โรคหัวใจ คร่าชีวิตคนไทย 6 คนในทุกชั่วโมง
กระทรวงสาธารณสุข เผยขณะนี้คนไทยเสียชีวิตจากโรคหัวใจเพิ่มขึ้น ในปี 2556 มีจำนวนกว่า 50,000 คน เฉลี่ย 6 คนในทุก 1 ชั่วโมง ชี้เป็นภัยเงียบที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น โดยมี 4 โรคใกล้ตัวเป็นตัวเร่ง คือ โรคเบาหวาน ไขมันในเลือดสูง โรคความดันโลหิตสูงและความอ้วน ย้ำเตือนผู้ที่ป่วยแล้วให้ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด ส่วนประชาชนทั่วไป ขอให้ลงมือป้องกัน แค่เพียงปรับพฤติกรรมชีวิตตนเองคือ จัดเวลาออกกำลังกาย ชั่งน้ำหนักตัวทุกวัน งดเหล่า งดบุหรี่และลดอาหารรสมัน เค็ม หวาน เพิ่มกินผักผลไม้ให้ได้ครึ่งหนึ่งของอาหารทุกมื้อ และตรวจสุขภาพทุกปี นายแพทย์ณรงค์กล่าวว่า หัวใจเป็นอวัยวะที่ทำงานหนักตลอด 24 ชั่วโมง ทำหน้าที่ในการส่งเลือดผ่านไปทางหลอดเลือดเพื่อไปเลี้ยงอวัยวะทุกส่วนในร่างกาย รวมทั้งเลี้ยงที่หัวใจด้วย หากมีหลอดเลือดใดหลอดเลือดหนึ่งมีปัญหาเชื่อมโยงกันคืออวัยวะปลายทางขาดเลือดไปหล่อเลี้ยง และหัวใจทำงานหนักขึ้น เกิดปัญหาหัวใจวายและเสียชีวิต ส่วนใหญ่การป่วยและเสียชีวิตจากโรคนี้ มักเป็นอย่างฉุกเฉิน ไม่รู้ตัวมาก่อน สำหรับสถานการณ์โรคหัวใจของประเทศไทย มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นใน พ.ศ.2556 มีผู้เสียชีวิต 54,530 คน เฉลี่ยวันละ 150 คน หรือเฉลี่ยชั่วโมงละ 6 คน อัตราการป่วยต่อประชาการทุก 1 แสนคน ในปี 2555 เท่ากับ 427 คน เพิ่มจากปี 2547 ซึ่งมีอัตราการป่วยเท่ากับ 185 คน กระทรวงสาธารณสุขได้เร่งแก้ไขปัญหา เน้นให้ทุกจังหวัดรณรงค์ปรับพฤติกรรมสุขภาพประชาชน ป้องกันการป่วย และจัดบริการรักษาพยาบาลผู้ที่ป่วยแล้ว โดยให้ทุกเขตสุขภาพตั้งศูนย์เชี่ยวชาญโรคหัวใจ สามารถให้การรักษาทั้งด้วยยา การผ่าตัด และขยายการให้ยาละลายลิ่มเลือดถึงโรงพยาบาลระดับอำเภอ เพื่อให้ประชาชนได้รับการช่วยเหลือขั้นต้นได้อย่างทันท่วงที ก่อนนำส่งรักษาต่อยังโรงพยาบาลใหญ่ เป็นการลดการเสียชีวิตของผู้ป่วย และมีบริการการแพทย์ฉุกเฉิน โดยประชาชนทุกพื้นที่ สามารถโทรขอความช่วยเหลือได้ที่หมายเลข 1669 ตลอด 24 ชั่วโมง ด้านนายแพทย์โสภณ เมฆธน อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า ผลงานการศึกษาวิจัยทั่วโลก ยืนยันตรงกันว่าสาเหตุการป่วยโรคหัวใจในขณะนี้ เกือบ 100 เปอร์เซ็นต์ และเป็นผลมาจากโรคที่เกิดจากวิถีชีวิตและพฤติกรรมสุขภาพที่ไม่ถูกต้อง และมี 4 โรค เป็นตัวเร่งสำคัญ ได้แก่ โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง และความอ้วน ซึ่งล้วนเป็นโรคที่มีผลต่อหลอดเลือด ทำให้หลอดเลือดแข็งตัว หรือหลอดเลือดตีบตันแคบ โดยพฤติกรรมที่จัดว่าเสี่ยงที่จะก่อโรค 4 โรค ได้ง่ายๆ ได้แก่ - การรับประทานที่มากเกินพอดี ไม่สมดุล - รับประทานอาหารรสหวาน มัน เค็ม - รับประทานผักผลไม้น้อย - ใช้เครื่องอำนวยความสะดวกมากขึ้น ไม่ออกกำลังกาย การสูบบุหรี่และดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ นายแพทย์โสภณกล่าวต่อว่า ในกลุ่มผู้ที่ป่วยจาก 4 โรค ซึ่งคาดว่าจะมีไม่ต่ำกว่า 10 ล้านคน ขอให้ปฏิบัติตามคำแนะของแพทย์อย่างเคร่งครัด ทั้งการกินยาควบคุมอาการ การลดกินอาหารหวานจัด อาหารรสมันหรือเค็ม งดดื่มเหล้า งดสูบบุหรี่ ออกกำลังกาย อย่างสม่ำเสมอ และพบแพทย์ตามนัด เพื่อป้องกันการเกิดโรคหัวใจรวมทั้งโรคแทรกซ้อนอื่นๆที่มีโอกาสเกิดได้ เช่น โรคหลอดเลือดสมองตีบหรือแตก โรคไตวาย ส่วนประชาชนที่ยังมีสุขภาพปกติ ขอให้เน้นการป้องกัน สามารถเริ่มปฏิบัติตั้งแต่อายุ 6 ปีขึ้นไปจนถึงสูงอายุ คือ 1.ออกกำลังกายทุกวัน อย่างน้อยวันละ 30 นาที ซึ่งจะมีผลดี จะช่วยควบคุมน้ำหนัก สลายไขมันส่วนเกิน และสลายความเครียด ทำให้อารมณ์ดี นอนหลับสนิท 2.ชั่งน้ำหนักตัวทุกวันตอนเช้าก่อนรับประทานอาหาร เพื่อประเมินน้ำหนักตัวเอง 3.รับประทาน อาหารที่มีน้ำตาล เกลือ ไขมันต่ำ เพิ่มการกินผัก ผลไม้ให้ได้วันละครึ่งกิโลกรัม หรือให้ได้ครึ่งหนึ่งของอาหารแต่ละมื้อ ตามสูตรผักครึ่งหนึ่ง อาหารครึ่งหนึ่ง 4.งดและลด การสูบบุหรี่และดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิด 5.ตรวจสุขภาพปีละ 1 ครั้ง เพื่อคัดกรองหาความผิดปกติของระบบต่างๆในร่างกาย หากประชาชนทุกคนปฏิบัติตามคำแนะนำได้ ความเสี่ยงที่จะเกิดโรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง ความอ้วน และโรคหัวใจ จะน้อยลงหรือแทบไม่มีเลย ทั้งนี้สัญญานของอาการโรคหัวใจ ได้แก่1.เหนื่อย แน่นและเจ็บหน้าอก ซึ่งเป็นอาการที่พบได้มากที่สุด 2.นั่งพักแล้ว อาการที่กล่าวมายังไม่ดีขึ้น และเป็นมากขึ้น 3.กรณีในผู้ที่ป่วยเป็นโรคหัวใจแล้ว ใช้ยาอมใต้ลิ้นแล้วอาการไม่ดีขึ้น และ 4.มีอาการอื่นๆ ร่วมด้วย อาทิ คลื่นไส้ อาเจียน ใจสั่น หายใจไม่อิ่ม หากมีอาการที่กล่าวมา ขอให้รีบไปพบแพทย์ทันที ประชาชนสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข หมายเลข 1422
Create Date : 01 ตุลาคม 2557 |
Last Update : 1 ตุลาคม 2557 7:53:36 น. |
|
0 comments
|
Counter : 507 Pageviews. |
|
|
|