Group Blog
 
All Blogs
 
สมเด็จพระญาณสังวร - ความตาย




แทบทุกคนเคยได้รับรู้ความหมายของข้อความข้างต้นกันอยู่แลเว แทบทุกคนเคยพูดออกจากปากคนเองมาแล้ว แม้จะไม่ตรรงเป็นคำ ๆ แต่ก็มีความหมายตรงกันกับจ้อความข้างต้นนี้ ท้งยังเป็นการพูดชนิดที่เรียกว่าติดปากอีกด้วย คือพูดอยู่เสมอ ได้รู้ได้เห็นการคายของผู้ใดทีไรก็มักจะอ



ความตาย


สมเด็จพระญาณสังวร (สุวฑฒโน) วัดบวรนิเวศวิหาร


แสดงทางวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย เมื่อวันอาทิตย์ที่ ๑๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๗



“ทั้งเด็ก ทั้งผู้ใหญ่ ทั้งคนพาล ทั้งบัณฑิต

ล้วนไปสู่อำนาจแห่งความตาย

ล้วนมีความตายเป็นเบื้องหน้า”





แทบทุกคนเคยได้รับรู้ความหมายของข้อความข้างต้นกันอยู่แล้ว แทบทุกคนเคยพูดออกจากปากตนเองมาแล้ว แม้จะไม่ตรงเป็นคำ ๆ แต่ก็มีความหมายตรงกันกับข้อความข้างต้นนี้ ทั้งยังเป็นการพูดชนิดที่เรียกว่าติดปากอีกด้วย คือพูดอยู่เสมอ ได้รู้ได้เห็นการตายของผู้ใดทีไรก็มักจะอุทานเป็นการปลงด้วยความหมายดังกล่าวแทบทั้งนั้น นี่เป็นเพราะทุกคนมีความรู้อยู่แก่ใจว่า ทุกคนเกิดมาแล้วก็ต้องตาย ไม่มีใครสักคนเดียวที่จะหนีความตายไปพ้น นับว่าทุกคนมีความได้เปรียบอยู่ประการหนึ่งที่มีความรู้นี้ติดตัวติดใจอยู่ แต่แทบทุกคนก็มีความเสียเปรียบอยู่ประการหนึ่ง ที่ไม่เห็นค่าไม่เห็นประโยชน์ของความรู้นี้ จึงมิได้ใส่ใจเท่าที่ควร ปล่อยปละละเลย จึงรู้เหมือนไม่รู้ สิ่งที่เป็นคุณเป็นประโยชน์จึงเหมือนเป็นสิ่งที่ไม่มีค่า


ความรู้ว่าทุกคนเกิดมาแล้วต้องตายเป็นสิ่งเป็นคุณเป็นประโยชน์ยิ่งใหญ่ แม้ใส่ใจในความรู้นี้ให้เท่าที่ควร ก็จะสามารถทำให้เกิดคุณเกิดประโยชน์แก่ตนเองได้มหาศาล ไม่มีคุณไม่มีประโยชน์ใดอาจเปรียบปรานได้ เพื่อเสริมส่งความรู้นี้ให้บังเกิดคุณประโยชน์ยิ่งใหญ่แก่ตนเองและแก่ส่วนรวม ปราชญ์ทางพระพุทธศาสนาทั้งหลาย ท่านจึงสอนให้หัดตายเสียก่อนถึงเวลาตายจริง ท่านสอนให้หัดตายไว้เสมอ อย่างน้อยก็ควรวันละหนึ่งครั้ง ครั้งละ ๕ นาที ๑๐ นาที เป็นอย่างน้อย


การหัดตายนั้นบางคนบางพวกน่าจะเริ่มต้นด้วยหัดคิดถึงสภาพเมื่อคนกำลังถูกประหัตประหารให้ถึงตาย คิดให้ลึกซึ้งถึงความกลัวตายของตนในขณะนั้น แล้วก็คิดจนถึงเมื่อต้องถูกประหัตประหารถึงตายจนได้ แม้จะกลัวแสนกลัว แม้จะพยายามกระเสือกกระสนช่วยตนเองให้รอดพ้นอย่างไร ก็หารอดพ้นไม่ ต้องตายด้วยความทรมานทั้งกายทั้งใจ


การหัดตายเริ่มตั้งแต่ความกลัวตายแบบทารุณโหดร้ายเช่นนี้ มีคุณเป็นพิเศษแก่จิตใจ จักสามารถอบรมบ่มนิสัย ที่แม้เหี้ยมโหดอำมหิตปราศจากเมตตากรุณาต่อชีวิตร่างกายผู้อื่น ให้เปลี่ยนแปลงได้ ความคิดที่จะประหัตประหารเขาเพื่อผลได้ของตนจักเกิดได้ยาก หรือจักเกิดไม่ได้เลย เพราะการพยายามหัดให้รู้สึกหวาดกลัวการถูกประหัตประหารผลาญชีวิตนั้น เมื่อทำเสมอ ๆ ก็จะเป็นผลเป็นความเข้าใจถึงความรู้สึกของผู้อื่นที่ต้องหวาดกลัวเช่นเดียวกัน ความเมตตาปรานีชีวิตผู้อื่นสัตว์อื่นจะเกิดได้ แม้จะไม่เคยเกิดมาก่อน ซึ่งก็เป็นการเมตตาปราณีชีวิตตนเองไปพร้อมกันด้วยอย่างแน่นอน ผู้ประหัตประหารเขา แม้จะได้สิ่งที่มุ่งได้ แต่ผลที่แท้จริงอันจะเกิดจากกรรมคือการประหัตประหารที่ได้ประกอบกระทำลงไปนั้น จักเป็นทุกข์โทษแก่ผู้กระทำอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ กรรมนั้นให้ผลสัตย์ซื่อนัก เหมือนผลของยาพิษร้าย กรรมนั้นเมื่อทำแล้วก็เหมือนดื่มยาพิษร้ายแรงเข้าไปแล้ว จักไม่เกิดผลแก่ชีวิตและร่างกายย่อมไม่มี ย่อมเป็นไปไม่ได้ ถ้าเป็นกรรมดีก็จักให้ผลดี ถ้าเป็นกรรมชั่วก็จักให้ผลชั่ว เราเป็นพุทธศาสนิก นับถือพระพุทธศาสนา พึงมีปัญญาเชื่อให้จริงจังถูกต้องในเรื่องกรรมและการให้ผลของกรรมเถิด จักเป็นศิริมงคล เป็นความสวัสดีแก่ตนเอง


ยุคสมัยน้น่าจะง่ายพอสมควรสำหรับนึกให้กลัวการถูกประหัตประหารถึงชีวิต เพราะเหตุการณ์ทำนองนี้เกิดขึ้นแก่ใครก็ได้ไม่ว่างเว้น อาจจะเกิดแก่เราเองวินาทีหนึ่งวินาทีใดก็ได้ หัดคิดไว้ก่อนจึงเป็นการเตรียมพร้อมที่ไม่ปราศจากเหตุผล แต่เป็นการไม่ประมาท ความตายเกิดขึ้นได้แก่ทุกคนทุกหนทุกแห่งทุกเวลา พุทธศาสนสุภาษิตกล่าวว่า “เมื่อสัตว์จะตายไม่มีผู้ป้องกัน” และ “จะอยู่ในอากาศ อยู่กลางสมุทร เข้าไปสู่หลืบเขา ก็ไม่พ้นจากมฤตยูได้ ประเทศคือดินแดนที่มฤตยูจะไม่รุกรานผู้อยู่ ไม่มี” เพราะถูกมฤตยูรุกรานเมื่อไรที่ไหนเราไม่รู้ หายใจออกครั้งนี้แล้ว เราอาจไม่ได้หายใจเข้าไปอีก เมื่อถึงเวลาจะต้องตาย ไม่มีผู้ใดจะผัดเพี้ยนได้ ไม่มีผู้ใดจะช่วยได้ เพราะ “เมื่อสัตว์จะตาย ไม่มีผู้ป้องกัน” และ “ความผัดเพี้ยนกับมฤตยูอันมีกองทัพใหญ่นั้นไม่ได้เลย” ทุกก้าวย่างของทุกคน ไม่ว่าจะเป็นใคร อยู่แห่งหนตำบลใด จึงทำไมถึงมือมฤตยูได้ ผู้ร้ายก็เคยตกอยู่ในมือ ทั้งที่ถุงใส่เงินแสนเงินล้านที่ไปปล้นจี้เขายังอยู่ในมือ ไม่ทันได้ใช้ได้เก็บเข้าบัญชี สะสมเพื่อความสมปรารถนาของตน นักการเมืองไม่ว่าเล็กว่าใหญ่ก็เคยตกอยู่มในมือมฤตยูในขณะกำลังเหนื่อยกายเหนื่อยใจ ใช้หัวคิดทุ่มเทเพื่อบรรลุจุดมุ่งหมายสูงสุดของตน ผู้ที่ใช้กำลังยิ้มแย้มแจ่มใสมีความสุขกับครอบครัว เคี้ยวข้าวอยู่ในปากแท้ ๆ ก็เคยตกอยู่ในมือมฤตยูโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว ผู้เหินฟ้าอยู่บนเครื่องบินใหญ่โตมโหฬารราวกับตึก ก็เคยอยู่ในมือมฤตยูโดยไม่คาดคิด ผู้โดยสารเรือเดินสมุทรใหญ่ก็เคยตกอยู่ในมือมฤตยูพร้อมกันมากมายหลายสิบชีวิต นักไต่เขาผู้ที่เคยหายสาบสูญในขณะที่กำลังไต่เขาโดยตกเข้าไปอยู่ในมือมฤตยู ทั้งหมดนี้เป็นเครื่องยืนยันสัจจะแห่งพุทธศาสนสุภาษิตที่ยกมาแสดงแล้วทั้งสิ้น


ปราชญ์ทางพระพุทธศาสนา คือผู้มีปัญญษท่านจตึงสอนให้แร่งอบรมมรณสตินึกถึงความตายหัดตายก่อนตายจริง จุดมุ่งหมายสำคัญของการหัดตายก็คือเพื่อปล่อยใจจากสิ่งทั้งหลาย ก่อนที่จะถูกความตายบังคับให้ปล่อยกิเลสเครื่องเศร้าหมองใจ ตัณหาความดิ้นรนทะยานอยาก อุปาทานความยึดมั่นถือมั่นทั้งหลายทั้งปวง หัดใจให้ปล่อยเสียพร้อมกับหดตาย สิ่งอันเป็นเหตุให้โลภให้โกรธให้หลงให้เกิดตัณหาอุปาทาน หัดละเสียเสียปล่อยเสียพร้อมกับหัดตาย ซึ่งจะมาถึงเราทุกเข้าจริงได้ทุกวินาที


บางทีจะมีปัญหาว่า มีคุณพิเศษอย่างใดหรือ ที่จะควรละหรือเพียงหีดละความโลภความโกรธความหลงตัณหาอุปาทานตั้งแต่ก่อนตาย หรือจะไม่พูดถึงจุดประเสริฐสูงสุดในพุทธศาสนาคือมรรคผลนิพพาน อันจะเกิดได้เพราะการละกิเลสสำคัญคือสามกองเท่านั้น แต่จะพูดถึงผลได้ผลเสียธรรมดา ๆ ที่แท้พิจารณาเพียงสมควรก็จะเข้าใจ อันความโลภความโกรธความหลงตัณหาอุปาทานนั้น บางครั้งบางคราวก็ทำให้ผู้ยังมีชีวิตอยู่ทั้งหลายได้รับวัตถุตอบสนองสมปรารถนา เช่น ผู้มีความโลภอยากได้ข้าวของทรัพย์สินเงินทองของผู้อื่น บางครั้งบางคราวก็อาจขอเขาโกงเขาลักขโมยเขา ได้สิ่งที่โลภอยากได้เป็นของตนสมปรารถนา หรือผู้มีความโกรธ อยากว่าเขาอยากทำร้ายร่างกายเขา บางครั้งบางคราวก็อาจทำได้สำเร็จสมใจ แต่ถ้าตกอยู่ในมือมฤตยูแล้ว เป็นคนตายแล้ว แม้ยังมีความโลภความโกรธความหลงตัณหาอุปาทานเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับจิตใจ ผู้ที่ตายแล้วจะไม่สามารถใช้กิเลสกองหนึ่งกองใดให้เกิดผลตอบสนองความปีรารถนาต้องการได้เลย ผู้ตายแล้วที่มีความโลภก็ไม่อาจขอเขาลักขโมยเขาได้ หรือผู้ตายแล้วที่มีความโกรธก็ไม่อาจว่าเขาทำร้ายร่างกายเขาได้ กล่าวได้ว่าแม้ใจของผู้ที่ตายแล้วจะยังมีความโลภความโกรธความหลงตัณหาอุปาทานอยู่มากมายเพียงไร ก็จะไม่สามารถก่อให้เกิดผลดีอันเป็นคุณแก่ตนหรือแก่ผู้ใดได้เลย มีแต่ผลร้ายอันเป็นโทษสถานเดียวจริง


ปัญหาสืบเนื่องว่าไฉนเมื่อกิเลสเป็นคุณแก่ผู้ตายแล้วไม่ได้จังเป็นโทษแก่ผู้ตายได้นั้น มีคำตอบดังนี้ เมื่อลมหายใจออกจากร่างไม่กลับเข้าอีกแล้ว สิ่งที่เป็นนามแลไม่เห็นด้วยสายตาเช่นเดียวกับลมหายใจคือจิตก็จะออกจากร่างนั้นด้วย จิตจะออกจากร่างโดยคงสภาพเดิม คือพร้อมด้วยกิเลสเครื่องเศร้าหมองทั้งปวง ที่มีอยู่ในจิตขณะยังอยู่ในร่าง คือยังเป็นจิตของคนเป็น ของคนยังไม่ตาย


พระพุทธองค์ทรงกล่าวว่า “ผู้ละโลกนี้ไปขณะที่จิตเศร้าหมอง ทุคติเป็นอันหวังได้” กิเลสทั้งปวงเป็นเครื่องเศร้าหมองของจิต จิตที่มีกิเลสเป็นจิตที่เศร้าหมอง กิเลสมากจิตก็เศร้าหมองมาก กิเลสน้อยจิตก็เศร้าหมองน้อย จิตที่มีกิเลสเศร้าหมองเมื่อละจากจ่าง ไปสู่ภพภูมิใด ก็จะคงกิเลสนั้นอยู่ คงความเศร้าหมองนั้นไว้ภพภูมิที่ไปจึงเป็นทุคติ คติที่ชั่ว คติที่ไม่ดี มากน้อยหนักเบาตายกิเลสตามความเศร้าหมองของจิต


อันคำว่า “จิตเศร้าหมอง” ที่ท่านใช้ในที่นี้มิได้หมายความเพียงว่าเป็นจิตที่หดหู่อยู่ด้วยความเศร้าโศกเสียใจเท่านั้น แต่ “จิตเศร้าหมอง” หมายถึงจิตที่ไม่บริสุทธิ์ผ่องแผ้ว คือเศร้าหมองด้วยกิเลส ดังกล่าวแล้วว่า จิตมีกิเลสมากก็เศร้าหมองมาก จิตที่มีกิเลสน้อยก็เศร้าหมองน้อย


อันกิเลสกองหลังหรือโมหะนั้นเป็นกองใหญ่กองสำคัญ เป็นเหตุแห่งโลภะและโทสะ ความหลงหรือโมหะนั้นคือความรู้สึกที่ไม่ถูกความรู้สึกที่ไม่ชอบความรู้สึกที่ไม่ควร คนมีโมหะคือคนหลง ผู้มีความรู้สึกไม่ถูกไม่ชอบไม่ควรทั้งหลายคือคนมีโมหะ คือคนหลง เช่นหลงตน หลงคน หลงอำนาจ เป็นต้น


คนหลงตนเป็นคนมีโมหะ มีความรู้สึกที่ไม่ถูกไม่ชอบไม่ควรในตนเอง คนหลงตนจะมีความรู้สึกว่าตนเป็นผู้ที่มีความดีความสามารถความวิเศษเหนือใครทั้งหลายเกิดความจริง ซึ่งเป็นความรู้สึกในตนเองที่ไม่ถูกไม่ชอบไม่ควร โลภะและโทสะก็จักเกิดตามมาโดยไม่ยาก เมื่อหลงจนว่าดีวิเศษเหนือคนทั้งหลาย ความโลภเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งอันควรแก่ความดีความวิเศษย่อมเกิดขึ้นเป็นธรรมดา ความโกรธด้วยไม่ต้องการให้ความดีความวิเศษน้นถูกเปรียบหรือถูกลบล้างย่อมเกิดขึ้นเป็นธรรมดา ความโกรธด้วยไม่ต้องการให้ความดีความวิเศษนั้นถูกเปรียบหรือถูกลบล้างย่อมเกิดขึ้นเป็นธรรมดา นี้เป็นตัวอย่าง


คนหลงคนเป็นคนมีโมหะ มีความรู้สึกที่ไม่ถูกไม่ชอบไม่ควรในคนทั้งหลาย คนหลงจะมีความรู้สึกว่าคนนั้นคนนี้ที่ตนหลงมีความสำคัญมีความดีความวิเศษเหนือคนอื่นเกิดความจริง ซึ่งเป็นความรู้สึกในคนนั้น ๆ ที่ไม่ถูกไม่ชอบไม่ควร เมื่อมีความรู้สึกนี้อันเป็นโมหะ โลภะและโทสะก็จักเกิดตามมาได้โดยไม่ยาก เมื่อหลงคนใดคนหนึ่งว่ามีความสำคัญความดีความวิเศษเหนือคนอื่น ความรู้สึกมุ่งหวังเกี่ยวกับคนใดคนหนึ่งนั้นเป็นโลภะ และเมื่อมีความหวังก็ต้องมีได้ทั้งความสมหวังและความผิดหวังเป็นธรรมดา ความรู้สึกผิดหวังนั้นเป็นโทสะ นี้เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งของความหลงคือหลงคน


คนหลงอำนาจเป็นคนมีโมหะ มีความรู้สึกที่ไม่ถูกไม่ชอบไม่ควรในอำนาจที่ตนมี คนหลงอำนาจจะมีความรู้สึกว่าอำนาจที่ตนมีอยู่นั้นยิ่งใหญ่เหนืออำนาจทั้งหลายเกิดความจริง ซึ่งเป็นความรู้สึกที่ไม่ถูกไม่ชอบไม่ควร เมื่อมีความรู้สึกนี้อันเป็นโมหะโลภะและโทสะก็จักเกิดตามมาได้โดยไม่ยาก เมื่อหลงอำนาจของตนว่ายิ่งใหญ่เหนืออำนาจทั้งหลาย ย่อมเกิดความเหิมเห่อทะเยอทะยานในการใช้อำนาจนั้นให้เกิดผลเสริมอำนาจของตนยิ่ง ๆ ขึ้น ความรู้สึกนี้จัดเป็นโลภะก็ได้ และแม้ไม่เป็นไปดังความเหิมเห่อทะเยอทะยาน ความผิดหวังนั้นจักเป็นโทสะ นี้เป็นตัวอย่างหนึ่งของความหลงคือหลงอำนาจ


ผู้มีโมหะมากคือมีความหลงมาก มีความรู้สึกที่ไม่ถูกไม่ชอบไม่ควรมากในตน ในคน ในอำนาจ ย่อมปฏิบัติผิดได้มาก ก่อทุกข์โทษภัยให้เกิดขึ้นได้มาก ทั้งแก่ตนเองและผู้อื่น ทั้งแก่ส่วนน้อยและส่วนใหญ่ รวมถึงแก่ประเทศชาติศาสนาพระมหากษัตริย์ พระพุทธดำรัสที่ว่า “ผู้ละโลกนี้ไปในขณะที่จิตเศร้าหมอง ทุคติเป็นอันหวังได้” นั้น มีตัวอย่างที่จักยกขึ้นประกอบการพิจารณาให้เข้าใจพอสมควร ดังนี้


บุคคลผู้มีโมหะมาก หลงตนมาก จัดเป็นพวกมีกิเลสมาก จิตเศร้าหมองมากจะเป็นผู้ขาดความอ่อนน้อม แม้แต่ต่อผู้ควรได้รับความอ่อนน้อมอย่างยิ่ง บุคคลเหล่านี้เมื่อละโลกนี้ไปขณะที่ยังมิได้ละกิเลสคือโมหะได้น้อย จิตย่อมเศร้าหมอง ย่อมไปสู่ทุคติ ทุคติของผู้หลงตนจนไม่มีความอ่อนน้อมต่อผู้ควรได้รับความอ่อนน้อมอย่างยิ่ง จักเกิดในตระกูลที่ต่ำ ตรงกันข้ามกับผู้รู้จักอ่อนน้อมถ่อมต่อผู้ควรได้รับความอ่อนน้อมที่จะไปสู่สุคติ คือจักเกิดในตระกูลที่สูง นี้เป็นเรื่องหนึ่งซึ่งชัดแจ้งเกี่ยวกับกรรมและการให้ผลของกรรม ผู้ใดทำกรรมใดไว้จักได้รับผลของกรรมนั้น ทำดีจักได้ดี ทำชั่วจกได้ชั่ว ทำเช่นใดจักได้เช่นนั้น ความไม่อ่อนน้อมต่อผู้ที่ควรอ่อนน้อมเป็นกรรมไม่ดี การเกิดในตระกูลที่ต่ำเป็นผลของกรรมไม่ดี เป็นผลที่ตรงตามเหตุแท้จริง เพราะผู้เกิดในตระกูลที่ต่ำปกติย่อมไม่ได้รับความอ่อนน้อมจากคนทั้งหลาย ส่วนผู้เกิดในตระกูลที่สูงปกติย่อมได้รับความอ่อนน้อม ความอ่อนน้อมที่ผู้เกิดในตระกูลสูงมีปกติได้รับนั้นเป็นผลที่เกิดจากเหตุอันเป็นกรรมดี คือความอ่อนน้อม


ที่กล่าวมาแล้วเป็นการยืนยัน ว่าผู้มีปัญญาควรปฏิบัติตามคำแนะนำของปราชญ์ทางพระพุทธศาสนา หัดตายก่อนที่จะตายจริง หัดปล่อยใจจากกิเลสเครื่องเศร้าหมองใจพร้อมกบการหัดตายก่อนที่จะถูกความตายมาบังคับให้เป็นไป การหัดตายที่ปราชญ์ทางพระพุทธศาสนาท่านแนะนำคือการหัดอบรมความคิดสมมติว่า ตนเองในขณะนั้นปราศจากชีวิตแล้ว ตายแล้ว เช่นเดียวกับผู้ที่ตายแล้วจริง ๆ ทั้งหลาย คิดให้เห็นชัดในขณะนั้น ว่าเมื่อตายแล้วตนจะมีสภาพอย่างไร ร่างที่เคยเคลื่อนไหวได้ก็จะหยุดนิ่ง อย่าว่าแต่จะลุกขึ้นไปเก็บรวบรวมเงินทองข้าวของที่อุตส่าห์สะสมไว้เพื่อนำไปด้วยเลย จะเขยิบให้พ้นแดดพ้นมดสักนิ้วสักคืบก็ทำไม่ได้ หมดลมที่ตรงไหนก็จะเคลื่อนพ้นที่ตรงนั้นไปด้วยตนเองไม่ได้ เมื่อมีผู้มายกไปนำไปยังที่ซึ่งเขากำหนดว่าเหมาะว่าควร ก็ไม่อาจขัดขืนโต้แย้งได้ แม้บ้านอันเป็นที่รักที่หวงแหนเขาก็จะไม่ให้อยู่ จะยกไปวัด เคยนอนบนฟูกบนเตียงในห้องกว้าง ประตูหน้าต่างเปิดโปร่ง เขาก็จับใส่ลงไปในโลงศพที่แคบอับทึบ ไม่มีประตูไม่มีหน้าต่าง ตีตะปูปิดสนิทแน่น ไม่ให้มีแม้แต่ช่องลมและอากาศ จะร้องก็ไม่ดัง จะประท้วงหรืออ้อนวอนก็ไม่สำเร็จ ไม่มีใครสนใจ สามีภรรยามารดาบิดาบุตรธิดาญาติสนิทมิตรทั้งหลายที่เคยรักห่วงใยกันนักหนาก็ไม่มีใครมาอยู่ด้วยแม้สักคน อย่าว่าแต่จะเข้าไปนั่งไปนอนในโลงศพด้วยเลข แม้แต่จะนั่งเฝ้าอยู่ข้างโลงทั้งวันทั้งคืนยังไม่มีใครยอม บ้านใครเรือนใครก็พากันกลับไปหมดทิ้งเราไว้แต่ลำพัง ในวัดที่อ้างว้าง มีศาลาตั้งศพ มีเมรุเผาศพ มีเชิงตะกอน มีศพที่เผาเป็นเถ้าถ่านแล้วบ้าง ยังไม่ได้เผาบ้าง มากมายหลายศพ ที่นี่เมื่อยังไม่ตาย เราเคยกลัว เคยรังเกียจ แต่เมื่อตาย เราก็หนีไม่พ้น เรามีอะไรหรือในขณะนั้น เราไม่มีเลย มือเปล่า เกลี้ยงเกลาไปทั้งเนื้อทั้งตัว เงินสักบาททองสักเท่าหนวดกุ้งก็ไม่มีติดตัวแท้ ๆ เขาไม่ได้แต่งเครื่องเพชรเครื่องทองของมีค่า หรือมอบกระเป๋าใส่เงินใส่ทองให้เลย ยังดีเราก็มีเพียงเสื้อผ้าที่เขาเลือกสวมใส่แต่ศพให้ไปเท่านั้น ซึ่งไม่กี่วันก็จะชุ่มเลือดชุ่มน้ำเหลืองที่ไหลจากตัว มีใครเล่าจะมาเปลี่ยนชุดใหม่ให้ ทั้ง ๆ ที่ก็สะสมไว้มากมายหลายชุดที่ล้วนเป็นที่ชอบอกชอบใจว่าสวยว่างาม โอกาสที่จะได้ใช้เงินใช้เสื้อผ้าอาภรณ์เครื่องเพชรเครื่องทองเหล่านั้นสิ้นสุดลงแล้วพร้อมกับลมหายใจ พร้อมกับชีวิตที่สิ้นสุดนั้นเอง ไม่คุ้มกันเลยกับความเหนื่อยยากแสวงหา โดยเฉพาะอย่างยิ่งไม่คุ้มกันเลยกับที่ถ้าจะต้องแสดงหามาสะสมโดยไม่ถูกไม่ชอบด้วยประการทั้งปวง ที่เป็นบาทเป็นอกุศล เป็นการเบียดเบียนก่อทุกข์ก่อภัยให้ผู้อื่น


หัดนึกถึงร่างของคนเองที่ตายแล้ว ขึ้นอืดอยู่ในโลง เริ่มปริเริ่มแตกมีน้ำเลือดน้ำหนองไหลออกจากทุกขมขน เส้นผมเปียกแฉะด้วยเลือดด้วยหนอง ลิ้นที่เคยอยู่ในปากเรียบร้อยก็หลุดออกมาจุก นัยน์ตาถลนเหลือกลาน รูปร่างหน้าตาตนเองขณะนั้น อย่าว่าแต่จะให้ใครอื่นจำได้เลย แม้แต่ตัวเองก็จำไม่ได้ อย่าว่าแต่จะให้ใครอื่นไม่รังเกียจสะดุ้งกลัวเลย แม้แต่ตัวเองก็ยากจักห้ามความรู้สึกนั้น ผิวพรรณที่อุตสาหะพยายามถนอมรักษาให้งดงามเจริญตาเจริญใจ ด้วยหยูกยาเครื่องอบเครื่องลูบไล้เครื่องประทินอันมีกลิ่นมีคุณค่าราคาแพงทั้งหลาย มีลักษณะตรงกันข้ามกับความปรารถนาอย่างสิ้นเขิง เมื่อความตายมาถึง


เมื่อความตายมาถึง ไม่มีผู้ใดจะสามารถถนอมรักษาหวงแหนทะนุบำรุงร่างของตนเองไว้ได้ แม้สมบัติพัสถานที่แสดงหาไว้ระหว่างมีชีวิตอยู่ตนเต็มสติปัญญาความสามารถด้วยเหล่ห์ด้วยกลก็ตาม เพื่อใช้ทะนุถนอมรักษาเชิดชูบำรุงร่างของตน ก็ติดกับร่างไปไม่ได้เลย เป็นจริงดังพุทธศาสนสุภาษิตว่า “ทรัพย์สักนิดก็ติดตามคนตายไปไม่ได้” ให้ความสุขความสมบูรณ์ความสะดวกสบายความปกป้องคุ้มกันร่างของคนตายไม่ได้ ต้องปล่อยให้ร่างนั้นผุพังเน่าเปื่อยคืนสู่สภาพเดิม เป็นดินน้ำไฟลมประจำโลกต่อไป ต้องตามพุทธศาสนสุภาษิตว่า “สัตว์ทั้งปวงจักทอดทิ้งร่างไว้ในโลก”


ผู้มีความข้าใจว่าตายแล้วจะไปเกิดเป็นอะไร สุขทุกข์อย่างไร เราไม่รับรู้ด้วยแล้ว จึงไม่มีความหมาย นี้เป็นความเข้าใจผิดอย่างยิ่ง เป็นโมหะสำคัญ ก็ที่เราเกิดเป็นนั่นเป็นนี่กันในชาตินี้ ทำไมเราจึงรู้สุขรู้ทุกข์ ทั้ง ๆ ที่เราไม่รู้ว่าเกี่ยวข้องกับชาติก่อนอย่างไร พุทธศาสนิกชนส่วนใหญ่เชื่อว่ามีขาติในอดีตและชาติในอนาคต เชื่อว่าก่อนที่จะมาเกิดในชาตินี้ได้เคยเกิดขึ้นชาติอื่นมาแล้ว และจะต้องเกิดในชาติหน้าต่อไปอีกไม่รู้กี่ชาติต่อกี่ชาติ ถ้ายังทำกิเลสให้สิ้นไปไม่ได้ แต่ทั้งที่เชื่อเช่นนี้ก็ยังมีเป็นอันมากที่มีโมหะ หลงเข้าใจผิดอย่างยิ่งดังกล่าวแล้ว ว่าจบสิ้นความเป็นคนในชาตินี้แล้ว เราก็ไม่รู้เรื่องราวเกี่ยวกับชาติต่อไป พราะฉะนั้นก็สำคัญที่ต้องแสดงหาความสุขความสมบูรณ์ให้ตนเองให้เต็มที่ในชาตินี้ ผู้ใดมีโมหะหลงคิดผิดเช่นนี้ ผู้นั้นก็จะสามารถทำความผิดร้ายได้ทุกอย่าง เพื่อประโยชน์ตน ทรยศคดโกง เบียดเบียนทำลายเขาแม้กระทั่งถึงชีวิต ก็ทำได้ เป็นการสร้างกรรมที่จะให้ผลแก่ตนเองอย่างแน่นอน และจะต้องเสวยผลเสวยทุกขเวทนาทั้งในโลกนี้และเมื่อละโลกนี้ไปแล้ว ตามกรรมของตน ต้องตามพุทธภาษิตที่ว่า “กรรมของตนเองย่อมนำไปสู่ทุกคติ”


ปราชญ์กล่าวว่าชีวิตนี้น้อยนก พึงมีปัญญาขยายความนี้ให้ดีว่าเพ่อให้เกิดประโยชน์แก่ตนเองมากทุสุดเท่าที่จะมากได้ ชีวิตนี้น้อยนักก็คือชีวิตในชาตินี้น้อยนัก ชีวิตในชาติข้างหน้ายาวนานมิอาจประมาณได้ ฉะนั้นแม้รักตนจริงก็ควรรักให้ตลอดไป ถึงชีวิตชาติข้างหน้าด้วย ไม่ใช่คิดเพียงสั้น ๆ รักแต่ชีวิตนี้เท่านั้น หาแต่ความสมบูรณ์พูลสุขให้ชีวิตนี้ในขอบเขตที่ถูกทำนองคลองธรรมเถิด ผลแห่งกรรม ทั้งในชาตินี้และชาติหน้า ต่อ ๆ ไป ที่จะต้องเสวยจะได้ไม่เป็นผลร้าย ไม่เป็นผลของบาปกรรม


ชีวิตใครใครก็รัก ชีวิตเราเราก็รัก ชีวิตเขาเขาก็รัก ความตายเราก็กลัว ความตายเขาก็กลัว ของของใครใครก็หวง ของเราเราหวง ของเขาเขาก็หวง จะลักจะโกงจะฆ่าจะทำร้ายใครสักคนขอให้นึกกลับกันเสีย ให้เห็นเขาเป็นเรา เราเป็นเขา คือเขาเป็นผู้ที่ลักจะโกงจะฆ่าจะทำร้ายเรา เราเป็นผู้จะถูกลักถูกโกงถูกฆ่าถูกทำร้าย ลองนึกเช่นนี้ให้เห็นชัดเจน แล้วดูความรู้สึกของเราจะเห็นว่าที่เต็มไปด้วยโมหะนั้นจะเปลี่ยนเป็นเมตตากรุณาอย่างลึกซึ้ง ข่าวผู้พยายามป้องกันสมบัติของตนจนเสียชีวิตนั้นน่าสลดสังเวชยิ่งนัก หรือข่าวผู้แม้กำลังจะสิ้นชีวิตแล้วแต่ก็ยังพยายามกระเสือกกระสนรักษาสมบัติมีค่าของตนที่ติดตัวอยู่ก็น่าสงสารอย่างที่สุด พบข่าวเหล่านี้เมื่อไรขอให้นึกถึงใจคนเหล่านั้น อย่าคิดทำร้าย อย่าคิดเบียดเบียนกันเลย ทุกคนจะต้องตายและจะตายในเวลาไม่นาน คนไม่ได้อายุยืนเพราะทรัพย์ จะทำทุกวิถีทางแม้ที่ชั่วช้าโหดร้ายเพื่อได้มาซึ่งทรัพย์ทำไมเล่า ความโลภโดยไม่มีขอบเขตนั้นเป็นทุกข์หนักนัก ตนเองทุกข์เพราะความอยากได้ แล้วก็แผ่ความทุกข์เดือดร้อนไปถึงคนอื่นอย่างน่าเอนจอนาถ ขอแนะนำว่าถ้าทุกข์ถ้าร้อนเพราะความอยากได้ไม่มีสิ้นสุด จะไม่สามารถดับความทุกข์นั้นได้ด้วยวิธีลักขโมยคดโกงหรือประหัตประหารผู้ใด แต่จะดับทุกข์นั้นได้ด้วยทำกิเลสให้หมดจดเท่านั้น และขออำนวยพร.



คัดลอกจาก หนังสือเรื่อง มรณสติ พุทธวิธีต้อนรับความตาย ด้วยสติและปัญญา หน้า ๑ - ๗


<



Create Date : 07 ตุลาคม 2548
Last Update : 7 ตุลาคม 2548 10:11:21 น. 3 comments
Counter : 504 Pageviews.

 
อ่านแล้วก็พอจะสำนึกได้บ้างค่ะ


โดย: ป้ามด วันที่: 7 ตุลาคม 2548 เวลา:17:54:29 น.  

 


โดย: suparatta วันที่: 7 ตุลาคม 2548 เวลา:18:40:07 น.  

 
จขบ. สบายดีไม๊ค่ะ ระลึกถึงอยู่เสมอนะค่ะ


โดย: เป่าจิน วันที่: 16 พฤศจิกายน 2548 เวลา:15:31:16 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ลูกป้ามล
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add ลูกป้ามล's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.