ความรู้คู่ความก้าวหน้า
 
Segment Routing เหมือน หรือต่างกับ MPLS ที่ใช้งานอยู่ในปัจจุบันอย่างไร?



Segment Routing เหมือน หรือต่างกับ MPLS ที่ใช้งานอยู่ในปัจจุบันอย่างไร?

1MPLS ดั้งเดิม (MPLS LDP)

MPLS จะ forward IP packet หรือ Ethernet frame บนพื้นฐานของ label โดยการ forwarding and swap label จากต้นทางไปยังปลายทาง ตามชื่อเต็มๆ ของ MPLS คือ Multiprotocol Label Switching (การ switching ข้อมูล หรือการส่งข้อมูลบนพื้นฐานของการ swap label header โดยมี payload ของของ MPLS frame เป็น protocol อะไรก็ได้ (multiprotocol) คือ payload ของ MPLS frame จะเป็น Layer 3 packet (IP packet ) หรือเป็น Layer 2 frame (Ethernet frame, HDLC frame, PPP frame) ก็ได้

โดยดั้งเดิมแล้วเนื่องจาก IGP (Routing protocol อย่างเช่น OSPF, ISIS, EIGRP, RIP) ดั้งเดิมจะแลกเปลี่ยนกันแค่ routing information หรือ IPv4 subnet / IPv6 subnet และไม่สามารถแลกเปลี่ยน label ที่จะใช้ในการ forwarding ใน MPLS network ได้ ซึ่งในช่วงแรกๆ มีการพิจารณา และตัดสินใจสร้าง protocol ใหม่ขึ้นมา คือ LDP (Label Distribution Protocol) ซึ่ง protocol ตัวนี้จะทำหน้าที่เป็นขั้นตอนคือ

Step 1: รอให้ IGP แลกเปลี่ยน routing information (เช่น IPv4 subnet) ให้เสร็จสิ้นเสียก่อน

Step 2: จากนั้น LDP protocol จะเอา IGP route (หรือ IPv4 subnet) ทั้งหมดที่เป็น the best path ใน routing table มาจัดสรร (allocate) label (โดย default แล้วจะเอาทุกๆ route ที่เป็น IGP route ใน routing table มาจัดสรร label)

Step 3: จากนั้น LDP protocol จะประกาศ label และแลกเปลี่ยน label ซึ่งกัน และกันในทำนองว่า "ต่อไป ถ้านายจะส่งข้อมูลมาหาชั้นนะ แทนที่จะ forwarding data มาในรูปแบบของ IP packet แต่ขอให้นาย encapsulate IP packet ไว้ใน MPLS frame นะ แล้วให้ส่งมันออกมาหาชั้นด้วย label เบอร์นี้แทนนะจ๊ะ"


2MPLS-TE (TE = Traffic Engineering)

ในตอนนี้จะกล่าวถึงการประกาศ หรือแลกเปลี่ยน
label ที่จะถูกใช้ในการ forwarding ใน MPLS network อีก protocol หนึ่ง นั่นคือ RSVP

MPLS-TE (TE = Traffic Engineering) จะใช้ IGP ประเภท Link-State protocol ที่ได้รับการ upgrade ให้รองรับ parameter ที่เกี่ยวข้องกับการคำนวณ best path บนพื้นฐานของ Traffic Engineering โดย IGP เหล่านั้นก็คือ OSPF-TE หรือ ISIS-TE

ถึงแม้ว่า OSPF-TE และ ISIS-TE จะได้รับการ upgrade แต่มันก็ยังไม่มีความสามารถในการประกาศ หรือแลกเปลี่ยน label ดังนั้นมันจึงต้องมี protocol อีก protocol หนึ่งเข้ามาช่วยในการประกาศ หรือแลกเปลี่ยน label นั่นก็คือ RSVP protocol ซึ่ง protocol นี้โดยดั้งเดิมแล้วมันถูกใช้อยู่ใน QoS แบบ Integrated Service หรือ IntServ

ด้วยความสามารถของ RSVP protocol ที่สามารถทำ signaling ในการ request and confirm การจอง bandwidthได้ ดังนั้นมันจึงถูกเลือกเอามาใช้การ reserve bandwidth ใน MPLS-TE โดยขั้นตอนโดยสังเขป จะเป็นดังนี้

Step 1: PE router ต้นทางจะทำการคำนวณเลือก the best path จากตัวมันไปยัง PE router ปลายทางบนพื้นฐานของ bandwidth ที่ต้องการจอง ด้วย IGP protocol สำหรับ TE ซึ่งถ้าไม่ใช้ OSPF-TE ก็จะใช้ ISIS-TE ตัวใดตัวหนึ่งในการคำนวณหา the best path จาก PE ต้นทางไปยัง PE ปลายทาง (ทั้ง OSPF-TE และ ISIS-TE จะใช้ algorithm CSPF ในการคำนวณ the best path)

Note: สำหรับ CSPF มีหลักการอย่างไร ท่านสามารถเข้าไปอ่านได้ตาม link นี้ครับ

https://www.bloggang.com/viewblog.php?id=likecisco&date=28-06-2017&group=12&gblog=3

Step 2: หลังจากที่ PE router ต้นทาง เลือก the best path แล้ว PE router ต้นทางก็จะทำการส่ง RSVP signalling ประเภท RSVP PATH message ไปบอกกับ router ที่อยู่ระหว่างทางให้ช่วยจอง bandwidth ให้มันหน่อย ประมาณว่า "เราเลือกนายเป็นทางผ่านนะ และเราต้องการผ่าน link xx ของนาย นายช่วยจอง bandwidth ขนาด yy ให้เราด้วยนะ" และ router ระหว่างทาง ก็จะทำการส่ง RSVP signaling ประเภท RSVP PATH message ในลักษณะนี้ต่อไปเรื่อยๆจนถึง PE ปลายทาง

Step 3: หลังจาก PE ปลายทางได้รับ RSVP signaling ประเภท RSVP PATH message เพื่อขอจอง bandwidth แล้ว มันจะทำการจอง bandwidth ให้ แล้วทำการ confirm การจองกลับไปยัง PE router ต้นทางผ่าน router กลางทางไปทีละ hop ทีละ hop ด้วย RSVP signalling ประเภท RSVP Reserve message ซึ่งในการ confirm การจอง bandwidth นี้ router ที่ทำการส่ง RSVP Reserve message นี้ จะทำการ allocate หรือทำการจัดสรร label ให้กับ router ต้นทางด้วย และเอา label ที่ได้จัดสรรเอาไว้แล้วนี้ ใส่ลงไปใน RSVP Reserve massage ด้วย เพื่อบอกกับต้นทางประมาณว่า "ถ้านายจะส่งข้อมูลมาทางฉัน ขอให้นายส่งมาด้วย MPLS frame ที่มี label เป็นเบอร์นี้นะจ๊ะ"

Note: RSVP ที่ใช้อยู่ใน MPLS-TE จะถูกเรียกว่า RSVP-TE

ถึงตรงนี้ เราจะเห็นได้ว่า MPLS-TE จะใช้ RSVP ในการประกาศ หรือแลกเปลี่ยน label

สรุป MPLS ธรรมดา (MPLS-LDP) กับ MPLS-TE

- MPLS ธรรมดาจะใช้ LDP protocol ในการประกาศ หรือแลกเปลี่ยน label ที่จะใช้ในการ forwarding ใน MPLS network

- MPLS-TE จะใช้ RSVP protocol ในการประกาศ หรือแลกเปลี่ยน label ที่จะใช้ในการ forwarding ใน MPLS network

สิ่งหนึ่งที่จะต้องบอกไว้ตรงนี้คือ

โดยดั้งเดิมแล้วเมื่อเราพูดถึง MPLS ธรรมดาแล้ว เรามักจะเหมารวมด้วยความรู้สึกว่า MPLS ธรรมดา กับ LDP protocol เป็นสิ่งเดียวกันโดยปริยาย แต่เมื่อมี technology Segment Routing เกิดขึ้นมาในโลกใบนี้แล้ว เราจำเป็นต้องเข้าใจ Keyword ของคำว่า MPLS กับ LDP กันใหม่


สำหรับ MPLS (MPLS-LDP) และ MPLS-TE แล้ว มันจะใช้ IGP (routing protocol) ในการคำนวณ the best path เท่านั้น แต่จะใช้ protocol อื่นในการประกาศ หรือแลกเปลี่ยน label 

- MPLS (หรือ MPLS-LDP) จะใช้ LDP protocol ในการแลกเปลี่ยน label (LSP label)

- MPLS-TE จะใช้ RSVP protocol ในการแลกเปลี่ยน label (LSP label)

แต่สำหรับ
Segment Routing แล้วมันจะไม่ได้เป็นเช่นนั้น

มาถึงตรงนี้เป็นเพียงแค่การ brief พื้นฐานของการแลกเปลี่ยน label (LSP label) ของ MPLS (หรือ MPLS-LDP) และ MPLS-RSVP ก่อนที่จะกล่าวถึง Segment Routing ต่อไป  

3. Segment Routing
สำหรับ Segment Routing แล้ว การ forwarding traffic จะยังคง forward อยู่บนพื้นฐานของ label เช่นเดียวกันกับ MPLS-LDP และ MPLS-TE เพียงแค่ Segment Routing จะใช้ IGP (routing protocol) ในการ learn label โดยตรงโดยที่ไม่ต้องพิ่งพา protocol อื่นๆ อย่างอย่าง LDP หรือ RSVP อีกต่อไป

Segment Routing เกิดขึ้นมาเพื่อรองรับ SDN สำหรับ Service Provider ซึ่งโดยพื้นฐานแล้ว หาก network ของ Service Provider ยังไม่พร้อมที่จะไป SDN solution แล้ว Service Provider ก็ยังสามารถที่จะ implement Segment Routing รอเอาไว้ก่อนได้ โดยการ convert หรือปรับเปลี่ยน network จาก MPLS-LDP (การเรียนรู้ label ผ่าน LDP protocol) มาเป็น Segment Routing (การเรียนรู้ label ผ่าน IGP) รอไว้ก่อนได้

ซึ่ง Segment Routing จะเป็นการเตรียม LSP path จาก PE-to-PE เท่านั้น โดยหากต้องการให้บริการ L3VPN แล้ว เรายังคงต้อง implement MP-BGP เพื่อรองรับการ learn หรือแลกเปลี่ยน VPN label (label ที่ใช้สำหรับ L3VPN service) อยู่ดี 

*** ความแตกต่างระหว่าง MPLS-LDP/MPLS-TE และ Segment Routing ก็คือ วิธีการเรียนรู้ หรือวิธีการแลกเปลี่ยน label (LSP label) นั่นเอง


*** ความเหมือน ก็คือ 
MPLS-LDP/MPLS-TE และ Segment Routing การ forwarding traffic จะยังคง forward อยู่บนพื้นฐานของ label (LSP label)

สำหรับ SDN ที่จะเอามาใช้งานร่วมกับ Segment Routing นั้น ระบบจะต้องมีการ implement SDN Controller หรือ คนกลาง ที่สามารถมองเห็น Network Topology ได้ทั้ง Network แบบ End-to-End และสามารถรองรับการ provisioning service ผ่าน SDN controller ได้ หรือแม้กระทั่งการจัดสรร Bandwidth แบบ MPLS-TE ก็สามารถทำได้บน SDN Controller ด้วยเช่นกัน

ข้อดีอีกอย่างของการใช้งาน SDN Controller ร่วมกับ Segment Routing ก็คือการรองรับการทำ Source Routing หรือการอนุญาติให้ต้นทางสามารถที่จะระบุ หรือเลือกเส้นทางที่ต้องการจะรับส่งข้อมูลเองได้


สำหรับตอนนี้ขอจบเพียงเท่านี้ครับ หากมีเวลา จะมา update เพิ่มในบทความนี้ครับ

โก้-ชัยวัฒน์ (KoChaiwat)




Create Date : 03 พฤศจิกายน 2561
Last Update : 6 พฤศจิกายน 2561 19:29:13 น. 3 comments
Counter : 5990 Pageviews.  
 
 
 
 
พี่โก้อธิบายดีมากครับ
 
 

โดย: ภาณุพงศ์ IP: 184.22.244.59 วันที่: 16 มีนาคม 2565 เวลา:12:08:48 น.  

 
 
 
@ภาณุพงศ์
ขอบคุณครับ
 
 

โดย: kochaiwat วันที่: 8 เมษายน 2565 เวลา:18:18:34 น.  

 
 
 
ขอบคุณครับ
 
 

โดย: Jumper IP: 49.230.193.25 วันที่: 20 สิงหาคม 2566 เวลา:16:10:46 น.  

Name
Opinion
*ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก

kochaiwat
 
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 693 คน [?]




เริ่มงานครั้งแรกที่บริษัท UIH (United Information Highway) ซึ่งเป็นบริษัทผู้ให้บริการทางด้านการสื่อสารข้อมูล อาทิเช่น Lease Line, Frame Relay และ MPLS และได้ย้ายไปร่วมงานกับบริษัท dtac โดยได้ทำงานเกี่ยวกับ IP Network (Switch/Router/Firewall/F5-Loadbalancer) รวมถึง MPLS Network และ IPRAN (IP Radio Access Network) ซึ่งเป็น IP Network ที่รองรับ Access ของ Mobile System นอกจากนั้นยังสนใจศึกษาเรื่อง IPv6 Address ที่จะมาใช้แทน IPv4 ที่เราใช้งานอยู่ในปัจจุบัน
แต่ด้วยความชอบในการแบ่งปันความรู้ จึงได้มีโอกาสสอน CCNA อยู่ที่สถาบันแห่งหนึ่งในอาคารฟอร์จูนทาวน์ในวันเสาร์-อาทิตย์ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2549 จนถึง พ.ศ. 2553 รวมเป็นเวลา 4 ปี, หลังจากนั้นในระหว่างที่ทำงานที่ dtac ก็ได้สอนเสาร์-อาทิตย์เรื่อยมา

เคยเป็น Trainer หรือ Instructor อย่างเต็มตัว สอนวิชาต่างๆ ของ Cisco อย่างเป็นทางการ (Authorize Training) ที่บริษัท Training Partner Thailand จนถึง มีนาคม 2014 และได้ตัดสินใจออกมาสอนเอง เพราะด้วยความรักในอาชีพการสอน และต้องการที่จะแบ่งปันความรู้ให้กับบุคคลในระดับกลางและล่างเพื่อส่งเสริมให้ได้มีโอกาสได้เรียน และได้มีโอกาสสมัครงาน แต่ด้วยใจรักในบริษัท Cisco ดังนั้น เมื่อมีโอกาสเข้ามา จึงได้ตัดสินใจหยุดการสอน และได้เข้าไปเป็นพนักงาน หรือทำงานที่บริษัท Cisco Thailand ตั้งแต่วันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2559 (2016) จนถึงปัจจุบัน

ลูกค้าที่เคยมารับการอบรม เช่น
- Lao Telecom Company Ltd
- CAT Telecom
- TOT
- True
- dtac
- CDG Group
- SITA air transport communications and information technology (www.sita.aero/)
- Infonet Thailand
- MultiLink Co., Ltd
- โรงพยาบาลไทยนครินทร์
- และเคยไปเป็นวิทยากรพิเศษที่ มหาวิทยลัยกรุงเทพสุวรรณภูมิ

ปัจจุบัน โก้-ชัยวัฒน์ ได้ผ่านการสอบ:
- Cisco Certified Internetwork Expert (CCIE) No. 51353 และ
- Cisco Certified Systems Instructor (CCSI) ซึ่งเป็น Certificate ที่ออกให้โดย Cisco สำหรับผู้ที่จะเป็นผู้สอน Cisco Certificate อย่างเป็นทางการ และได้รับ CCSI ID: 34784

วิชาที่สามารถได้สอนได้สำหรับ Cisco Certificate ในขณะนี้คือ
- CCNA Routing & Switching
- CCNA Security (IINS)
- CCNP Route & Switch: ROUTE
- CCNP Route & Switch: SWITCH
- CCNP Route & Switch: TSHOOT
- MPLS (IOS)
- MPLS Traffic Engineering (IOS)
- CCNP Service Provider: SPROUTE (OSPF, IS-IS, BGP, Prefix-List, Route-Map and RPL (Routing Policy Language))
- CCNP Service Provider: SPADVROUTE (Advance BGP, Multicast, and IPv6)
- CCNP Service Provider: SPCORE (MPLS, MPLS-TE, QoS)
- CCNP Service Provider: SPEDGE (MPLS-L3VPN, MPLS-L2VPN (AToM and VPLS)
- IPv6

Certification ที่มีอยู่ในปัจจุบัน CCIE# 51353, CCSI# 34784, CCNA Routing & Switching, CCNA Security (IINS), CCNA Design, CCNP Routing & Switching, CCIP, CCNP Service Provider ซึ่งเป็น Certification ของ Cisco product รวมถึง Certification ของสถาบัน EC-Council (www.eccouncil.org) นั่นคือ Certified Ethical Hacker (CEH)

"เป้าหมายมีไว้ให้ไล่ล่า บ้างเหนื่อยล้าบ้างหยุดพัก
ชีวิตแม้ยากนัก แต่เรารักเราไม่ถอย
ชีวิตแม้ต้องคอย จะไม่ปล่อยไปวันๆ
ชิวิตไม่วายพลัน แม้นสักวันต้องได้ชัย"

"แม้ระยะทางจะไกลแค่ไหน แม้ต้องใช้เวลามากเพียงใด
ขอเพียงแค่มีความตั้งใจ เราต้องได้ไปให้ถึงมัน"

ผมจะไม่ยอมทิ้งฝัน แต่จะไล่ล่ามันให้ถึงที่สุด สักวันฝันอาจจะเป็นจริง ถึงจะไปไม่ถึง แต่ผมก็ภูมิใจที่ได้ทำ
==============================
ความรู้ = เมล็ดพืช
ความพยายามในการเรียนรู้ = ปุ๋ย, น้ำ และความใส่ใจที่จะปลูก
สรุปคือ
ยิ่งพยายามเรียนรู้ ยิ่งพยายามศึกษาในเรื่องใดๆ ผลที่ได้คือ จะได้ความรู้ในเรื่องนั้นๆ อย่างลึกซึ้ง เปรียบเสมือนปลูกต้นไม้ด้วยความใส่ใจ ให้น้ำ ให้ปุ๋ย ผลที่ได้ก็คือ ต้นไม้ที่เติบโตอย่างแข็งแรง และผลิดอกและผลที่งดงามให้เราได้ชื่นชม
ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จจะอยู่ที่นั่น หรือที่ไหนก็ช่าง แต่เชื่อเถอะ เราจะได้ผลลัพธ์ที่ดีจากความพยายามนั้นๆ ไม่มากก็น้อย
อยากได้อะไรให้พยายาม แล้วความสำเร็จมันจะเข้ามาหาเอง
ผมเชื่อ และมั่นใจอย่างนั้น
===============================
ตอนนี้ผมได้ไปถึงฝัน (CCIE) แล้ว และสิ่งที่ไม่คาดฝัน คือได้ทำงานที่บริษัท Cisco ซึ่งถือได้ว่าไกลเกินฝัน

กว่าผมจะมาถึงจุดนี้ได้ เกิดจากความตั้งใจ มุ่งมั่น และพยายามอย่างไม่ย่อท้อ ศึกษาหาความรู้ และฝึกฝนตนเองอยู่เสมอ จนกระทั่งประสบความสำเร็จ และผมก็ได้พิสูจน์แล้วว่า ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น ขอเพียงแค่อย่าท้อ อย่าถอย และอย่าหยุด

ผมขอเป็นกำลังใจให้กับทุกคน และขอให้ประสบความสำเร็จดังที่มุ่งหวัง ไม่ว่าท่านจะหวังสิ่งใดก็ตามครับ

ท้ายที่สุด ผมขอฝากข้อคิดในเรื่อง Certificate ไว้สักนิดนะครับ:
*** "CCIE และ Certificate อื่นๆ มีไว้เพื่อทำมาหากิน และมีไว้เพื่อข่มตนไม่ให้เกรียน เพราะความเกรียนจะนำมาซึ่งการเป็นเป้าให้คนที่เค้าหมั่นไส้ยิงเอานะครับ" ***

Facebook: Chaiwat Amornhirunwong
New Comments
[Add kochaiwat's blog to your web]

MY VIP Friends


 
 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com