว่า 3 เท่า หากบริโภคมากจะมีอันตราย คือ ปวดท้องเฉียบพลัน คลื่นไส้ มึนศีรษะ และหากสะสมในร่างกาย จะทำให้ปวดกระดูก มีผลต่อตับไตในระยะยาว และไม่เว้นแม้แต่การที่จะเอาใบตองมารองไว้ใต้ถาด




 

Create Date : 26 มิถุนายน 2557   
Last Update : 26 มิถุนายน 2557 21:09:27 น.   
Counter : 1402 Pageviews.  

อีโบลาระบาดหนัก องค์การแพทย์ชี้เอาไม่อยู่แล้ว




สถานการณ์เชื้ออีโบลาระบาด ถึงขั้นควบคุมไม่อยู่แล้ว ยอดตายเพิ่มทะลุ 337 รายใน 5 เดือน

          เมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 2557 สำนักข่าวรอยเตอร์ส  รายงานว่า องค์การแพทย์ไร้พรมแดนเผย สถานการณ์เชื้ออีโบลาระบาดหนักในประเทศกินี ไลบีเรีย และเซียร์รา ลีโอน นั้น อยู่ในขั้นที่ไม่สามารถควบคุมได้แล้ว ขณะที่ยอดตายเพิ่มสูงถึง 337 คน ภายในเวลา 5 เดือนเท่านั้น

          โดยองค์การแพทย์ไร้พรมแดน (Médecins Sans Frontières) ได้เปิดเผยว่า เชื้ออีโบลาที่ระบาดหนักนั้น ไม่เคยระบาดใน 3 ประเทศดังกล่าวมาก่อน ทำให้ผู้คนตื่นกลัว แต่ก็ไม่เข้าใจถึงวิธีการระบาดของโรค พวกเขายังคงตระเตรียมศพ สัมผัสศพ หรือเข้าร่วมงานศพของคนที่เสียชีวิตด้วยเชื้ออีโบลา ทำให้เสี่ยงต่อการติดเชื้อได้อย่างง่ายดาย 

          ขณะเดียวกัน ทางการเองก็บกพร่องในการให้ความรู้ประชาชนอย่างทั่วถึง โดยที่ผ่านมามีการรณรงค์เกี่ยวกับการป้องกันการติดเชื้อในวงแคบ ๆ จึงกล่าวได้ว่า ตอนนี้เชื้ออีโบลาในประเทศกีนี ไลบีเรีย และเซียร์รา ลีโอน นั้น อยู่ในขั้นที่ไม่สามารถควบคุมได้อีกต่อไป เชื้อได้ระบาดไปตามพื้นที่ต่าง ๆ กว้างขึ้นเรื่อย ๆ 

          นอกจากนี้ องค์การแพทย์ไร้พรมแดนยังเผยด้วยว่า ตอนนี้เชื้ออีโบลาไม่ใช่สถานการณ์ฉุกเฉินทางการแพทย์เฉพาะใน 3 ประเทศดังกล่าวเท่านั้น แต่ได้ส่งผลกระทบต่อทุกประเทศในแถบแอฟริกาตะวันตกเลยทีเดียว จึงขอให้ทางองค์การอนามัยโลกและทางการประเทศที่มีความเสี่ยง ฝึกอบรมเจ้าหน้าที่แพทย์เพื่อให้ความรู้กับประชาชนเกี่ยวกับเชื้ออีโบลานี้

          ทั้งนี้ จากสถิติขององค์การอนามัยโลก ตัวเลขผู้เสียชีวิตจากเชื้ออีโบลานับตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา อยู่ที่ 337 รายแล้ว ซึ่งนั่นทำให้การระบาดของเชื้ออีโบลาครั้งนี้ ร้ายแรงที่สุดนับตั้งแต่มีการระบาดครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2519 เลยทีเดียว

ขอขอบคุณ




 

Create Date : 25 มิถุนายน 2557   
Last Update : 25 มิถุนายน 2557 20:46:53 น.   
Counter : 754 Pageviews.  

เมื่อผมมีแฟนเป็นลูกคุณหนู จะต้องเตรียมตัว เตรียมตัง เตรียมใจ แบบไหนกันนะ

  "เมื่อผมมีแฟนเป็นลูกคุณหนู" ประเด็นที่กำลังฮอตอยู่ในขณะนี้ โดยต้องขอบอกก่อนเลยว่าเรื่องราวความรักของเด็กหนุ่มและหญิงสาว 2 คนนี้อาจจะตรงกับคู่รักคนใดคนหนึ่งที่กำลังอ่านอยู่ก็เป็นได้ งั้นเราลองมาอ่านความรักของคู่นี้กัน "เมื่อผมมีแฟนเป็นลูกคุณหนู"



ผมขอเล่าเรื่องความรักครั้งใหม่ของตัวเองหน่อยยย...อยากประกาศว่าผมมีแฟนเป็นลูกคุณหนูนะ ทั้งสวยทั้งรวย เรียนเก่ง เธอดีทุกอย่าง..แต่บางทีไลฟ์สไตล์เราก็อาจไม่เข้ากัน

        ต้องบอกว่าผมเป็นคนเดินหน้าหนาไปขอคบกับเธอเองตอนก่อนปิดเทอมม.4 ก็ไม่ได้หวังอะไรมากแต่เธอดันตกลงเป็นแฟนผม ตอนนั้นบรรยายไม่ถูกดีใจ คือ ผมแบบว่าหล่อเลยวะ เดินไปทางไหนคนในโรงเรียนก็บอกว่าผมเป็นแฟนดาว(ชื่อสมมติ) แบบว่าอิมเมจดาวฮอร์โมน ผมชอบบ อย่างนู้น อย่างนี้ โชคดีจังเลยวะ แต่ก็มีคนติว่าทำไมดาวสวยขนาดนั้นเอาแฟนหน้าตาธรรมดาวะ แอบเคืองแต่ทำไรไม่ได้ ก็พูดมากแล้วล่ะ ขอเข้าเรื่องเลยละกัน


บอกก่อนว่าฐานะทางบ้านผมค่อนข้างไปในระดับดีแต่ไม่ได้รวยเท่าแฟนผม แบบว่าถ้ามีของที่อยากได้ก็สามารถซื้อได้แต่คงไม่ฟุ่มเฟือยหรือซื้อของหรูหรามากนัก เที่ยวตปท.อาจมีปีละครั้งไม่ได้บ่อยหรือถี่เกินไป วันแรกที่ผมคบกับดาว เธอก็บอกว่าไปกินข้าวกันและร้่านที่ดาวกับเพื่อนชอบกินมันคือร้านแบบไฮโซซซ ผมก็เคยไปกินกับเพื่อนนะแต่ตอนนั้นหารเฉลี่ยกันไง ครั้งนี้ผมไปในฐานะเจ้ามือ ดาวก็สั่งอาหาร เพื่อนดาวนี่สั่งมาเสมือนว่าชาตินี้กรุจะไม่กินอะไรอีกแล้ว ผมนี่อยากจะกุมขมับเป่าสมองตัวเองกระจุยตรงนั้น
สรุปมื้อนั้นผมหมดเงินค่าขนมทั้งเดือนเลย ไปขอแม่ก็เลยโดนว่าซะชุดใหญ่ แต่มันก็ไม่จบขนาดนั้น

       เสาร์ อาทิตย์ปกติดาวจะเรียนพิเศษที่บ้านแต่พอดาวคบกับผมดาวก็ขอมาเรียนพิเศษที่โรงเรียนกวดวิชาที่เดียวกับผม หลังเลิกเรียนเราก็เลยไปดูหนัง กินข้าวกัน แล้วผมก็จะไปส่งดาวที่บ้าน แต่ส่งหน้าปากซอยนะไม่กล้าเข้าไปถึงหน้าบ้าน ดาวก็จะโทรให้คนมารับ ส่วนผมนะ่เหรอนั่งมอไซค์รับจ้างกลับบ้าน แพงบรรลัยและเงินแฟบอีกตามเคย


เรื่องเวลาช็อปปิง ดาวจะชอบซื้อเสื้อผ้าแล้วก็พวกหนังสือ แต่เห็นราคาแล้วผมจะเป็นลม หนังสือห่ านไรแพงชิหาย เสื้อผ้าก็ไม่ต้องบอกแบรนด์เนมทั้งนั้น บางอันราคาเท่าดาวน์รถมอ'ไซค์คันนึงได้เลย ผมในฐานะแฟนก็เป็นคนออกเงินซื้อให้แฟนครับ หน้าใหญ่แต่เป๋าแบน ดาวก็เคยบอกผมนะว่าเดี๋ยวออกเองแต่ผมนฐานะแฟนที่ดี/ ก็ออกให้ ตอนนั้นผมก็ยังไม่คิดไรมากนะ จนแบบว่าขอเงินแม่แล้วแม่ไม่ให้ ผมก็เลยพักเรื่องสปอยล์ดาวไปพักนึง ดาวก็แบบว่าอารมณ์เสียใส่ผมหลายครั้งน่ะ อย่างเช่น ตอนที่เลิกเรียนแล้วดาวชวนผมไปร้านไฮโซร้านเดิม คือ ผมไม่อยากไป เพราะไม่มีตังค์ จะให้ดาวเลี้ยงก็ยังไงอยู่ ผมก็เลยบอกว่าไปร้านนี้ไหม ราคาไม่แพงผมกับเพื่อนไปกินบ่อยๆ เป็นร้านอาหารตามสั่งติดแอร์ ผมก็คิดว่ามันไม่ได้โลว์เกินไป ดาวน่าจะรับได้ แต่ดาวก็โวยวายใส่ผมเลยว่า

"ทำไมต้องกินร้านนั้นด้วย ถูกจะตาย กินได้เหรอ (ผม)เป็นอะไรไปทำไมไม่กินร้านเดิมของเรา " ผมก็ไม่กล้าตอบครับว่าแม่ไม่ให้เงินแล้ว คือผมต้องบริหารเงินให้มันกินได้ถึงเดือนด้วย ดาวก็งอนผมไปพักใหญ่ ผมก็กลับมาตามเดิมอีกคือแทบจะไปกราบเท้าขุ่นแม่ที่รัก ขอเงิน แม่ก็ให้มาผมก็เอาเงินไปซื้อพวกกุหลาบ ตุ๊กตาหมี ช็อคโกแลตไปง้อดาว ดาวก็เลยคืนดี

    หลังเลิกเรียนเราก็จะไปกินร้านไฮโซร้านนั้นประจำ จนบางเดือนผมช็อต ไม่กล้าขอแม่ ก็ยืมเพื่อน มีเจ้าหนี้ตั้งแต่เด็ก 55555 แล้วก็มาถึงช่วงปิดเทอม คือ ดาวกับเพื่อนวางแผนจะไปเที่ยวญี่ปุ่นกัน ช้อปปิ้งตามประสาสาวๆนั่นแหละ ซึ่งให้ผมคิดค่าเครื่องบิน ค่าที่พัก ค่ากิน ก็หลายหมื่นนนน ผมไม่กล้าขอแม่หรอกครับ มันเกินกำลังงวัยเรียนของผม ผมก็บอกดาวว่าผมไปไม่ได้ ดาวก็เหวี่ยงใส่ผมเลย "ทำไมไม่ได้ (ผม)ก็ขอเงินแม่ซิ "
ผมก็บอกว่าไม่ได้ แม่ไม่ให้ผมหรอก ดาวก็โวยใส่ผมอีกประมาณว่าบ้านก็ไม่ได้จนนิ ดาวยังขอได้ โอ้ววว นั่นดาวครับ ผมคันปากอยากตอบกลับแต่ไม่ทำครับ สปิริตลูกผู้ชาย ผมก็เลยบ่ายเบี่ยงแล้วอยู่ๆดาวก็พูดประโยคนึงขึ้นมา


" สรุปว่าบ้านจนใช่ป่ะ แต่แอ๊บรวย รู้งี้ไม่คบด้วยหรอก "

อ้าว เจอประโยคนี้ก็จี๊ดเลยครับ ความรู้สึกที่โดนตอนนั้นบอกเลยว่าเหมือนมีคนมาดูถูกมาก ผมโกรธนะครับ แต่ก็ไม่โกรธจนถึงอยากจะเลิกกับดาวเพราะคิดว่าดาวคงโกรธที่ผมไปญี่ปุ่นด้วยไม่ได้ แต่เป็นดาวต่างหากที่ขอเลิกกับผม ปิดเทอมพอดีเลย ผมก็เศร้าไปสามเดือน เปิดเทอมมาก็ได้ยินข่าวว่าดาวคบกับเพื่อนในห้องผม รายนั้นก็รวยพอๆกัีน ดูสปอยล์กันดี ขับรถยนต์มาเรียน -กระผมที่บ้านยังมาส่ง บางวันก็นั่งไซค์รับจ้างมาเอง คงสู้ไม่ได้

     บางทีผมก็โดนเพื่อนด่านะครับ-โง่ เออ ผมยอมรับครับ ถ้าเราต้องทำอะไรเกินตัวให้กับคนที่ตัวเองรักจนตัวเองไม่มีความสุข ผมว่ามันคงไม่ใช่ความรักหรอกครับ กว่าผมจะมาคิดได้ก็ใช้เวลานานนะครับ คือ อยู่ในสภาวะเศร้ามาเต็ม 3 เดือนเต็ม กว่าจะหลุดได้ก็เกือบแย่ครับ น้ำหนักลดจากข้าวปลาไม่กิน 5555"




 

Create Date : 04 มิถุนายน 2557   
Last Update : 4 มิถุนายน 2557 7:15:17 น.   
Counter : 1078 Pageviews.  

เตือนภัย เสพติดข่าวมากไปอาจนำโรคภัยมาถึงตัว

 คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น
เตือนภัย!! เสพติดข่าวมากไปอาจนำโรคภัยมาถึงตัว

พญ.ญดา พงษ์กาญจนะ

โดย พญ.ญดา พงษ์กาญจนะ
จิตแพทย์ที่ปรึกษา โรงพยาบาลปิยะเวท

สถานการณ์บ้านเมืองในเวลานี้ ทำให้ประชาชนให้ความสนใจและติดตามข่าวสารอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะผู้ที่เสพติดข่าวการเมืองจากสื่อต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นโทรทัศน์ หนังสือพิมพ์อินเทอร์เน็ต หรือจากโลกสังคมออนไลน์ โดยบางคนถึงกับดูออนไลน์ผ่านมือถือตั้งแต่เช้าจรดเย็น หรือแม้กระทั่งเดินทางกลับบ้านนอนก็ยังเปิดมือถือทิ้งไว้ตลอดเวลาเลยทีเดียว โดยที่หารู้ไม่ว่าอาจเป็นสาเหตุให้เกิดโรคภัยมาเยือนโดยไม่รู้ตัว

พญ.ญดา พงษ์กาญจนะ จิตแพทย์ที่ปรึกษา โรงพยาบาลปิยะเวท ได้ให้คำแนะนำสำหรับผู้ที่เสพข่าวการเมืองมากเช่นนี้ว่าอาจเป็นการทำให้สมองทำงานหนักอยู่ตลอดเวลา นำพาไปสู่ภาวะความเครียด และส่งผลต่อสุขภาพร่างกายได้ในที่สุด บางคนการเสพข่าวอาจก่อให้เกิดความรู้สึกกดดัน ไม่สบายใจ วุ่นวายใจ บางคนอาจถึงขั้นซึมเศร้าหรือมีอาการทางจิตได้

ในขณะที่บางคนภาวะความเครียดอาจแสดงออกมาในรูปแบบอาการทางร่างกาย เช่น ใจสั่น ความดันโลหิตสูง เวียนศีรษะ ปั่นป่วนท้อง คลื่นไส้ อาเจียน นอนไม่หลับ หรือฝันร้าย ในคนที่มีโรคประจำตัวอยู่แล้ว เช่น โรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน โรคหัวใจ ภาวะความเครียดสามารถส่งผลให้อาการของโรคประจำตัวแย่ลงหรือควบคุมโรคประจำตัวลำบาก


เรามาดูกันดีกว่าว่าแนวทางการรับมือกับโรคเครียด 7 วิธีง่ายๆ ที่ใครๆ ก็ทำได้ มีวิธีอะไรบ้าง

1. ใช้วิจารณญาณเลือกรับฟังข่าวสารจากแหล่งข่าวที่เชื่อถือได้และเสพข่าวอย่างมีสติ รู้จักปล่อยวาง
2. จำกัดช่วงเวลาที่ใช้ในการรับฟังข่าวสาร ปิดทีวี ปิดมือถือและเครื่องมือสื่อสารเมื่ออยู่กับคนในครอบครัว
3. ทำจิตใจให้ผ่อนคลายอาจใช้วิธีนั่งสมาธิ สวดมนต์
4. หากิจกรรมทำเพื่อผ่อนคลายความเครียดเช่น ออกกำลังกาย ดูหนัง ฟังเพลง
5. รับประทานอาหารที่ดีมีประโยชน์ ครบทั้ง 5 หมู่ งดเว้นการใช้สุราหรือสารเสพติด
6. นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ กำหนดเวลานอน และเวลาตื่นอย่างเป็นเป็นเวลา
7. หากมีปัญหาที่ค้างคาใจควรหาคนปรึกษาไม่ควรเก็บไว้คนเดียว

       อย่างไรก็ตาม เราในฐานะผู้บริโภคสื่อก็ควรเลือกที่จะเปิดรับข่าวสารอย่างพอเหมาะพอดี ไม่มากหรือไม่น้อยจนเกินไป หากไม่รับรู้ข่าวสารเลยก็คงจะเป็นไปไม่ได้ แต่ถ้ารับรู้มากจนเกินไปก็อาจส่งผลเสียต่อสุขภาพ

และหากเกิดปัญหาจากการเสพข่าวที่มากเกินไปแล้ว อย่ากลัวที่จะขอความช่วยเหลือจากผู้อื่น เท่านี้ก็จะสามารถช่วยให้คุณรับมือกับความเครียดได้แล้วค่ะ

ขอบคุณ ผู้จัดการออนไลน์




 

Create Date : 02 มิถุนายน 2557   
Last Update : 2 มิถุนายน 2557 7:55:44 น.   
Counter : 880 Pageviews.  

เด็กไทยดื่มนมน้อยส่งผลเตี้ย - ไอคิวตกเกณฑ์สากล

สธ. หนุนเด็กไทยให้ดื่มนมจืดมากขึ้น เพื่อให้เติบโตสมวัย เผยขณะนี้เด็กไทยดื่มนมน้อยมากเมื่อเทียบกับทั่วโลก เฉลี่ยเพียงคนละ 14 ลิตรต่อปี น้อยกว่าเด็กในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ 4 เท่า ต่ำกว่าทั่วโลก 7 เท่าตัว ส่งผลให้เตี้ยกว่าปกติ ไอคิวตกเกณฑ์สากล แนะให้ดื่มนมจืดให้ได้วันละ 2-3 แก้ว ดื่มหลังอาหารจะดีที่สุด



เด็กไทยดื่มนมน้อยส่งผลเตี้ย - ไอคิวตกเกณฑ์สากล

นพ.ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวว่า วันที่ 1 มิถุนายน ทุกปี องค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ หรือ เอฟเอโอ (FAO) กำหนดให้เป็นวันดื่มนมโลก (World Milk Day) เพื่อให้ประเทศและองค์กรต่างๆ ให้ความสำคัญและสนับสนุน รณรงค์ให้ประชาชนมีความรู้ความเข้าใจเรื่องสรรพคุณของนม และดื่มนมอย่างเพียงพอ

เนื่องจากนมมีคุณค่าทางโภชนาการเหมาะสมกับทุกวัย มีสารโปรตีนคุณภาพดีและมีปริมาณแคลเซียม มีผลต่อการสร้างกระดูกและฟันให้แข็งแรง และการพัฒนาไอคิวหรือความเฉลียวฉลาดทางปัญญา

นพ.ณรงค์ กล่าวอีกว่า สธ. มีนโยบายส่งเสริมสนับสนุนให้คนไทยดื่มนมจืดโดยเฉพาะเด็กไทย เพื่อสร้างแคลเซียม ช่วยให้กระดูกและฟันแข็งแรง เริ่มตั้งแต่วัยเด็กจนถึงวัยสูงอายุ โดยเฉพาะนมโคสด 100 เปอร์เซ็นต์ ไขมันต่ำ รสจืด มีคุณค่าโภชนาการดีกว่านมที่มีการปรุงแต่งด้วยน้ำตาลและกลิ่น เนื่องจากมีแคลเซียมในปริมาณมาก ช่วยสร้างกระดูก มีผลต่อการพัฒนาด้านความสูง เพื่อให้เด็กไทยเติบโตอย่างสมวัย แข็งแรง และร่างกายสมส่วน สูง และสมาร์ท จากผลสำรวจล่าสุด

พบว่า เด็กไทยดื่มนมน้อยมาก เฉลี่ยคนละประมาณ 14 ลิตรต่อปี ต่ำกว่าเด็กในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และทั่วโลก 3-7 เท่าตัวโดยเด็กในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ดื่มเฉลี่ยคนละ 60 ลิตรต่อปี ขณะที่เด็กทั่วโลกดื่มเฉลี่ยคนละ 103.9 ลิตรต่อปี ส่งผลให้เด็กไทยเมื่อมีอายุครบ 18 ปีบริบูรณ์ มีความสูงเฉลี่ยอยู่ในเกณฑ์ค่อนข้างเตี้ย ผู้ชายสูงเฉลี่ย 167.1 เซนติเมตร และผู้หญิงสูงเฉลี่ย 157.4 เซนติเมตรเท่านั้น

โดยเฉลี่ยเด็กไทยขณะนี้มีสัดส่วนความสูงอยู่ในเกณฑ์มาตรฐานร้อยละ 61 จะเพิ่มให้ได้เป็นร้อยละ 70 เพื่อให้ทัดเทียมต่างประเทศ โดยให้เด็กผู้ชายต้องสูงเฉลี่ยให้ได้ 181.75 เซนติเมตร ผู้หญิงสูงเฉลี่ย 162 เซนติเมตร และคนไทยอายุยืน 80 ปี ภายใน พ.ศ. 2566

ด้านนพ.พรเทพ ศิริวนารังสรรค์ อธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า มีผลการศึกษาชี้ให้เห็นว่าการดื่มนมวันละประมาณ 2 แก้ว หรือประมาณ 400-500 ซีซี ร่วมกับการรับประทานอาหารครบ 5 หมู่ และการออกกำลังกายประเภทที่มีการยืดตัว เช่น ว่ายน้ำ บาสเก็ตบอล และโหนบาร์ จะช่วยเพิ่มความสูงได้ นอกจากนี้ จากผลการศึกษาของสำนักโภชนาการ

โดยนำนมโคสดแท้ซึ่งเป็นนมจืด นมปรุงแต่งรสหวาน นมเปรี้ยว ปริมาณ 100 มิลลิลิตรเท่ากัน มาเปรียบเทียบคุณค่าสารอาหาร พบว่า นมโคสดแท้จะให้สารอาหารที่จำเป็น ได้แก่ แคลเซียม 135 มิลลิลิตร โปรตีน 3.3 กรัม วิตามินเอ 71 มิลลิกรัม และวิตามันอี 0.22 มิลลิกรัม ในขณะที่นมปรุงแต่งรสหวานกลับให้สารที่จำเป็นลดลง คือ แคลเซียม ลงลดเหลือ 102 มิลลิกรัม โปรตีน 2.3 กรัม วิตามินเอ 28 มิลลิกรัม และวิตามินอี 0.16 มิลลิกรัม

ดังนั้น นมโคสดจืดจึงเป็นนมที่มีคุณสมบัติดีที่สุดในการดื่มเพื่อผลของการมีสุขภาพที่ดี นอกจากนี้การดื่มนมจืดจะลดพฤติกรรมการติดหวาน ลดเสี่ยงต่อการเกิดโรคอ้วน และลดความเสี่ยงในการเกิดฟันผุด้วย

“เด็กที่มีรูปร่างเตี้ยที่เป็นผลมาจากการเลี้ยงดูจะมีผลเสียหลายด้าน กล่าวคือ ด้านสติปัญญา การเรียนรู้ พบว่า ส่วนใหญ่จะมีไอคิวต่ำกว่าเด็กที่มีส่วนสูงตามวัย โดยพบว่าเด็กไทยมีค่าเฉลี่ยไอคิวเพียง 98.59 ขณะที่ไอคิวค่ากลางของมาตรฐานสากลเท่ากับ 100 และอาจส่งผลต่อการประกอบอาชีพบางอาชีพ

ผู้หญิงที่มีรูปร่างเตี้ย หากตั้งครรภ์อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนในระหว่างคลอดได้ เนื่องจากกระดูกเชิงกรานแคบ มีโอกาสเสี่ยงที่ลูกจะมีน้ำหนักตัวแรกเกิดน้อยกว่า 2,500 กรัม และอาจเกิดภาวะเช่นนี้ไปสู่รุ่นลูกรุ่นหลานได้” นพ.พรเทพ กล่าว

นพ.พรเทพ กล่าวต่อว่า ในการพัฒนาความสูงของเด็กให้สมวัยมีช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดคือ เด็กหญิงจะเริ่มเจริญเติบโตเร็วในช่วงชั้นประถมศึกษาที่ 6 ส่วนเด็กผู้ชายจะเติบโตเร็วในช่วงมัธยมศึกษาที่ 1 จึงขอให้เตรียมตัวก่อนเข้าสู่วัยนี้ ทั้งเรื่องออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ รับประทานอาหารให้ครบ 3 มื้อ 5 หมู่และหลากหลาย

รวมทั้งเพิ่มการบริโภคผัก ผลไม้ พร้อมดื่มนมทุกวัน โดยในวัยเด็กก่อนวัยเรียนให้ดื่มนมชนิดธรรมดา 2-3 แก้ว วัยเรียนดื่มนมวันละ 2 แก้ว เนื่องจากเด็กต้องมีการเจริญเติบโต ส่วนวัยผู้ใหญ่เป็นวัยที่ต้องการสารอาหารเพื่อใช้ซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ จึงขอแนะนำให้ผู้ใหญ่ ผู้สูงอายุ ดื่มนมชนิดพร่องมันเนยหรือขาดมันเนยวันละ 1 แก้ว ส่วนหญิงที่ตั้งครรภ์และหญิงให้นมบุตรให้ดื่มวันละ 2 แก้ว ซึ่งแคลเซียมที่อยู่ในนมจะช่วยบำรุงกระดูกมารดาและสร้างกระดูกทารกในครรภ์

อย่างไรก็ตาม ประชาชนยังมีความเข้าใจเรื่องการดื่มนมไม่ถูกต้อง โดยเข้าใจว่าลูกจะโตสูงใหญ่ได้ ควรจะต้องดื่มนมแทนน้ำเปล่า ซึ่งแม้ว่าข้อมูลทางวิชาการจะไม่มีผลเสียต่อร่างกาย แต่ก็ทำให้ร่างกายได้รับสารอาหารไม่ครบถ้วน เพราะหลังการดื่มนมแล้วจะทำให้อิ่ม ไม่อยากรับประทานอาหารอย่างอื่นอีก ดังนั้นวิธีการที่ดีที่สุดคือ ให้ดื่มนมหลังมื้ออาหารอย่างน้อย 1 แก้ว หากผู้ที่ดื่มนมแล้วมีอาการท้องอืด ท้องเสีย

ขอเรียนว่าอาการดังกล่าว เป็นผลมาจากดื่มนมไม่ต่อเนื่องหรือไม่ดื่มประจำตั้งแต่เด็ก โดยคนเอเชียฯส่วนใหญ่จะมีน้ำย่อยน้ำตาลแลคโตสซึ่งอยู่ในนมที่จะลดลงมากเมื่ออายุ 3 ปีขึ้นไป จึงทำให้ไม่เพียงพอที่จะไปย่อยน้ำตาลดังกล่าว ก็ไม่ต้องตกใจ สามารถแก้ไขปัญหานี้ได้ โดยการเริ่มต้นดื่มในปริมาณน้อยๆ แล้วค่อยๆ เพิ่มปริมาณขึ้นเพื่อให้ร่างกายปรับสภาพ และไม่ควรดื่มขณะท้องว่าง นายแพทย์ พรเทพ กล่าว

ขอบคุณ ผู้จัดการออนไลน์




 

Create Date : 02 มิถุนายน 2557   
Last Update : 2 มิถุนายน 2557 7:50:30 น.   
Counter : 744 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  

thainewcar
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 45 คน [?]










ติดตามข้อมูลของเว็บทาง twitter ได้ที่ @karnoi กด
ติดตามข้อมูลเว็บทาง FaceBook กด







Online Users


[Add thainewcar's blog to your web]