KatieKat... Let's share your thought
 
 

ภูเก็ต... เด็ดสะระตี่ (3)

วันที่ 3: พักผ่อนในที่พัก ซื้อของฝากก่อนกลับ


เช้าวันสุดท้ายของการเดินทางจนได้ วันนี้เราไม่มีโปรแกรมไปไหน ตอนแรกว่าจะขับรถเลยขึ้นไปทางสะพานสารสิน แต่สุดท้ายความขึ้เกียจกับบรรยากาศอันน่าหลงใหลของที่พักทำให้เราเลือกที่จะนอนแช่อยู่ที่ศาลาภูเก็ตมากกว่า ยิ่งเราแจ้งพนักงานขอเลทเช็คเอ้าท์เป็นประมาณบ่าย 2 (ปกติให้เช็คเอ้าท์เที่ยง) ก็ได้รับคำตอบว่าได้ (พนักงานจะยืนยันได้ล่วงหน้าประมาณ 1 วันก่อนเช็คเอ้าท์) เพราะฉะนั้นก็ใช้เวลาอยู่ที่ศาลาภูเก็ตให้คุ้มค่าซะเลย

ประมาณ 8 โมงครึ่ง เราเดินออกจากวิลล่ามีที่บริเวณรับประทานอาหาร อาหารเช้าที่นี่จะเป็นแบบ A La Carte คือต้องสั่งเป็นจานๆ ตามเมนู ไม่มีบุฟเฟ่ต์ เมื่อเลือกที่นั่งได้แล้วก็เลือกเมนูได้เลย ลองเอาไปอ่านเลือกกันล่วงหน้าก่อนได้ไปจริงๆกันค่ะ

LIGHT BREAKFAST – มะเขือเทศย่าง กินคู่กับมันบด ไข่ 2 ฟองเลือกได้เองว่าจะนำไปทำอะไร ไข่ลวก ไข่ต้ม ไข่ดาว ออมเลต และขนมปัง เลือกระหว่างครัวซองท์ โฮลวีทหรือขนมปังขาว
ASIAN BREAKFAST – ข้าวต้มทรงเครื่องเลือกเนื้อสัตว์ได้ตามชอบใจ
STEAK & EGGS – สเต๊กเนื้อสันอกออสเตรเลีย โปะด้วยไข่ดาวและเห็ดผัดน้ำมัน เสิร์ฟพร้อมมะเขือเทศย่าง มันบดและขนมปัง
SALA BREAKFAST – เลือกระหว่างวาฟเฟิลเบลเยียมหรือแพนเค้กราดด้วยวิปครีมและมะม่วง เสิร์ฟพร้อมไข่ 2 ฟองเลือกปรุงตามชอบใจ ไส้กรอก เบคอน มะเขือเทศย่าง มันบดและขนมปัง



SALA Breakfast


SPANISH SCRAMBLE – ไข่ขยี้ (scramble eggs) กับมันเผา chorizo พริกหวานยักษ์ย่าง ชีสเชดด้าร์และสมุนไพรอีกหลายชนิด ราดด้วยมะเขือเทศซาลซ่า ซาวน์ครีมและแป้งทอร์ทิลล่า
CHARCUTERI PLATTER – ซาลามี แฮม เนื้อตากแห้ง ผักสลัดท้องถิ่น ชีส Edam (ชีสก้อนปลอกหนาๆสีแดง มักใช้กินเปล่าๆ) ชีส Camembert (ชีสก้อนมีสีขาวๆหุ้มรอบๆ เหมือนจะขึ้นรา) เสิร์ฟพร้อมครีมชีสสมุนไพรและขนมปังโฮลเกรน
ENGLISH BREAKFAST – ไข่ 2 ฟองปรุงได้ตามชอบใจ พร้อมถั่วลิสงอบในน้ำขลุกขลิก ไส้กรอก เบคอน มะเขือเทศย่าง มันบด พุดดิ้งสีดำ เห็ดผัดน้ำมันและขนมปัง


English Breakfast


NEW ORLEANS – (อันนี้อ่านแล้วยังนึกภาพตามไม่ออก) เนื้อปูบนครัวซองท์ปิ้ง ราดด้วยไข่ทอด (poached egg) ซอส Hollandaise และเครื่องเทศ Cajun
นอกจากนี้ยังมีเมนูที่คุณเชฟแนะนำประจำวันซึ่งหมุนเวียนเปลี่ยนกันไปเรื่อยๆ

เมื่อสั่งอาหารแล้ว เราก็เดินไปส่วนที่ให้ตักเอง เป็นพวกซีเรียลกินคู่กับนมหรือโยเกิร์ตที่เขาจะแบ่งให้ไว้เป็นกระปุกเล็กๆ ขนมโดนัทที่เหมือนซาละเปาโรยไอซิ่ง และผลไม้ แตงโมกับส้มโอ เนื่องจากห้องอาหารเป็นโอเพ่นแอร์ เราก็เลยต้องเข้าถึงธรรมชาติอย่างจริงจังอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้นั่นคือต้องเจอะเจอกับฝูงแมลงวันบินว่อนเต็มไปหมด น่าเห็นใจทางศาลาภูเก็ตอยู่เหมือนกัน คงไม่รู้จะหาทางออกยังไงให้แมลงวันไม่มารังควาญ เท่าที่ทำได้ก็แค่ป้องกันไม่ให้เราติดเชื้อโรคจากมันก็คือการทำให้อาหารทุกอย่างในโซนที่ตักเองนี้เป็นแบบปิดสนิททั้งหมด นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมซีเรียล นมและโยเกิร์ตจึงต้องเสิร์ฟเป็นแบบกระปุก ผลไม้ก็ต้องครอบฝาชีไว้







ถึงแม้ศาลาภูเก็ตจะสร้างความประทับใจให้กับเราแบบ 5 ดาว+++ แต่ก็มาเสียคะแนนตอนมื้ออาหารเช้านี้จนได้ คงเป็นเพราะความซวยส่วนตัวด้วยล่ะมั้ง ก็คือเราสั่งอาหารกับพนักงานไปนานมากกกกก พนักงานจิ้มๆออเดอร์ผ่านพีดีเอ ซึ่งควรจะต้องยิงตรงไปที่ห้องครัวเลย แต่ปรากฏว่าเกิดอะไรไม่ทราบ รอแล้วรอเล่าอาหารก็ยังไม่มา มองเห็นแขกคนอื่นที่มาหลังเราก็กินเสร็จ วิ่งเล่นเดินเล่นหน้าชายหาดไปกันหมดแล้ว เราก็เลยเดาได้เลยว่าออเดอร์ถูกลืมซะแล้ว ก็เลยถามพนักงานอีกคนหนึ่ง พนักงานคนนั้นก็ไปตรวจสอบให้พร้อมกับออกมาบอกว่าอีกประมาณ 3 นาทีอาหารถึงจะออกมา เราก็รู้ได้ทันทีอีกว่าแสดงว่ายังไม่ได้ทำเลยอะดิ จะขอโทษหรือจะออกมาอธิบายสาเหตุอะไรก็ไม่มี คงคิดว่าเรานึกว่าทำอยู่แต่ยังทำไม่เสร็จ ออเดอร์ไม่ได้หล่นไปมั้ง หะแหมๆๆๆ เมนูอะไรมันจะใช้เวลาทำครึ่งค่อนชั่วโมงขนาดนั้น พออาหารจานแรกเริ่มเสิร์ฟ เราก็เลยถามพนักงานอีกทีว่าลืมออเดอร์เราเหรอ เขาถึงได้อธิบายว่าไม่ทราบว่าทำไมออเดอร์ถึงคีย์ไม่เข้าในระบบ (แต่ก็ยังไม่ขอโทษนะ ยิ่งคนที่เป็นคนรับออเดอร์คนแรกยิ่งแล้วใหญ่ ทำเป็นไม่รู้จักเราไปเลย)... นั่นไง ลืมเราแล้วก็ไม่สังเกตเราเลยว่ายังไม่ได้กินอาหารจานหลักเป็นชิ้นเป็นอัน นั่งกินแต่ซีเรียลจนแทบจะเลียกระปุกแล้ว ไม่ใส่ใจไม่สังเกตลูกค้าอย่างนี้มันน่าเขียนคอมเม้นท์นัก ก่อนเช็คเอ้าท์ก็เลยจัดไปในแบบสอบถามให้ชุดใหญ่เลย ติเพื่อก่อนะคะ ยังไงคราวหน้าก็จะกลับมาพักแน่นอน แต่เรื่องนี้ต้องปรับปรุงจริงๆ service mind เป็นเรื่องสำคัญที่สุดของงานบริการโดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับที่พักระดับพรีเมี่ยมอย่างนี้

หลังอาหารเช้าเราขอยืมจักรยานของทางศาลาภูเก็ตที่จัดไว้บริการให้แขกที่มาพักอยู่แล้ว โดยแขกที่มาพักสามารถยืมจักรยานขี่รอบๆโรงแรมและขี่เลยไปตามถนนที่ขับรถเข้ามาซึ่งจะผ่านโรงแรมอื่นๆอย่าง JW Marriott อนันตรารีสอร์ท และไปแวะชมแวะกินที่ Turtle village ช้อปปิ้งมอลล์เล็กๆ ของทางอนันตรารีสอร์ท มีร้านจิม ทอมป์สัน Esprit Triumph ซูเปอร์มาร์เก็ตเล็กๆเปิดตั้งแต่เช้าตรู่หรือจะแวะกินไอศกรีมสเวนเซนส์เพิ่มความสดชื่นก็ได้ รวมระยะทางการปั่นจักรยานไปกลับประมาณ 3 กม.





กลับมาที่พักก็พุ่งไปปิดท้ายกิจกรรมที่ศาลาภูเก็ตด้วยการทำสปาหน้า ตอนแรกก็นึกว่าจะได้ทำเลยแต่คิวไม่ว่าง จะได้คิวก็อีกประมาณ 1 ชั่วโมง เพราะฉะนั้นถ้าอยากจะทำสปาควรต้องมานัดคิวก่อนล่วงหน้าจะดีกว่าค่ะ ระหว่างทางไปบริเวณสปา จะผ่านห้องออกกำลังกายและห้องสมุดด้วย คนโล่งมากกก ไม่มีใครเลยคงเพราะเป็นตอนกลางวัน แขกออกไปข้างนอกกันหมด บรรยากาศภายในสปาน่ารักและสงบดี คุณพี่คนที่นวดให้ก็อัธยาศัยดี มีบริการนวดเท้าให้ก่อนด้วย (ทั้งที่เรามานวดหน้า) ช่วงที่ไปนี้มีโปรโมชั่นถ้าทำสปาหน้าแบบนี้จะแถมนวดศีรษะให้อีก 30 นาที นอนให้คุณพี่เขานวดซะเพลินเลย ก่อนออกจากสปา มีกล้วยฉาบกรุบกรอบเสิร์ฟคู่กับชาใบหม่อนอุ่นๆให้ดื่มชื่นใจ


SALA Spa







กล้วยฉาบและชาใบหม่อน


เราเช็คเอ้าท์ออกจากศาลาภูเก็ตเวลาบ่ายสอง ขับรถไปตามเส้น 402 เพื่อเข้าเมืองเช่นเดิม ผ่านสามแยกที่มีป้ายบอกทางให้เลี้ยวขวาไปสนามบิน ขับเลยไปประมาณ 2 กม. จะมองเห็นร้านขายของฝากแม่จู้อยู่ทางขวามือ หาทางกลับรถแล้วกลับรถไปแวะซื้อของฝากที่ร้านนี้ซักหน่อย ร้านแม่จู้มีชื่อเสียงเรื่องของฝากเมืองภูเก็ตอย่างน้ำพริกกุ้งเสียบ มีให้เลือกทั้งแบบสดหรือแบบแห้ง เราเลือกซื้อน้ำพริกกุ้งเสียบแบบสดซึ่งถ้าแช่ตู้เย็นจะเก็บได้ 2 อาทิตย์ อร่อยๆๆ ชอบๆๆ นอกจากนี้ก็มีของฝากอื่นๆทั้งที่ทางร้านทำเองและรับจากเจ้าอื่นมาเช่น แกงไตปลา เม็ดมะม่วงหิมพานต์ทอด น้ำบูดู ขนมกรุบกรอบอื่นๆ ซื้อเสร็จแล้วสามารถให้ทางร้านแพ็คใส่กล่องกระดาษ ซีลปิดอย่างดี สามารถโหลดใต้เครื่องบินได้เลย สะดวกสบายเป็นที่สุด ร้านขายของฝากร้านใหญ่ๆร้านอื่นๆก็มีบริการแบบนี้เหมือนกัน เห็นจากนักท่องเที่ยวแต่ละคนก็หิ้วกันคนละกล่องสองกล่องจากร้านต่างๆกัน


จากร้านแม่จู้ เราขับรถไปสนามบิน ป้ายบอกทางป้ายใหญ่ ขับตามไปไม่มีหลง จัดแจงเอารถไปคืนที่ Airport Car Rent พนักงานใจดีก็ขับรถคันเดิมมาส่งเราที่สนามบิน ทริปอันเด็ดสะระตี่เล็กๆทริปนี้ของเราก็มาถึงช่วงสุดท้าย ถึงแม้ครั้งนี้จะไม่ใช่ครั้งแรกที่เรามาภูเก็ต แต่ก็เป็นครั้งแรกที่เราได้สัมผัสภูเก็ตในมุมที่เราเลือกเอง วางแผนการท่องเที่ยวเอง ตอนแรกคิดว่า 3 วัน 2 คืนในภูเก็ตคงเพียงพอ แต่เอาเข้าจริงต้องมีครั้งที่ 2 ครั้งที่ 3 และครั้งต่อๆไปสำหรับการมาเที่ยวภูเก็ตอีกแน่ๆ เพราะว่าภูเก็ตเขาเด็ดสะระตี่จริงๆ




 

Create Date : 04 มิถุนายน 2554   
Last Update : 4 มิถุนายน 2554 11:31:29 น.   
Counter : 2025 Pageviews.  


ภูเก็ต... เด็ดสะระตี่ (2)

วันที่ 2: เกาะไข่ครึ่งวันเช้า ตกบ่ายเก็บตกร้านอาหารในตัวเมือง ตกเย็นกลับมาหาของกินอีกรอบ


เช้านี้เราตื่นนอนกันแต่เช้าตรู่ เพราะมีนัดกับบริษัททัวร์ที่จะพาไปเกาะไข่ตอน 8 โมงเช้าที่ลานจอดรถเทสโก้ โลตัส สี่แยกสามกอง ดูจากแผนที่คร่าวๆแล้วต้องใช้เวลาเดินทางจากศาลาภูเก็ตประมาณ 30-40 นาที เพราะฉะนั้นต้องออกจากโรงแรมภายใน 7.15 น. เนื่องจากอาหารเช้าของโรงแรมเริ่มเสิร์ฟตอน 7 โมงเช้า เราจึงขาดทุนอดกินอาหารเช้าโรงแรมไป 1 มื้อ แต่อย่างน้อยพอเราบอกเจ้าหน้าที่ศาลาภูเก็ตไว้ตั้งแต่เมื่อวานว่าวันนี้เราต้องออกเช้า กินอาหารเช้าโรงแรมไม่ทัน เขาก็ใจดีที่จัดเซ็ทอาหารเช้าเล็กๆ ใส่ถุงไปให้เรารองท้องระหว่างด้วย ภายในถุงอาหารเช้าเล็กๆประกอบไปด้วย ครัวซองท์ชิ้นย่อมๆแต่อร่อยมาก กรอบๆเค็มๆ 4 ชิ้น สลัด 1 กล่อง คุ้กกี้ 5-6 ชิ้น น้ำส้ม 2 กระป๋อง ผลไม้ 1 กล่อง น้ำเปล่าอีก 2 ขวด เยอะพอดู เพราะสุดท้ายก็ได้กินไปแค่ครัวซองท์กรอบๆเค็มๆนั่นล่ะ ดีแล้วที่ไหวตัวทันไม่ยัดอย่างอื่นเข้าไปด้วย เพราะผลกรรมที่ตามมานั้น... มันช่างทรมานยิ่งนัก 55+ อย่าเพิ่งคิดว่าอาหารบูดหรือว่าอะไร ผลกรรมนั้นเป็นเพราะตัวเราเองล้วนๆ


จากศาลาภูเก็ต ขับเข้าเมืองโดยใช้ทางหลวงหมายเลข 402 เช่นเดิม เมื่อผ่านอนุสาวรีย์ท้าวเทพกระษัตรีไปได้ประมาณ 10 กม. จะเห็นปั๊มเชลล์ทางซ้ายมือและเจอสามแยกใหญ่อยู่ข้างหน้า มีป้ายบอกหมายเลขทางหลวง 402 เหมือนเดิม แต่มีเครื่องหมายแยกกัน 2 เครื่องหมาย อันหนึ่งให้ตรงไป อีกอันหนึ่งให้เลี้ยวขวา ที่แยกนั้นให้เราเลี้ยวขวา จะเป็นทางหลวงหมายเลข 402 แต่เรียกว่าถนนเฉลิมพระเกียรติหรือเส้นบายพาส ขับไปเรื่อยๆประมาณ 10 กว่ากิโลเมตร จะถึงสี่แยกสามกอง แต่ก่อนนั้นก็จะมองเห็นป้ายห้างเทสโก้ โลตัสใหญ่เบ้อเริ่มมาแต่ไกล รับรองไม่มีหลง ไม่มีเลย เมื่อหาที่จอดในเทสโก้ได้แล้ว (เทสโก้ที่นี่เปิดตั้งแต่ 6 โมงเช้า อยากได้อะไร อยากกินอะไรมาลุยเอาที่นี่ก็ได้ ไม่ต้องรออาหารโรงแรม) ให้เดินออกไปด้านนอกลานจอดรถ ถ้าหันหน้าเข้าทางเข้าห้าง ให้หันซ้ายแล้วเดินตรงไป ผ่านป้อมยามที่รับบัตร จะมองเห็นรถตู้จอดอยู่ที่ริมถนนฝั่งตรงข้าม นั่นแหล่ะใช่เลยรถตู้ที่ขนนักท่องเที่ยวมาทั่วตัวเมืองภูเก็ต ตอนนี้จอดรอเพื่อรอรับเราคู่สุดท้ายก่อนไปท่าเรือสิเหร่ ถ้าไม่อยากข้ามถนนไปขึ้นรถ ก็โบกไม้โบกมือหรือพอถึงเวลานัด คนขับรถก็จะโทรหาเรา ให้เราบอกให้เขาวันรถมารับที่ในเทสโก้ก็ได้ค่ะ คนขับรถใจดี


ผู้โดยสาร 5 คู่ 10 คนในรถตู้คันนี้ดูท่าจะมาจากที่พักไม่ซ้ำกัน ยกเว้นคู่เราแล้ว ทั้งหมดเป็นชาวต่างชาติ เรานั่งอยู่ข้างๆคุณตาชาวออสซี่วัย 72 (ที่รู้เพราะคุณตาร้องโวยวายตอนคนขับรถขับรถเกือบไปชนหมาน้อย คุณตาเลยอุทานและสบถยาวเหยียด) มากับคุณยายวัยใกล้เคียงกัน คุณตาตลกดี พูดเยอะมาก ใช้เวลาในรถตู้ประมาณ 30 นาทีก็ถึงท่าเรือสิเหร่ ที่ท่าเรือนี้เป็นท่าเรือที่รวมพลนักท่องเที่ยวที่จะไปทัวร์เกาะไข่และเกาะใกล้เคียงบริเวณนั้น พอเห็นจำนวนนักท่องเที่ยวและการบริหารจัดการก็รู้ได้ว่า การที่เราจะจองทัวร์ยี่ห้อไหนนั้นไม่สำคัญเลย เพราะแทบทุกบริษัทก็มีลักษณะคล้ายๆเอเจนซี่ คือรับลูกทัวร์มาเสร็จแล้วมาพูลรวมกันให้อีกบริษัทที่เป็นคนนำทัวร์จริงๆมาพาไปอีกที ไกด์ทัวร์ของเราในวันนี้ชื่อ “มิสเตอร์โกโก้” ดูจากรูปก็คงไม่ต้องบอกว่าชื่อโกโก้นั้นท่านได้แต่ใดมา คุณโกโก้เป็นไกด์ที่มีเอกลักษณ์ประจำตัวน่าจดจำใช้ได้เลย ภาษาอังกฤษที่ใช้สื่อสารกับลูกทัวร์ต่างชาติไม่จำเป็นต้องสวยหรูหรือถูกต้องตามไวยกรณ์ เพียงแค่เขาแสดงถึงความจริงใจที่จะเอาใจใส่ลูกทัวร์และมุขฮาฮา ตุ่นๆที่หยอดตลอดเวลา ก็ทำให้ลูกทัวร์อมยิ้มได้ตลอดทริป


"มิสเตอร์โกโก้"


ประมาณเกือบ 9 โมง คุณโกโก้เริ่มต้อนลูกทัวร์ขึ้นเรือเร็ว (speed boat) ก่อนขึ้นเรือก็มีเสนอเช่าตีนกบ คู่ละ 100 บาทเพื่อช่วยให้การดำน้ำในทะเลสนุกขึ้น ดำได้ลึกขึ้น ว่ายได้เร็วขึ้น จากนั้นก็มีการถ่ายรูปตามกลุ่มที่มาด้วยกันก่อนขึ้นเรืออีกที เพื่อสุดท้ายเขาจะนำรูปไปติดบนจาน ขายเป็นของที่ระลึกกันอีกที (ช่างภาพที่นี่ถ่ายรูปดีทีเดียว เราเห็นผลงานบนจานแล้วต้องซื้อกลับเลยทีเดียว 160 บาท) จำนวนสมาชิกบนเรือสปีดโบ๊ทมีทั้งหมด 43 คน เป็นกลุ่มคนไทย 3 กลุ่ม รวมประมาณ 7-8 คน ที่เหลือเป็นชาวต่างชาติทั้งหมด ส่วนใหญ่เป็นชาวยุโรปซะเยอะ มีไต้หวัน สิงคโปร์อยู่ 2 กลุ่ม เห็นแล้วก็ดีใจที่ชาวต่างชาติยังมาเที่ยวบ้านเราอยู่เยอะเลย ทัวร์เกาะไข่แบบครึ่งวันเช้านี้ไม่มีอาหารกลางวันบริการ แต่จะมีอาหารว่างพวกแซนวิชบริการให้ นอกจากนี้ยังมีผลไม้คือแตงโมและสัปปะรดพร้อมด้วยน้ำดื่ม น้ำอัดลมบริการฟรีตลอดการเดินทาง



เกาะไข่ เป็นเกาะขนาดเล็ก ตั้งอยู่ในเขตจังหวัดพังงา แต่การเดินทางจากฝั่งภูเก็ตจะสะดวกกว่า เกาะไข่ประกอบด้วยเกาะเล็กๆ 3 เกาะคือ เกาะไข่ใน เกาะไข่นุ้ยและเกาะไข่นอก เฉพาะเกาะไข่ในและเกาะไข่นอกเท่านั้นที่มีชายหาดให้สามารถแวะพักได้ จุดเด่นของเกาะไข่อยู่ที่ความขาวสะอาดของเม็ดทรายและความใสของน้ำทะเล ความสวยงามช่างแตกต่างจากหาดอื่นๆอย่างหาดกะตะ กะรนหรือหาดป่าตองที่อยู่ในตัวเกาะภูเก็ตยิ่งนัก ทั้งๆที่ระยะทางห่างกันไม่กี่กิโลเมตร เพราะฉะนั้นเกาะไข่จึงเป็นสวรรค์ของนักท่องเที่ยวที่มีเวลาไม่มากนักแต่ยังอยากชื่นชมความบริสุทธิ์ของธรรมชาติโดยไม่ต้องเสียเวลาไปไกลถึงเกาะพีพีหรือสิมิลัน บนเกาะไข่ไม่มีที่พักอาศัย มีเพียงแต่ร้านค้าเล็กๆรองรับทัวร์แบบเต็มวันที่ต้องมารับประทานอาหารบนเกาะ การเดินทางมาเกาะไข่หรือเกาะอื่นๆที่เป็นเกาะที่มีขนาดไม่ใหญ่นัก ปัจจุบันนักท่องเที่ยวนิยมท่องเที่ยวด้วยเรือสปีดโบ๊ทมาก ด้วยความเล็กและน้ำหนักเบา ทำให้สปีดโบ๊ทขับเคลื่อนได้เร็วกว่าเรือใหญ่มาก ซอกแซกซอกซอนไปยังเกาะเล็กเกาะน้อยได้ดี ถึงแม้ราคาจะแพงกว่าแต่ก็สะดวกและคุ้มค่ากว่ามาก

สถานที่แรกที่คุณโกโก้จะพาเราไปแวะนั่นก็คือ “เกาะไข่ใน” ออกจากท่าเรือเพียง 20 นาทีก็ถึงเกาะไข่ในแล้ว เมื่อเราเห็นเกาะไข่ในแล้วก็ไม่ผิดหวัง ถึงแม้จะใกล้ภูเก็ตเหลือเกินแต่น้ำทะเลก็ใส หาดทรายก็สวยใช้ได้เลยทีเดียว บนเกาะไข่ในจะมีเตียงผ้าใบชายหาดกางรอไว้เต็มหาด ต้องเช่าในราคาคู่ละ 150 บาทถึงจะนอนและฝากของไว้ได้ ไม่ต้องห่วงเรื่องของหาย แค่หาที่ผูกไว้แถวๆโคนร่มชายหาด อย่าวางไว้บนเตียงผ้าใบเพราะน้ำทะเลอาจขึ้นมาซัดพาลงไปได้ คุณโกโก้และทีมงานจะคอยเป็นหูเป็นตาดูแลทรัพย์สินให้ จุดเด่นของเกาะไข่ในจริงๆอีกอย่างก็คือ “ปลาเสือและผองเพื่อน” เพราะคุณปลาเสือและผองเพื่อนจะมาว่าย วนอวดโฉมให้พวกเราว่ายไล่จับกันที่หน้าชายหาดกันเลยทีเดียว ไม่ต้องดำน้ำลงไปลึกถึงกลางทะเล แค่เดินออกจากชายหาดให้น้ำทะเลยังไม่ทันมิดท้อง ก็จะพบกับฝูงปลาเสือและปลาอื่นๆอีกหลายชนิดจำนวนมากว่ายวนอยู่รอบตัวเราเต็มไปหมด ยิ่งถ้านักท่องเที่ยวที่มีอาหารไปล่อฝูงปลาอย่างเช่นขนมปัง ปลาเสือที่ดูเหมือนจะเคยชินกับพฤติกรรมนี้แล้วก็จะยิ่งรีบว่ายเข้ามาห้อมล้อมเต็มไปหมด ก่อนหน้าจะมาเกาะไข่ ก็ได้อ่านข้อมูลจากในอินเตอร์เน็ตหลายที่ว่า จริงๆไม่ควรนำอาหารให้ปลา เพราะจะกลายเป็นการทำให้ปลาเสือเคยชินและหาอาหารเองไม่เป็นในที่สุด เราก็เลยตั้งใจว่าจะไม่ซื้อขนมปังที่มีคนพยายามเร่ขายบนเกาะตลอด แต่ก็มีนักท่องเที่ยวหลายกลุ่มที่เตรียมขนมปังมาเอง ก็ให้อาหารปลาเสือกันอย่างเมามัน พอเราอยากจะถ่ายรูปปลาเสือชัดๆ คุณไกด์โกโก้ก็ใจดีไปหาเศษขนมปังมาให้ เราก็เลยก็กลืนน้ำลายตัวเอง กลับความตั้งใจ เอาขนมปังยื่นให้ปลาเสือกิน >_< และปลาเสือก็มากินขนมปังกันอย่างเมามันทีเดียว ตอนหลังพอไม่มีขนมปังให้แล้ว มันก็คงนึกว่าต้นขาใหญ่ๆของเราเป็นขนมปังปอนด์ละมั้ง เข้ามาตอดกันหนุบหนับหลายครั้ง เจ็บมากๆๆ ขึ้นฝั่งมาแล้วยังเป็นรอยอยู่เลย หึหึ ถึงแม้ปลาเสือที่เกาะไข่ในจะมองเห็นได้จากผิวน้ำทะเลโดยไม่ต้องดำใต้น้ำไปดูแล้ว แต่เราก็สามารถดำผิวน้ำ (snorkeling) ตามไปดูฝูงปลาเสือและปลาอื่นๆใต้น้ำให้ความสวยงามยิ่งกว่าได้อีก


ถึงแล้วค่าาา เกาะไข่ใน








ปลาเสือ ปลาเสือ แล้วก็ปลาเสือ



ทัวร์ให้เราอยู่ดำผุดดำว่ายที่เกาะไข่ในเป็นเวลา 1 ชม. ก่อนจะพาเราออกจากเกาะไข่ในตอน 10.30 น. ซิ่งสปีดโบ๊ทไปยังเกาะต่อไป “เกาะไข่นุ้ย” เกาะที่ไม่มีชายหาดให้พัก ทำให้สปีดโบ๊ทต้องหยุดจอดกลางทะเลลึก แล้วให้ลูกทัวร์ดำน้ำ snorkeling ดูปลาต้ทะเล และด้วยความที่เรือต้องจอดกลางทะเลนี่ล่ะตัวดี เพราะพอเครื่องยนต์ดับลง กลิ่นน้ำมันที่ปล่อยออกมาจากตัวเรือผสมกับความเหวี่ยงของคลื่นกลางทะเลก็ทำให้ครัวซองท์ชิ้นน้อยๆที่กินไปเมื่อเช้ามันอยากจะออกมาซะงั้น ผะอืดผะอมเหลือเกิน จะอยู่บนเรือโต้คลื่นกลางทะเลก็คงไม่รอด ต้อง (อ้วก) ออกมาแน่ๆ เราก็เลยจำเป็นต้องลงไปดำน้ำกลางทะเล ใต้ทะเลที่เกาะไข่นุ้ยก็สวยงามดีอยู่ ปลาเล็กปลาน้อยหลากหลายพันธุ์มากกว่าที่เกาะไข่ใน น่าเสียดายที่ปะการังฟอกขาวไปเกือบหมด ดำไปแรกๆก็ดูเหมือนจะไหวอยู่ แต่สักพักคลื่นกลางทะเลก็ตีซ้ายทีขวาทีทำให้ท้องไส้เริ่มปั่นป่วนอีกครั้ง จะขึ้นไปพักบนเรือก็ทำไม่ได้เพราะเมากลิ่นน้ำมัน จะอยู่ต่อกลางทะเลก็ไม่ไหว เมาคลื่น ตอนนั้นเข้าไปความรู้สึกของเพลงป้าเบิร์ดที่ว่า “กลับตัวก็ไม่ได้ ให้เดินต่อไปก็ไปไม่ถึง” ได้อย่างลึกซึ้งจริงๆ สุดท้ายต้องรอให้เกือบๆครบเวลาที่ทัวร์ให้ไว้ ถึงค่อยขึ้นมาเมาต่อบนเรืออีก ทีนี้ล่ะก่อนเรือจะออกอีกนิดเดียว ครัวซองท์ก็ตีขึ้นมาจุกที่คอหอย ไม่รู้ว่าดีหรือไม่ดีที่พยายามกดมันลงไปจนได้ ไม่อ๊อกออกมา

จากเกาะไข่นุ้ย เรือสปีดโบ๊ทใช้เวลาอีกแป๊บเดียวก็ไปถึง “เกาะไข่นอก” เกาะสุดท้ายของทัวร์นี้ เกาะไข่นอกเป็นเกาะที่มีชายหาดขาวสะอาด น้ำทะเลสีฟ้าใสแจ๋วกว่าเกาะไข่ในมากเสียอีก เหมาะแก่การนอนอาบแดดเป็นที่สุด คุณโกโก้ก็เลยบอกว่าเกาะนี้ให้ลูกทัวร์นอนพักผ่อนที่เตียงผ้าใบ (ซึ่งต้องเช่าอีกแล้ว คู่ละ 150 บาท) แล้วเขาจะมาเสิร์ฟอาหารว่าง ผลไม้และน้ำดื่มให้ ขึ้นบนเกาะได้นิดเดียว ครัวซองท์เจ้ากรรมที่กดมันลงไปได้แล้ว ก็ยังไม่ย่อท้อ ไม่ให้ออกข้างบนงั้นไปออกข้างล่างก็ได้ เราเลยยังไม่ทันได้หาเตียงผ้าใบนั่งกลับต้องไปหาห้องน้ำเข้าแทน ห้องน้ำบนเกาะไข่นอกก็แสนนนนจะดี เฮ้ออออ เป็นห้องส้วมรวม ประตูก็ล็อกไม่ได้ โอ่งน้ำและขันน้ำที่ใช้ราดก็ตะไคร่ขึ้นซะ มาเกาะไข่ถ้าไม่จำเป็นถึงที่สุดอย่าได้มาเข้าห้องน้ำเชียวนะคะ ขอเตือน ค่าบริการก็ราคานักท่องเที่ยวอีกแล้ว ครั้งละ 20 บาท เฮ้ออออ!!! อีกที


อันนี้ที่เกาะไข่นอกค่ะ



บรรยากาศบนเกาะไข่นอก ถึงแม้แดดจะแรงจนต้องหยีตาแม้จะใส่แว่นกันแดด แต่ลมที่พัดผ่านโดยตลอดทำให้แสงแดดที่แผดเผาไม่ได้ร้อนอย่างที่คิด ยิ่งบวกกับน้ำทะเลใสๆ บรรยากาศสวยๆ หาดทรายขาวๆ ก็ยิ่งทำให้หลงใหล การนอนพักบนชายหาดเพียง 1 ชม. นั้นน้อยเกินไปจริงๆ








น้ำใสแจ๋ว



น้ำใสแจ๋วแหวว



ทัวร์พาเราออกจากเกาะไข่นอกกลับไปยังท่าเรือสิเหร่เวลา 12.30 น. ถึงท่าเรือเกือบบ่ายโมง รถตู้ขับมาส่งเราที่เทสโก้ สามกองก็บ่ายโมงครึ่ง หิวมากๆๆ ออกจากเทสโก้ได้เราก็รีบบึ่งไปแถวๆตัวเมืองภูเก็ตทันที แผนของเราก็คือจะไปกินบะหมี่ฮกเกี้ยนเจ้าดัง “หมี่ต้นโพธิ์” ที่แถวๆวงเวียนหอนาฬิกาหรือวงเวียนสุรินทร์ จากเทสโก้ โลตัสสามกอง ขับรถลงใต้มาตามถนนเฉลิมพระเกียรติ (บายพาส) เรื่อยๆ ผ่านบิ๊กซี เซ็นทรัลเฟสติวัลภูเก็ต จนถึงสี่แยกไทนาน เลี้ยวซ้ายเข้าถนนวิชิตสงคราม ผ่านสนามกีฬาสุระกุล เข้าถนนระนอง ผ่านวงเวียนน้ำพุ เข้าถนนรัษฎาแล้วเลี้ยวขวาไปวงเวียนสุรินทร์ หรือจากถนนวิชิตสงครามจะมีทางแยกซ้ายไปถนนแม่หลวน ขับเข้าถนนแม่หลวนเข้าถนนทุ่งคาจนถึงแยกถนนเทพกระษัตรีจึงเลี้ยวขวาเข้าถนนเทพกระษัตรี ตรงไปเรื่อยๆจนเจอวงเวียน ร้านหมี่ต้นโพธิ์มีป้ายเด่นเป็นสง่าอยู่ใกล้วงเวียน ที่จอดรถหากไม่มีที่จอดข้างถนน ให้มองหาที่จอดที่เป็นซอยเล็กๆอยู่หลังร้านได้

หมี่ต้นโพธิ์เป็นร้านขายหมี่ฮกเกี้ยนชื่อดังที่สุดแห่งหนึ่งในภูเก็ต หมี่ฮกเกี้ยนเป็นหมี่เหลืองเส้นกลมคล้ายยากิโซบะ นำมาผัดน้ำขลุกขลิก ใส่ผักกวางตุ้งพร้อมด้วยเนื้อสัตว์หลากหลายชนิดตามต้องการตั้งแต่หมู กุ้ง ปลา ปลาหมึก นอกจากนี้ยังมีการใส่ไข่ดิบหรือไข่ลวกลงไปด้วย เวลากินก็คลุกเคล้าให้เข้ากันก่อน กินคู่กับหอมแดง (ข้อมูลจากหนังสือนายรอบรู้) นอกจากหมี่ฮกเกี้ยนแล้ว ร้านหมี่ต้นโพธิ์ยังขายหมูสะเต๊ะ งบปลา รสชาติดีมาให้กินร่วมกันไปด้วย ข้างๆกันเป็นร้านหมี่สมจิตต์ซึ่งรู้มาว่าก็เป็นร้านหมี่ฮกเกี้ยนชื่อดังอีกร้านหนึ่ง แต่คงต้องไว้โอกาสหน้าเพราะโอกาสนี้อิ่มซะแล้ว



ถึงแม้จะอิ่มแปล้จากหมี่ต้นโพธิ์แต่เราก็ไม่ละเจตนารมณ์ในการตามหาของกิน เราจึงไปที่ถนนถลางเพื่อไปซื้อโรตีที่ร้านอับดุลหรือชื่อหน้าร้านว่า “ร้านข้าวหมกไก่” โรตีร้านนี้เขาว่ากรอบอร่อยมากก็เลยต้องขอชิมซะหน่อย ก็อร่อยจริงๆนั่นแหล่ะถึงแม้ราคาจะเป็นราคานักท่องเที่ยวอีกแล้ว ชิ้นละ 20 บาท แง๊ๆๆๆ โดนทำร้าย


ปิดท้ายมื้อกลางวันยันบ่ายสามด้วยขนม “โอ้เอ๋ว” จำชื่อร้านไม่ได้ที่ถนนเยาวราช ตรงข้ามซอยสุ่นอุทิศ ใกล้ๆกับร้านก๋วยเตี๋ยวเนื้อโอชารส แบบเพลนๆ แค่ใส่ถั่วแดง ราดน้ำแข็งและน้ำเชื่อม ไม่ใส่เครื่องใดๆ เพิ่ม ราคาถ้วยละ 10 บาท โอ้เอ๋วเป็นขนมหวานลักษณะคล้ายวุ้น หารู้ไม่ว่าความจริงแล้วทำจากกล้วยน้ำว้ากับเม็ดโอ้เอ๋ว (ไม่รู้หน้าตาเป็นยังไง) กินแล้วชุ่มคอเพราะมีสรรพคุณแก้ร้อนในกระหายน้ำ จากหนังสือนายรอบรู้บอกไว้ว่า สามารถหาโอ้เอ๋วกินได้เฉพาะแถวๆซอยสุ่นอุทิศกับย่านโรงหล่อเท่านั้น


โอ้เอ๋ว...สดชื่น สดชื่น


ขับรถกลับไปล้างเนื้อล้างตัวเปลี่ยนเสื้อผ้าที่ศาลาภูเก็ต แต่พอถึงวิลล่าที่พักเห็นสระว่ายน้ำอยู่ตรงหน้าก็เลยอดใจอีกไม่ไหวอีกตามเคย กระโจนลงไปว่ายน้ำอีกเกือบชั่วโมง อากาศร้อนๆแบบนี้ว่ายเท่าไหร่ก็ไม่เบื่อ หลังจากพักผ่อนในวิลล่าพอประมาณ เราก็ออกมาสำรวจส่วนอื่นๆของศาลาภูเก็ตกันต่อ ตำแหน่งของวิลล่าต่างๆในศาลาภูเก็ตเริ่มต้นจากวิลล่าที่ราคาย่อมเยาว์จะอยู่ใกล้ทางเข้าโรงแรม ใกล้เค้าท์เตอร์รีเซฟชั่นมากที่สุด วิลล่าที่ราคาสูงขึ้นมาก็จะอยู่ลึกเข้าไปซึ่งจะใกล้กับหาดไม้ขาวขึ้นเรื่อยๆ จนถึงวิลล่าแบบ 2 Bedroom Presidential Pool Villa ซึ่งจะอยู่เป็นหลังสุดท้าย ใกล้กับหาดไม้ขาวที่สุด ถัดจากวิลล่าหลังนี้ก็จะเป็นบริเวณรับประทานอาหารซึ่งเป็นแบบเปิดโล่ง มีสระว่ายน้ำส่วนกลางและสระจากุชชี่อยู่ด้านหน้า ด้านริมเป็นเค้าท์เตอร์บาร์ไว้ใช้สังสรรค์กันช่วงเย็นย่ำค่ำดึกได้ บางวันบริเวณสระว่ายน้ำนี้ก็จะเป็นที่ฉายหนังกลางแปลงหรือบริเวณเล่นดนตรีให้แขกที่มาพักได้สัมผัสบรรยากาศชิลๆแบบเอ้าท์ดอร์กัน โดยตารางการแสดงจะบอกล่วงหน้าที่หน้าทางเข้าส่วนรับประทานอาหาร เดินต่อไปยังหน้าชายหาดก็จะเจอชิงช้าน่ารักๆ 3-4 ตัวที่ทางศาลาภูเก็ตแขวนไว้กับต้นไม้ใหญ่ ชิงช้าสานนี้น่ารักมากๆ ห้ามพลาดต้องรีบมาแอ็คท่าถ่ายรูปกัน เดินเลยไปที่ชายหาดก็จะเห็นหาดไม้ขาวยาวสุดลูกหูลูกตา หาดไม้ขาวแม้ชายหาดจะไม่ขาวสมชื่อแต่ก็เป็นชายหาดที่สะอาดและเงียบสงบมาก วันที่เราไปนี้คลื่นลมแรงมาก ธงสัญญาณที่ฝั่งถึงกับต้องชักเป็นธงสีแดง นั่นหมายถึงคลื่นแรงอันตราย ห้ามลงไปเล่นน้ำเด็ดขาด เราอยู่ที่หาดไม้ขาวจนพระอาทิตย์เกือบลับขอบฟ้า สีของพระอาทิตย์ที่นี่แตกต่างจากสีของพระอาทิตย์และท้องฟ้าเมื่อวานที่แหลมพรหมเทพ วันนี้แสงสีทองของพระอาทิตย์สาดส่องไปทั่วจนเรียกได้ว่าแสงสีทองผ่องอำไพเลยทีเดียว (เอ่อ... ได้ข่าวว่าวลี “แสงสีทองผ่องอำไพ” นี้เป็นวลีที่ได้มาจากพวกคอมมิวนิสต์) สวยไปอีกแบบ ดูพระอาทิตย์ตกแล้วถึงแม้ท้องจะยังไม่ร้อง แต่ใจก็ร้องจะออกไปหามื้อเย็นกันแล้ว ไปหามื้อเย็นตามคำแนะนำของเพื่อนที่อยู่ภูเก็ตที่ร้าน “แพครูวิทย์” กันดีกว่าค่ะ



บริเวณรับประทานอาหาร



สระจากุชชี่






หาดไม้ขาวยามอาทิตย์อัสดง



จากศาลาภูเก็ต ขับตามทางหลวงหมายเลข 402 เพื่อเข้าเมืองเช่นเดิม ผ่านอนุสาวรย์ท้าวเทพกระษัตรีฯ ผ่านแยกที่จะไปถนนบายพาส (ไม่ต้องเลี้ยวขวาเข้าบายพาส ให้ขับตรงไป) สักพักจะเจอปั๊มเชลล์ทางซ้ายมือ ผ่านวัดสะปำให้ชิดซ้าย เมื่อผ่านเนินที่เป็นทางโค้งขวา มองหาปากทางเข้าซอยทางซ้ายมือที่มีป้ายร้านอาหารเยอะๆแล้วเลี้ยวซ้ายเข้าไป ขับไปตามป้ายบอกชื่อร้านแพครูวิทย์หรือร้านแหลมหินซีฟู้ดก็ได้ ขับไปเรื่อยๆจะเจอร้านแหลมหินซีฟู้ดก่อน ขับเลยไปสักจนสุดทางจะเจอลานจอดรถเพื่อรอข้ามฝั่งไปยังร้านอาหารต่างๆที่หน้าเกาะมะพร้าว “แพครูวิทย์” เป็นหนึ่งในร้านอาหารจำนวนหลายๆร้านหน้าเกาะมะพร้าว ร้านอาหารตั้งอยู่บนแพกลางทะเล รอบๆเป็นกระชังจับกุ้ง หอย ปู ปลา อาหารที่ได้จึงสดมาก จริงๆแล้วบรรยากาศในการนั่งรับประทานอาหารที่แพเหล่านี้น่าจะช่วงเย็นก่อนพระอาทิตย์ตก นั่งกินไปชมพระอาทิตย์ตกไป.... ^^


หมายเลข 15 ร้าน "แพครูวิทย์"


เมื่อจอดรถแล้ว เสียค่าจอดรถ 20 บาท เดินข้ามสะพานคอนกรีตไปจะเจอเรือจอดอยู่เต็มไปหมด เรือเหล่านี้จะบริการรับส่งลูกค้าจากฝั่งไปยังแพตามต้องการ เพียงแค่บอกว่าเราจะไปแพไหน ก็ไปได้ถึงที่ไม่ต้องรอคิว มากันแค่สองคนก็ออกเรือได้เลย ค่าโดยสารก็ไม่ต้องเสียเพราะทางร้านเหมาจ่ายกับทางเรือไว้หมดแล้ว ที่ร้านแพครูวิทย์วันนี้เราสั่งอาหารเบาๆไม่กี่อย่าง ผัดผักเหมียงกุ้งเสียบ ปูม้านึ่งและกุ้งทอดกระเทียม ทั้ง 3 อย่างรสชาติดีมากๆ กุ้งทอดกระเทียมก็กร๊อบบบกรอบ กินได้ทั้งตัว ปูม้านึ่งก็ซ้ดดดสด ผักเหมียงก็มั้นนนนมัน เห็นโต๊ะข้างๆมากันเป็นหมู่คณะแบบผองเพื่อนแล้วอิจฉามากๆ คงได้กินของอร่อยๆเพิ่มขึ้นอีกหลายเมนู



เรือนี้เป็นของเรา พาไปยังแพครูวิทย์





ผัดผักเหมียงกุ้งเสียบ




คืนนี้หลับสบายสุดๆ ทั้งเหนื่อย ทั้งอิ่ม น้ำกระเจี๊ยบก่อนนอนและเตียงนุ่มๆที่ศาลาภูเก็ตพาเราหลับเพลินยาวถึงเช้า




 

Create Date : 03 มิถุนายน 2554   
Last Update : 3 มิถุนายน 2554 22:39:34 น.   
Counter : 2373 Pageviews.  


ภุูเก็ต... เด็ดสะระตี่ (1)

วันที่ 1: รอบเมือง/ตัวเมืองภูเก็ต ชมพระอาทิตย์ตกดิน


ที่มาของชื่อทริปในครั้งนี้ “ภูเก็ต... เด็ดสะระตี่” จำได้ว่าเคยได้ยินจากการร่วมสนุกกับรายการวิทยุคลื่นหนึ่ง ก็เลยต้องขอก๊อปปี้มาใช้เป็นชื่อทริปของเรากับเขาด้วย เพราะผลสรุปจากการล่องใต้เที่ยวภูเก็ตในครั้งนี้ คงไม่มีวลีไหนโดนใจเท่ากับเด็ดสะระตี่อีกแล้ว ก็ภูเก็ตเขาเด็ดจริงๆนี่นา เราเริ่มต้นการวางแผนการท่องเที่ยวล่วงหน้า 3 เดือนด้วยการเล็งตั๋วเครื่องบินจากแอร์เอเชียเป็นอันดับแรก จากนั้นก็รองานไทยเที่ยวไทยเมื่อเดือนมี.ค. ที่ผ่านมาเพื่อซื้อโปรโมชั่นที่พักจากศาลาภูเก็ต โรงแรมในฝันของเรา (ดูรูปจากรีวิวและเว็บไซต์แล้วถึงกับเพ้อ) ในราคาสุดคุ้มนั่นคือพัก 2 คืนจ่ายแค่ 1 คืนหรือง่ายๆก็คือลด 50% นั่นเอง ราคาห้องพักที่ถูกที่สุดอยู่ที่ห้องแบบ Deluxe Balcony ถัดมาคือ Garden Pool Villa และ SALA Pool Villa แต่ไหนๆก็ลด 50% แล้ว เราจึงขอเลือกแบบราคาสูงที่สุดที่มีในโปรโมชั่นนั่นคือ 1 Bedroom Pool Villa Suite (จริงๆแล้วทางโรงแรมยังมีห้องพักที่รคาสูงกว่านี้อีก 3 แบบ แต่ไม่มีโปรโมชั่น) เบ็ดเสร็จรวมราคาที่จ่ายไปสำหรับที่พัก 2 คืนพร้อมอาหารเช้าเท่ากับ 11,218 บาท

เมื่อได้ตั๋วเครื่องบินและที่พักแล้ว เมื่อใกล้ถึงเวลาเดินทางประมาณ 2 สัปดาห์ เราก็จัดการเรื่องจองรถเช่า ตอนแรกเราเลือกจองของ Best Rent A Car แต่ช่วงที่จะไปเป็นช่วงวันหยุดยาว รถรุ่นที่เราจองของทางบริษัทจึงถูกจองเต็มหมดแล้ว บริษัทก็ใจดี๊ดีแนะนำบริษัทข้างๆให้ บอกว่าราคาเท่ากัน บริการดีเหมือนกันแน่นอน เราก็เลยได้จองรถ Toyota Vios 1.6 CC จากบริษัท Airport Car Rent ในราคาวันละ 900 บาทพร้อมประกัน ทางบริษัทจะมารับเราที่สนามบินแล้วพาไปทำสัญญาที่ออฟฟิศฝั่งตรงข้ามสนามบิน ขากลับเมื่อคืนรถก็จะขับมาส่งเราที่สนามบินเช่นกัน จริงๆการเอื้อเฟื้อในหมู่บริษัทที่ทำธุรกิจเดียวกันอย่างนี้เป็นเรื่องที่น่าดีใจมาก เพราะถึงแม้ว่าทาง Best Rent A Car จะไม่มีรถเหลือให้เราแล้ว แต่บริษัทก็มีน้ำใจที่จะแนะนำลูกค้าให้บริษัทเพื่อนบ้านอย่าง Airport Car Rent แทนที่บริษัทจะปฏิเสธลูกค้าและวางสายโทรศัพท์ไป

สุดท้าย เนื่องจากว่าเราตกลงจะไปเที่ยวเกาะไข่ด้วย เกาะที่จริงๆแล้วอยู่ในเขตของจังหวัดพังงาแต่สามารถเดินทางได้สะดวกกว่าถ้ามาจากฝั่งภูเก็ต เกาะที่ขึ้นชื่อเรื่องงามสวยงามของหาดทราย น้ำใส ปลาเสือและร่มชายหาดสีฉูดฉาด เราก็เลยต้องจัดการเรื่องจองทัวร์ไปเกาะไข่กัน การเลือกจองทัวร์ไปเกาะไข่นั้นสร้างปัญหาให้กับเราพอสมควร ด้วยความที่ว่าไม่รู้จะเลือกซื้อทัวร์เจ้าไหนถึงจะดี เพราะทัวร์เกาะสารพัดแบบทั่วภูเก็ตและจังหวัดใกล้เคียงนั้นมีเยอะแยะไปหมด หาข้อมูลในพันธุ์ทิพย์ก็ไม่ค่อยมีคนฟันธงว่าให้เลือกเจ้านั้นเจ้านี้ไปเลย มีแต่บอกว่าไม่มีเจ้าไหนประทับใจเป็นพิเศษ เลือกเจ้าไหนก็เหมือนๆกัน เราก็เลยหลับตาจิ้มเลือกทัวร์ของ Phuket Island Tour //www.phuketislandtour.com/ สำหรับราคาทัวร์เกาะไข่ครึ่งวันเช้า พร้อมอาหารว่าง ราคาคนละ 700 บาท จองลองหน้าได้จากกรุงเทพฯ โดยจ่ายมัดจำครึ่งหนึ่ง ปกติแล้วทัวร์ทุกบริษัทจะมีบริการรับ-ส่งลูกค้าจากที่พักไปยังท่าเรือฟรีหากที่พักนั้นอยู่บริเวณรอบๆตัวเมือง แต่ถ้าอยู่ไกลออกจากบริเวณที่กำหนดก็จะต้องเสียค่ารถเพิ่ม ถ้าไม่อยากให้รับ-ส่ง จะขับรถมาเอง ก็จะมีการตกลงจุดนัดพบกันในตัวเมือง ขึ้นกับว่าจะไปเกาะไหน ต้องไปขึ้นเรือที่ท่าเรืออะไร

เมื่อเตรียมด้วยจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว เราก็ออกเดินทางสู่ภูเก็ตในวันอาทิตย์ที่ 15 พฤษภาคม ด้วยเที่ยวบินจากแอร์เอเชียเวลา 8.45 น. ไปถึงท่าอากาศยานนานาชาติภูเก็ตเวลา 10.05 น. ตรงเวลาเป๊ะ ก่อนออกจากอาคารผู้โดยสาร ให้หยิบแผนที่ภูเก็ตแจกฟรีที่วางไว้เพียบไปซะหลายๆอันหน่อย เป็นผู้ช่วยในการเดินทางได้ดีเสมอ พอออกจากอาคารก็เจอเจ้าหน้าที่ Airport Car Rent ถือป้ายรอเราอยู่แล้ว หลังจากจัดการเรื่องรถเช่าเรียบร้อย เราก็ขับรถตรงไปยังที่พักที่ศาลาภูเก็ตกันก่อนซึ่งสามารถใช้ได้ 2 เส้นทาง เส้นทางที่ 1 (ข้อมูลจากร้านรถเช่า) จากสนามบินให้เลี้ยวซ้าย ขับตรงไปตามทางเลียบเล็กๆข้างสนามบินไปเรื่อยๆจนเจอแยกให้เลี้ยวขวา ขับตรงไปอีกจนเจอสามแยกถนนใหญ่ ป้ายบอกหน้าสามแยกเลี้ยวซ้ายไปสะพานสารสิน เลี้ยวขวาไปตัวเมืองภูเก็ต ให้เลี้ยวซ้ายจะเข้าสู่ทางหลวงหมายเลข 402 ตรงขึ้นไปเรื่อยๆ ระหว่างทางให้สังเกตป้ายบอกระยะทางไปโรงแรม JW Marriott และศาลาภูเก็ตให้ดีเรื่อยๆ พอเห็นป้ายของโรงแรม Renaissance ก็ให้รีบชิดซ้ายทันที เพราะถัดไปอีกแค่ 5 เมตรก็จะเป็นป้ายบอกศาลาภูเก็ตและเป็นทางเลี้ยวซ้ายเข้าไป ซึ่งทางเข้านี้จะอยู่ตรงหัวโค้งพอดี ถ้าขับอยู่เลนกลางอาจจะชิดซ้ายเข้ามาเลี้ยวเข้าไม่ทัน ต้องไปยูเทิร์นกลับมาใหม่อีกไกลโข สำหรับทางเข้าที่เลี้ยวเข้าไปนี้ เป็นทางเข้าร่วมระหว่างโรงแรมหลายๆแห่งที่ตั้งอยู่ที่บริเวณหาดไม้ขาว ศาลาภูเก็ตต้องขับเข้าไปอีกประมาณ 2.5 กม. ระหว่างทางก็จะผ่านโรงแรม JW Marriott, Anatara, Renaissance ส่วนศาลาภูเก็ตอยู่ในสุดเลย เส้นทางที่ 2 (ข้อมูลจากเว็บศาลาภูเก็ต) จากสนามบินให้เลี้ยวขวา ขับตรงไปจนเจอทางแยกแรกให้เลี้ยวซ้าย ขับตรงไปตามทางหลวงหมายเลข 4026 ขับตรงไปอีก 4 กม.จะเจอสี่แยกใหญ่ให้เลี้ยวซ้ายและตรงขึ้นไปคือทางหลวงหมายเลข 402 จากนั้นก็ขับตามเส้นทางเหมือนเส้นทางที่ 1



จะเที่ยวภูเก็ตทั้งทีก็ต้องศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับภูเก็ตกันซะหน่อย รวบรวมข้อมูลจากหนังสือ “นายรอบรู้” ภูเก็ตและอินเตอร์เน็ตอีกมากมาย สามารถสรุปข้อมูลคร่าวๆของจังหวัดภูเก็ตเป็นข้อๆเพื่อให้อ่านง่ายขึ้นดังนี้ค่ะ
1. ภูเก็ตเป็นเกาะที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย เดิมทีภูเก็ตไม่ได้เป็นเกาะแต่เป็นส่วนหนึ่งของจังหวัดพังงา กาลเวลาทำให้คลื่นลมในทะเลกัดเซาะภูเก็ตออกจากผืนแผ่นดินใหญ่จนกลายเป็นเกาะภูเก็ตในปัจจุบัน
2. ก่อนที่ภูเก็ตจะมีชื่อเสียงเรื่องการท่องเที่ยวและธรรมชาติที่สวยงาม ภูเก็ตสร้างชื่อและรายได้ให้กับประเทศไทยโดยการเป็นแหล่งแร่ดีบุกขึ้นชื่อ ต่อมาจึงเต็มไปด้วยเหมืองแร่ดีบุกทั่วทั้งเกาะ โดยมีชาวจีนฮกเกี้ยนที่ข้ามน้ำข้ามทะเลเข้ามาค้าขายกับประเทศไทยเป็นผู้บุกเบิกการทำเหมืองแร่
3. ภูเก็ตมีเพียง 3 อำเภอคืออำเภอเมือง อำเภอกะทู้และอำเภอถลาง
4. คำขวัญประจำจังหวัดภูเก็ตคือ “ไข่มุกอันดามัน สวรรค์เมืองใต้ หาดทรายสีทอง สองวีรสตรี บารมีหลวงพ่อแช่ม”
5. พระยารัษฎานุประดิษฐ์มหิศรภักดี (คอซิมบี้ ณ ระนอง) ผู้ปกครองเมืองภูเก็ตเป็นผู้พัฒนากิจการเหมืองดีบุก และยังทำนุบำรุงเมืองให้เจริญขึ้นในทุกๆด้าน นับว่าเป็นบุคคลที่มีความสำคัญต่อภูเก็ตอย่างยิ่ง

SALA Phuket Resort and Spa //www.salaresorts.com/phuket/ ตั้งอยู่ที่หาดไม้ขาว อ.ถลาง เหนือขึ้นไปจากสนามบินภูเก็ตอีกประมาณ 15 กม. ทางเดียวกับทางไปสะพานสารสินที่เป็นสะพานเชื่อมระหว่างจังหวัดภูเก็ตและจังหวัดพังงา หาดไม้ขาวนี้เป็นหาดทรายที่มีความยาวที่สุดในภูเก็ต หาดทรายขาวสะอาดแต่ไม่เหมาะกับการเล่นน้ำเนื่องจากพื้นทะเลเป็นแอ่งกระทะลึก ในอดีตหาดทรายขาวเป็นแหล่งวางไข่ของเต่าทะเลแต่ค่อยๆลดน้อยถอยลงไปเรื่อยๆตามสภาพแวดล้อมและทรัพยากรทางธรรมชาติที่แปรเปลี่ยนไป ในส่วนของโรงแรมศาลาภูเก็ตเป็นโรงแรมที่แค่เห็นแต่เพียงภาพในอินเตอร์เน็ตปุ๊บก็ปิ๊งปั๊บทันที จริงๆเราเห็นภาพโรงแรมในเครือศาลาแห่งแรกเป็นที่ศาลาสมุยตั้งแต่ 4 ปีที่แล้ว แต่ศาลาภูเก็ตกลับเป็นที่แรกที่เราได้มาเยือน โรงแรมในเครือศาลาทั้งศาลาสมุยและศาลาภูเก็ตมีจุดเด่นอยู่ที่ห้องพักที่เป็นสไตล์วิลล่า แต่ละวิลล่าแยกจากกันอย่างชัดเจนทำให้รู้สึกถึงความเป็นส่วนตัว นอกจากนี้แต่ละวิลล่ายังมีสระว่ายน้ำขนาดใหญ่พอที่สามารถว่ายน้ำได้อย่างจริงจังอีกด้วย โทนสีขาว สีเทาและสีเบจเป็นโทนสีหลักของโรงแรม ให้ความรู้สึกสะอาดตา นุ่มนวลและบ่งบอกถึงความเรียบหรูอย่างแท้จริง จำนวนห้องพักตามเว็บไซต์เขียนว่า 79 ห้อง แต่ถ้าดูจากหมายเลขห้องจริงที่โรงแรมแล้วมี 81 หมายเลข (แต่อาจไม่มีหมายเลข 13 ทำให้จำนวนห้องจริงน้อยกว่าจำนวนหมายเลขก็ได้) ลักษณะห้องพักที่ศาลาภูเก็ตแบ่งออกเป็น 7 แบบได้แก่
1. Deluxe Balcony 63 sqm - เป็นแบบเดียวที่ไม่มีสระว่ายน้ำส่วนตัว จะเป็นห้องที่อยู่บนชั้น 2 ของอาคาร ชั้นล่างเป็นห้องแบบ Garden Pool Villa
2. Garden Pool Villa 158 sqm - อยู่ชั้นล่างของ Deluxe Balcony มีสระว่ายน้ำส่วนตัวขนาด 22.5 ตรม.
3. SALA Pool Villa 157 sqm - ห้องแบบนี้เป็นต้นไปจะมีห้องน้ำ outdoor หันหน้าชนกับสระว่ายน้ำส่วนตัว
4. 1 Bedroom Pool Villa Suite 214 sqm - มีห้องนั่งเล่นแยกออกจากห้องนอน มีทีวี 2 เครื่อง
5. 1 Bedroom Duplex Pool Villa Suite 333 sqm - วิลล่าเล่นระดับ ห้องนอนและห้องน้ำ outdoor ถูกยกให้อยู่ชั้น 2
6. 2 Bedroom Pool Villa Suite 447 sqm - 2 ห้องนอน แต่ละห้องนอนมีห้องน้ำ outdoor เป็นของตัวเอง
7. 2 Bedroom Presidential Pool Villa 619 sqm - ห้องสุดหรู ไม่ต้องมีคำบรรยาย พร้อมสระว่ายน้ำขนาดใหญ่ที่สุด 38 ตรม.

เมื่อมาถึงศาลาภูเก็ตแล้ว เจ้าหน้าที่โรงแรมซึ่งดูเหมือนส่วนมากจะเป็นคนท้องถิ่นก็ออกมาต้อนรับเราอย่างดี ระหว่างรอเช็คอิน (ซึ่งเราโทรมาขอ early check-in ก่อนล่วงหน้าแล้ว) ก็มอบพวงมาลัยและเสิร์ฟน้ำขิงเป็นเวลคัมดริ๊งก์ ข้างๆกันเป็นโต๊ะที่สามารถติดต่อเจ้าหน้าที่สำหรับการจองทัวร์ต่างๆ รวมไปถึงการยืมดีวีดีมาดูที่ห้องพักได้ การตกแต่งของศาลาภูเก็ตนอกจากจะใช้โทนสีขาวอย่างที่บอกไว้แล้ว ยังมีการตกแต่งสไตล์ชิโน-โปรตุกีสซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมเด่นของภูเก็ตด้วย









ห้องพักที่เราเลือกคือ 1 Bedroom Pool Villa Suite เปิดเข้าไปก็เจอสระว่ายน้ำขนาดใหญ่อยู่ตรงหน้า มีเตียงอาบแดด 2 เตียงอยู่ข้างๆ ที่หัวสระเป็นอ่างอาบน้ำ อ่างล้างหน้าพร้อมกระจกบานใหญ่ ข้างขวาเป็นโซฟาพร้อมหมอนนุ่มๆ ข้างซ้ายเป็นบริเวณอาบน้ำ ฝักบัวขนาดใหญ่พร้อมสบู่เหลว แชมพู ครีมนวดผมกลิ่นตะไคร้ ส่วนโถชำระแอบหลบมุมอยู่ถัดไป









ภายในห้องพักใช้พาร์ทิชั่นบานใหญ่กั้นระหว่างห้องนั่งเล่นและห้องนอนไว้ สามารถเปิดพาร์ทิชั่นให้มองผ่านทะลุห้องทั้งสองเพื่อความโปร่งโล่งสบายตาได้ ห้องนั่งเล่นมีผลไม้ตามฤดูกาลเตรียมเสิร์ฟไว้ให้พร้อม มีทีวีพร้อมเครื่องเล่นดีวีดีแยกต่างหาก เค้าท์เตอร์บาร์และตู้เย็นถูกซ่อนภายในลิ้นชักสีขาวสะอาดตา มีชา กาแฟพร้อมเครื่องชงกาแฟไว้บริการ ในส่วนห้องนอนก็มีทีวี เครื่องเล่นดีวีดีและช่องเสียบต่อกับอุปกรณ์ฟังเพลงอย่างไอพอดเอาไว้ให้ นอกจากนี้ทางโรงแรมยังเตรียมหมวก กระเป๋าสาน สะโหร่ง ร่ม เสื้อคลุมชายหาด เสื่อและรองเท้าแตะสำหรับเดินชายหาดไว้ให้ใช้ได้ระหว่างการเข้าพักอีกด้วย เจ้าหน้าที่ศาลาภูเก็ตแนะนำของ 2 สิ่งที่มีอยู่ในห้องพักสำหรับให้เราใช้สื่อสารกับแม่บ้านของทางโรงแรม อย่างแรกคือกำไลหินรูปเต่า ให้แขวนไว้หน้าประตูถ้าเราต้องการความเป็นส่วนตัว ไม่อยากให้ใครรบกวน ที่ใช้สัญลักษณ์เต่านั้นเพื่อหมายถึงว่าเต่ากำลังง่วงนอน ไม่อยากให้ใครรบกวน อย่างที่สองคือสร้อยหินเส้นยาว ให้แขวนไว้หน้าประตูถ้าต้องการให้แม่บ้านเปลี่ยนผ้าปูที่นอน





หลังจากสำรวจห้องพักเรียบร้อย ก็ได้เวลาออกเดินทางหาข้าวกลางวันเติมพลังกันเสียที เราขับรถออกจากศาลาภูเก็ตย้อนกลับไปทางไปสนามบิน (แต่ไม่ได้เลี้ยวกลับเข้าสนามบินนะคะ) ขับรถตรงตามทางหลวงหมายเลข 402 ไปเรื่อยๆ ประมาณ 30 กม. จะเจอกับอนุสาวรีย์ท้าวเทพกระษัตรี ท้าวศรีสุนทร สองวีรสตรีแห่งภูเก็ต วนรอบวงเวียนเพื่อย้อนกลับมาอีกฝั่ง ขับผ่านปั๊มน้ำมันเชลล์อีกนิดเดียว นิดเดียวจริงๆ ประมาณ 5 เมตรก็จะเจอร้านบะหมี่พังงา ร้านบะหมี่พังงานี้ขายบะหมี่เกี๊ยวหมูแดง โรยด้วยไก่ฉีก ถ้าสั่งแบบแห้งเขาก็จะเสิร์ฟน้ำซุปกระดูกหมูมาให้ซดคล่องคอกันด้วย รสชาติอาหารมื้อแรกของเราที่ภูเก็ตนั้นอร่อยใช้ได้เลยทีเดียว ผักกาดหอมและผักที่ใส่มาในบะหมี่นั้นมีรสหวานอร่อยมาก ไม่รู้ด้วยความหิว ความอร่อยหรือความที่ปริมาณบะหมี่ในชามนั้นน้อยไปทำให้เราต้องสั่งเบิ้ลสองชาม นอกจากนี้ทางร้านยังขายข้าวมันไก่ด้วย แต่เราไม่ได้ลองชิม


แผนที่จากศาลาภูเก็ต (ในแผนที่จะอยู่แถวๆ JW Marriott) ไปอนุสาวรีย์ท้าวเทพกระษัตรีฯ (ในแผนที่เห็นเป็นรูปอนุสาวรีย์อยู่ตรงกลางแผนที่)


ท้าวเทพกระษัตรี ท้าวศรีสุนทร เป็นสองวีรสตรีที่ชาวเมืองภูเก็ตต่างนับถือยกย่อง สืบเนื่องจากสมัยรัชกาลที่ 1 พระเจ้าปดุงกษัตริย์พม่ายกทัพมาตีไทย เมื่อตีเมืองตะกั่วป่า ตะกั่วทุ่งและค่ายปากพระแตกแล้ว ก็ยกทัพมาล้อมเมืองถลาง ขณะนั้นเจ้าเมืองถลางถึงแก่อนิจกรรม คุณหญิงจันภริยาเจ้าเมืองและคุณมุกน้องสาว จึงได้รวบรวมชาวเมืองเพื่อตั้งรับศึก จนพม่าขาดเสบียงต้องถอยทัพกลับ รัชกาลที่ 1 จึงพระราชทางบรรดาศักดิ์ให้คุณหญิงจันเป็นท้าวเทพกระษัตรีและคุณมุกเป็นท้าวศรีสุนทร (ข้อมูลทั้งหมดจากหนังสือ “นายรอบรู้” ภูเก็ต)

ออกจากร้านบะหมี่พังงา เราขับรถย้อนผ่านอนุสาวรีย์ท้าวเทพกระษัตรีฯ ตรงตามทางหลวงหมายเลข 402 ถนนเทพกระษัตรีต่อไปเรื่อยๆ เพื่อเข้าเมืองภูเก็ต สถานที่ต่อไปที่เราจะแวะชมก็คือย่านตึกเก่าของภูเก็ต ในอดีต นอกจากภูเก็ตจะมีทั้งคนจีนที่เข้ามาค้าขายจนกลายเป็นตั้งรกรากที่นี่ ยังมีชาวโปรตุเกส ชาตินักเดินเรือที่ยิ่งใหญ่และชาวตะวันตกที่อาศัยอยู่ที่ปีนังในสมัยที่ปีนังยังเป็นอาณานิคมของอังกฤษเข้ามาค้าขายกับภูเก็ตอีกด้วย การมีผู้คนหลายเชื้อชาติตลอดระยะเวลาอันยาวนานในภูเก็ตเช่นนี้ จึงทำให้เกิดการผสมผสานทางวัฒนธรรม ที่เห็นได้ชัดเจนและยังคงอยู่ในปัจจุบันนั่นคือสถาปัตยกรรมแบบชิโน-โปรตุกีสบนอาคารพาณิชย์ ตึกแถวและบ้านพักอาศัยในย่านตึกเก่าที่เรากำลังจะไปถึงนี้


แผนที่ย่านตึกเก่าจากเว็บ Thaiweekender



ที่แรกที่เราจะแวะคือ “พิพิธภัณฑ์ภูเก็ตไทยหัว” //www.thaihuamuseum.com/ ตั้งอยู่บนถนนกระบี่ ขับรถมาจากถนนเทพกระษัตรี ผ่านสี่แยกเทพกระษัตรี-ทุ่งคา ตรงไปผ่านแยกถนนดีบุก ตรงไปอีกแยกจะเจอแยกถนนถลาง ให้เลี้ยวซ้าย ขับตรงไปจนผ่านสี่แยกที่มีถนนเยาวราชตัดผ่าน ตรงไปคือถนนกระบี่ (ถนนเยาวราชเป็นถนนที่ขนานกับถนนเทพกระษัตรี การเดินรถในย่ายตึกเก่าของภูเก็ตเป็นวันเวย์หลายเส้น ขับๆไปอาจเจอวันเวย์ ต้องอ้อมกลับมาอยู่หลายครั้ง) พิพิธภัณฑ์ภูเก็ตไทยหัวจะอยู่ทางขวามือ พิพิธภัณฑ์ภูเก็ตไทยหัวแต่เดิมเป็นอาคารโรงเรียนจีนที่สร้างขึ้นตั้งแต่ปีพ.ศ. 2477 เป็นสถานที่เรียนภาษาจีนที่เก่าแก่ที่สุดในภูเก็ต ตัวอาคารเป็นแบบชิโน-โปรตุกีส หน้าจั่วอาคารมีรูปปั้นค้างคาวสีแดงซึ่งเป็นสัตว์มงคลของจีน สื่อถึงการรู้หนังสือคือโชคอันยิ่งใหญ่ (ข้อมูลจากหนังสือ “นายรอบรู้”) ปัจจุบันเปิดให้เป็นพิพิธภัณฑ์จัดแสดงเรื่องราวของชาวจีนในภูเก็ตตั้งแต่เมื่อเริ่มเดินทางมา การก่อร่างสร้างตัว การพัฒนาและสร้างความเจริญให้แก่ภูเก็ต ตลอดจนเล่าเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างชาวภูเก็ตกับชาวจีน บุคคลที่ประสบความสำเร็จและเป็นแบบอย่างที่ดีแก่ชาวภูเก็ตรุ่นหลัง พิพิธภัณฑ์เปิดให้เข้าชมทุกวันตั้งแต่ 9.00 – 17.00 น. อัตราค่าเข้าชมสำหรับนักท่องเที่ยวชาวไทยคนละ 50 บาท ไม่อนุญาตให้ถ่ายรูปภายในพิพิธภัณฑ์ ถ้าต้องการถ่ายรูปต้องเสียเพิ่งอีก 200 บาท


ภายในพิพิธภัณฑ์ประกอบด้วยห้องจัดแสดงทั้งหมด 13 ห้อง การเดินชมให้เริ่มเดินจากชั้น 2 แล้วย้อนลงมาที่ชั้น 1 ดังนี้
ห้องที่ 1 จากแดนพญามังกร – แสดงเส้นทางการเดินทางของชาวจีนที่มายังภูเก็ตในแต่ละยุค
ห้องที่ 2 สายธารสัมพันธ์ – แสดงถึงการร่วมกลุ่มช่วยเหลือกันของชาวจีนโพ้นทะเล
ห้องที่ 3 สัมพันธ์ภูเก็ตจีน – แสดงถึงความสัมพันธ์อันดีของชาวภูเก็ตกับจีนที่มีมาแต่อดีตจนปัจจุบัน
ห้องที่ 4 น้ำใจพี่น้อง – แสดงประวัติผู้อุปถัมภ์หลักของโรงเรียนจีนในภูเก็ตในอดีต
ห้องที่ 5 ดูอดีต – แสดงประวัติของอาคารและโรงเรียนหลังนี้ พร้อมทั้งคติการสร้างบ้านเรือนของชาวจีน
ห้องที่ 6 วิถี – แสดงวิถีชีวิตของชาวจีนภูเก็ตผ่านอาชีพ ความเป็นอยู่ วรรณกรรมและภูมิปัญญาของชาวภูเก็ต
ห้องที่ 7 หนึ่งยุคสมัย – แสดงถึงความสำคัญของการทำเหมืองแร่และคนจีนที่มีต่อพัฒนาการของเมืองภูเก็ต
ห้องที่ 8 สีสันพันกาย – แสดงแบบ ลักษณะและที่มาของการแต่งกายและเครื่องประดับชาวบาบ๋าภูเก็ต
ห้องที่ 9 ครูสุ่นปิ่น – แสดงชีวประวัติ คุณูปการ และการอุทิศตนของครูใหญ่คนสำคัญของโรงเรียนภูเก็ตไทยหัว
ห้องที่ 10 โรงเรียนจีน – มีการจัดวางโต๊ะเก้าอี้ครูนักเรียนเก่าเพื่อฟื้นบรรยากาศห้องเรียน (จากที่เห็น คาดว่าในสมัยก่อนโรงเรียนแห่งนี้จะมีการสอยแค่ 3 หมวดวิชาคือสังคม ดนตรีและกีฬา)
ห้องที่ 11 ฝรั่งครึ่งจีน – แสดงถึงความสวยงามและลักษณะเฉพาะของอาคารเก่าแก่อันเป็นสัญลักษณ์ของเมืองถูเก็ต
ห้องที่ 12 สืบทอด – แสดงเรื่องราวประเพณีพิธีกรรมของชาวจีนภูเก็ต
ห้องที่ 13 คาวหวาน – นำเสนอเรื่องราวของอาหารคาวและหวานของท้องถิ่น
(ข้อมูลทั้งหมดจากแผ่นพับที่แจกให้เมื่อเข้าชมพิพิธภัณฑ์)

จากพิพิธภัณฑ์ภูเก็ตไทยหัว เราตรงต่อขึ้นไปทางถนนกระบี่ ผ่านแยกถนนสตูล ตรงไปอีกนิดจะเจอทางเข้าบ้านชินประชา แต่เดิมเป็นของพระพิทักษ์ชินประชา เป็นอั่งม้อหลาวหลังแรกของภูเก็ต สร้างขึ้นเมื่อปลายสมัยรัชกาลที่ 5 ปีพ.ศ. 2466 ปัจจุบันสภาพอาคารและบรรยากาศรอบๆค่อนข้างทรุดโทรม แต่ก็ยังมีคนอาศัยอยู่จริง และยังเปิดให้คนนอกเข้าชมโดยมีค่าบำรุงคนละ 100 บาท เราก็เลยเซย์กู้ดบาย แหะๆ ข้างๆบ้านชินประชาก็เป็นบ้านของพระพิทักษ์ชินประชาอีกหลังหนึ่ง แต่ปัจจุบันเปิดให้เป็นร้านอาหารสุดหรูชื่อ Blue Elephant

อั่งม้อหลาว หมายถึงคฤหาสถ์แบบฝรั่ง ในภาษาจีนฮกเกี้ยนคำว่า “อั่งม้อ” แปลว่าฝรั่งหรือชาวตะวันตก ส่วน “หลาว” แปลว่าตึกคอนกรีต อั่งม้อหลาวเป็นบ้านที่นายหัวเหมืองแร่ของภูเก็ตสร้างขึ้นเพื่อพักอาศัย นอกจากอั่งม้อหลาวแล้ว อาคารอีกลักษณะหนึ่งที่พบเห็นได้ในย่านตึกเก่านั่นคือ เตี้ยมฉู่ หรือตึกแถว ตึกแถวในภูเก็ตเป็นอาคารสองชั้นกึ่งร้านค้ากึ่งที่พักอาศัย มีลักษณะลึก (จากที่เห็นจริงพบว่าลึกมากๆ มากกว่าตึกแถวในกรุงเทพฯ อีกหลายเมตร) และแคบ หน้าตึกแถวจะมีทางเดินเท้า โดยทำเป็นช่องซุ้มโค้งตลอดแนวทางเดิน เรียกว่าอาเขต (มาจากคำว่า arcade) ไว้สำหรับกันแดดกันฝนให้ผู้สัญจรไปมา นับว่าเป็นสถาปัตยกรรมที่แสดงถึงความเอื้ออาทร มีน้ำใจของผู้คนในสมัยก่อนอย่างแท้จริง

ด้วยความที่เรากลัวว่าศาลากลางจังหวัดภูเก็ตที่เราจะไปแวะชมจะถึงเวลาปิดทำการ ทั้งๆที่เรายังเดินเที่ยวแถวเขตตึกเก่าไม่ถึงไหน เราก็เลยต้องตัดสินใจขับรถไปที่ศาลากลางจังหวัดก่อนแล้วค่อยย้อนกลับมาเดินแถวเขตตึกเก่ากันอีกที ศาลากลางจังหวัดภูเก็ต ตั้งอยู่บนเนินเขาโต๊ะแซะ ถนนดำรง จากถนนกระบี่ให้ไปทางถนนเยาวราช จากถนนเยาวราช ขับตรงขึ้นเหนือไปประมาณ 700 เมตร จะเจอสี่แยกตัดกับถนนทุ่งคา เลี้ยวขวาเข้าถนนทุ่งคา ขับตรงไปจนผ่านเรือนจำไป 500 เมตร ศาลากลางอยู่ทางขวามือ ศาลากลางจังหวัดภูเก็ต ตัวอาคารเป็นสถาปัตยกรรมแบบโคโลเนียล ทำจากไม้สัก ออกแบบโดยช่างชาวอิตาเลียน เริ่มก่อสร้างในสมัยรัชกาลที่ 5 แล้วเสร็จในสมัยรัชกาลที่ 6 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินมาประกอบพิธีเปิดเมื่อพ.ศ. 2460 อาคารมี 2 ชั้นทำจากไม้สัก ลักษณะเป็นคอร์ต (court) คืออาคารที่ล้อมรอบเป็นสี่เหลี่ยม เว้นพื้นที่ตรงกลางเป็นลานกว้าง เปิดโล่งทำเป็นสวนหย่อม แต่เดิมมี 99 ประตู ไม่มีหน้าต่าง ต่อมาจึงได้ต่อเติมหน้าต่างขึ้น กรมศิลปากรขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานเมื่อพ.ศ. 2520 รอบอาคารจัดแสดงภาพในอดีตของเมืองภูเก็ตมากมาย เปิดให้ประชาชนเข้าชมทุกวัน 8.30 – 16.00 น. (ข้อมูลจากหนังสือ “นายรอบรู้”) เมื่อขึ้นไปที่ชั้น 2 ของตัวอาคารจะเห็นป้ายแสดงสถานะว่าผู้ว่าราชการจังหวัดและรองผู้ว่าฯ อยู่ประจำการที่ศาลากลางจังหวัดหรือไม่ วันที่เราไปนั้นท่านผู้ว่าอยู่ทำงานซะด้วย



ออกจากศาลากลางจังหวัด เราย้อนกลับมาที่ย่านตึกเก่าอีกครั้ง โดยไปแวะที่อั่งม้อหลาวอีกแห่งอยู่บนถนนดีบุกนั่นคือ อั่งม้อหลาวของหลวงอำนาจนรารักษ์ ถ้ามาจากถนนเทพกระษัตรี เมื่อเข้าถนนดีบุกผ่านแยกถนนเยาวราช อั่งม้อหลาวจะอยู่สุดถนนดีบุกทางซ้ายมือ แต่ถ้ามาจากถนนสตูล เลี้ยวขวาเข้าถนนดีบุก อั่งม้อหลาวจะอยู่หัวถนนฝั่งขวามือ ปัจจุบันอั่งม้อหลาวแห่งนี้คงมีผู้ใช้ทำกิจการอะไรบางอย่าง แต่สภาพโดยรอบก็ดูทรุดโทรมชอบกล ตามหนังสือบอกไว้ว่าลักษณะเด่นของอั่งม้อหลาวแห่งนี้อยู่ที่ประติมากรรมปูนปั้นประดับอยู่เต็มพื้นที่ หัวเสาแบบคอรินเทียน เสาโครงสร้างที่มุขชั้นบน หัวเสาเป็นแบบคอรินเทียนผสมไอโอนิก คือหัวเสาม้วนเป็นก้นหอย มีลายค้างคาวแบบจีนสอดแทรกอย่างกลมกลืน (ที่เล่ามาทั้งหมด ดูไม่เป็นเลย =_=!!)



เยื้องๆกับอั่งม้อหลาวของหลวงอำนาจนรารักษ์เป็นร้านขายขนมพื้นเมืองชื่อ “อาตั๊กแก” ขนมที่น่าซื้อไปลองกินก็มีขนมหน้าแตก ลักษณะคล้ายๆคุ้กกี้ นอกจากนี้ยังมีขนมฟางเปี๊ยะ เต้าส้อและขนมพื้นเมืองภูเก็ตเหมาะสำหรับเป็นของฝากอีกมากมาย ตลอดถนนดีบุกจะเต็มไปด้วยเตี้ยมฉู่สีสันสดใสและลวดลายงดงามมากมาย แต่ส่วนใหญ่ก็จะกั้นรั้วด้านนอกไว้ เวลาจะถ่ายรูปโดยไม่ให้ถ่ายติดรั้วกั้นนั้นก็ต้องอาศัยวิทยายุทธกันเล็กน้อย ใช้มือสอดผ่านซี่รั้วเข้าไปถ่ายเก็บความสวยงามของเตี้ยมฉู่กัน ถัดจากถนนดีบุก เราไปที่ถนนถลางเดินเลาะอาเขตเพื่อดูเตี้ยมฉู่กันอีกสักหน่อย ที่ถนนดีบุกมีซอยเล็กๆชื่อซอยรมณีย์ แต่ก่อนซอยนี้เป็นย่านของหญิงบริการจึงได้ชื่อว่าซอยรมณีย์ ต่อมาเมื่อเกิดไฟไหม้ใหญ่เมื่อปี 2447 หญิงบริการก็เลยแตกกระสานซ่านเซ็นไปอยู่ที่อื่นกันหมด ซอยนี้เลยหมดบทบาทการเป็นย่านของหญิงบริการไป จุดเด่นของซอยนี้ในปัจจุบันก็มีเป็นซอยที่มีตึกแถวสีลูกกวาดน่ารักๆติดกันอยู่หลายหลัง ถ่ายรูปกันได้เพลินๆ








จากย่านตึกเก่าเราขับรถต่อไปยังวัดฉลองหรือวัดไชยธาราราม จากถนนเทพกระษัตรีให้เลี้ยวเข้าถนนกระบี่ หรือเลี้ยวเข้าถนนรัษฎาผ่านวงเวียนน้ำพุ เข้าถนนระนองไปจนตัดแยกถนนปฏิพัทธ์ เลี้ยวซ้ายเข้าถนนปฏิพัทธ์ ตรงไปเรื่อยๆผ่านถนนเจ้าฟ้า ถนนเจ้าฟ้าตะวันออก (ทางหลวงหมายเลข 4021) อ่านตามป้ายบอกทางไปเรื่อยๆ เลี้ยวขวาตามป้ายบอกเพื่อตัดไปออกที่ถนนเจ้าฟ้าตะวันตก เลี้ยวซ้ายตรงไปตามถนนเจ้าฟ้าตะวันตก วัดจะอยู่ทางซ้ายมือ วัดฉลองเป็นวัดที่มีชื่อเสียงที่สุดแห่งหนึ่งในภูเก็ต โดยชื่อเสียงนั้นมาจากหลวงพ่อแช่ม เมื่อพ.ศ. 2419 สมัยรัชกาลที่ 5 ราคาดีบุกตกต่ำ นายเหมืองไม่ยอมจ่ายค่าแรงให้คนงานชาวจีน คนงานเหมืองจึงรวมตัวกันประท้วง ตั้งตัวเองเป็นกลุ่มอั้งยี่ เที่ยวปล้นและฆ่าชาวบ้าน หลวงพ่อแช่มแห่งวัดฉลองจึงเป็นผู้นำปลุกขวัญกำลังใจให้ชาวบ้านช่วยกันรวมกลุ่มกันต่อสู้กับพวกอั้งยี่ จนได้รับชัยชนะในที่สุด (ข้อมูลจากหนังสือ “นายรอบรู้” เช่นเดิม) ชื่อเสียงของหลวงพ่อแช่มวัดฉลองไม่เพียงแต่จะทำให้นักท่องเที่ยวชาวไทยหลั่งไหลกันเข้ามานมัสการรูปหล่อหลวงพ่อแช่มกันมากมาย ยังรวมถึงนักท่องเที่ยวต่างชาติโดยเฉพาะชาวจีน มาเลเซีย สิงคโปร์ เกาหลีอีกด้วย บริเวณที่น่าสนใจในวัดฉลองแห่งแรกคือมณฑปหลวงพ่อแช่ม ภายในประดิษฐานรูปหล่อโลหะของหลวงพ่อแช่ม สามารถกราบนมัสการและปิดทององค์พระได้ อีกแห่งคือศาลาเรือไทยซึ่งเป็นที่ประดิษฐานหุ่นขี้ผึ้งหลวงพ่อแช่ม หลวงพ่อช่วงและหลวงพ่อเกลื้อม ซึ่งเป็นอดีตเจ้าอาวาสวัดฉลอง นอกจากนี้วัดฉลองยังมีพระมหาธาตุเจดีย์พระจอมไทยบารมีประกาศหรือพระธาตุวัดฉลอง ซึ่งเป็นอาคารสามชั้น ชั้น 3 ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุซึ่งอัญเชิญมาจากประเทศศรีลังกา นอกเหนือจากสิ่งที่น่าสนใจทั้ง 3 แห่งแล้ว มาวัดทั้งทีก็ต้องไม่ลืมเข้าไปกราบองค์พระประธานที่โบสถ์หน้าสุดของวัดด้วยนะคะ ไหว้พระสงฆ์แต่ไม่ไหว้พระพุทธได้อย่างไร


แผนที่ไปวัดฉลอง-จุดชมวิวสามอ่าว-แหลมพรหมเทพ


วัดฉลอง

และแล้วก็ถึงเวลาตกเย็นพอดี เรามีโปรแกรมต่อไปยังแหล่งชมพระอาทิตย์ตกแห่งแรกกันที่จุดชมวิวสามอ่าวหรือจุดชมวิวอ่าวกะรน จากวัดฉลองเลี้ยวซ้าย ตรงไปจนเจอถนนเจ้าฟ้าตะวันตก เลี้ยวซ้ายเข้าถนนเจ้าฟ้าตะวันตก ตรงไปเรื่อยๆผ่านห้าแยกฉลอง ตรงไปตามทางหลวงหมายเลข 4024 ไปทางหาดราไวย์ประมาณ 2.5 กม. พบสามแยกให้เลี้ยวขวาเข้าซ.ใสยวน ตรงไปตามทางประมาณ 3 กม. จะพบสามแยกให้เลี้ยวขวา (หากเลี้ยวซ้ายจะเป็นทางไปแหลมพรหมเทพ) ตรงไปอีก 3 กม. จุดชมวิวอยู่ทางซ้ายมือ ตอนที่เราไปถึงนั้นก็ 5 โมงกว่าแล้ว ผู้คนที่มาชมวิวที่จุดชมวิวนี้ก็เลยเยอะคึกคักใช้ได้ ที่จอดรถพอมีแต่ต้องอาศัยโชคและตามไวกันนิดหน่อย เดินจากที่จอดรถขึ้นไปที่จุดชมวิวจะมีศาลาให้นั่งชม มองจากจุดชมวิวนี้จะเห็นหาดสามแห่งลักษณะเป็นอ่าวเว้าโค้งนั่นคือหาดกะตะน้อย ถัดออกไปเป็นหาดกะตะและหาดที่ไกลตัวที่สุดคือหาดกะรน




แสงอาทิตย์เริ่มใกล้ลับขอบฟ้า เรายังพอมีเวลาขับรถต่อไปยังจุดชมวิวที่ฮอตฮิตที่สุดของภูเก็ตนั่นคือแหลมพรหมเทพ จากจุดชมวิวสามอ่าว ให้ขับรถย้อนกลับไปทางเดิมจนเจอสามแยก (ที่ขามาเราเจอสามแยกนี้แล้วเลี้ยวขวาเพื่อมาจุดชมวิวสามอ่าว) ให้เลี้ยวขวาจะมีป้ายบอกทางไปแหลมพรหมเทพ ขับตามป้ายบอกทางไปเรื่อยๆ ไม่มีทางหลงเพราะบรรยากาศโดยรอบจะบอกให้เรารู้ว่าเรามาถูกทาง รถจะเยอะขึ้น คนจะพลุกพล่านขึ้น เริ่มเห็นร้านรวงขายอาหารและของที่ระลึกมากขึ้น สุดท้ายพอใกล้ๆบริเวณจุดชมวิวของแหลมพรหมเทพจริงๆก็จะเริ่มจะเห็นว่าไม่มีที่จอดรถซะแล้ว ตอนแรกเกือบถอดใจขับเลยไปเลย ไม่แวะแล้ว สุดท้ายก็ยอมเลือกที่จอดรถแบบเสียงตังค์ซึ่งเหมือนว่าเพิ่งเริ่มๆมีคนมาเข้าจอด แต่ค่าที่จอดรถนี่ก็แพงเหลือเกิน คันละ 40 บาท ภูเก็ต...ราคานักท่องเที่ยวตลอด

แหลมพรหมเทพอยู่ใต้สุดของภูเก็ต มีลักษณะเป็นแหลมยาวสูงชันทอดไปในทะเล ผู้คนที่มารอเฝ้าชมพระอาทิตย์ตกสามารถมองวิวได้ตั้งแต่บนยอดเนินแหลมหรือจะเดินไปกลางแหลมหรือจนสุดปลายแหลมเลยก็ได้ ด้วยความที่มีผู้คนมารอชมพระอาทิตย์ตกกันเนืองแน่น แต่ละคนแต่ละกลุ่มก็เลยต้องกระจายหาจุดชมวิวที่จะถ่ายรูปได้สวยๆ เห็นพระอาทิตย์ได้ชัดๆกันไป เราเลือกเดินลงไปตรงเกือบๆครึ่งทางของแหลม จะมีเนินราบไว้ให้หยุดพักกันครึ่งทาง ณ จุดนั้นยังสามารถมองเห็นพระอาทิตย์ที่กำลังจะลับขอบฟ้าได้ชัดเจนและยังสามารถถ่ายรูปเห็นปลายแหลมพรหมเทพได้เหมือนเดิม การที่จะได้เห็นพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าที่แหลมพรหมเทพแบบไร้เมฆมาบดบังคงต้องอาศัยดวงพอสมควร อาศัยพึ่งกรมอุตุนิยมวิทยาอย่างเดียวคงไม่พอ วันนี้ก็เช่นกันเป็นอีกวันหนึ่งที่เมฆมาก พระอาทิตย์ที่กำลังจะลับขอบฟ้าจึงกลายเป็นพระอาทิตย์ที่กำลังจะลับขอบเมฆแทน แต่ด้วยความสวยงามของแหลมพรหมเทพเองบวกกับบรรยากาศความคึกคักของผู้คนที่ดูจะมีน้ำใจกันดี ช่วยถ่ายรูปให้กันและกันอยู่เรื่อยๆ ก็ทำให้การชมพระอาทิตย์ตกในวันนี้ยังคงสนุกและสวยงามเช่นเดิม วันนี้ 15 พ.ค. 2554 พระอาทิตย์ลับขอบเมฆที่เวลาประมาณ 18.35 น.







โปรแกรมสุดท้ายก่อนกลับที่พักในวันนี้ก็คือหาของหนักๆกระแทกพุงเป็นมื้อเย็น เราเลือกร้านอาหารพื้นเมืองภูเก็ตยอดฮิตของนักท่องเที่ยว (เพื่อนที่อยู่ภูเก็ตว่าอย่างนั้น) อย่างร้านระย้า ที่ถนนดีบุกตัดใหม่ จากแหลมพรหมเทพให้ย้ขับมาทางหาดราไวย์ ทางหลวงหมายเลข 4024 ผ่านห้าแยกฉลอง เข้าสู่ถนนเจ้าฟ้าตะวันออก (ทางหลวงหมายเลข 4021) เพื่อเข้าตัวเมืองภูเก็ต ถ้ามาจากถนนดีบุก พอถึงแยกที่ถนนเทพกระษัตรีตัดกับถนนดีบุก ร้านจะอยู่ทางขวามือ หาที่จอดแถวๆนั้นได้ (ถึงแม้จะมีป้ายห้ามจอด ?!?) ระย้าเป็นร้านอาหารพื้นเมืองภูเก็ตที่มีชื่อเสียงเรื่องความอร่อย หนักเครื่อง ไม่หวงเครื่อง ถึงแม้ราคาจะสูงตามคุณภาพและปริมาณของวัตถุดิบที่ใช้ แต่ก็คุ้มค่ากับรสชาติและความประทับใจที่ได้รับ ตัวร้านเป็นบ้านเก่า 2 ชั้น ตกแต่งให้เป็นร้านอาหารนั่งสบายๆ





อาหารขึ้นชื่อที่ใครที่เคยไปลิ้มลองมาแล้วทั้งหมดก็อยู่ที่หน้าแรกของเมนูนั่นเอง ได้แก่
1. แกงเนื้อปูใบชะพลู เนื้อปูส่วนกรรเชียงปูล้วนๆ แกงใส่กะทิและขมิ้น เสิร์ฟคู่กับเส้นหมี่ขาวม้วนเป็นคำๆ ราคาชุดละ 350-500 บาท


2. หมูฮ้อง หมูสามชั้นทำคล้ายๆพะโล้ แต่เคี่ยวจนข้นเหลือน้ำขลุกขลิกสไตล์ภูเก็ต จานละ 200-300 บาท


3. น้ำพริกกุ้งเสียบ คล้ายน้ำพริกกะปิ แต่ใส่กุ้งเสียบตัวโตทำให้ลดความเค็มของกะปิและออกหวานนำแทน เสิร์ฟพร้อมผักจิ้ม ชุดละ 150 บาท
4. กุ้งผัดมะขาม อันนี้ไม่ได้สั่งเลยอธิบายไม่ได้ว่าเป็นยังไง แต่เท่าที่เห็นของโต๊ะข้างๆ กุ้งตัวใหญ่มากกกก ราคาเลยใหญ่ตาม จานละ 400-650 บาท
5. ปลาเจี๋ยนตะไคร้ เลือกระหว่างปลากะพงหรือปลาเก๋าหรือปลาอื่นๆที่ร้านมี ตัวใหญ่มาก ราดน้ำปรุงเหนียวๆหวานๆ ผสมตะไคร้หั่นฝอยที่เคียวจนนิ่มแล้วทั่วไปทั้งตัวปลา อร่อยดีแต่ปลาตัวใหญ่เกิน จานละ 400-550 บาท
6. ผัดสะตอกะปิกุ้ง จานละ 200-350 บาท


7. ผัดผักเหมียงกุ้งเสียบ อันนี้ไม่ได้สั่งที่ร้านนี้ เลยต้องเก็บไปสั่งที่ร้านหน้ามื้อเย็นของวันต่อไปแทน สำหรับที่ระย้าราคาจานละ 150-250 บาท
8. เนื้อปูผัดผงกะหรี่ จานละ 350-450 บาท
9. อันนี้คุณเพื่อนที่ภูเก็ตที่เรานัดมาเจอที่ร้านนี้เป็นคนสั่งให้ รู้สึกจะเป็นแกงกะทิใส่ยอดมะพร้าวอ่อนและผักเหมียง อร่อยมากกกก

อิ่มแปล้จากระย้า เราขับรถมุ่งหน้ากลับศาลาภูเก็ตทันที ด้วยความที่โรงแรมอยู่ไกลจากตัวเมืองมากกก จากตัวเมืองถึงโรงแรมระยะทาง 40 กม. ใช้เวลาเดินทางก็ 45 นาที ยิ่งกลางคืนยิ่งขับรถลำบากขึ้น เวลาก็เพิ่มขึ้นอีกหน่อย พอกลับถึงห้องพัก ทางโรงแรมก็วางน้ำตะไคร้ขวดกะทัดรัดให้เราไว้ พร้อมจุดน้ำมันหอมระเหยกลิ่นตะไคร้หอมโชยทั่วห้องไปหมด พอมองไปเห็นสระว่ายน้ำแล้วก็อดใจไม่ไหว สุดท้ายได้กระโจนลงสระก่อนอาบน้ำซะเลย อากาศร้อนแต่พอลงสระแล้วน้ำเย็นมาก ตัวสั่น จ๋อมแจ๋มๆอยู่ในน้ำได้แป็บเดียวก็บอกลา พรุ่งนี้ตอนแดดแรงๆค่อยว่ากันใหม่


เหนื่อยล้าจากวันแรกพอดู ต้องรีบพักผ่อนเอาแรงสำหรับพรุ่งนี้ที่ต้องตื่นเช้าเพราะเราจัดโปรแกรมไปเที่ยวเกาะไข่แบบครึ่งวันเช้ากัน... ปลาเสือ ปลาเสือ ปลาเสือ see you tomorrow!!




 

Create Date : 29 พฤษภาคม 2554   
Last Update : 29 พฤษภาคม 2554 21:57:06 น.   
Counter : 3307 Pageviews.  


ภูเก็ต... เด็ดสะระตี่ (0) เตรียมตัวก่อนเดินทาง

เตรียมตัวก่อนเดินทาง

ข้อมูลเมืองภูเก็ตและคู่มือท่องเที่ยว
- “นายรอบรู้” ภูเก็ต โดย สำนักพิมพ์สารคดี
- เดินเที่ยวเมืองภูเก็ต โดย Thai Weekender //www.thaiweekender.com/index.php/phuket.html ** สุดยอดเว็บไซต์บอกเล่าการเดินทางท่องเที่ยวภายในภูเก็ต ทั้งที่กิน ที่เที่ยว พร้อมแผนที่ระบุตำแหน่งละเอียดยิบ ต้องเข้าไปอ่านค่ะ **
- SALA @ PHUKET ... แล้วเราก็ได้มา กับ ทริปนี้ ที่รอคอย โดย Coopers //www.pantip.com/cafe/blueplanet/topic/E9423470/E9423470.html และ //www.pantip.com/cafe/blueplanet/topic/E9437083/E9437083.html
- ตะลอนทัวร์กับน้องเจอร์นี่และน้องเจมี่ โดย sea urchin //www.pantip.com/cafe/blueplanet/topic/E9656724/E9656724.html
- When I fall in love with SALA Phuket โดย Princess of Napier //www.pantip.com/cafe/blueplanet/topic/E10413013/E10413013.html
- Delicious Taste: อาหารพื้นเมืองภูเก็ต @ ระย้า โดย I-am-Nina //www.bloggang.com/mainblog.php?id=aeandpop&month=13-09-2008&group=28&gblog=1
- Review ระย้า @ ภูเก็ต โดย taromomo //topicstock.pantip.com/food/topicstock/2009/04/D7753201/D7753201.html
- ทัวร์ภูเก็ต เกาะไข่ใน เกาะไข่นุ้ย เกาะไข่นอก //www.phuketislandtour.com/เกาะไข่นอก.html

แผนการเดินทาง



การเดินทางไปภูเก็ต
เครื่องบิน ใช้เวลาเดินทางจากกรุงเทพฯ ประมาณ 1 ชม. 20 นาที
- การบินไทย //www.thaiairways.com/ เดินทางจากสุวรรณภูมิ
- แอร์เอเชีย //wwwairasia.com/ เดินทางจากสุวรรณภูมิ จองล่วงหน้ายิ่งนานยิ่งดีหรือรอจังหวะช่วงโปรโมชั่นเจ๋งๆ (แต่เวลาที่ได้อาจไม่เจ๋ง) จองล่วงหน้ากันข้ามปี จะได้ตั๋วราคาถูกตั้งแต่หลักร้อยจนถึง 1,000 ต้นๆต่อเที่ยวบิน
- บางกอก แอร์เวย์ //www.bangkokair.com/en/index.php เดินทางจากสุวรรณภูมิ
- โอเรียนท์ไทย วัน-ทู-โก //www.flyorientthai.com/th/home/ เดินทางจากดอนเมือง
- นกแอร์ //www.nokair.com/NokConnext/aspx/Welcome.aspx เดินทางจากดอนเมือง
รถทัวร์
ออกจากกรุงเทพฯตอนหัวค่ำ ถึงท่ารถภูเก็ตประมาณ 7-8 โมงเช้า รถแพงสุดวีไอพี 24 ที่นั่งราคาอยู่ที่ 900 บาทปลายๆต่อเที่ยว
- บริษัทขนส่งจำกัด (บขส.) //www.transport.co.th/
- ภูเก็ตเซ็นทรัล 02-4343233
- ภูเก็ตท่องเที่ยว //busphuket.com/index.php
- ลิกไนท์ทัวร์ จองตั๋วได้ที่ //www.thairoute.com/homepage/
- อื่นๆ //www.rottourthai.com/forumdisplay.php?f=27

การเดินทางภายในภูเก็ต
- จากสนามบินภูเก็ตเข้าสู่ตัวเมืองสามารถทำได้โดยใช้บริการรถตู้ (เต็มแล้วออกเหมือนรถตู้อนุสาวรีย์) ราคาเริ่มต้นคนละ 100 บาท หรือเลือกใช้บริการรถแท็กซี่ เริ่มต้นที่ประมาณ 500 บาท จ๊ากกก!! แต่ถ้าประหยัดที่สุดต้องแอร์พอร์ตบัส //www.airportbusphuket.com/ ค่ารถคิดตามระยะทาง เริ่มต้นที่ 20 บาทจนถึง 85 บาทไปสิ้นสุดที่สถานีขนส่งภูเก็ต
รถเช่า
New Vios หรือ Honda Jazz 1.6 CC. ถ้าเป็นบริษัทรถเช่าของคนไทย ราคาอยู่ที่ประมาณ 900 บาทต่อวันรวมประกัน แต่ถ้าเป็นของบริษัทต่างชาติอย่าง Avis หรือ Hertz ราคาจะสูงขึ้นเป็นประมาณ 1,000 กว่าบาท แนะนำว่าเช่าของบริษัทคนไทย คนท้องถิ่นก็ได้ค่ะ ประหยัดกว่า บริการก็ดี ไม่มีปัญหา
- Airport Car Rent //airportcarrent.com/
- Best Rent A Car //www.bphu.com/thi/
- Thai Rent A Car //www.thairentacar.com/
สามแห่งนี้ ออฟฟิศอยู่ตรงข้ามสนามบินภูเก็ต ถ้าจองรถเช่าล่งหน้ามาแล้ว พอถึงสนามบิน ทางบริษัทจะขับรถมารับเราจากสนามบินไปที่ออฟฟิศเพื่อทำสัญญา ตกลงกันให้เรียบร้อยก่อน แล้วเราค่อยขับรถคันที่เขาขับมารับนั่นล่ะไปต่อได้
- Avis //www.avisthailand.com/EN/index.php
- Hertz //www.hertz.com/
- Budget //www.budget.co.th/
รถรับจ้าง (ข้อมูลจากหนังสือนายรอบรู้ ภูเก็ต)
- รถตุ๊กตุ๊ก หรือรถสองแถวเล็ก นั่งได้ประมาณ 3-6 คน วิ่งรับผู้โดยสารไปเรื่อยๆ ไม่ประจำทาง มีท่ารถใหญ่กระจายอยู่ตามย่านต่างๆ เช่นสถานีขนส่งภูเก็ต ตลาดน้ำพุ ค่าบริการภายในตัวเมืองคนละ 30 บาท
- รถประจำทาง บริการระยะไกลจากฝั่งหนึ่งไปอีกฝั่งหนึ่งของภูเก็ต มีคิวรถอยู่ที่ตลาดเทศบาล (ตลาดน้ำพุ) ตัวอย่างเส้นทางได้แก่ ภูเก็ต-อนุสาวรีย์-ถลาง-ในยาง-ท่าฉัตรไชย/ ภูเก็ต-หาดสุรินทร์-หาดกมลา/ ภูเก็ต-ห้าแยกฉลอง-ราไวย์-ในหาน/ ภูเก็ต-หาดป่าตอง/ ภูเก็ต-วัดฉลอง-ห้าแยกฉลอง-อ่าวฉลอง/ ภูเก็ต-อ่าวมะขาม-อะควาเรียม-แหลมพันวา

แผนที่เมือง
- รวบรวมตำแหน่งสถานที่ท่องเที่ยวและร้านค้าต่างๆไว้อย่างละเอียดโดย Thai Weekender //maps.google.co.th/maps/ms?hl=th&ie=UTF8&msa=0&msid=211369148080054609744.00049a6ca0358103eda5b&ll=7.884998,98.387589&spn=0.007694,0.013797&z=16

ที่พัก
- SALA Phuket Resort and Spa //www.salaresorts.com/phuket/


สารบัญ
วันที่ 1: รอบเมือง/ตัวเมืองภูเก็ต ชมพระอาทิตย์ตกดิน
วันที่ 2: เกาะไข่ครึ่งวันเช้า ตกบ่ายเก็บตกร้านอาหารในตัวเมือง ตกเย็นกลับมาหาของกินอีกรอบ
วันที่ 3: พักผ่อนในที่พัก ซื้อของฝากก่อนกลับ




 

Create Date : 29 พฤษภาคม 2554   
Last Update : 4 มิถุนายน 2554 11:29:59 น.   
Counter : 10076 Pageviews.  



katiekat
 
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 8 คน [?]




ต้องการสอบถามข้อมูลการเดินทางทริปต่างๆที่แคทไปแล้ว ให้ติดต่อผ่านอีเมล์ chayadak@hotmail.com หรือ chayadak@yahoo.com นะคะ เพราะว่าหลายคนทิ้งไว้ในกล่องข้อความของ bloggang แต่แคทไม่ค่อยได้เปิดเลย ทำให้พอมาเปิดอีกที เวลาผ่านไปเกือบปี (แป่ววว!! เค้าจะรอหล่อนตอบมั้ยเนี่ย เค้าไม่โบยบินไปถึงไหนต่อไหนแล้วรึ)... ยินดีและเต็มใจตอบทุกคำถามที่พอจะช่วยได้ค่ะ
New Comments
[Add katiekat's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com