อาดัง-ราวี-หลีเป๊ะ เมื่อตอนเปิดเกาะปี 50
เมื่อปีที่แล้วเปิดฤดูกาลท่องเที่ยวทะเล ได้มีโอกาสไปเที่ยวอาดัง-ราวี-หลีเป๊ะมา แต่เพิ่งได้มีโอกาสมาเล่า ดังนั้น อย่าเล่าเลย เอาภาพไปดูอย่างเดียวพอ แค่เป็นน้ำจิ้มให้ผู้อยากไปเที่ยวปีนี้จ้าเกาะไข่ยามเย็นที่หลีเป๊ะเกาะหินงามเกาะหินซ้อน
สระบุรี ลำตะคอง โคราช "ครั้งแรกกับประตูสู่อีสาน"
ไม่ได้อัพบล๊อคซะนานชาติ สาเหตุก็มีอยู่สาเหตุเดียวนั่นแหล๊ะ จะมีไร ก็งานไงคะ งานคือเงิน เงินคืองาน บัลดาลสุขแต่ก็ช่างมันเหอะค่ะ เรามาคุยกันเรื่องไปเที่ยว(แบบรำลึกชาติ) ก็แล้วกันเนาะเรื่องของเรืองมันมีอยู่ว่าไปงานไทยเที่ยวไทยที่ศูนย์ประชุมสิริกิตต์ มาตั้งแต่ปีกลายโน่น ก็ได้ไปซื้อ Voucher ของไร่คุณฉันท์ สระบุรีมาเป็น Voucher ที่ราคาไม่แพงเลย 1000 บาท ไปได้สองคน แล้วถ้าอยากจะพาคนไปเพิ่มก็ได้ในราคาเดียวกัน งานนี้ที่จำใจต้องเดินทางเพราะ Voucher มันมีอายุ 1 ปี และมันกำลังจะหมดวันที่ 31 ส.ค.แล้ว เอาหละ วันแม่นี่แหละเวิร์คสุด คิดได้ดังนั้นก็โทรไปจองชวนพี่หน่อยไปด้วย ก็จองไปสองห้อง 7 วันผ่านไป เดินทางกันดีกว่ารถไม่ค่อยติดเลยวันนั้นทั้งทั้งที่เป็นวันเสาร์ ก็ถือว่าโชคดีมากนะเนี่ยที่รถไม่ติด เราไปถึงที่หมายกันเกือบๆ เที่ยง เพราะมัวแต่หลงทางเนื่องจากคนบอกทางพูดไม่รู้เรื่องพอไปถึงก็เช็คอินเป็นที่เรียบร้อย ห้องพักแคบไปนิด คิดว่าสมกับราคา แพ็คเกจที่เราซื้อมา แต่ถ้าเป็นราคาปกติที่เค้าขายอยู่ล่ะก็ ม่ายหวายไม่ต้องคุยกันเลย แพงมาก เก็บของเรียบร้อย กะว่าจะออกไปเที่ยวน้ำตกกัน แต่ดูท่าทางฝนตั้งเค้ามายกใหญ่ เลยยกเลิกแผน หาข้าวกิน ในร้านข้าวนี้เอง เราได้เจอกับของดีแดนอีสานที่เรียกว่า "อุ" เมื่อกินข้าวกินปลาเรียบร้อย ก็ออกเดินทางต่อไปเที่ยวไร่องุ่นซึ่งก็ไปไม่ไกลจากที่พักมากนักหรอก ที่นี่เลยจ้าเดินเข้าไปเที่ยวไร่องุ่นกัน ที่นี่เค้าเลี้ยงกวางไว้ด้วยแหละ แต่ฟ้าฝนมัวหมองชะมัดถ่ายรูปกวางออกมาได้ดำดีแท้ เอารูปนี้ไปแทนละกัน เข้าไปเที่ยวไร่เค้าเฉยๆ แหละ ไม่ได้ซื้ออะไรหรอก แอบรู้สึกว่าแพงง่ะออกจากไร่องุ่นเราก็มุ่งหน้ากลับที่พัก เนื่องจากฟ้าฝนไม่เป็นใจเอาเสียจริงๆ ระหว่างทาง เจอเค้าเอาไวน์มาตั้งขาย ข้าพเจ้าเลยจัดซะ 2 ขวด (แอบบอกว่าถูกว่าที่ไร่ที่ออกมาเมื่อกี๊ครึ่งนึง ทั้งน้ำองุ่นทั้งไวน์เลย ความรู้สึกใช้ได้เหมือนกันนะเนี่ยเรา) ทีนี้สนุกละ คุณสามีได้อุ คุณภรรยาได้ไวน์ 555 อะไรจะเกิดขึ้นคิดกันเอาเองนะคะพี่น้อง พอกลับมาถึงที่พัก หันมาอีกทีคุณสามีแอบจัดการกับอุไปซะแล้ว แอบค้นเจอรูปห้องพักเอามาให้ดูกันหน่อย อันนี้ห้องน้ำ อันนี้หน้าบ้านแล้วเหตุการณ์หลังจากนี้ก็ไม่ได้ถ่ายรูปอีกเลย เพราะว่าเราทำธุรกิจในครอบครัวกัน ทำไร่(เพ่น) กันค่ะ รู้สึกอิฉันจะมีความสุขกว่าใคร ทำไร่ไปด้วยจิบไวน์ไปด้วยจี๊ดหัวใจจริงๆ ตอนเช้า หลังจากทานอาหารเช้าเรียบร้อยเราก็เตรียมตัวเดินทางต่อ โครงการของเราก็คือ กะว่าจะไปวัดของวัดของสรพงษ์ ชาตรี แล้วก็จะไป ลำตะคอง แล้วก็จะไปไหว้ย่าโม แล้วถึงจะค่อยกลับกรุงเทพกัน ระหว่างออกจากไร่ก็ได้โปสเตอร์มา1 ใบ คิดว่าสวยนะนั่น เราขับกันไปเรื่อย ผ่านลำตะคองไปก่อนเพื่อมุ่งหน้าสู่วัดหลวงพ่อโตของสรพงษ์ชาตรีไม่อยากจะบ่นแต่พอไปถึงแล้วคนเยอะจริงๆ คิดแบบไม่กลัวบาปเลยว่าลักษณะที่กำลังทำกันอยู่นี้เป็นพุทธพาณิชย์ จริงๆ ไม่อยากเห็นศาสนาพุทธที่แสนจะมีเหตุผลต้องกลายเป็นแบบนี้เลย สาธุ จากวัดดังกล่าวเราก็มุ่งตรงสู่โคราช แต่ด้วยเป็นเวลากว่าบ่ายโมงแล้วเราทุกคนเริ่มหิวข้าว ตอนที่ขับมาระหว่างทางก็ไม่มีร้านข้าวสักร้าน แม่ก็เริ่มจะหิวมากขึ้นทุกที ตอนนี้เราทุกคนกระวนกระวายมาก เพราวะทั้งหิว และเป็นห่วงแม่ แต่แล้วก็เหมือนสวรรค์มาโปรด อิอิ เราเจอร้านส้มตำร้านนึง อารมณ์นี้อะไรก็ได้กระแทกปากมาเถอะ "น้ำตกหมู 1, ปลาย่าง 1, หมี่ผัด 2, ต้มแซบ 1,ส้มตำปูปลาร้า 1 " คุณเหมียวระดมสั่งอย่างไม่คิดชีวิต เสียงแม่ค้าตอบมาว่า "กินปลาร้าเป็น กินตำครกแตกไหม " เอ... ตำครกแตกเป็นไงหว่า "โอเคพี่ จัดมาเลย" ไม่รอช้าไม่น่าเชื่อ นี่แหละหนาที่เค้าว่าช้างเผือกเกิดในป่าของจริง เสียดายที่มัวแต่หิวจนหน้ามืดลืมถือกล้องลงไปด้วย "ตำครกแตก" ที่ว่า ก็คือส้มตำปลาร้าเนี่ยแหละ แต่ว่าใส่เครื่องลงไปหลายอย่าง ทั้งกุ้ง หอยหวาน หมึก ไข่ต้ม และยังมีเครื่องอื่นอีกมากมาย แถมมาในจานเปลใบเบ้อเริ่ม รสชาติอร่อยเด็ดเจ็ดย่านน้ำจริงๆ ถ้าจะถามว่าร้านนี้อยู่ที่ไหน ขอบอกพิกัดง่ายๆเลยค่ะ อยู่เยื้องๆ กับปศุสัตว์จังหวัดนครราชสีมา เป็นร้านส้มตำห้องแถวคูหาเดียว ไม่มีชื่อร้าน น่าจะมีอยู่ร้านเดียวแหละตรงนั้น ผ่านไปก็แวะไปชิมกันนะจ๊ะพอเรียกคิดเงินเหมียวกับพี่หน่อยก็ลองกะราคาตำครกแตกกันคร่าวๆ เหมียวว่าต้องไม่ต่ำกว่า 80 พี่หน่อยบอก โอ๊ยไม่ได้หรอก ต้อง 120 ขึ้นไปพอคิดราคาออกมา แม่เจ้า 50 บาท ถูกด้วยอร่อยด้วยก็มีในโลกเนาะ หลังจากที่อาหารเที่ยงเรียบร้อย เราก้อแวะมากราบย่าโม นี่ถือเป็นครั้งแรกเลยนะเนี่ยที่ได้มาไหว้ย่าโม แหมดูจากอนุสาวรีย์นี่ถือว่าท่านเป็นผู้หญิงที่สวยนาหลังจากกราบย่าโมเรียบร้อยเราก็ตีรถกลับมาที่ลำตะคองอีกครั้ง แดดกำลังสวย ที่ลำตะคองนี่เราได้ โปสการ์ดอีกหลายรูปเลย แหมอยากอวดขอซะหน่อยนะหลังจากที่นั่งพักผ่อนหย่อนใจที่ลำตะคองจนค่ำ ดื่มด่ำกับความสวยงาม (สวยจริงๆ แต่ถ่ายรูปออกมาไม่ค่อยสวย) จนหนำใจ เราก็ออกเดินทางกลับกรุงเทพกันทริปนี้สงสัยต้องบายกันแล้วค่ะ เอาไว้เจอกันทริปหน้านะคะ หลีเป๊ะ เกาะสวาท หาดสวรรค์
One day Trip - ตลาดน้ำบางน้ำพึ่ง
เมื่อวันที่ 30 /6 /50 ได้มีโอกาสไป ตลาดบางน้ำพึ่งจริงๆ เคยไปหนนึงแล้วแต่คราวที่แล้วไม่ได้ถ่ายรูปมา คราวนี้มีโอกาสได้ไปอีกครั้งจึงไม่ลืมที่จะสะพายกล้องไปด้วยออกจากบ้านราว 11 โมง ขึ้นมอเตอร์เวย์ไปลงบางนา แล้วก็วิ่งไปทางสำโรง เลี้ยวขวาเข้าไปทางตัวเมืองสมุทรปราการแล้ว ขึ้นสะพานอะไรไม่รู้ที่ใหญ่ที่เค้าเพิ่งสร้างเสร็จน่ะ ลงสะพานก็จะมีป้ายบอกทางไปตลาดบางน้ำพึ่ง ก็พึ่งป้ายตลอดทางเลยจ้า (ขอโทษนะที่อธิบายทางรู้เรื่องไปหน่อย )ไม่ต้องไปพูดถึงรายละเอียดกันมากมากดูภาพกันเลยดีกว่าบรรยากาศคลองบ้านสวนของขายที่นี่บางเจ้าเค้ายังใส่กระทงอยู่เลยอ้ะมีขนมแปลกๆ ขายเช่น ม้าฮ่อ ส้มฉุน ไม่ได้ถ่ายรูปม้าฮ่อมาน่ะ เพราะเคยออกทีวีแล้วหน้าตาขนมเป็นแบบนี้ขนมไทยใส่ไอเดียผลไม้แปลกๆ เคยเห็นกันป่าวจ๊ะไข่ปลาหมึกปิ้งเจ้านี้อร่อยมาก ขอบอก เพราะว่าเค้าจะห่อด้วยใบตองแล้วถึงย่าง จะทำให้นุ่มนวลมาก แหมม พูดแล้วน้ำยัยไหย ของหัตถกรรมพื้นบ้านก็มี มีต้นตีนเป็ดด้วยซึ่งพอลูกมันแห้งแล้ว จะเอามาทำแบบนี้มีที่ให้พักผ่อนหย่อนใจริมน้ำด้วยถ้าใครสนใจจะพายเรือก็มีเรือให้เช่าพายด้วย รู้สึกจะ 20 บาทแต่ไม่ทราบเวลาบรรยากาศข้างในตลาดจ้า แหมมีรูปคนติดมาด้วย ก็มันลืมถ่ายรูปบรรยากาศเฉยๆมาด้วยน่ะวันที่ไปมีฝรั่งขี่จักรยานมาเที่ยวด้วยผลไม้จากสวนหลังจากที่หมดเรี่ยวหมดแรงจากตลาด ก็ได้เวลากลับแต่ก่อนกลับยังอุตส่าห์ไปแวะพิพิธภัณฑ์ ช้าง เอราวัณ อีก (ทั้งๆที่จะเดินไม่ไหวอยู่แล้ว)แต่ก็อย่างว่าแหละ แค่แวะ เพราะว่าเดินไม่ไหวจริงๆ เก็บรูปรอบนอกมาให้ดูนิดหน่อย
ตลาดน้ำอัมพวา นั่งเรือชมหิ่งห้อย
วันเสาร์ ไม่รู้จะทำอะไร ตืนมาตอนสายๆ แล้วรู้สึกเบื่อมากๆชวนแม่ กะคุณสามี (ไอ้คุณลูกไม่ต้องพูดถึง ใครให้ไปไหนก็ไปอยู่แล้ว)ไปเที่ยวตลาดน้ำอัมพวากันดีกว่า ไปนั่งเรือดูหิ่งห้อยกัน เห็นคนเค้าพูดกันนักกันหนาว่าน่าไป น่าเที่ยวใครจะกล้าขัดใจเจ๊เหมียวล่ะ กุลีกุจออาบน้ำออกเดินทางกันทันที ไปถึงก็บ่ายๆ แล้วหละ หลงมั่งไรมั่งก็ว่ากันไประหว่างทางเดินกว่าจะถึงคลองก็มีของขายเยอะมาก (ดูๆไปก็เหมือนตลาดนัดบ้านเรานี่แหละ) แต่จะมีของแปลกที่เราเคยเห็นตอนเด็กมาให้ดูกันนิดหน่อยของเล่นสมัยโบราณ และก็เสร็จคุณลูกชายเหมือนเดิม ร้านขายของที่ระลึก บริเวณริมน้ำ คนเยอะมากๆ และเพื่อให้ดูเหมือนไปถึง ต้องกินก๋วยเตี๋ยวเรือซะหน่อย เจ้านี้ รสชาดใช้ได้ ยามค่ำคืนมีของน่ารักๆ มาหลอกเงินจากกระเป๋าเราได้เยอะแยะไปหมด นี่รองเท้าแตะศิลปินเปิดหมวกก็มีหลายคน คนนี้เล่นไวโอลิน <b>เท่ห์มั่กมั่ก แต่ตอนถ่ายรูปมือสั่นไปหน่อย สงสัยหิวเหล้า จากนั้นเราก็ไปซื้อตั๋วนั่งเรือดูหิ่งห้อยกันจากตรงนี้เป็นความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียน (ความเห็นส่วนตัวโปรดใช้วิจารณญาณ)b>สำหรับทริปนี้ถ้าจะให้พูดจากความรู้สึกจริงๆ นะ รู้สึกว่าตลาดอัมพวาไม่ได้แตกต่างจากตลาดน้ำอื่นๆ ทั่วไป แถมของที่ขายก็ยังหลากหลายน้อยกว่าตลาดน้ำอื่นๆ อีกด้วยซ้ำ การไปนั่งเรือดูหิ่งห้อย เป็นสิ่งที่เราเห็นว่าเป็นสิ่งที่เราไม่สนุกเลย ตอนก่อนจะไปนั่งเรือเราวาดภาพว่าเราจะเห็นหิ่งห้อยแบบเต็มไปหมด แต่สิ่งที่เราเห็นมันแตกต่างจากที่วาดภาพไว้เยอะมาก บ้านปัจจุบันที่อยู่ชานเมืองของเรายังมีหิ่งห้อยให้เห็นเยอะกว่านี้อีกอ้ะ การที่คนไปดูแล้วมาตื่นเต้นกันว่าน่าเที่ยว เราว่ามันเกิดจากความรู้สึกที่เป็นคนเมืองอยากเห็นบรรยากาศแบบต่างจังหวัดมากกว่าโดยส่วนตัวแล้วไม่ประทับใจเท่าไหร่ค่ะ ทริปนี้
หาดทายแก้ววันแม่ 2549
ได้เวลาขุดเรื่องเก่ามาเล่าใหม่กันแล้ว รูปในกรุมีเยอะแยะแต่ไม่ค่อยได้ เอามาลงกันเลย ว่าแล้วก็ร่ายกันเลยดีกว่าเนื่องจากว่า 12 สิงหาเนี่ยมันเป็น"วันแม่ "เพราะฉะนั้นก็ต้องพาแม่ไปเที่ยวซีคะ จะอยู่ได้ไง คิดแล้วคิดอีกว่าจะไปไหน ก็มาลงเอยที่ สัตหีบหาดทรายแล้วจริงๆ หาดนี้เป็นหาดของทหาร ซึ่งที่พักราคาไม่แพงหรอก แต่ก็ต้องทำใจ (เพราะว่ามันเป็นของทหารไง มันก็อาจจะไม่ได้ ดูดีมีราคาสักเท่าไหร่ คนที่ติดหรูอาจจะต้องทำใจนิดนุงนะคะ)ออกเดินทางกันสาย(จริงไม่เรียกว่าสายหรอก ต้องเรียกว่าบ่ายมากกว่า) เนื่องจากต้องทำธุระก่อน เลยพัทยาก็มาหน่อย ก็ถึงแล้วทางเข้า หาดทรายแก้วเสียดายไม่ได้ถ่ายรูปป้ายมา ระหว่างทางเข้าร่มรื่นมาก ไม่เชื่อดูรูปซิสำหรับหาดทรายแก้วที่เราจะพักเนี่ยต้องข้ามเขาเข้าไป โดยปรกติถ้าเป็นวันหยุดเค้าจะไม่ให้เอารถส่วนตัวขึ้นไป ยกเว้นคนที่ต้องขึ้นไปค้างสำหรับการเดินทางถ้าไม่ค้างก็จะมีที่จอดรถให้ แล้วก็จ่ายค่าเข้าคนละ 20 บาทแล้วนั่งรถสองแถวขึ้นไป (เป็นการหารายได้พิเศษให้กับทหารในวันหยุด) คืนนั้นเราไปค้างจึงได้เอารถขึ้นไปได้ ระหว่างทางกว่าจะถึงหาดก็คดเคี้ยวพอสมควร พอพ้นเขาจะมองเห็นทะเลซึ่งสวยมากกกกกก พอไปถึงบริเวณหาดกว่าจะติดต่อเรื่องที่พักเรียบร้อย ก็มืดซะแร้ว เลยได้รูปป้ายแบบนี้อ้ะค่ะแถมด้วยรูปพระอาทิตย์กำลังจะตกอีกหน่อยบ้านพักค่ะห้องนอนค่ะทะเลที่นั่นตอนกลางคืน เงียบสงบดีจริงๆ คืนนั้นเป็นคืนเดือนมือ กล้องที่อยู่ใช้แฟลชก็ยังไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้น เลยไม่ได้เก็บภาพ เจ้าลูกชายไปเล่นว่าวแล้วนก (อะไรไม่รู้ มองไม่เห็น) มาไล่จิกตีว่าวของเจ้าหนูมาให้ชมกันเลย เสียด๊าย เสียดายพอตอนเช้าสะดุ้งตื่นขึ้นมาเพราะความร้อน เนื่องจากเค้าดับไฟตั้งแต่ 6 โมงเช้าหลังจากออกไปเดินเล่นและหาอะไรใส่ท้องกันเรียบร้อยก็เริ่มออกไปเล่นน้ำทะเลกันแล้ว ทะเลตอนเช้าสวยจริงๆ มีเรือ (เค้าเรียกเรืออะไรล่ะเนี่ย) มาจอดด้วย คาดว่าคงจะมาจากพัทยา มีปูลมให้ไล่จับด้วยตอนเช้าผีเสื้อสมุทรกับพระอภัย (พุงป่อง) มาทำอะไรกันล่ะเนี่ย หลังจากเล่นน้ำทะเลจนพออกพอใจ เราก็อาบน้ำอาบท่าเตรียมตัวมุ่งหน้าสู่พัทยากันทริปนี้ปิดท้ายด้วยการไปดู ทิฟฟานี่โชว์ที่พัทยากัน อ้ะแถมรูปสาวประเภทสองที่สวยยยยย(จนคนเล่าอาย ) กันหน่อยดีกว่า จริงๆ อยากเล่าเยอะกว่านี้ แต่คนแก่อ้ะค่ะ นานแล้วมันก็ลืม เลยเอาแค่นี้ก็พอเนาะ ไว้เจอกันใหม่ จ้า