นอกจากเครื่องเล่นแล้ว โซน The Lost World นี้ก็ยังมีโชว์ที่น่าตระการตาอีกโชว์หนึ่งนั่นก็คือ WaterWorld (เวลาแสดง 12.00, 14.00 และ 16.30 น.) เป็นโชว์ผาดโผน จำลองฉากในภาพยนตร์เรื่อง Water World มาแสดงให้ดูกัน เนื้อเรื่องก็เป็นแบบว่าอยู่ในเมือง Water World มีการแย่งชิงยิงกัน ระเบิดถังแก๊ส เตะต่อย ตีลังกาตกลงมาจากที่สูง สนุกมากๆ ยิ่งถ้าคนที่อยากมีส่วนร่วมเยอะๆ อยากเปียกมากๆ เค้าก็จะมีโซนบอกให้นั่งว่าถ้านั่งแถวเก้าอี้นี้นะจะเปียกโชก ถัดขึ้นมาจากแถวนี้ถึงแถวนี้จะเปียกแบบเบาะๆ หรือถ้าไม่อยากเปียกก็ให้นั่งแถวนี้เป็นต้นไป ก่อนหน้าที่จะเริ่มแสดง นักแสดงก็จะมีการคุยและแสดงร่วมกับผู้ชมเล็กๆน้อยๆก่อนด้วย ซึ่งคนที่นั่งแถวหน้าๆก็เปียกปอนกันตั้งแต่ยังไม่เริ่มแสดงนี้เลย
โชว์ WaterWorld สุดตระการตา
โซน Far Far Away โซนนี้เป็นโซนที่เรารอคอย อาจจะดูแอ๊บแบ๊ว แต่ก็เพราะว่าเราเองเป็นแฟนคลับเจ้ายักษ์สีเขียว Shrek ตัวยง ก็เลยอยากที่จะมาดินแดน Far Far Away ของหนังเรื่องนี้มาก ไฮไลท์ของโซนนี้อยู่ที่โชว์ Shrek 4-D Adventure สนุกกกกกกกกกมากกกกกกกก ไม่รู้จะอธิบายยังไงให้เข้าใจความรู้สึก แต่ชอบมากกกกกกกกกก คือเพิ่งรู้เพิ่งเข้าใจว่า 4D เป็นยังไงก็เมื่อได้ดูโชว์นี้ 4D ก็คือนอกจาก 3D ที่ให้คุณรู้สึกเหมือนว่าภาพที่อยู่เบื้องหน้าจะพุ่งออกมาให้คุณสัมผัสได้ D ที่ 4 ที่ทำให้เป็น 4D ก็คือสิ่งที่คุณเห็นในจอ มันออกมาสัมผัสตัวคุณจริงๆ คือสิ่งที่คุณเห็นในจอว่าเค้ากำลังทำอะไร คุณก็กำลังทำแบบเดียวกับเค้าอยู่นั่นเอง อย่างเช่นฉากที่เชร็คกับด๊องกี้นั่งรถม้า รถม้าก็ขย่มไปมา เบาะที่นั่งของเรามันก็ขย่มไปด้วย หรือตอนที่มีแมงมุมออกมาวิ่งพล่านเต็มพื้นไปหมด ก็มีเหมือนอะไรซักอย่างมาจับที่ขาของผู้ชมด้วย เหมือนว่าเป็นแมงมุมพวกนั้นมาเกาะที่ขา หรืออีกตอนที่ใครซักคนพ่นน้ำลายออกมา ก็มีน้ำออกมาโดนหน้าเราด้วย สนุกง่ะ สนุกที่สุด ชอบความรู้สึกเด็กๆอย่างงี้เป็นที่สุด แต่แนะนำว่าถ้าจะดู 4D หรือแม้กระทั่งแค่ 3D ให้สนุก ไม่ปวดเฮดเท่าไหร่ ก็ขอให้เลือกที่นั่งให้อยู่กลางโรงหนังหน่อย เพราะถ้านั่งริมมากๆ เอฟเฟ็กซ์ต่างๆพวกนี้บางทีมันจะทำให้มึนๆเอาได้ ในส่วนเนื้อหาของ Shrek 4-D Adventure ก็เป็นตอนต่อของภาคแรกที่เชร็คกับฟีโอน่ารักและรับรู้ตัวตนที่แท้จริงของกันและกันแล้ว ทีนี้ก็มีเจ้าชายเมืองหนึ่ง (ใช่ป่าวหว่า) ที่ตอนแรกฟีโอน่าจะต้องแต่งงานด้วยอ่ะ เหมือนว่าตาแก่นี่จะตายเป็นผีไปแล้ว สุดท้ายผีเจ้าชายเนี่ยละก็มาหลอกหลอน มาราวีเชร็ค มาแย่งฟีโอน่าไป เลยเป็นเหตุให้เชร็คและด๊องกี้ต้องออกผจญภัยช่วยฟีโอน่ากลับมา (ในหนังไม่พูดถึงเจ้าแมว Puss In The Boots เลย แต่พอออกมานอกโรงหนังกลับมาคนแต่งชุดเจ้าแมวนี่เดินให้ถ่ายรูปกันใหญ่) ในส่วนของเครื่องเล่นในโซนนี้ก็มี Enchanted Airways เป็นรถไฟเหาะสำหรับน้องๆหนูๆ ที่จะขี่เจ้ามังกรที่เป็นหวานใจของเจ้าลาด๊องกี้ในเรื่อง เหาะวนไปวนมาให้เพลิดเพลินได้
ออกจาก Maxwell เราเดินตามถนน Maxwell ผ่าน Red dot design museum ซึ่งเป็นตึกยาวหลังสีแดง ภายในเป็นพิพิธภัณฑ์จัดแสดงผลงานการออกแบบสมัยใหม่ที่ได้รับรางวัลจาก Red dot design ค่าเข้าชมคนละ 8 เหรียญ ปิดทุกวันพุธและพฤหัส (ซึ่งเราไม่ได้เข้าชม ต้องรีบทำเวลา) เดินต่อไปเรื่อยๆจะเจอสถานีรถไฟใต้ดิน Tanjong Pakar เราก็จับ MRT สายสีเขียวต่อไปยังสถานี City hall พอขึ้นมาโผล่บนดินเริ่มสู่การเดินทางเดินชมตึกรามบ้านช่อง สถานที่สำคัญของใจกลางสิงคโปร์ เริ่มจากให้หันรอบตัวมองหาโบสถ์สีขาวซึ่งก็คือโบสถ์ St Andrews เราเดินผ่านโบสถ์ไป เพื่อไปแวะที่ City hall และ Old supreme court เป็นที่แรก วันที่เราไปนั้นมีคู่บ่าวสาวมาถ่ายรูปแต่งงานที่นี่ด้วย ก็ที่นี่น่าถ่ายรูปอยู่จริงๆ ทั้ง City hall และศาลฎีกาเก่านี้เป็นอาคารโบราณสถาปัตยกรรมสไตล์ยุโรป โดยที่ City hall นี่ก็สร้างมาตั้งแต่ปี 1929 แล้ว ระหว่างตึก City hall กับ Old supreme court จะมองเห็น Supreme court หลังใหม่อยู่ด้านหลัง ซึ่งตัวอาคารหน้าจะเหมือนจานบินยูเอฟโอมากมาย ไม่รู้ว่าได้แรงบันดาลใจแต่ใดมาเหมือนกัน ดูอวกาศมากๆ
เยื้องไปอีกฝั่งถนนตรงสามแยกจะเป็น The arts house at the old parliament ซึ่งอาคารหลังนี้มีความสำคัญสำหรับคนไทยทุกคนเป็นอย่างมาก เพราะด้านหนึ่งของอาคารจะมีรูปปั้นช้างซึ่งล้นเกล้ารัชกาลที่ 5 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระราชทานให้สิงคโปร์ เมื่อครั้งที่พระองค์เสด็จประพาสสิงคโปร์เป็นครั้งแรกเมื่อปีพ.ศ. 2414 ที่ฐานของรูปปั้นมีคำจารึกเป็นภาษาไทยและภาษาอังกฤษถึงที่มาของรูปปั้นรูปนี้ด้วย เดิมอ้อมมาทางซ้ายแล้วตรงไปเรื่อยๆจนเจอแม่น้ำสิงคโปร์ขวางหน้าจะเป็นอนุสาวรีย์ของท่านเซอร์โทมัส สแตมฟอร์ด ราฟเฟิลส์ ผู้ที่เป็นที่รู้จักกันในนาม บิดาแห่งประเทศสิงคโปร์ ท่านเซอร์เป็นผู้บริหารประเทศสิงคโปร์สมัยที่เป็นอาณานิคมของอังกฤษ ซึ่งเค้าว่ากันว่าบริเวณอนุสาวรีย์นี้เป็นบริเวณที่ท่านเซอร์มาเหยียบแผ่นดินสิงคโปร์บริเวณนี้เป็นที่แรก จึงเรียกบริเวณนี้ว่า Raffless landing site นั่นเอง (ข้อมูลจากวิกิพีเดียและคุณทนายเจ้าหนูนัทจากเว็บพันทิป)
จากอนุสาวรีย์ท่านเซอร์ เดินเลียบแม่น้ำสิงคโปร์ไปทางซ้ายจะเจอ Victoria theatre and concert hall ซึ่งเราได้แต่เดินผ่านอย่างรีบด่วน เพราะตอนนั้นฟ้าครึ้มสุดๆ แถมส่งเสียงร้องอีกต่างหาก คาดว่าฝนคงจะตกหนักในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า เราจึงต้องรีบเดินไปให้ถึงสะพาน Cavenagh ซึ่งตอนนี้เป็นสะพานคนเดินอย่างเดียวเพื่อข้ามไปยังฝั่งโรงแรม Fullerton โรงแรมเก่าแก่และสุดหรูแห่งหนึ่งของสิงคโปร์