KatieKat... Let's share your thought
 
 

9 วันกับ Swiss Adventure (8)


วันที่ 8 - 9

วันสุดท้ายของการเที่ยวในสวิตเซอร์แลนด์ วันนี้ออกแต่เช้าอีกแล้ว เพราะมีโปรแกรมจะเที่ยวส่งท้ายที่เมืองแห่งศาสนาและวัฒนธรรม St. Gallen และ Appenzell ออกจากที่พักเช้าก่อนที่ Reception จะเปิด เพราะฉะนั้นก็ต้องทิ้งกุญแจห้องไว้ที่กล่องรับจดหมายหน้าห้อง reception จากนั้นก็หยิบแผนที่ route map เส้นทางเดินรถในซูริคที่ขอมาจาก reception ตั้งแต่เมื่อตอนเข้ามาเช็คอินเพื่อดูว่ารถรางสายไหนจะผ่านไปสถานีรถไฟ เพราะเช้านี้เราคงไม่ลากกระเป๋ากลับไปอย่างขามาอีกแล้ว รถรางที่ผ่านหน้าถนน Limmat-quai ไป Bahnhof มีสายเดียวก็คือสาย 4 นั่งจากป้าย Rathaus หรือศาลาว่าการเมือง พอถึง Bahnhof ก็จัดแจงฝากกระเป๋าทั้ง 2 ใบไว้ที่ล็อคเกอร์ ล็อคเกอร์จะอยู่ชั้นใต้ดิน จากบริเวณกลางๆสถานีจะมีบันไดเลื่อนให้ลงไปชั้นใต้ดิน พอลงไปก็จะเห็นตู้ล็อคเกอร์อยู่เยอะมากมายด้านขวามือ


วันนี้เราปรับแผนกันให้เร็วขึ้นจากเดิมอีกแล้ว โดยออกจากซูริคไป St. Gallen ด้วยรถไฟเที่ยว 8.39 น. ก่อนขึ้นรถไฟ ลองซื้อช็อคโกแลตจากร้าน Springli ที่ในสถานีรถไฟไปกินด้วย ราคาแพงอยู่แต่รสชาติก็สมราคา ไม่หวานมาก ที่สำคัญคงแพงที่ package ด้วยเหมือนกัน ซื้อแค่ 6 ชิ้นกลมๆเล็กๆ ก็ห่อให้อย่างสวยงาม ทำเอาแทบไม่กล้ากินเหมือนกัน พอถึง St. Gallen ก็รู้สึกว่าที่นี่หนาวมาก เสื้อผ้าที่ใส่ไปแทบเอาไม่อยู่ ต้องคอยเดินๆ บริหารกล้ามเนื้ออยู่ตลอดจะได้คลายความหนาวไปบ้าง อากาศและท้องฟ้าวันนี้สวยมากๆ ไม่มีเมฆเลย ฟ้าใสเป็นสีฟ้าจัด สีสันในเมืองนี้ก็ดูสดใสตัดกับสีท้องฟ้ามาก เริ่มต้นการท่องเที่ยวใน St. Gallen ด้วยการเดินตามแผนที่ไปที่ Markt Platz ก่อน ที่นี่จะมีตลาดนัด ทุกวันพุธและวันเสาร์เหมือนที่เจนีวา แต่ส่วนใหญ่ที่นี่จะเน้นขายอาหารเสียมากกว่า หลังจากเดินชิวๆได้สักพัก ก็ให้เดินย้อนขึ้นไปตามถนน Marktgasse ก็จะเจอลานสนามหญ้ากว้างมากกกกกกก รายล้อมด้วยตึกยาวและโบสถ์ St. Gallen ซึ่งมีลักษณะเป็นหอคอยคู่ (ทำให้นึกถึง the two tower ใน the Lord’s of the ring) สวยงามมากกกกก สวยงามมากจริงๆ ประทับใจที่นี่มากๆ รอบๆบริเวณก็จะมีบ้านเก่าโบราณทาสีสันสวยงาม หันไปทางไหนก็น่ารักไปหมด ทำให้กดชัตเตอร์กันไม่ยั้งเลยทีเดียว พอเดินเข้าไปภายในโบสถ์ St. Gallen ก็ยิ่งตกตะลึงในความงดงามของสถาปัตยกรรมภายใน เป็นโบสถ์คริสต์ที่สวยที่สุดที่เคยเห็นมาเลย ข้างในจะเน้นสีขาว ไม่รู้ว่าทำจากหินอ่อนหรือเปล่า ลวดลายการแกะสลักนั้นวิจิตรบรรจงและตระการตามากๆ ต้องเข้าไปชื่นชมอย่างเดียวเท่านั้นถึงจะซึ้ง










ออกจากโบสถ์ St. Gallen ภายในบริเวณเดียวกันก็จะเป็นหอสมุดที่เก่าแก่ที่สุดในสวิตเซอร์แลนด์ชื่อตามภาษาเยอรมันว่า Stiftsbibliothek หรือภาษาอังกฤษว่า Abbey Library หอสมุดแห่งนี้เป็นหอสมุดที่มีความสำคัญระดับโลกเนื่องจากเป็นสถานที่เก็บเอกสารและหนังสือสำคัญของยุโรปตั้งแต่ยุคแรกสุดที่ใช้ลายมือเขียนกัน จนได้รับยกย่องจากองค์การยูเนสโกให้เป็นมรดกโลก (รวมทั้งโบสถ์ St. Gallen และบริเวณโดยรอบ) ราคาค่าเข้าชมคนละ 7 ฟรังซ์ บริเวณภายในหอสมุดไม่อนุญาตให้ถ่ายรูป ก่อนจะเข้าไปภายในจะต้องสวมรองเท้าทำจากสักหลาดที่เขาเตรียมไว้ให้ ไม่ต้องถอดรองเท้าที่เราใส่มา แค่สวมรองเท้าสักหลาดที่ลักษณะเหมือนรองเท้าแตะทับอีกที รองเท้าสักหลาดนี้จะทำให้เดินยกขาไม่ได้สะดวก จึงทำให้ต้องเดินช้าๆ ลากๆพื้น นอกจากหอสมุดจะเป็นที่เก็บรักษาเอกสารสำคัญทางประวัติศาสตร์ที่น่าทึ่งแล้ว สถาปัตยกรรมภายในหอสมุดก็งดงามน่าทึ่งไม่แพ้กัน ทำจากไม้ เพดานโค้งมนเหมือนโดม แกะสลักได้งดงามมาก ระหว่างที่เดินดูภายในหอสมุดนี้ หนังสือเก่าและเอกสารสำคัญจะอยู่ในตู้โชว์ มีหมายเลขบอกให้อ่านคู่กับคู่มือที่เขาแจกให้ตั้งแต่ตอนซื้อตั๋วเข้าชม แนะนำให้เดินเรียงตามหมายเลขที่บอก จะได้ความรู้มากมาย ถ้าชอบและสนใจแนวนี้ควรเผื่อเวลาให้กับที่นี่อย่างน้อย 1 ชั่วโมงครึ่่งถึง 2 ชั่วโมง



มัวแต่ชื่นชมความอลังการงานสร้างของทั้งโบสถ์ St. Gallen หอสมุด รวมถึงบริเวณโดยรอบ ทำให้สายเกินรอบรถไฟตอน 12.37 น. แต่ก็ไม่เป็นไรเพราะรอบรถไฟจาก St. Gallen ไปยัง Appenzell นี้ออกทุกครึ่งชั่วโมงอยู่แล้ว สถานีรถไฟที่จะไปเมือง Appenzell นี้ไม่ใช่สถานี St. Gallen ฝั่งที่เรามาถึงนะ แต่เป็นฝั่งตรงกันข้าม เยื้องๆกันแค่นิดเดียว ให้ข้ามถนนมารอที่สถานีรถไฟฝั่งนั้น จะมีป้ายบอกทางว่ารถไฟที่จะไป Appenzell ให้มารอที่นี่ ระหว่างรอรถไฟ ก็มองเห็น Migros Take away ที่ฝั่งตรงกันข้าม (คนละฝั่งกับสถานี St. Gallen ใหญ่นะคะ) ก็เลยรีบจ้ำอ้าวไปซื้อ Bratwurst ไส้กรอกเนื้อลูกวัวย่าง ขายพร้อมกับขนมปังฝรั่งเศสแข็งๆ ราคา 5 ฟรังซ์ รสชาติอร่อยดีใช้ได้ ระหว่างทางไป Appenzell ก็ได้สัมผัสบรรยากาศชนบ๊ท ชนบทของสวิตเซอร์แลนด์ ทุ่งหญ้า วัว แกะ พบเห็นได้เต็มไปหมด อย่างที่บอกว่าวันนี้อากาศดีมาก ถ่ายรูปห่วยยังไงก็ออกมาสวย






ใช้เวลาไม่ถึง 1 ชั่วโมงดีก็ถึงเมือง Appenzell เมืองเล็กๆที่ดูเหมือนจะไม่มีใครรู้จักและไม่มีอะไรโดดเด่นเลย จะว่างั้นก็ได้ล่ะ เพราะเมืองเขาเล็กจริงๆ เดินแค่ชั่วโมงเดียวก็วนครบ 3 รอบแล้ว หลังจากออกสถานีรถไฟ ไม่ต้องใช้แผนที่ใดๆ แค่เดินเข้าไปในที่ที่มีผู้คนเยอะๆหน่อย ก็จะถึงตัวเมือง Appenzell แล้ว แต่ถึงจะไม่มีอะไรโดดเด่น แต่เมืองนี้ก็เป็นเมืองเล็กๆที่น่ารักมากๆ ที่หน้าบ้านและร้านค้าโดยทั่วไปจะมีป้ายยื่นออกมานอกตัวร้านเป็นลวดลายแตกต่างกันเพื่อแสดงเอกลักษณ์ของแต่ละร้าน บางร้านแอบฮาเอากางเกงยีนส์ขาสั้นมาห้อยไว้หน้าร้าน ไม่รู้พอฝนตกจะเก็บเอาไปซักบ้างป่าวเนี่ย รู้สึกว่าที่ Appenzell นี่จะขึ้นชื่อเรื่องชีสและเบียร์มาก เห็นแต่ละร้านวางขายชีสอยู่เต็มไปหมด ที่นี่เราได้แวะลิ้มลองขนม Warmer Kaesezwiebelfladen จากร้าน Drei Koenige (ไตรเคอนิเกอะ แปลว่าสามกษัตริย์) ตามที่มดเอ็กซ์แนะนำด้วย ก็เป็นขนมหน้าตาเหมือนพายสามเหลี่ยม รสชาติชี้ส ชีส อร่อยดี คนไม่ชอบกินชีสก็น่าจะกินได้ ไม่เลี่ยนเท่าไหร่ ราคาชิ้นละ 7 ฟรังซ์ การเดินหาร้าน Drei Koenige ก็หาไม่ยาก เดินวนในเขตเมืองเก่า มองหาป้ายยื่นหน้าร้านที่เป็นรูปผู้ชายสามคน (แต่รู้สึกว่าสามกษัตริย์ในที่นี้น่าจะเป็นสามโหราจารย์ ผู้ที่นำเครื่องบรรณาการมาถวายพระเยซูในวันประสูติมากกว่า)





นั่งรถไฟจาก Appenzell กลับสู่ซูริคในช่วงเย็นๆ ยังพอมีเวลาให้เดินเล่นเก็บตกที่ Bahnhofstrasse อีกนิดหน่อย แต่ร้านรวงที่ยุโรปนี่ก็อย่างว่า ปิดเร็วซะเหลือเกิน 6 โมงเย็นทุ่มนึงก็แทบไม่เหลือแล้ว จะเหลือก็แต่ร้านสะดวกซื้อแล้วก็ห้างสรรพสินค้านิดหน่อยเท่านั้น แต่ถึงตอนนี้เราก็ไม่อยากเดินไปเที่ยวไหนอีกแล้วล่ะ เตรียมตัวเอากระเป๋าออกจากล็อคเกอร์แล้วก็จับรถไฟรอบไหนก็ได้ที่เขียนว่า Flughafen และมีรูปเครื่องบินอยู่ด้วย นั่นหมายถึงเป็นขบวนที่จะผ่านสนามบินซูริค ถึงสนามบิน ตรวจตราโหลดกระเป๋าทุกอย่างเรียบร้อย หาข้าวกินในสนามบินนั่นล่ะ ได้เบอร์เกอร์คิงช่วยชีวิตไว้ ก่อนขึ้นเครื่องลืมอีกแล้วว่าพกของเหลวมา 2 อย่าง นั่นก็คือนมกล่องที่ได้มาตั้งแต่กินแมคโดนัลด์มาเมื่อวันที่ไปเจนีวา (มันยังไม่หมดอายุอีกเหรอเนี่ย !?!) กับมายองเนสหลอดที่พกไว้กินตลอดทาง สุดท้ายก็ต้องสังเวยของสองอย่างนี้ให้คุณเจ้าหน้าที่สนามบินไป เครื่องบินของสายการบินเอมิเรตส์ออกจากซูริคช้ากว่าที่กำหนดไปเป็นชั่วโมง คุณกัปตันบอกว่าตรวจสอบอะไรไม่ผ่านซักอย่าง ต้องรอช่างมาแก้ไขแล้วตรวจสอบใหม่อีกครั้ง ตอนแรกกังวลมากๆว่าจะทำให้ไปต่อเครื่องที่ดูไบไม่ทัน เพราะนึกว่าจะต้องขึ้นรถชัตเทิลบัสต่อจากเทอร์มินัลนึงไปอีกที่นึงเหมือนขามา แต่สุดท้ายก็ไม่ต้องทำอย่างนั้น เหมือนทางสายการบินจัดการให้ ก็เลยไม่ต้องขึ้นรถ ออกจากงวงช้างก็มาโผล่ที่อาคารผู้โดยสารเลย กลับถึงกรุงเทพอย่างสวัสดิภาพและตรงเวลา ต้องขอบคุณเอมิเรตส์ ขอบคุณสวิตเซอร์แลนด์ และขอบคุณตัวเองที่ทำให้การท่องเที่ยวในครั้งนี้เก็บเกี่ยวประสบการณ์ได้มากมาย เป็นแรงผลักดันให้เกิดความอยากที่จะมีทริปหน้าแบบนี้อีก ว่าจะไปเกาหลีใต้ดีกว่า ดอกซากุระและซูเปอร์จูเนียร์รอกันก่อนนะ แล้วจะรีบเก็บตังค์ไปให้ได้เลย




 

Create Date : 11 ธันวาคม 2551   
Last Update : 16 ธันวาคม 2551 8:02:10 น.   
Counter : 1275 Pageviews.  


9 วันกับ Swiss Adventure (7)


วันที่ 7

ฝนตกปรอยๆมาตั้งแต่เมื่อวานตอนบ่ายจนถึงเช้าฝนถึงได้เริ่มหยุด เราพยายามเดินเข้าไปในตัวเมืองแซร์มัทลึกๆ เดินขึ้นเขาขึ้นไปเผื่อว่าจะได้เห็นยอดแมทเทอร์ฮอร์นในยามเช้าบ้าง แต่ท้องฟ้าก็สีหม่น หมอกลงจัดมากจนไม่สามารถมองเห็นอะไรเลย โปรแกรมสำหรับวันนี้คือการได้นั่งรถไฟเร็วที่วิ่งช้าที่สุดในโลก (เอ๊ะ!! ยังไง) และยังเป็นรถไฟสายที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งของโลก (อีกแล้ว) อีกด้วย นั่นก็คือรถไฟสาย Glacier Express ซึ่งมีเส้นทางจากแซร์มัท ไป St. Moritz (แซงต์มอริส) อีก 1 เมืองพักตากอากาศและเมืองแห่งสกีรีสอร์ทของสวิตเซอร์แลนด์ รวมระยะเวลาการเดินทางกว่า 7 ชั่วโมง ข้อสำคัญของการนั่งรถไฟสายนี้ก็คือต้องจองที่นั่งมาก่อน เพราะในตารางเดินรถมันจะเป็นสัญลักษณ์ตัวอักษร R อยู่ในกรอบสี่เหลี่ยม หมายความว่า Reservation compulsory โดยสามารถจองที่นั่งมาจากเมืองไทยเลยก็ได้ผ่านดีทแฮล์มทราแวลหรือจะมาจองตอนมาถึงสวิสแล้วก็ได้ที่สถานีรถไฟทั่วไป ราคา 2 คนอยู่ที่ 48.40 ยูโร (จองมาจากเมืองไทย) รถไฟออกจากแซร์มัทเวลา 9.13 น. ก่อนจะขึ้นรถไฟ เรารู้สึกตุ่นๆว่าจะได้เจอบางอย่างที่คุ้นเคย แล้วก็เป็นตามสัญชาตญาณนั่นก็คือได้เจออาม่าและคุณหลานอีกแล้ว อ๊ากก!! ตามกันมาถึงนี่ ยังงี้มาจอยทริปกันเลยดีกว่ามั้ยอ่า คือพอคุยกับอาม่าแล้วก็เลยทราบว่าแกมาก่อนหน้าเราวันนึง เลยได้นั่งกระเช้าไปที่ Klein Matterhorn ด้วย



การเลือกที่นั่งสำหรับ Glacier Express นั้น ถ้าเลือกเส้นทางจากแซร์มัทไปแซงต์มอริสก็ขอแนะนำอีกเหมือนเดิมว่าให้เลือกที่นั่งด้านขวามือ อันนี้จำเป็นมาก ตอนจองที่นั่งให้กางแผนที่นั่งออกมาเลย เลือกที่นั่งฝั่งที่ตรงกันข้ามกับฝั่งห้องน้ำ ฝั่งนั้นจะเป็นฝั่งขวามือ จะได้ไม่เสียใจเหมือนกับเราที่ได้นั่งฝั่งซ้ายมืออีกแล้ว ซึ่งถ้าเทียบจุดที่จะเห็นวิวที่สวยกว่าแล้ว ฝั่งซ้ายมือจะเสียเปรียบกว่าเยอะเลย รถไฟสาย Glacier Express เป็นรถไฟสายชมธรรมชาติอีกสายหนึ่งโดยแท้ รถไฟจะแล่นไปอย่างช้าๆ เส้นทางเดินรถก็เหมือนจะตัดขึ้นมาพิเศษสำหรับสายนี้เท่านั้น ทุกที่นั่งจะมีหูฟังให้ เลือกช่องรับฟังได้ 6 ภาษาคือเยอรมัน อังกฤษ ฝรั่งเศส อิตาลี จีนและญี่ปุ่น เมื่อรถไฟวิ่งถึงสถานที่ที่กำหนด จะมีเสียงกระดิ่งดังขึ้นพร้อมตัววิ่งแสดงบนหน้าจอเหนือศีรษะใกล้กับประตูทางออก แสดงว่าตอนนี้เราอยู่ไหนแล้ว จากนั้นเสียงตามสายในหูฟังก็จะบรรยายถึงประวัติความเป็นมาหรือเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับสถานที่ที่นั้น ซึ่งเสียงตามสายนี้จะดังประมาณทุก 10-15 นาทีเลย ใครสนใจจะฟังก็เสียบหูฟังรอไว้ได้ แต่ถ้าใครไม่สนใจก็มีช่องเพลงให้ฟังแทน



เราจะนั่งรถไฟ Glacier Express จากแซร์มัทไปลงที่เมือง Chur (คูร์) เท่านั้น เพราะถ้าไปถึงแซงต์มอริสจะใช้เวลามากเกินไป ทำให้กลับไปเอากระเป๋าที่ซูริคไม่ทัน ตรงข้ามที่เรานั่ง มีคุณตาชาวสวิสมานั่งด้วย คุณตาน่ารักมากมายจริงๆ แกเป็นคุณตาใช้ชีวิตหลังเกษียณโดยการท่องเที่ยวตัวคนเดียวไปเรื่อยๆ เป็นโรคพาร์กินสัน สังเกตเห็นได้ชัดเจนตั้งแต่ตอนที่เริ่มคุย พูดอังกฤษไม่คล่องเอาซะเลยแต่ก็มีความพยายามที่จะสื่อสารกับเรามาก คุณตาเป็นชาวเมืองเจนีวา ตอนทำงานทำหน้าที่เป็นบรรณารักษ์ให้ห้องสมุดในโรงพยาบาล แกก็เลยรู้จักชื่อ Professor ชาวเยอรมันคนที่เราเอ่ยชื่อมา รถไฟเริ่มออกเดินทางจากแซร์มัท ย้อนลงเขาไปทางเมือง Visp จากนั้นไต่ขึ้นเขาอีกครั้งไปยังเมือง Brig, Oberwald และ Andermatt จอดพักประมาณ 20 นาที มุ่งต่อไปยัง Oberalpass ผ่านจุดที่สูงที่สุดของการเดินทางที่ระดับความสูง 2,033 เมตรจากระดับน้ำทะเล บริเวณ Oberalpass นี้สวยมากมาย เนื่องจากเป็นจุดที่อยู่สูงจากระดับน้ำทะเลมาก อากาศก็เลยหนาวเย็นกว่าที่อื่น เพราะฉะนั้นที่นี่เราจะเห็นหิมะขาวโพลนปกคลุมอยู่โดยรอบ ดีที่น้ำในทะเลสาบยังไม่เป็นน้ำแข็ง รถไฟมีบริการอาหารกลางวันและอาหารเย็นให้สั่งได้ ซึ่งก็ต้องเสียเงินเพิ่มเอาเองน๊า เท่าที่เห็นจะมีเมนูเดียว เพราะเห็นใครๆก็กินอันนี้ คุณตาของเราก็สั่งอันนี้คือสลัดผักข้าว ผักและแครอทต้ม และสตูว์เนื้อสัตว์อะไรซักอย่าง ถ้าไม่อิ่มก็เติมได้ บริกรจะมาคอยเติมให้ตลอด ของหวานเช่นแอปเปิ้ลครัมเบิลก็มีให้สั่งได้ ใครอยากลิ้มรสไวน์อย่างคุณตาก็สั่งได้อีกเหมือนกัน นอกจากนี้บนรถไฟยังมีของที่ระลึกขายด้วยเช่นมีดพับ หรือแก้วไวน์ดีไซน์เก๋เป็นรูปทรงเอียงๆ จาก Oberalpass รถไฟไต่ลงเขาอีกครั้งผ่านเมือง Disentis, Rheinschlucht แล้วก็ถึงจุดหมายปลายทางของเราที่เมืองคูร์ ที่ระดับต่ำสุดจากระดับน้ำทะเล 585 เมตร ถ้าไม่ลงที่นี่รถไฟจะแล่นต่อไปยัง Landwasserviadukt แยกสายหนึ่งไป Davos และอีกสายหนึ่งไป Albulalinie สิ้นสุดที่แซงต์มอริส บรรยากาศระหว่างทางสาย Glacier Express สวยงามมากจริงๆ แนะนำว่าหากมีโอกาสควรต้องขึ้นรถไฟสายนี้สักครั้ง รูปถ่ายที่เห็นคงบรรยายให้เห็นภาพไม่ได้เท่ากับได้ไปชมของจริง ฤดูใบไม้ร่วงเช่นช่วงที่เราไปนี้กับหน้าหนาว (หลังกลางเดือนธันวาไปแล้ว เพราะรถไฟจะปิดให้บริการประมาณ 2 เดือนเพื่อตรวจเช็คระบบตั้งแต่กลางเดือนตุลาจนถึงกลางเดือนธันวา) น่าจะเป็นช่วงที่จะมองเห็นวิวทิวทัศน์ได้สวยงามที่สุด ถึงแม้ระยะเวลาการเดินทางอาจดูค่อนข้างยาวนาน (ก็นานจริงๆแหล่ะ) แต่ก็ไม่ได้ทำให้บรรยากาศดูน่าเบื่อแต่อย่างใด













รถไฟออกจากเมืองคูร์เวลา 15.09 น. ไปถึงซูริคตอน 16.23 น. ไปรับกระเป๋าใหญ่ที่เดิมกับที่เราเคยไปฝากกระเป๋าไว้เมื่อวันแรกที่เรามาถึงซูริค จากนั้นตรงไปที่พักกันก่อนที่ City Backpacker โดยให้ออกจากที่รับกระเป๋าแล้วเลี้ยวขวา ถึงหัวมุมให้เลี้ยวขวาอีกครั้ง (ถนน Bahnhofquai) ข้ามถนนผ่านป้ายรถเมล์และรถราง เดินเลียบถนน Bahnhofplatz พอเจอแยกทีมีป้ายรถเมล์อยู่ตรงเกาะกลางถนนก็ให้ข้ามถนนไปยังถนน Limmat-quai ทีนี้เดินตรงลูกเดียว สงสารกระเป๋าอีกแล้วเพราะพื้นมันตะปุ่มตะป่ำเหลือเกิน เดินตรงไปเรื่อยๆ มองหาชื่อถนน Weingasse ทางด้านซ้ายมือเอาไว้ พอถึงก็เลี้ยวซ้าย City Backpacker จะอยู่ตรงหน้าเลย ต้องเดินขึ้นบันไดอีกนิดนึง แต่พอเปิดประตู hostel เข้าไปแล้วสิ จะเป็นลม ==!! เพราะต้องเดินแบกกระเป๋าหนักสิบกว่าโลขึ้นบันไดอันแสนแคบไปอีกประมาณ 3 ชั้น พอถึงชั้น 3 มันก็มีป้ายบอกว่า reception ไปทางขวา ไอ่เราก็ดีใจว่าจะถึงแล้ว ที่ไหนได้ หลอกลวงกันชัดๆ เพราะพอเลี้ยวขวาปั๊บก็มีป้ายลูกศรชี้ว่าให้ขึ้นบันไดไปอีกจ้ะหนู reception อยู่ข้างบน นั่นล่ะต้องเดินขึ้นไปอีก 1 ชั้น รวมทั้งหมด 4 ชั้น โชคดีที่เราจองที่พักมาแต่เนิ่นๆ ห้องพักเลยอยู่ชั้นเดียวกับ reception นี้ เป็นห้องแรกซ้ายมือ ตรงข้ามห้องน้ำอีกตามเคย ที่พักที่นี่นับว่าแย่ที่สุดในทริปนี้ แย่ในที่นี้ไม่ได้หมายถึงความสกปรกหรือน่าผิดหวังอะไรมากมาย ก็พอเข้าใจว่าราคาขนาดนี้ (คืนละ 104 ฟรังซ์ต่อห้อง double room) กับทำเลใจกลางตัวเมืองซูริค ถูกที่สุดและใกล้สถานีรถไฟที่สุด มันก็เลยต้องออกมาในรูปแบบนี้ City Backpacker เป็นที่นิยมในหมู่นักท่องเที่ยว Backpacker มากที่สุดจริงๆก็ว่าได้ เพราะเห็นตั้งแต่วันแรกที่มาถึงซุริคแล้ว วันนั้นยังไม่ได้เข้าพักแต่มาแอบดูลาดเลาก่อน ก็เห็นว่าเขาติดป้ายไว้หน้าประตูว่ากรุณาอย่า walk-in เข้ามาพัก เพราะที่พักถูกจองเต็มหมดแล้ว จนถึงวันนี้ วันที่ 7 ของการเดินทางที่เรามาพักนี่ป้ายนั้นก็ยังติดอยู่ ด้านล่างของ Hostel นี้อยู่ติดกับร้านอาหาร Spaghetti Factory เพราะฉะนั้นตอนที่เดินขึ้นบันไดมาชั้นที่ 2 จะมองเห็นครัวของร้านอาหารนี้ได้เลย เปิดประตูหากันก็ได้ ถ้ามีโอกาสก็น่าลองไปกินเหมือนกัน อ่านจากเมนูหน้าร้านแล้วราคาก็ไม่แพงเว่อร์ (คือแพงพอๆกับร้านอื่น)

หลังจากเช็คอิน เก็บกระเป๋าเรียบร้อยแล้ว ก็ออกมาเที่ยวเก็บตกในซูริค นั่นก็คือการช็อปปิ้งหาของฝากบนถนน Bahnhofstrasse สุดท้ายมื้อเย็น เพื่อเป็นการสนับสนุนกิจการของคนไทยในต่างแดน เราก็เลยเลือกรับประทานอาหารไทยที่ร้าน “บ้านทรงไทย” บนถนน Kirchgasse โดยให้เดินเลียบถนน Limmat-quai ถนนใหญ่เส้นที่จะมา City Backpacker แต่ไม่ต้องเลี้ยวซ้ายเข้าถนน Weingasse ที่จะไปที่พักเรา ให้เดินตรงไปเรื่อยๆ มองหาถนน Kirchgasse ทางซ้ายมือไว้ พอเจอก็เลี้ยวซ้าย ร้านจะอยู่ขวามือ เห็นได้ชัดเจน ร้านนี้เจ้าของเป็นคนไทย ด้วยความที่ไม่ได้จองไว้ ทางร้านก็เลยขอให้เรารับประทานอาหารให้เสร็จภายใน 2 ทุ่ม ซึ่งก็ทันเหลือแหล่อยู่แล้วเพราะตอนนั้นเพิ่ง 6 โมงกว่าๆ เพราะลูกค้าจองที่นั่งไว้ช่วง 2 ทุ่มเยอะมาก แล้วก็เยอะมากดังที่เขาว่าจริงๆ เพราะแค่ช่วงประมาณทุ่มนึง ลูกค้าชาวสวิสก็แห่กันมาจากไหนไม่รู้เต็มร้านไปหมด ทางร้านจัดบริเวณหนึ่งไว้เป็นที่นั่งแบบขันโตกด้วย ฝรั่งชอบกันมาก มองดูคนข้างๆก็เห็นสั่งแกงกะทิอะไรซักอย่าง บางคนก็นั่งกินส้มตำที่ทำให้ออกแนวเป็นสลัดให้ฝรั่งกินง่ายๆ เห็นแล้วก็ปลื้มแทนที่อาหารไทยนี่ดังระเบิดไปทั่วโลกจริงๆ แต่ขอแอบติคุณบริกรเล็กน้อยว่าไม่รู้ว่ารู้สึกไปเองมั้ยที่คุณบริกรดูจะไม่ค่อยบริการเราดีเท่ากับชาวต่างชาติเลย มีแอบใช้สายตากับน้ำเสียงจิกๆเราเล็กน้อยด้วยอ่า... ทำไมทำเงี้ย




 

Create Date : 10 ธันวาคม 2551   
Last Update : 13 ธันวาคม 2551 12:56:36 น.   
Counter : 785 Pageviews.  


9 วันกับ Swiss Adventure (6)


วันที่ 6

วันนี้ออกเดินทางกันแต่เช้าสุดๆ เพื่อให้ไปถึง Zermatt (แซร์มัท) ให้ทันช่วงสายๆ รถไฟจากเจนีวาออกเวลา 7.07 น. ถ้าดูจากตารางเดินรถจะเห็นว่ารถไฟขบวนนี้มีระบุรหัส RE นั่นคือ Reservation recommended ตอนแรกก็สงสัยว่าทำไม เพราะดูมันก็ไม่ใช่รถไฟที่จะไปเมืองใหญ่ๆที่ไหนเลย แต่พอขึ้นมาแล้วถึงได้รู้ เพราะปลายทางของรถไฟขบวนนี้จะไปสิ้นสุดที่เมืองหนึ่งในอิตาลี ผู้โดยสารก็เลยเยอะแยะมากมาย ตอนถูกนายตรวจตรวจตั๋ว เขาก็ถามเหมือนกันว่าเราจะไปลงที่ไหน เพราะว่าถ้าตอบว่าไปลงอิตาลีนี่ สวิสพาสก็ใช้ไม่ได้ พอเราบอกว่าไปลง Visp เขาก็ถามต่อทันทีเลยว่าจะไปแซร์มัทเหรอ แสดงว่าเมือง Visp เป็นเมืองหน้าด่านที่เป็นประตูไปสู่แซร์มัทนั่นเอง เราต้องไปเปลี่ยนขบวนที่ Visp เวลา 9.05 น. มีเวลาแค่ 5 นาทีเพื่อเปลี่ยนขบวนจะไปแซร์มัท เพราะฉะนั้นต้องทำเวลากันหน่อย แต่เอาเข้าจริงๆก็เปลี่ยนได้ทันสบายๆ เพราะรถไฟมักจะเทียบชานชาลาก่อนเวลาประมาณ 2-3 นาทีอยู่แล้ว อย่างตามตารางต้องมาถึงเมือง Visp 9.05 น. จริงๆก็มาตั้งแต่ประมาณ 9.02 น.ค่ะ รถไฟจาก Visp ไปแซร์มัทจะเป็นรถไฟแบบชนบทๆหน่อยแล้ว เบาะเบอะก็ทำจากไม้ แต่ที่รองนั่งก็จะเป็นลูกฟูกนุ่มๆหน่อย รถไฟเริ่มไต่ขึ้นเขาเรื่อยๆ แนะนำว่าขาขึ้นนี้ให้นั่งชิดซ้ายนะคะ จะเห็นภูเขาอะไรซักอย่างสวยมาก ตอนแรกนึกว่า Matterhorn (แมทเทอร์ฮอร์น) แต่ไม่ใช่อ่ะ แต่ยังไงบรรยากาศโดยรอบก็สวยมากมาย บ้านเรือนแถบนี้เริ่มออกแนวชนบทๆ แต่ก็น่ารักสุดๆ เป็นบ้านไม้ มีระเบียงยื่นออกมาจากตัวบ้าน ตกแต่งประดับประดาด้วยดอกไม้หลากสีที่ตัวระเบียงนี้


มาถึงจุดหมายปลายทางที่แมทเทอร์ฮอร์นตอน 10.14 น. ตอนแรกกะว่าจะฝากกระเป๋าแดงไว้กับล็อคเกอร์ที่สถานีรถไฟซะก่อน แล้วรีบบึ่งจับรถไฟรอบ 10.24 น. ไป Gornergrat ต่อเลย แต่พอดูเวลาตอนนั้นแล้วก็คิดว่าไปไม่ทันรถไฟแน่ๆ เพราะไหนจะต้องหาล็อคเกอร์ ใส่ของในล็อคเกอร์ วิ่งข้ามฝั่งถนนไปสถานีรถไฟ Zermatt Gornergrat Bahn; Zermatt GGB (มันอยู่คนละฝั่งกับสถานีรถไฟแซร์มัทนะคะ แต่ห่างกันแค่ข้ามถนนคนเดินเท่านั้น) แล้วยังต้องซื้อตั๋วรถไฟอีก เห็นทีจะตกรถไฟแน่ๆ ก็เลยต้องยึดรอบรถไฟเวลา 11.36 น.ตามแผนเดิม สวิสพาสเบ่งได้ครึ่งนึงนะคะที่นี่ ได้ลดค่าตั๋ว 50% ค่ะ เหลือคนละ 30.40 ฟรังซ์ (ไป-กลับ Zermatt-Gornergrat-Zermatt) หลังจากซื้อตั๋วเสร็จ ด้วยความที่เหลือเวลามากอยู่ เราก็เลยเปลี่ยนใจไม่ฝากกระเป๋าไว้ในล็อคเกอร์แล้ว ลากเข้าไปเช็คอินที่โรงแรมที่พักเลยดีกว่า ที่พักวันนี้ได้มาจากคุณ Mactopia ค่ะ ชื่อ Hotel Tannenhof ทางเข้าหายากนิดนึง ขนาดดูแผนที่แล้วยังเลยไป พอย้อนกลับมาก็มองไม่เห็นอีก เส้นทางที่ถูกต้องคือเดินตรงไปตาม Bahnhofstrasse มองทางซ้ายไว้ พอเห็นร้านขายนาฬิกาที่เป็นช็อปทรงกลม ตั้งโดดๆไม่ติดกับร้านอื่น ด้านหน้ามีนาฬิกาบอกเวลาเรือนกลมๆอยู่ ไม่แน่ใจคิดว่ามันบอกอุณหภูมิด้วย จากนั้นให้เลี้ยวซ้ายตรงซอยข้างๆร้านทรงกลมนั้น (เนื่องจากมองไม่เห็นว่ามีชื่อป้ายถนน Hinterhofstrasse ตามแผนที่บอก) เงยหน้ามองขึ้นไป สอดส่ายสายตาเล็กน้อยก็จะมองเห็นป้ายโรงแรม Hotel-Garni Tannenhof ห้องพักที่โรงแรมดีมาก หรูที่สุดในทริปนี้ เพราะมีวิทยุให้ฟัง อิอิ ไม่ใช่ยังงั้น คือการตกแต่งห้องเป็นลักษณะโรงแรมเลย ผ้าขนหนู ผ้าห่ม ที่นอนหมอนมุ้งก็ครบครัน วางเรียงไว้เหมือนอยู่ในโรงแรม 4 ดาวเลยราคาค่าห้องคืนละ 90 ฟรังซ์ต่อห้อง (double room) พร้อมอาหารเช้า แชร์ห้องน้ำ นับว่าถูกและคุ้มค่ามาก รู้สึกว่าโรงแรมที่แซร์มัทมันเยอะโฮก คนมาพักที่ Tannenhof ก็เลยดูน้อยมาก ห้องน้ำที่ต้องแชร์ไว้ก็เหมือนมีแต่เราใช้อยู่คนเดียว เราพักอยู่ที่ชั้น 3 ห้องริมสุดทางเดิน ห้องส้วมจะอยู่ชั้นเดียวกันแต่ห้องอาบน้ำจะอยู่ชั้น 2 ส่วนชั้น 1 จะเป็น reception ห้องนั่งเล่น ห้องครัวและห้องรับประทานอาหาร






หลายคนอาจทราบมาก่อนว่าเมืองแซร์มัทเป็นเมืองที่ห้ามการใช้รถยนต์ที่ใช้น้ำมันวิ่งโดยสารภายในเมือง เพราะฉะนั้นเขาจะอนุญาตให้ใช้เฉพาะรถที่ใช้ไฟฟ้าเท่านั้น นับว่าเป็นเมืองปลอดมลภาวะที่สุดที่หนึ่ง นอกจากนี้เมืองแซร์มัทยังนับว่าเป็นหนึ่งในเมืองที่โรแมนติกที่สุดแห่งหนึ่งในโลกอีกด้วย เนื่องด้วยลักษณะของเมืองเป็นเมืองท่องเที่ยว เป็นเมืองพักผ่อนตากอากาศ ดังนั้นร้านค้า ร้านอาหารมากมายจึงเรียงรายอยู่รอบสองฝั่งถนน ที่พักตั้งแต่ระดับ hostel เกสต์เฮ้าส์ จนไปถึงโรงแรมระดับ 5 ดาวบวกๆก็แข่งกันขึ้นมาเป็นดอกเห็ด ตอนที่ไปนั้นก็กำลังมีการก่อสร้างที่พักมีมากมายหลายที่เลย เห็นปั้นจั่นเต็มไปหมด ไม่รู้ว่าอนาคตอีก 5 ปี 10 ปี แซร์มัทจะยังคงสภาพเดิมไว้ได้อยู่มากน้อยแค่ไหน เห็นแล้วก็แอบหวั่นใจอยู่เหมือนกัน

เวลา 11.36 น. เราขึ้นรถไฟที่สถานีรถไฟ Zermatt GGB รีบๆไปก่อนเวลาซัก 10 นาทีก็ดี เพราะจะได้เลือกที่นั่งได้สบายๆ แนะนำว่าให้เลือกที่นั่งชิดขวาค่ะ ตรงตามที่ Lonely Planet บอกทุกอย่าง ฝั่งนี้จะเห็นแมทเทอร์ฮอร์นชัดเจนแจ่มแจ๋ว แต่จะเห็นทั้งลูกหรือเปล่านั้นก็ต้องภาวนาให้ฟ้าฝนเป็นใจด้วยค่ะ วันที่เราไปค่อนข้างอับโชคเล็กน้อย เมฆมากเหลือเกิน ระหว่างทางขึ้นเขา เมฆบังยอดเขาซะเกือบมิด โชคยังดีที่ตั้งแต่ตีนเขาขึ้นไปจนถึงเกือบๆยอดไม่มีเมฆ มีแค่ปลายๆยอดเท่านั้น เราก็ได้แต่หวังว่าพอขึ้นไปถึงสถานีปลายทางที่ Gornergrat แล้ว เมฆจะหายไป รถไฟสาย Zermatt-Gornergrat นี้จะจอดแวะทั้งหมด 5 สถานีด้วยกันคือ Findelbach-Riffelalp-Riffelberg-Rotenboden-Gornergrat ถ้าซื้อตั๋วจาก Zermatt ไป Gornergrat แล้ว ก็สามารถออกจากรถไฟที่สถานีไหนก็ได้ แล้วรอรถไฟขบวนถัดไปค่อยขึ้นใหม่ รถไฟสายนี้จะไม่มีนายตรวจแต่จะควบคุมการเข้าออกด้วยตั๋วรถไฟ ที่ทางเข้าออกแต่ละสถานีจะมีช่องให้สอดตั๋วเหมือนเวลาขึ้นรถไฟฟ้าบ้านเรา เพราะฉะนั้นต้องรักษาตั๋วนี้ยิ่งชีพ รถไฟขึ้นไปถึง Gornergrat ประมาณเที่ยงนิดๆ จริงๆอุณหภูมิบน Gornergrat ก็พอๆกับที่ยุงเฟรายอคคือประมาณ 0 ถึง -1 องศา แต่รู้สึกว่าที่แซร์มัทโดยเฉพาะบน Gornergrat นี้หนาวกว่ายุงเฟรายอคมาก เพราะว่ามีลมพัดตลอด เลยเป็นตัวเพิ่มทวีคูณความหนาว บนสถานี Gornergrat นี้มีระดับความสูงจากน้ำทะเล 3,089 เมตร เดินผ่านช่องตรวจตั๋วจะมองเห็นหมาน้อยเซนต์เบอร์นาร์ดกับคุณตากล้องจากร้านถ่ายรูปที่ตัวร้านตั้งอยู่ที่ในตัวเมืองแซร์มัท แต่เขาก็หารายได้โดยการพาหมาน้อยเซนต์เบอร์นาร์ดมาเป็นนายแบบ นักท่องเที่ยวคนไหนต้องการจะถ่ายรูปกับหมาน้อยพร้อมฉากหลังเป็นแมทเทอร์ฮอร์นก็มาได้เลย ถ่ายเสร็จเขาก็จะให้นามบัตรร้าน พอเราลงจากเขาไปที่ตัวเมือง ก็ไปเลือกรูปได้ ถ้าพอใจ รูปสวยงาม อยากจะซื้อก็ราคารูปละ 15 ฟรังซ์ (แพงซะ ==!!) แต่ถ้าไม่ถูกใจ ไม่ซื้อก็ได้ค่ะ วันนั้นอย่างที่บอกว่าเมฆลงเยอะ ยิ่งเวลาผ่านไป แทนที่ลมจะพัดเมฆออกไปจากยอดแมทเทอร์ฮอร์น กลับพัดเอาเมฆเข้ามามากขึ้นซะงั้น รูปที่ถ่ายกับหมาน้อยก็เลยไม่ค่อยแจ่มเท่าไหร่ แต่สุดท้ายก็ซื้อรูปที่ถ่ายมาอยู่ดี บนสถานี Gornergrat นี้มีโรงแรมหรูที่ดูเหมือนสถานีอวกาศอยู่ด้วย เดินขึ้นไปจากตัวสถานีเล็กน้อยประมาณ 200-300 เมตรก็จะเป็นจุดชมวิวที่สวยงามมากแล้วก็หนาวยะเยือกมากๆด้วย แต่ถ้าใครทนความหนาวไม่ค่อยได้ แนะนำให้เข้าไปพักแวะจิบช็อคโกแลตร้อนในร้านขายของที่ระลึกหน้าสถานีก่อนแล้วค่อยออกมาท้าลมหนาวกันใหม่ก็ได้







ขากลับจาก Gornergrat เราเลือกที่จะเดินลงจากสถานี Gornergrat ไปยังสถานี Rotenboden ตามที่คุณมดเอ๊กซ์แนะนำ ตอนแรกเดินตามครอบครัวฝรั่ง 4-5 คนลงไป แต่หารู้ไม่ว่าครอบครัวนี้พาเราเดินผิดเส้นทาง คือพาเดินเส้นทางที่ไม่ได้เป็นเส้นทางที่ทางการเขากำหนดไว้ มันก็เลยกลายเป็นเส้นทางที่ทุลักทุเลพอสมควร ลื่นไหลระเนระนาดกันเพราะหิมะกันยกใหญ่ กว่าจะฉลาดว่าเส้นทางที่ถูกต้องควรไปทางไหนก็เล่นเอากล้องที่พกไปด้วยได้รอยตราบาปกลับมาเป็นของฝากกันเลยทีเดียว การเลือกที่จะเดินลงจาก Gornergrat ไป Rotenboden เป็นการตัดสินใจที่คุ้มค่ามาก ได้ออกกำลังขา ได้เห็นแมทเทอร์ฮอร์นอย่างใกล้ชิดเหลือเกิน รู้สึกเหมือนว่ากำลังจะได้เอื้อมไปสัมผัสเจ้าภูเขาสัญลักษณ์ของช็อคโกแลต Toberlone นี้จริงๆ ถ้าเป็นอัตราการเดินของฝรั่งดังเช่นคุณครอบครัวฝรั่งที่พาเราเดินหลงนี้ก็น่าจะใช้เวลาไม่เกินครึ่งชั่วโมง แต่ถ้าสำหรับพวกขาจรคนไทยอย่างเราๆก็ต้องบวกเพิ่มไปอีกเกือบเท่าตัวเป็นประมาณ 50 นาทีถึง 1 ชั่วโมงได้ แต่ก็สนุกคุ้มค่ากับเวลาดีค่ะ ระหว่างที่เดินลงก็อาจจะเจอนักท่องเที่ยวซิ่งจักรยานเสือภูเขาแซงหน้าเราไปก็มีค่ะ พอมาถึงสถานี Rotenboden ก็ทันเวลาขึ้นรถไฟรอบ 14.24 น.พอดีเด๊ะเพื่อกลับไปยังสถานี Zermatt GGB พอลงมาถึงข้างล่าง ฝนก็เทลงมาบางๆ เราได้ถึงบางอ้อว่าเมฆที่ลอยปิดแมทเทอร์ฮอร์นไม่ยอมไปไหนซะทีนั่นก็คือเมฆฝนนั่นเอง ยังโชคดีที่เราได้ขึ้นไปเห็นแมทเทอร์ฮอร์นก่อนที่ฝนจะตกลงมา เพราะหลังจากที่ลงกลับมาที่แซร์มัทแล้วฝนก็ตกกันข้ามวันข้ามคืนไม่มีหยุดเลย


นอกจากแมทเทอร์ฮอร์นจะสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนผ่านการเดินทางด้วยรถไฟสาย Zermatt-Gornergrat แล้ว อีกทางเลือกหนึ่งก็คือเส้นทาง Klein Matterhorn ซึ่งเส้นทางนี้จะต้องขึ้นกระเช้าด้วย ถ้าหากมีเวลาเหลือพอ เส้นทางนี้ก็น่าไปเที่ยวไม่น้อยเหมือนกัน

ที่แซร์มัทนี้ นอกจากจะมีร้านรวงและโรงแรมผุดขึ้นเต็มเป็นดอกเห็ด แต่ถ้าลองเดินลึกเข้าไปอีกแค่นิดเดียว ก็จะเห็นบ้านไม้สไตล์สวิสโบราณเรียงรายอยู่เป็นแถวไป เห็นแล้วก็แอบนึกถึงบ้านไม้ผุๆที่โดนน้ำท่วมที่บ้านเรายังไงไม่รู้สิ อิอิ ไม่ขนาดนั้นหรอก ก็น่ารักไปอีกแบบ ดูเหมือนว่าเขาจะอนุรักษ์ไว้ให้นักท่องเที่ยวได้ชื่นชมกัน สำหรับอาหารการกินที่แซร์มัทนี้ก็มีให้เลือกตั้งแต่ราคาย่อมเยาว์สไตล์ Coop กับ Migros แต่ร้านอาจจะไม่ใหญ่มาก มีของให้เลือกน้อยหน่อย หรือจะลองเข้าภัตตาคาร กินอาหารแบบชาวสวิสซักมื้ออย่างฟองดูก็มีให้เลือกมากมาย เราจึงเลือกตามที่คุณ Mactopia แนะนำนั่นก็คือร้าน Haus Darioli ร้านอยู่ใกล้ๆกับร้านขายนาฬิกาทรงกลมที่เป็นทางเข้าโรงแรมที่พักนั่นล่ะ เวลาที่เราเข้าไปที่ร้านนั้นก็ 6 โมงกว่าแล้ว แต่เรากลับกลายเป็นลูกค้ารายแรกของร้านซะนั่น แต่ว่าหลายๆโต๊ะของร้านก็ถูกวางป้าย Reserved อยู่ ก็คงแสดงว่าคนที่นี่กินข้าวเย็นกันดึกมาก กว่าจะเข้ามาก็น่าจะ 2 ทุ่มขึ้นไป อาหารก็เป็นสไตล์ยุโรป จานใหญ่สมราคา แต่ตอนสั่งน้ำเปล่านี่มึนๆเล็กน้อย สรุปได้ว่าจะต้องสั่งว่าเป็นน้ำแร่แบบอัดแก๊ส (โซดา) หรือไม่ เพราะคนที่นี่เขาชอบกินน้ำเปล่าอัดแก๊สกัน (เหมือนที่อังกฤษเปี๊ยบ ซึ่งไม่เห็นจะอร่อยเลย)




 

Create Date : 10 ธันวาคม 2551   
Last Update : 13 ธันวาคม 2551 12:56:00 น.   
Counter : 1179 Pageviews.  


9 วันกับ Swiss Adventure (5)


วันที่ 5

วันนี้ออกไม่เช้ามาก ประมาณ 8 โมงกว่า เปลี่ยนแผนเล็กน้อย โดยจัดแจงเอากระเป๋าใหญ่ไปส่งแบบธรรมดาไปนอนรอที่ซูริคก่อน ที่บริการรับฝากที่สถานีรถไฟที่เดิมที่เราไปเอากระเป๋ามาเมื่อวาน จากนั้นเดินออกมาหน้าสถานีรถไฟ กาง City map และ Route map ที่ขอมาจาก hostel ตั้งแต่เมื่อคืน route map อันนี้มีประโยชน์มากถึงมากที่สุด เพราะแสดงเส้นทางการเดินรถทุกสาย ทุกเส้นทางในเจนีวา ทั้งในตัวเมืองแล้วก็นอกเมือง เราเล็งสายรถรางที่จะผ่านไป Flea market ที่ Plaine de Plainpalace นั่นก็คือรถรางสาย 13 และ 15 ใช้เวลาไม่นานเราก็ถึงที่หมาย flea market นี้ก็คือตลาดนัดขายของเก่านั่นเอง ส่วนใหญ่หลายๆที่จะมีทุกวันพุธและวันเสาร์ ที่เจนีวานี่ก็เหมือนกัน เปิดตั้งแต่ 6 โมงครึ่งตอนเช้า ปิด 6 โมงเย็น ที่อยากมาที่นี่เพราะอยากดูวิถีชีวิตของผู้คนที่นี่ แล้วก็สนุกสมใจเหมือนกัน พื้นที่จัด flea market เป็นสนามกว้างๆเหมือนสนามหลวงบ้านเรา ตอนที่ไปนี่ก็เกือบ 9 โมงแล้ว แต่หลายๆร้านก็ยังจัดร้านไม่เสร็จเลย มีของสารพัดจะขาย ทั้งเครื่องใช้ เสื้อผ้า หนังสือ เครื่องดนตรี ภาพถ่าย โต๊ะ เก้าอี้ จิปาถะ



เดินวนอยู่เกือบ 3 รอบจนไม่รู้จะดูอะไรก็เลยเดินไปที่ป้ายรถเมล์ ขึ้นรถรางสาย 13 หรือ 15 ก็ได้ย้อนกลับไปทางเดิมเพื่อไปองค์การสหประชาชาติ (United Nations; UN) ที่ทำการใหญ่เจนีวากัน ไปถึงที่หน้า UN วันนั้นกำลังมีประท้วงเรื่องอะไรซักเรื่องจำไม่ได้ พอจะเดินเข้าไปที่ปากประตูเพื่อไปถามคุณยามว่าจะเข้าชม UN ไปทางไหน คุณยามก็บอกให้เดินเหนือขึ้นไป พร้อมกับเห็นป้ายบอกเหมือนกันว่าส่วนที่จัดมีทัวร์พาชมใน UN นั้นต้องเดินเลียบถนนขึ้นไปอีกประมาณ 500 เมตร เป็น 500 เมตรที่เดินขึ้นเขาอีกแล้ว ตอนนั้นเกือบจะ 10 โมงเช้าแล้ว ก็รีบจ้ำกันใหญ่เลยเพราะกลัวว่าจะไม่ทันทัวร์รอบแรกแน่ๆ แล้วก็ไม่ทันจริงๆ แต่โชคดีที่ไม่มีใครทันรอบ 10 โมงเหมือนกัน เพราะฉะนั้นทัวร์รอบแรกของวันนี้จึงเป็นตอน 10.30 น. ราคาค่าเข้าชมอยู่ที่คนละ 10 ฟรังซ์ ก่อนจะเข้าไปข้างในก็จะมีให้ถ่ายรูปทำบัตรเข้าชมด้วย (กลุ่มละ 1 ใบ เช่นถ้ามาด้วยกัน 3 คนก็ได้ 1 ใบ ส่วนอีกกลุ่มหนึ่งที่มาอยู่ร่วมกลุ่มทัวร์รอบเดียวกับเรา เขาก็ได้อีกกลุ่มละ 1 ใบ งงมั้ย) ทัวร์ยูเอ็นภาคภาษาอังกฤษนี้เริ่มเวลา 10.30 น. น่าเสียดายที่วันนั้นมีการประชุมหลายงาน มีการใช้ห้องประชุมสำคัญหลายห้อง เท่าที่รู้จักก็เป็นการประชุมของ IAEA เกี่ยวกับนิวเคลียร์ ปรมาณูอะไรทำนองนี้ คุณไกด์เลยบอกว่า ทัวร์วันนี้จะสั้นกว่าปกติเล็กน้อย เพราะไม่สามารถพาชมห้องบางห้องได้ แต่ก็ถือว่าคุ้มค่ามากมาย รู้สึกว่าตัวเองวีไอพียังไงไม่รู้ ทั้งๆที่ใครเสียตังค์ 10 ฟรังซ์ก็เข้ามาได้ทั้งนั้นล่ะ แต่ชอบจริงๆ ดูมันเป็นสถานที่ที่เราไม่สามารถเข้ามาง่ายๆ แล้วก็ดูเหมือนถูกรายล้อมด้วยผู้คนระดับมันสมองขั้นเทพอยู่เต็มไปหมด หลายๆที่ในยูเอ็นเราก็ได้แต่มอง ไม่สามารถออกไปสัมผัสมันได้จริงๆเช่นสนามหญ้าและบริเวณด้านหน้าตึกๆหนึ่ง สวยมากๆ ด้านหน้าจะมีลูกโลกทำจากเหล็กหรืออะไรซักอย่าง ดูเหมือนสัญลักษณ์แห่งสันติภาพเลย ก่อนกลับ อย่าลืมซื้อหาโปสการ์ดรูปธงชาติไทยได้ที่ร้านขายของที่ระลึกหน้าจุดออกทัวร์ด้วยนะคะ ซื้อแสตมป์ไปด้วยแล้วส่งได้ที่นั่นเลย ได้ชื่อว่าส่งมาจากที่ทำการใหญ่องค์การสหประชาชาติ 1 ใน 2 แห่งของโลกเชียวน้า เท่จะตาย (อีกแห่งหนึ่งอยู่ที่นิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา)






ออกจากยูเอ็น เดินข้ามถนนไปฝั่งตรงกันข้ามก็จะเป็นพิพิธภัณฑ์กาชาด (International Red Cross Museum) ค่าเข้าชมคนละ 10 ฟรังซ์ แต่ถ้าแสดงบัตรที่ City Hostel ให้มาด้วยก็จะได้ลดครึ่งราคาเหลือคนละ 5 ฟรังซ์ ที่นี่จะแสดงประวัติความเป็นมาขององค์กรกาชาดตั้งแต่เริ่มแรกจนถึงปัจจุบัน มีอยู่ห้องหนึ่งเป็นห้องที่เก็บทะเบียนประวัติของนักโทษในสมัยสงครามโลกตั้งเป็นล้านๆใบเลย น่าหดหู่แต่ก็น่าทึ่งมากๆที่เขาเก็บรักษามันอย่างดี คล้ายๆกับทะเบียนหนังสือในหอสมุดแห่งชาติอะไรอย่างนั้น ที่นี่อาจดูไม่มีอะไรมากแต่ด้วยความที่เป็นคนที่ทำงานให้กับกาชาด ก็เลยแอบดีใจเล็กๆที่ได้ถ่ายรูปคู่กับรูปปั้นของคุณอังรี ดูนังต์ ผู้ให้กำเนิดกาชาดด้วย


ออกจาก Red Cross Museum ประมาณเที่ยง ทีนี้ก็จะเก็บตกพิพิธภัณฑ์หลายๆแห่งในเจนีวานี้ที่อ่านใน Lonely Planet มาแล้วว่าเข้าชมฟรีกัน ของฟรีใครล่ะจะไม่ชอบ เริ่มต้นด้วย Musee Ariana เดินย้อนลงมา อยู่ฝั่งเดียวกับยูเอ็น เป็นพิพิธภัณฑ์ครื่องแก้วเซรามิค ตัวพิพิธภัณฑ์ใหญ่โตสวยงามมาก คงเป็นที่อยู่ของคนสำคัญในสมัยก่อนแล้เอามาทำเป็นพิพิธภัณฑ์ จากนั้นเดินย้อนลงมาทางยูเอ็นที่ไม่ใช่ประตูที่มีจัดทัวร์นะ เป็นประตูยูเอ็นอันแรกที่เราเห็นหลังจากลงรถราง ขึ้นรถรางสายเดิมกลับไปยังสถานีรถไฟ หาข้าวกลางวันกินกัน มื้อนี้สิ้นคิด เลยได้กินแม็คโดนัลด์ พอพักได้ที่ก็กางแผนที่ต่อ เนื่องจากแผนของวันนี้ค่อนข้างฟรีสไตล์ อยากหยุดที่ไหนก็หยุด ดูตามแผนที่แล้วเดินดุ่ยๆไปเรื่อยๆ เลยได้ผ่านตลาดผลไม้ ตลาดดอกไม้ โบสถ์ต่างๆมากมาย ขึ้นรถรางไปหยุดที่บริเวณถนนสายสำคัญๆเช่น Rue de Rhone, Rue de Rive และ Grand Rue ระหว่างทาง ใกล้ museum ไหนก็แวะก่อน เราไปที่ Museum of Art & History กันก่อน ขอบอกว่าสุดท้ายเราไปถึงหน้า Clock museum อยากดูมาก แต่ว่ามันปิดป้ายว่า museum นี้ได้ย้ายไปอยู่รวมกับ Museum of Art & History ซะแล้ว แต่เอ!! ทำไมตอนที่อยู่ที่ Museum Art นี่ไม่ยักกะเห็นเลย จะย้อนกลับไปก็ไม่ทันแล้ว museum จะปิดอยู่แล้ว อด!! จริงๆแต่ละ museum ก็ไม่ค่อยมีอะไรสำหรับคนที่ไม่ได้รู้เรื่องประวัติศาสตร์หรือสนใจพวกวัตถุโบราณ (อย่างเรานั่นเอง) แต่ที่เข้าไปชมก็เพราะอย่างที่บอกว่ามันฟรี แล้วก็ได้ถือโอกาสเรียนรู้เส้นทางการขึ้นรถลงเรือภายในเจนีวาด้วย ใช้ให้คุ้มค่าตั๋วสวิสพาสซะหน่อย เพราะขึ้นขนส่งสาธารณะในเมืองเกือบทุกเมืองในสวิสฟรีตลอด นอกจากนั้นยังถือโอกาสได้สัมผัสบ้านเมืองของเขาในแง่มุมต่างๆอีกด้วย





สุดท้ายเย็นๆเรามาหยุดที่บริเวณรอบทะเลสาบเจนีวา เดินเลียบชายฝั่งไปเรื่อยๆจนถึงน้ำพุที่สูงที่สุดในโลกที่ตั้งอยู่กลางทะเลสาบ ในทะเลสาบมีคุณเป็ดคุณหงส์ว่ายน้ำอยู่มากมาย มีครอบครัวหลายๆครอบครัวจูงลูกจูงหลานมาให้อาหารคุณเป็ดคุณหงส์ด้วย มื้อเย็นวันนี้ลงเอยที่ Coop เพื่อนยาก อยู่ฝั่งตรงกันข้ามบนถนน Rue de Lausanne ก่อนถึง hostel ประมาณ 100 เมตรเห็นจะได้ ต้องมองตามแผนที่ดีดีเลย เพราะถ้ามัวมองแต่ป้ายร้านด้านบนที่มันยื่นออกมาจากหน้าร้าน มันจะมองไม่เห็น เพราะว่ามันไม่มีนั่นเอง ต้องมองหน้าร้านทีละร้านไปเรื่อยๆ จนเห็นป้ายร้านที่ติดอยู่หน้าร้านจริงๆ ที่อยู่ระดับเดียวกับสายตา




 

Create Date : 09 ธันวาคม 2551   
Last Update : 13 ธันวาคม 2551 12:55:22 น.   
Counter : 728 Pageviews.  


9 วันกับ Swiss Adventure (4)




วันที่ 4

ออกจากที่พักที่ Valley hostel และออกจาก Lauterbrunnen เพื่อเดินทางมุ่งสู่จุดหมายปลายทางที่เจนีวา เมืองท่าทางตอนใต้ติดกับฝรั่งเศส เพราะฉะนั้นเราจะได้ข้ามเส้นแบ่งแยกระหว่างอิทธิพลวัฒนธรรมแบบเยอรมันสู่ดินแดนที่ได้รับอิทธิพลวัฒนธรรมแบบฝรั่งเศสกันค่ะ ก่อนอื่นต้องจัดการส่งเจ้ากระเป๋าแดงใบเล็กแบบ fast baggage ไปที่เจนีวาก่อน เพราะระหว่างทางในวันนี้เราจะเที่ยวแบบมาราธอนกันเลยทีเดียว บริเวณติดต่อเรื่องส่งกระเป๋าที่ Lauterbrunnen เนี่ยหาง่ายสุดๆ ก็เพราะว่ามันอยู่ในเค้าท์เตอร์ซึ่งมีอยู่เค้าท์เตอร์เดียวในสถานีรถไฟนั่นเอง ออกจาก Lauterbrunnen ตอน 8.33 น. ไปถึง Interlaken Ost 8.54 น. รอรถไฟเพื่อเดินทางไปยังเส้นทางที่ได้ชื่อว่าเป็นเส้นทางรถไฟที่สวยที่สุดเส้นทางหนึ่งในสวิตเซอร์แลนด์ นั่นก็คือเส้นทางสาย GoldenPass Line โดยเส้นทางการเดินรถไฟนี้จะเริ่มต้นจาก Interlaken Ost เปลี่ยนขบวนที่ Zweisimmen (สไวซิมเมน) ไปยัง Montreux (มงเทรอซ์) ใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมง แล้วก็สามารถต่อรถไฟไปยังโลซานน์และเจนีวาได้ หรือจะนั่งจากมงเทรอซ์มาอินเทอลาเก้นก็ได้และก็ต่อรถไฟไปลงที่เบิร์น แต่เส้นทางสายโกลเด้นพาสจริงๆแล้วจะเริ่มต้นที่สไวซิมเมนหรือมงเทรอซ์ เพราะ 2 ที่นี้จะเป็นที่ที่เราจะได้นั่งรถไฟที่สร้างขึ้นสำหรับชมวิวโดยเฉพาะเรียกว่า Panoramic train คือหน้าต่างรถไฟทั้งซ้ายและขวาจะเป็นกระจกบานกว้างมาก เลยขึ้นไปจนเกือบสุดเพดานรถไฟเลย จะทำให้นักท่องเที่ยวเห็นทัศนียภาพ 2 ข้างทางได้อย่างชัดเจน ไม่ต้องมีขอบหน้าต่างมาเกะกะลูกตา การจะนั่งรถไฟ GoldenPass Line นี่ก็ต้องจับจองที่นั่งล่วงหน้ากันมาก่อนเหมือนกัน ซื้อหามาจากกรุงเทพก็ได้ สะดวกดี ไปที่ดีทแฮล์มทราเวลได้เลย เสียค่าจองประมาณ 20 กว่ายูโร แนะนำว่าให้จองที่นั่งด้านขวาจะได้กำไรกว่าด้านซ้ายอยู่พอสมควร (แต่เราก็ได้นั่งด้านซ้าย >_<) ตอนขึ้นไปหาที่นั่งนี่แอบมีงงๆเล็กน้อย เพราะเบอร์เลขที่นั่งมันจัดแปลกๆ แล้วก็ดันมีใครก็ไม่รู้ หน้าตาเหมือนเจ๊เดมี มัวร์ม้าก มาแอบนั่งที่เราหน้าตาเฉย เราก็เลยไม่แน่ใจว่านี่มันใช่ที่นั่งเราแน่มั้ย โชคดีที่สุดที่มีคุณยายชาวสวิสผู้ใจดีคนนึงแกพูดภาษาอังกฤษพอได้ แกเห็นว่าอิหน้าบ้านนอกนี้มันดูน่าสงสารเหลือเกิน คุณยายก็เลยถามเราว่าเรานั่งเบอร์อะไร ถามคุณเดมี่ มัวร์ว่าคุณได้จองที่นั่งไว้หรือเปล่า พอคุณเดมี่มัวร์บอกว่าเปล่า คุณยายก็เลยไล่ (จริงๆคือเชิญนะ สุภาพกว่ากันเยอะ) คุณเดมี่ มัวร์ให้ไปหาที่นั่งที่อื่น เราก็เลยได้นั่งถูกที่

ตู้ขายแสตมป์และตู้จดหมาย


ระหว่าง 2 ข้างทางของ GoldenPass Line นี้ก็สวยงามสมชื่อจริงๆ โดยเฉพาะวิวฝั่งขวา หุหุ งดงามเหมือนภาพวาดจริงๆ รถไฟวิ่งอย่างช้าๆแต่เราก็ไม่สามารถจับภาพได้ด้วยกล้องถ่ายรูปเท่าไหร่นัก เพราะไหนมือจะต้องนิ่งแล้ว ภาพที่ได้มันมักจะเกิดเงาสะท้อนกับกระจกที่เป็นหน้าต่างรถไฟอยู่ตลอด เราก็เลยพยายามเก็บมันใส่ความทรงจำแทน การเดินทางเที่ยวนี้ของเราเรียกว่าวีไอพีโดยแท้ เพราะระหว่างที่คุณยายนั่งมาด้วย คุณยายแกก็จะอธิบายมั่ง ชี้โน่นชี้นี่ให้ดูมั่งตลอดเวลา ดูแกภาคภูมิใจกับบ้านเกิดของแกมากและภูมิใจที่ได้เป็นมัคคุเทศก์ให้พวกเราด้วย น่ารักมากค่ะคุณยาย ระหว่างที่รถไฟเริ่มเข้าสู่มงเทรอซ์หรือเขตสวิส-ฝรั่งเศส เราก็จะเริ่มเห็นความแตกต่างระหว่างวัฒนธรรมแบบสวิส-เยอรมันกับสวิส-ฝรั่งเศสได้อย่างชัดเจนนั่นก็คือเขตสวิส-ฝรั่งเศส ตลอดสองข้างทางจะปลูกไร่องุ่นไว้มากมายจริงๆ บ้านเรือนก็จะเริ่มดูรกๆ อีกนัยหนึ่งคือว่าอาจจะเรียกว่าดูติสท์ๆก็ได้ แต่มันจะไม่ค่อยเป็นระเบียบ ไม่ค่อยเป็นไม้บรรทัดตรงแหนวเหมือนกับสวิส-เยอรมันอีกแล้ว (แต่ที่แตกต่างอย่างเห็นได้ชัดและดีกว่ามากๆก็คือผู้หญิงสวิส-ฝรั่งเศสนี่ สวย เอ็กซ์ เซะซี่ชะมัด ขนาดอากาศหนาวซะขนาดนี้ คุณเธอยังสามารถนุ่งกระโปรงสั้นจุ๊ด โชว์เรียวขากันได้อย่างสง่างาม)

รถไฟเทียบชานชาลาที่มงเทรอซ์เวลา 12.13 น. หาทางออกที่มีรูปรถบัสให้ได้ มันจะต้องเดินลงบันไดไปสู่ถนนใหญ่ ข้ามถนน หาป้ายรถเมล์ที่ใกล้ที่สุด รอรถเมล์เบอร์ 1 หรือเบอร์ไหนก็ได้ที่ผ่านไปยัง Chateau de Chillon ที่ป้ายรถเมล์จะมีตารางเดินรถติดไว้ ให้อ่านเวลาที่รถจะผ่านแล้วก็รอๆๆ กระโดดขึ้นรถได้แล้วก็ไปกันเลย ใช้เวลาเดินทางไป Chateau de Chillon ปราสาทเก่าแก่สัญลักษณ์ของเมืองมงเทรอซ์นี้ประมาณไม่ถึง 20 นาที ให้ลงรถที่สถานี Chateau de Chillon ได้เลย ค่าโดยสารก็ฟรีเพราะมีบัตรเบ่งสวิสพาส Chateau de Chillon จะอยู่ฝั่งเดียวกับป้ายรถเมล์ ค่าเข้าชมสำหรับผู้ใหญ่คนละ 12 ฟรังซ์ แพงเอาการแต่ขอบอกว่าคุ้มค่าอยู่ ปราสาท Chillon นี้อยู่ติดกับทะเลสาปเจนีวาเลย วันนั้นหมอกลงหนามากทำให้มองไม่เห็นขอบทะเลสาปอีกข้างหนึ่งเลย Chateau de Chillon นี้เป็นปราสาทของเจ้าผู้ครองนคร ซึ่งในปราสาทก็จะแสดงห้องต่างๆตั้งแต่ห้องนอน ห้องรับแขก ห้องรับประทานอาหาร ห้องสังสรรค์ ห้องเรียนหนังสือ ห้องส้วม (อันนี้แอบฮา เพราะส้วมก็คือไม้เจาะรูให้นั่งคร่อม พออึ๊ปุ๊บมันก็ลงทะเลสาปปั๊บเลย เหมือนห้องน้ำในรถไฟยังไงยังงั้น) รวมไปถึงห้องเก็บอาวุธ ยุทโธปกรณ์ ห้องสังเกตการณ์ ห้องฝึกทหาร ห้องเก็บเสบียงแล้วก็คุก แค่ปราสาทเดียวก็สามารถเป็นได้ทุกอย่าง ถ้าคนที่สนใจประวัติศาสตร์จะสนุกกับที่นี่มาก แต่ต้องอาศัยจินตนาการเข้าไว้มากๆ เพราะตัวห้องจริงๆมันจะเหมือนห้องเปล่าๆ อาจจะมีเครื่องประดับตกแต่งห้องที่เป็นของจริงตั้งแต่สมัยก่อนบ้าง หรือเป็นของใหม่ที่เขาเอามาเติมแต่งให้สมจริงบ้าง ขอแนะนำว่าถ้าอยากเดินให้คุ้มค่าและครอบคลุมบริเวณทั้งหมดของปราสาท ต้องเผื่อเวลาให้มากๆ เอาซัก 2 ชั่วโมงครึ่งไปเลย เพราะว่าเราพลาดเรื่องการแพลนนิ่งอีกแล้ว ด้วยความที่ไม่รู้ว่าปราสาทมันมีห้องมากมายถึงเกือบ 50 ห้อง ก็นึกว่าเหมือนปราสาทเด็กเล่นในดรีมเวิลด์ เลยเผื่อเวลาให้ที่นี่น้อยไปมาก นี่พยายามเดินกันขาขวิดเลยทีเดียวกว่าจะครบทุกห้อง











ยังไม่ได้เดินชื่นชมบริเวณรอบๆปราสาทซักเท่าไหร่ก็ต้องรีบจับรถเมล์สายเดิมที่ฝั่งตรงกันข้ามเพื่อไปยังเมือง Vevey (เวเว่ย์) กันต่อ ใช้เวลาเดินทางประมาณเกือบๆครึ่งชั่วโมงได้ ให้ลงที่สถานี La Tour de Peilz เดินข้ามถนน มองหาป้าย Suisse du Jeu เดินลงเนินนิดนึงก็ถึงแล้วพิพิธภัณฑ์เกมของสวิตเซอร์แลนด์ (Games Museum) ราคาค่าเข้าชมคนละ 8 ฟรังซ์ เจ้าหน้าที่ขายตั๋วพูดอังกฤษไม่ได้อ่ะ อันนี้คืออีกหนึ่งข้อแตกต่างของสวิส-เยอรมันและสวิส-ฝรั่งเศส คือคนเยอรมันจะพูดอังกฤษเก่งกว่ามาก ที่ Game Museum นี่จะเป็นพิพิธภัณฑ์ที่รวบรวมเกมสารพัดชนิดตั้งแต่เกมแรกในโลก รู้สึกจะคือเกมบอร์ด (หน้าตาคล้ายๆสเก็ตบอร์ด) จนถึงเกมคอมพิวเตอร์หรือเกม Wii ในยุคปัจจุบัน เสียดายไม่มีเกมหมากเก็บของประเทศไทยเราเนอะ ออกจากครีเอท พิพิธภัณฑ์นี้เป็นพิพิธภัณฑ์ที่อยู่ในเมืองเล็กๆที่แทบไม่มีใครรู้จักอย่างเวเว่ย์ (แต่มันก็มีร้านอาหารไทยนะ แอบเห็นตอนนั่งรถเมล์ผ่าน) แต่เขาก็รวบรวมข้อมูล รวบรวมประวัติศาสตร์ของเกมชนิดต่างๆในโลกนี้อย่างน่าสนใจมากมาย นอกจากนี้ยังมีมุมหนึ่งของพิพิธภัณฑ์เป็นบริเวณที่ให้ครอบครัวมานั่งเล่นเกมต่างๆด้วยกัน ตอนที่ไปก็จะเห็นคุณตากับคุณหลานนั่งเล่นเกมต่อโน่นต่อนี่ด้วยกัน น่ารักอบอุ่น เสริมสร้างสาระในชีวิตมากๆ ขอบคุณคุณ Mactopia มากๆสำหรับข้อมูลสถานที่เที่ยวที่น่าสนใจมากๆที่นี้ค่ะ
เริ่มออกสต๊าร์ทไปกับ Game Museum

เกมส์ที่เก่าแก่ที่สุดในโลก

เวลาในวันนี้เหลือน้อยเต็มที ทำให้เราไม่สามารถไปที่พิพิธภัณฑ์อาหารของเนสท์เล่ (Food Museum) ได้ตามแผนที่วางไว้ เพราะว่ามัวแต่หลงเพลิดเพลินอยู่กับปราสาท Chillon อยู่นาน ออกจาก Game Museum เลยต้องจับรถเมล์สายเดิมอีกแล้ว อย่าลืมข้ามถนนกลับไปยังฝั่งที่เราลงรถเมล์มาด้วยนะคะ นั่งรถต่อไปยังสถานีรถไฟเวเว่ย์ ได้ขึ้นรถไฟเที่ยว 15.56 น. ไปถึง Lausanne (โลซานน์) ตอน 16.10 น. จากนั้นก็ปั่นเที่ยวโลซานน์กันต่อ ความจริงอยากไปดูพิพิธภัณฑ์โอลิมปิกที่โลซานน์มาก แต่พอดูระยะทางเทียบกับเวลาที่เหลืออยู่ ก็เลยต้องตัดใจไม่ได้ไป เท่าที่เวลาเหลืออยู่เราก็เลยได้แต่เดินไปที่ Cathedral de Notre Dame และเขตเมืองเก่า ดูจากแผนที่ก็ไม่น่าจะเหนื่อย แต่หารู้ไม่ว่าการเดินเข้าเขตเมืองเก่าเนี่ยก็คือการเดินขึ้นเขาดีดีนี่เอง จากสถานีรถไฟโลซานน์ ให้หาทางออกที่พอหันหน้าเข้าสถานีจะเป็นรูปห่วงห้าห่วง สัญลักษณ์กีฬาโอลิมปิก จากนั้นเดินหา Place de la Gare เดินขึ้นเนินไปเรื่อยๆ จะเห็นผู้คนมากมายทั้งเด็ก ทั้งแก่และวัยทำงานใช้ถนนเส้นทางนี้ในการดำเนินชีวิตประจำวัน ทั้งขาขึ้นและขาลง นับถือในความอึดมากๆ เพราะมันคือการขึ้นเขาจริงๆ ระยะทางรวมๆเป็นกิโลๆเลย ดูตามแผนที่เมืองไปเรื่อยๆก็จะเจอ Cathedral de Notre Dame ใช้เวลาร่วม 40 นาที ข้างในโบสถ์สวยงามดี คล้ายๆโบสถ์ Notre Dame ในปารีสเลย (ขนาดชื่อยังเหมือนกัน) หรือว่ามันก็คล้ายกันไปหมด ชื่นชมความงามกันได้สักพักก็ต้องเดินกลับกันแล้ว ระหว่างทางให้มองหาร้านค้าที่มีนาฬิกาหน้าร้านที่เป็นตุ๊กตารูปทหารหรือคนใส่ชุดต่างๆหลายๆตัวเดินพาเหรดกัน น่ารักดี
สองข้างทางเต็มไปด้วยไร่องุ่น

เดินขึ้นเนินในเขตเมืองเก่าของโลซานน์






ออกจากโลซานน์ด้วยรถไฟเที่ยว 17.45 น. ไปยังเจนีวา จุดหมายปลายทางของวันนี้ ต้องไปให้ถึงเจนีวาก่อนที่บริการรับกระเป๋าจะปิดตอน 1 ทุ่มตรง พอถึงเจนีวาให้มองหาสัญลักษณ์รูปกระเป๋าและกุญแจ เดินลงบันไดเลื่อนไปตามทาง จากนั้นเลี้ยวซ้ายก็ถึง เอาใบรับกระเป๋าให้เจ้าหน้าที่ แค่นี้ก็ได้ทั้งกระเป๋าใบใหญ่ที่จากกันมาตั้งแต่วันแรกที่มาถึงสวิสกับกระเป๋าแดงใบเล็กที่เพิ่งส่งตรงมาจาก Lauterbrunnen เมื่อเช้า ออกจากสถานีรถไฟเพื่อตรงไปที่พักของคืนนี้ที่ City Hostel Geneva โดยพอเดินออกจากสถานีจะเห็นป้ายรถเมล์ รถรางมากมาย หันซ้าย เดินตรงไปจะเห็นถนน Rue de Lausanne เดินตรงไปเรื่อยๆประมาณ 600 เมตร จนมองเห็นป้ายถนน Rue du Prieure ให้เลี้ยวซ้าย จะมองเห็นป้าย hostel อยู่ทางขวามือเลยเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยว City Hostel Geneva นี้เป็น hostel ที่ครบเครื่องมากที่สุดเลย มีบริการอินเตอร์เน็ต มีลิฟต์ด้วย เข้าไปเช็คอินข้างใน เจ้าหน้าที่จะให้ปลอกหมอนและผ้าห่มมากด้วย พอจะเช็คเอ๊าท์ก็ให้ทิ้งปลอกหมอนพวกนี้ไว้ที่ตะกร้าผ้าด้านหน้า reception ถ้าเกิดต้องเช็คเอ๊าท์ก่อน 7 โมงเช้าซึ่งเป็นเวลาที่ reception จะเปิด ก็ให้เอากุญแจห้องหย่อนไว้ที่ key box ที่ประตูหน้าห้อง reception ได้ (ที่พักทุกที่ก็จะมีระเบียบคล้ายๆยังงี้เหมือนกันหมด) ห้องที่พักในวันนี้เป็น Double room เตียง 2 ชั้น อยู่ชั้น 2 มีอ่างล้างหน้า ตู้เสื้อผ้าและโต๊ีะเขียนหนังสือในห้อง ห้องเล็กๆแต่สะอาดสะอ้านได้มาตรฐานสวิตเซอร์แลนด์ ห้องน้ำรวม (อีกแล้ว) ห้องน้ำเป็นห้องน้ำรวม multisex แ่ต่แต่ละห้องจะมีป้ายบอกว่าเป็นห้องอาบน้ำหรือห้องส้วมของผู้หญิงหรือผู้ชาย มีห้องอาบน้ำ 2-3 ห้อง ห้องส้วมอีก 2-3 ห้อง บริเวณล้างหน้ามีไดร์เป่าผมไว้บริการด้วย ส่วนห้องครัวเล็กมาก แต่ก็มีอุปกรณ์เครื่องครัวไว้บริการครบถ้วนดี มีล็อคเกอร์ในห้องครัวสำหรับแต่ละห้องแยกไว้ด้วย ตกราคาห้องคืนละ 72 ฟรังซ์ เย็นนั้นเราซื้ออาหารจากร้านในสถานีรถไฟ แอบหงุดหงิดตาคนขายเล็กน้อย รู้สึกว่าไม่ใช่คนสวิสนะ ฟังพูดอังกฤษก็ไม่ค่อยไหว ก็เลยจะสื่อสารกันลำบากนิดนึง แต่ที่ไม่ชอบก็คือมันไม่ได้ต้อนรับเราเท่าไหร่ ทำหน้าตูดๆใส่ตลอดเวลาตักอาหาร เราจะเอาอันโน้นใส่คู่กับอันนี้ก็ไม่ได้ (ทีคนก่อนหน้าเรามันยังทำได้อ่า) แต่สุดท้ายก็ได้มื้อเย็นที่กินเหลือเก็บไปจนถึงมื้อเช้าวันรุ่งขึ้นในราคา 34.30 ฟรังซ์ (ไม่อยากจะบอกเลย ทำไมแพงยังเงี้ย อาย!!) เท่าที่จำได้และรู้ว่ามันคืออะไรก็มีข้าวแขก ซึ่งแข็งเป๊กตามสไตล์ ปลาหมึกวงชุบแป้งทอด อะไรไม่รู้หน้าตาและรสชาติคล้ายดอกไม้จีน แล้วก็ไก่ทอดครึ่งตัว คืนนี้ต้องเตรียมตัวจัดกระเป๋าใหม่สำหรับการเดินทางอีก 4 วันที่เหลือหลังจากออกจากเจนีวา ถ่ายของที่ไม่ใช้จากกระเป๋าแดงไปกระเป๋าใหญ่ ส่วนของที่จะใช้ต่อก็เอามาใส่กระเป๋าแดงซะ




 

Create Date : 08 ธันวาคม 2551   
Last Update : 11 พฤษภาคม 2553 22:12:27 น.   
Counter : 912 Pageviews.  


1  2  

katiekat
 
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 8 คน [?]




ต้องการสอบถามข้อมูลการเดินทางทริปต่างๆที่แคทไปแล้ว ให้ติดต่อผ่านอีเมล์ chayadak@hotmail.com หรือ chayadak@yahoo.com นะคะ เพราะว่าหลายคนทิ้งไว้ในกล่องข้อความของ bloggang แต่แคทไม่ค่อยได้เปิดเลย ทำให้พอมาเปิดอีกที เวลาผ่านไปเกือบปี (แป่ววว!! เค้าจะรอหล่อนตอบมั้ยเนี่ย เค้าไม่โบยบินไปถึงไหนต่อไหนแล้วรึ)... ยินดีและเต็มใจตอบทุกคำถามที่พอจะช่วยได้ค่ะ
New Comments
[Add katiekat's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com