KatieKat... Let's share your thought
 
 

13eyond your imagination in Korea (6)

วันที่ 6 ปิดท้ายการเดินทางด้วยคอฟฟี่ปริ๊นส์

เผลอแป๊บเดียวเราก็ต้องเตรียมตัวแพ็คของกลับกรุงเทพฯซะแล้ว หลังจากเช็คเอ้าท์ เราก็ขอฝากสัมภาระไว้ที่บีวอนก่อน แล้วก็ขึ้นรถไฟใต้ดินสายที่ 5 ตรงไปยังสถานียออิโด (Yeouido) ใช้เวลาเดินทางประมาณ 15 นาที วันนี้อากาศที่โซลอุ่นขึ้นมาก เดินเล่นได้อย่างสบายใจสบายกายดีจริงๆ โปรแกรมของเราในวันสุดท้ายนี้เริ่มต้นจากการไปเยือนรัฐสภาเกาหลีที่เราได้เห็นแว้บๆแล้วจากการล่องเรือชมแม่น้ำฮันในเย็นวันแรกที่มาถึง จากการที่ได้อ่านคู่มือนำเที่ยวเกาหลีที่ได้มาจากอสท.เกาหลีที่เมืองไทยก็ได้อ่านเจอว่าที่รัฐสภาเกาหลีเค้ามีบริการพาทัวร์ชมภายในรัฐสภาด้วย แต่เราต้องอีเมลล์ไปนัดหมายล่วงหน้าก่อนอย่างน้อย 3 วัน ที่ //korea.na.go.kr/com/guide_01.jsp เราก็เลยคิดว่าเป็นโอกาสอันดีมากๆที่จะได้เข้าไปชมรัฐสภาเกาหลี รัฐสภาที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในเอเชีย ว่าแล้วก็อีเมลล์ไปนัดหมายวันตั้งแต่ตอนอยู่เมืองไทยแล้ว มีจนท.จากรัฐสภาตอบกลับมาชื่อคุณคิมบยองกึน คุณคิมนี่น่ารักมากๆเลย แต่แกตอบมาประมาณว่าจริงๆแล้วที่รัฐสภาเนี่ยก็ยังไม่ได้จัดการกับระบบการพาทัวร์นี้ซักเท่าไหร่ จึงยังไม่มีแบบฟอร์มนัดหมายการอย่างเป็นกิจจะลักษณะ (อ้าว! ก็อ่านในเว็บมันบอกว่าให้กรอกแบบฟอร์มนี่นา แถมยังต้องนัดหมายโน่นนี่ให้เป็นเรื่องเป็นราวอีก งง?!?) ถ้ายังไงมาถึงแล้วให้เรียกหาแกได้เลย แกชอบฝึกภาษาอังกฤษ เดี๋ยวแกจะออกมารับ แกยังใจดีให้เบอร์มือถืออีกด้วย

หลังจากออกจากสถานีรถไฟใต้ดินยออิโด ให้เดินออกมาที่ทางออกที่ 2 หรือ 3 แล้วเงยหน้าขึ้นมาก็จะเห็นโดมครึ่งวงกลมของรัฐสภาอยู่ไกลลิบๆ ก็ให้เดินตรงไปเรื่อยๆ ขณะที่เดินก็มองเห็นว่ารถไฟฟ้าสายที่ 10 ที่กำลังจะสร้างตรงไปสนามบินอินชอนจะผ่านหน้ารัฐสภานี้ด้วย เพราะเห็นทางขึ้นรถไฟฟ้าแล้วเขียนว่าเป็นสายที่ 10 อยู่ แสดงว่าถ้ามาคราวหน้าคงจะไม่ต้องเดินไกลอย่างนี้อีกแล้ว ระหว่างทางเดินไปรัฐสภาก็จะผ่านตึกสำนักงานมากมาย ทั้ง MBC และ KBS แล้วก็ผ่านสวนสาธารณะยออิโด ข้ามถนนไปก็จะเข้าสู่ทางเข้าด้านหน้าของรัฐสภาพอดี รวมระยะเวลาเดินร่วมครึ่งชั่วโมงได้ เนื่องจากทัวร์รัฐสภานี้จะต้องเข้าทางประตูด้านหลังของรัฐสภา เราจึงต้องเดินตรงต่อไปอีกแล้วอ้อมเข้าทางประตูหลัง พอเข้าไปก็จะมีการตรวจตรารักษาความปลอดภัยเหมือนสถานที่สำคัญทั่วๆไป จากนั้นเราก็ถามจนท.ที่เค้าท์เตอร์เป็นภาษาอังกฤษ บอกวัตถุประสงค์ที่เรามา แป่ว! จนท.ไม่รู้เรื่อง ฟังไม่เข้าใจ ตอนแรกก็ว่าจะถามหาคุณคิมบยองกึนดีมั้ย แต่ก็กลัวจะคุยกันไม่รู้เรื่องอีก ก็เลยขอให้เค้าหาจนท.คนอื่นที่พอจะสื่อสารกันได้ออกมาช่วยหน่อย เค้าก็เลยต่อสายโทรศัพท์ให้เราคุยกับจนท.อีกคนนึง จนท.คนนั้นถามเราว่าเรามาจากที่ไหน มากันกี่คน โอเคๆ งั้นรอสักครู่นะ เดี๋ยวจะออกมารับ... เย้!! รอดตาย

สักครู่ก็มีจนท.ออกมารับเราชื่อคุณชินมยองดง (สะกดแบบเดียวกับเมียงดงที่เป็นสถานที่ช้อปปิ้งนั่นล่ะ) อ่านจากนามบัตรแล้วคุณชินมีตำแหน่งเป็น Protocol Officer & Interpreter หมายความว่าเป็น จนท.วิเทศสัมพันธ์และเป็นล่ามประจำรัฐสภางั้นเหรอ อืม! แต่คุณชินพูดภาษาอังกฤษได้คล่องมากทีเดียว ถึงแม้สำเนียงจะยังฟังยากอยู่แต่ก็สามารถใช้ศัพท์ได้หลากหลายมาก พูดได้ไม่ค่อยติดขัดเลย คุณชินพาเราไปฝากกระเป๋าที่ล็อกเกอร์ ให้เรากรอกข้อมูลในแบบฟอร์ม ถามชื่อ นามสกุล ที่อยู่ในเมืองไทย อีเมลล์ เบอร์ติดต่อทั้งเบอร์ที่ทำงานและเบอร์มือถือ เหมือนกะว่าจะไปตามหาเราที่เมืองไทยให้เจออย่างงั้นล่ะ เสร็จแล้วคุณชินก็เริ่มพาเราเดินทัวร์ คุณชินบอกว่าจริงๆแล้ววันนี้เป็นวันที่มีประชุมสภา โดยปกติแล้วถ้าวันที่มีประชุมก็จะไม่มีการพาทัวร์ แต่สำหรับเรานี่เป็นกรณีพิเศษเลยน๊า (จริงอ๊ะ?) เค้าจะพาเราเข้าไปดูห้องประชุมสภาซัก 5 นาทีก่อนที่การประชุมจริงๆจะเริ่ม ระหว่างที่คุณพาเราขึ้นไปห้องประชุมสภาที่ชั้น 3 คุณชินก็เล่าว่าเค้าไปเมืองไทยมาเมื่อปีที่แล้ว ไปประชุมที่เชียงใหม่ แต่ระหว่างที่ไปก็เกิดเหตุการณ์ยึดสนามบิน แกก็เลยกลับเกาหลีไม่ได้ โอ้ว!! แซ้ดแทนจริงๆ ซอรี่ ซอรี่นะคะคุณชิน คุณชินและคณะก็เลยต้องอยู่ที่เชียงใหม่ต่ออีก 2-3 คืน แต่ก็ได้ไปเที่ยวดูกะเหรี่ยงคอยาวแทน


พอถึงห้องประชุมสภา คุณชินก็ใช้ความเก๋าพูดอะไรไม่รู้กับจนท.รักษาความปลอดภัยก่อนเข้าห้องว่า ประมาณว่าพวกเราเนี่ยมากับคุณชิน จะมาขอชมสถานที่หน่อยนะ เดี๋ยวขอให้เราเข้าไปดูบรรยากาศข้างในซัก 5-10 นาทีนะ พอการประชุมเริ่มจริงๆแล้วเดี๋ยวค่อยออกมา ไม่ต้องออกบัตรติดหน้าอกให้พวกเรานะ มากับคุณชิน เดี๋ยวคุณชินรับผิดชอบเอง... (อ้าว!! ไหนว่าฟังไม่ออกว่าไงอ่ะเจ๊ เล่าซะยาวเชียว คือจริงๆอันนี้คุณชินแปลให้ฟังอ่ะค่ะ) ภายในห้องประชุมสภาเป็นห้องครึ่งวงกลม เก้าอี้ยกระดับเป็นขั้นๆเหมือนห้องประชุมหรือโรงหนังทั่วไป ค่อนข้างเก่าแล้วแต่ก็ดูเหมือนว่าจะมีการบำรุงรักษาอย่างดี คุณชินชี้ให้ดูประธานในวันนี้คือท่านประธานสภา แล้วก็ยังมีท่านายกรัฐมนตรีเข้าร่วมประชุมด้วย พอท่านประธานสภาจะเริ่มการประชุม ท่านก็จะเอาฆ้อนตี 1 ครั้งแบบเดียวกับที่ผู้พิพากษาทุบฆ้อนในศาลแบบนั้นเลย พอเริ่มการประชุมจริงคุณชินก็พาเราออกมา แล้วก็พาเดินชมห้องโถงด้านล่าง คุณชินเล่าว่าประเทศสาธารณรัฐเกาหลีมีการปกครองแบบประชาธิปไตยโดยมีประธานาธิบดีที่มาจากการเลือกตั้งและมีนายกรัฐมนตรีที่มาจากการแต่งตั้งจากประธานาธิบดี มีส.ส.ที่มาจากการเลือกตั้งจำนวน 299 คน ดำรงตำแหน่งวาระละ 4 ปี โดยที่ส.ส. 245 คนนั้นเป็นส.ส.จากระบบแบ่งเขตเลือกตั้ง ในขณะที่ส.ส.อีก 54 คนที่เหลือเป็นส.ส.ที่มาจากระบบบัญชีรายชื่อตามสัดส่วนของพรรคการเมืองแต่ละพรรค

สุดท้ายคุณชินก็พาเราไปดูห้องพระภายในรัฐสภา บอกว่าที่นี่นอกจากจะมีห้องพระของศาสนาพุทธแล้วก็จะมีห้องสวดมนต์ของทั้งคริสเตียน คาทอลิกด้วย แต่ไม่พูดถึงห้องละหมาดแฮะ สงสัยในเกาหลีคนนับถือศาสนาอิสลามจะน้อยมาก คุณชินยังบอกอีกว่าในเกาหลีผู้คนจะนับถือศาสนาพุทธมากที่สุด รองลงมาก็น่าจะเป็นโปรแตสแตนท์แล้วก็คาทอลิก (แต่ในความรู้สึกเราเราว่าคาทอลิกหรือโปรแตสแตนท์น่าจะเยอะกว่านะ หรือเราเห็นแต่เฉพาะพวกดาราเกาหลี ซึ่งเป็นเด็กรุ่นใหม่ๆนับถือแต่ศาสนาคริสต์ก็ได้ ความจริงอาจเป็นอย่างที่คุณชินว่า)

ทัวร์ภายในรัฐสภานี้ใช้เวลาประมาณ 30 นาทีตามที่ในเว็บไซด์บอกเลย คุณชินออกมาส่งเราพร้อมกับแนะนำสถานที่เที่ยวรอบๆรัฐสภานั่นก็คือถนนยุนจุงโน (Yunjungno) ที่มีจะต้นซากุระขึ้นเรียงรายกันเต็มไปหมด แต่น่าเสียดายที่ต้นนี้ที่โซลซากุระยังไม่บานเท่าไหร่ น่าจะอีกประมาณ 2-3 วันหลังเรากลับ ดอกซากุระคงจะบานเต็มที่ เพราะที่ถนนนี้จะมีการจัดงานเทศกาลดอกซากุระประจำปีด้วย โดยปีนี้เริ่มในวันที่ 9 เมษายน ก่อนจากกันคุณชินยังบอกเป็นนัยๆอีกว่าถ้าแกมีโอกาสได้ไปเมืองไทยอีกแกจะโทรติดต่อเราให้เป็นไกด์พาเที่ยวบ้าง (นั่นไงล่ะ!! ว่าแล้วว่าทำไมตอนแรกคุณชินถึงได้ขอที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์ แล้วถามย้ำแล้วย้ำอีกนักหนา จะเอาไว้ติดต่อเราให้เราใช้หนี้ที่แกมาเป็นไกด์ให้เราในวันนี้นี่เอง)

เราเดินออกจากด้านหลังรัฐสภาเพื่ออกมาที่ถนนยุนจุงโน แล้วก็เดินย้อนกลับมาเข้าสู่ภายในเขตรัฐสภาอีกครั้งเพื่อถ่ายรูปเก็บไว้เป็นที่ระลึก จากนั้นก็เดินๆๆๆ เหนื่อยอีกแล้วกลับไปที่สถานีรถไฟยออิโด ขึ้นรถไฟฟ้าสายที่ 5 ไปลงที่สถานียองดึงโพกูออฟฟิศ (Yeongdeungpo-gu office) จากนั้นเปลี่ยนเป็นรถไฟสายที่ 2 นั่งไปลงสถานีมหาวิทยาลัยฮงอิก (Hongik University) หรือคนทั่วไปจะเรียกย่านนี้ว่าย่านฮงแด ใช้เวลารวมประมาณ 25 นาที พอถึงสถานีฮงอิกให้ออกมาที่ทางออกที่ 4 ณ จุดนี้เราจะออกตามหาร้านกาแฟคอฟฟี่ปริ๊นซ์ สถานที่ถ่ายทำซีรีส์สุดฮอตเรื่องนึงทั้งในเกาหลีและในประเทศไทยนั่นก็คือ The 1st Shop of Coffee Prince หรือรักวุ่นวายของเจ้าชายกาแฟ (เอ่อ! ยังขำกับชื่อภาษาไทยไม่หาย สรุปว่าถ้าเรื่องไหนที่ยุนอึนเฮเล่นมันจะต้องมีชื่อภาษาไทยว่า “วุ่นวาย” ทุกเรื่องใช่มั้ยเนี่ย เหมือนเฉินหลงที่ต้องมีคำว่า “ฟัด” หรืออาร์โนลด์ที่ต้องมีคำว่า “คนเหล็ก”) สำหรับวิธีการไปร้านกาแฟคอฟฟี่ปริ๊นซ์ก็ค้นหามาจากอินเตอร์เน็ตเรียบร้อยแล้ว ไปไม่ยาก ตามรูปเลยค่ะ

ระหว่างทางไปร้านคอฟฟี่ปริ๊นซ์นั้น เราก็ค้นพบว่าย่านฮงแดนี้เป็นย่านที่น่ารักมากมาย เนื่องจากมหาวิทยาลัยฮงอิกเป็นมหาวิทยาลัยศิลปะ ดังนั้นสองข้างทางของถนนรอบๆย่านนี้ก็จะเต็มไปด้วยร้านขายเสื้อผ้า ร้านขายของ ร้านน้ำชาหรือแม้กระทั่งร้านกาแฟที่เรากำลังตามหาอยู่นี่ในสไตล์กิ๊บเก๋ครีเอชั่นมากๆ นอกจากนี้ถ้ามาเที่ยวย่านนี้แถวๆหน้ามหาวิทยาลัยฮงอิกในวันเสาร์่บ่ายๆ ก็จะมีตลาด flea market ฝีมือนักศึกษาให้เลือกชมเลือกช้อปกันด้วย


ใช้เวลาเดินประมาณ 15 นาทีก็ถึงร้านเป้าหมาย ร้านแอบดูโทรมกว่าที่คิดมากเลย คือหน้าร้านดูรกๆ ข้าวของก็เก็บไม่ค่อยเป็นระเบียบเท่าไหร่ แถมต้นไม้หน้าร้านก็ยังเป็นต้นซากุระปลอมๆซะอีก ที่รั้วหน้าร้านก็มีคนมาขีดเขียนฝากรักไว้เต็มไปหมด อันนี้ไม่รู้ว่าเป็นนโยบายของทางร้านหรือว่าคนมันมือบอน ห้ามกันไม่ได้กันแน่ๆ แต่พอเข้าไปในร้านก็ค่อยเป็นระเบียบและให้ความรู้สึกเหมือนเป็นโกอึนชานขึ้นมาทันที อิอิ เข้าสู่โหมดเพ้อเจ้ออีกแล้ว ตอนที่เราไปเป็นเวลาประมาณเที่ยง เท่าที่เช็คมา ร้านนี้เปิดตอน 11.30 น. เพราะฉะนั้นช่วงเวลาที่เราไปถึงจึงมีลูกค้าอยู่แค่ 2 คนก่อนหน้าเรา เราก็เลยได้ลัลล้าอย่างเต็มที่ วิ้ว ^^ ภายในร้านคอฟฟี่ปริ๊นซ์ยังคงเก็บรายละเอียดการตกแต่งร้านและเก็บอุปกรณ์ต่างๆที่ใช้ประกอบฉากไว้ได้อย่างค่อนข้างสมบูรณ์ จะขาดก็แต่ผู้จัดการชเวฮันคยอล โกอึนชานและนักแสดงคนอื่นๆในเรื่องเท่านั้นล่ะ เนื่องจากเราไม่กินกาแฟก็เลยสั่งโกโก้ร้อนมากินคู่กับชีสเค้ก ทั้งสองอย่างและเมนูอื่นๆในร้านราคาแพง แพ๊ง แพง แพงได้อีกจริงๆ ชีสเค้กอร่อยมากอยู่ แต่โกโก้ร้อนนี่สิ แอบจืดอย่างแรง ถ้าขืนยังเป็นอย่างงี้ต่อไปล่ะก็ ไม่รู้ว่าร้านจะอยู่ได้อีกนานเท่าไหร่ ส่วนตัวคิดว่าที่ร้านนี้ยังอยู่ได้น่าจะเป็นเพราะมีทัวร์มาลงอยู่เรื่อยๆมากกว่า ถึงแม้ว่าโกโก้ร้อนจะไม่เอาไหน แต่เราก็เพลิดเพลินกับการวิ่งถ่ายรูปในร้านอย่างเต็มที่ แอบผิดหวังอีกนิดนึงที่ลายรูปดอกไม้บนผนังที่ฮันยูจูวาดไว้และอึนชานก็มาแต่งเพิ่มเติมไว้ ที่แท้มันไม่ใช่ภาพวาดแต่มันเป็นสติ๊กเกอร์ต่างหาก แล้วยิ่งถ้ามองใกล้ๆก็จะเห็นว่าสติ๊กเกอร์ตรงกลีบดอกไม้มันเริ่มหลุดออกมาด้วย แต่ก็อ่ะนะ หลอกเราให้เชื่อซะสนิทเลยทีแรก นอกจากอุปกรณ์ประกอบฉากในเรื่องที่ยังเก็บไว้อย่างดี รวมทั้งรูปวาดตัวการ์ตูนบนกระจกรอบๆร้านที่อึนชาน (อึนเฮ) เป็นคนวาดเองก็ยังคงอยู่ ก็ยังมีลายเซ็นของนักแสดงในเรื่องและนักแสดงและคนบันเทิงเกาหลีคนอื่นๆที่มีโอกาสได้มาแวะเยี่ยมเยือนร้านนี้ถูกใส่กรอบตั้งโชว์ไว้รอบร้านอีกด้วย










เราออกจากร้านคอฟฟี่ปริ๊นซ์ตอนประมาณบ่ายโมงนิดๆ โชคดีมากที่พอออกจากประตูรั้วหน้าร้านได้แค่ 3 ก้าว ก็มีทัวร์คนไทยกลุ่มเบ้อเริ่มเข้ามาต่อคิวทันที ถ้าเราเข้าร้านมาพร้อมกรุ๊ปนี้คงไม่ได้ถ่ายรูปอย่างหนำใจขนาดนี้แน่ ก่อนออกจากร้านก็มองไปที่รั้วไม้ของร้านที่มีลูกค้ามาเขียนความในใจบอกร้านนี้กันซักมากมาย แต่ส่วนใหญ่จะออกแนวแอบเหน็บ แอบด่ารสชาติและราคาของกาแฟที่ร้านนี้ซะมากกว่า (ลูกค้าพี่ไทยเขียนไว้เยอะเหมือนกัน มีแต่คำด่าทั้งน้านนนน) เห็นแล้วเศร้าแทน แต่มันก็จริงอย่างที่ใครๆเค้าว่าไว้นั่นล่ะ ไม่อร่อย ราคาน้องๆสตาร์บัคส์

และแล้วเราก็เดินทางมาถึงช่วงสุดท้ายของการเดินทางในครั้งนี้จริงๆ เรานั่งรถไฟฟ้าสายที่ 2 จากฮงอิกไปลงสถานีชุงจองโน (Chungjeongno) แล้วไปเปลี่ยนเป็นสายที่ 5 นั่งไปลงจงโนซัมก้า ใช้เวลาทั้งหมดประมาณ 20 นาที กลับไปบีวอนเพื่อเอากระเป๋าที่ฝากไว้ แล้วก็ออกไปรอรถแอร์พอร์ต ลิมูซีนที่ป้ายฝั่งตรงข้ามกับขามาจากสนามบิน (ซึ่งเป็นฝั่งเดียวกับพระราชวังชางด๊อกกุง) แต่ป้ายนี้จะอยู่ใกล้กว่าป้ายขามาจากสนามบินค่อนข้างมาก เพราะอยู่เลยมาทางชางด๊อกกุงในขณะที่ป้ายฝั่งขามาจากสนามบินจะอยู่เลยออกไปติดกับสถานีรถไฟใต้ดินอังกุก


เราบอกลาโซลตอนเวลาบ่าย 2 โมงกว่าๆ ถึงอินชอน 3 โมงกว่า ซื้อของฝากพวกสาหร่ายปรุงรสในสนามบินแล้วก็กลับบ้านโดยเที่ยวบิน TG 635 เวลา 17.30 น. เครื่องแวะเติมน้ำมันที่ไทเปประมาณ 1 ชั่วโมง เที่ยวนี้การบินไทยใจดีเสิร์ฟอาหารมื้อหนักให้ 2 รอบ อิ่มแปล้เลย


ตอนนี้ถึงจะกลับจากเกาหลีมาแล้วกว่า 2 อาทิตย์ แต่ก็ยังคงเพ้ออยู่ ไม่ผิดหวังจริงๆที่ได้เลือกเดินทางในครั้งนี้ ไปเกาหลีครั้งนี้นอกจากจะได้เติมเต็มกิเลสของตัวเองจากวัฒนธรรม Hallyu ของเกาหลีแล้ว ประเทศเกาหลีใต้ก็ยังให้แง่คิดกับเราหลายอย่างทั้งในเรื่องการดำเนินชีวิตและวิธีการคิด จากประเทศที่เคยจมอยู่แต่ความหดหู่จากสภาวะสงครามสู่ประเทศที่มีศักยภาพในการพัฒนาตนเองได้มากที่สุดประเทศหนึ่งในโลก เกาหลีใต้... นายแน่มากจริงๆ




 

Create Date : 22 เมษายน 2552   
Last Update : 22 เมษายน 2552 23:26:28 น.   
Counter : 1483 Pageviews.  


13eyond your imagination in Korea (5)

วันที่ 5 Teddy Bear Museum ที่รอคอย

ถ้าบอกจุดประสงค์ของการไปเกาะเชจูครั้งนี้ หลายคนคงต้องแอบด่าเป็นแน่ เพราะเหตุผลหลักก็คือเราอยากไปเท้ดดี้แบร์มิวเซียมหรือพิพิธภัณฑ์หมีเท้ดดี้ที่ใช้เป็นถ่ายทำซีรีย์เกาหลีเรื่องเจ้าหญิงวุ่นวายกับเจ้าชายเย็นชา (Princess Hours; Goong) และซีรีส์เรื่องนี้ยังมีการจับเอาหมีน้อยเท้ดดี้มาแต่งตัว ทำท่าเลียนแบบตัวละครในซีรีย์ทุกๆตอนอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นหมีเท้ดดี้ใส่ชุดฮันบก ชุดนักเรียน ชุดราตรี ทำให้เราซึ่งคลั่งไคล้ซีรีย์เรื่องนี้เป็นทุนเดิม (โดยเฉพาะแม่เสือสาวยุนอึนเฮ Yoon Eun Hye) ยิ่งเห็นหมีน้อยน่ารักแบบนี้ เราเลยยิ่งใฝ่ฝันอยากจะมาเยือนที่นี่ให้จงได้ จริงๆเมื่อไม่นานมานี้เท้ดดี้แบร์มิวเซียมเค้าก็ไปเปิดที่นัมซานทาวเวอร์หรือโซลทาวเวอร์แล้ว แต่รู้สึกว่าจะเป็นมิวเซียมเล็กๆเท่านั้น คงไม่สะใจคนบ้าอย่างเรา เราก็เลยตัดใจยอมเสียค่าเครื่องบินมาเยือนของต้นฉบับที่เกาะเชจูนี่เลยดีกว่า

เนื่องจากเท้ดดี้แบร์มิวเซียมเปิดทำการตอน 9 โมงเช้า เราก็เลยจะไปจุงมุนแดโพกันก่อนด้วยวิธี “เดิน” จุงมุนแดโพเป็น “หน้าผาที่เกิดจากลาวาที่เย็นตัวลง มีหินสีดำเป็นรูป 6 เหลี่ยมเรียงรายก่อตัวเป็นหน้าผาสูงประมาณ 30 เมตรและเรียงตัวยาวประมาณ 1 กิโลเมตร” (ขอก๊อปปี้คำอธิบายจากหนังสือของคุณเมอิล เนื่องจากอธิบายไม่เป็นจริงๆ) วิธีไปยังจุงมุนแดโพก็คือให้ดูแผนที่แล้วเดินไปตามเส้นทางที่จะไป International Convention Centre; ICC Jeju ซึ่งระยะทางจากโรงแรมที่เราพักไปยัง ICC นี่ก็ไกลม๊ากกกกกกก แต่อากาศยามเช้าเย็นสบายขนาดนี้ ขอเดินออกกำลังกายหน่อยก็ดีเหมือนกัน (จริงๆคืองกต่างหาก ไม่อยากเสียค่าแท็กซี่) เราใช้เวลาเดินกินลมชมวิวไประหว่างทางในจุงมุน ประหนึ่งว่าเราเป็นเจ้าของรีสอร์ตกันเลยทีเดียว เพราะมองซ้ายขวาหน้าหลังแล้วก็เห็นแต่หัวเราเอง ไม่มีใครเดินสวนมาเลย วิ่งเล่นกลางถนนได้สบายใจเฉิบมากๆ แต่ยิ่งเดินก็ยิ่งรู้สึกว่าทำไมมันไกลอย่างงี้เนี่ย ขากลับไม่มีปัญญาเดินกลับแน่นอน ตั้งปณิธานเอาไว้ว่าคงต้องยอมเสียเงินค่าแท็กซี่แล้วล่ะ เพราะไม่งั้นคงกลับมาดูหมีน้อยเท้ดดี้ไม่ทันเวลาแน่ๆ สุดท้ายเราก็เดินมาถึงจุงมุนแดโพโดยใช้เวลาเดินไปทั้งสิ้นเกือบ 1 ชั่วโมง โอ้ว!! ไกลได้โล่ห์ เสียเงินค่าเข้าชมที่นี่คนละ 2000 วอน ถ่ายรูป ถ่ายรูป ถ่ายรูป เดินๆๆๆ คิดว่าถ้ามาตอนพระอาทิตย์กำลังขึ้นหรือใกล้ตกดินน่าจะได้อารมณ์ที่สวยและโรแมนติกกว่านี้เยอะ แต่อารมณ์ตอนที่ไปถึงนี่แบบว่าเหนื่อยกับ 1 ชั่วโมงที่เดินมาอย่างเดียวเลย อารงอารมณ์โรแมนซ์เลยไม่ค่อยเหลือ พอเดินทั่วแล้วก็ตัดสินใจกลับ ขากลับนี่ไม่รู้จะเรียกแท็กซี่ได้ยังไง เลยต้องพึ่งพาคุณลุงยามแถวนั้นโทรเรียกแท็กซี่ให้ แท็กซี่ก็มาได้อย่างรวดเร็ว ขับรถพาเราไปส่งหน้าเท้ดดี้แบร์มิวเซียมภายใน 5 นาที (โห!! ขับรถแค่ 5 นาทีนี่ตรูใช้เวลาเดินเกือบชั่วโมงเลยเหรอเนี่ย แถวบ้านเรียกคลาน)





ภายในเท้ดดี้แบร์มิวเซียมจะแบ่งออกเป็น 3 ชั้น โดยที่ชั้นบนสุดซึ่งเป็นชั้นที่เราเดินจากทางเข้าด้านนอกมาคือชั้นที่ขายตั๋วราคาคนละ 7000 วอน เท้ดดี้แบร์มิวเซียมเป็นพิพิธภัณฑ์แสดงประวัติตุ๊กตาหมีเท้ดดี้รูปแบบต่างๆ ตั้งแต่ยุคแรกๆที่มีการผลิตตุ๊กตาหมีเท้ดดี้เรื่อยมาจนถึงยุคปัจจุบัน นอกจากนั้นยังจัดแสดงตุ๊กตาหมีเท้ดดี้ในลักษณะท่าทางต่างๆ เลียนแบบเหตุการณ์ในยุคสมัยต่างๆเช่น เหตุการณ์บนเรือไททานิค เหตุการณ์ที่ชายหาดนอมังดี การไปเหยียบดวงจันทร์ครั้งแรก บุคคลสำคัญทั้งที่มีอยู่จริงและบุคคลในจินตนาการเช่นนิทานหรือภาพวาดเช่น อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ มหาตมะ คานธี เดอะบีทเทิ่ลส์ สโนไวท์กับคนแคระทั้งเจ็ด มิกกี้เม้าส์และผองเพื่อนจากดิสนีย์แลนด์ หมีโมนาลิซ่าและไมเคิลแองเจลโล่ นอกจากนี้ยังมีการจำลองเหตุการณ์สำคัญหรือขนบธรรมเนียมประเพณีต่างๆโดยใช้หมีเท้ดดี้เป็นตัวเดินเรื่องเช่น ประเพณีการแต่งงานแบบเกาหลีและการแต่งงานแบบตะวันตก และสิ่งที่เรารอคอยก็มาถึงนั่นก็คือหมีเท้ดดี้ที่ใช้ประกอบซีรีส์เรื่องกุงทั้งหมด อันนี้ทางพิพิธภัณฑ์จะจัดเป็นมุมเฉพาะของซีรีส์เรื่องนี้เลย และยังมีวิดีโอฉายเป็นมิวสิควิดีโอโดยเปิดเพลง perhaps love เพลงประกอบซีรีส์เรื่องนี้ตามไปด้วย มุมนี้พอมีทัวร์ไทยลงก็คนเยอะมากๆ ถ่ายรูปไม่ได้เลย พื้นที่แค่ 5 ตารางเมตรอัดคนเข้าไปมากกว่า 10 คน สุดท้ายเราต้องมาถ่ายรูปเก็บตกอีกครั้งตอนก่อนออกจากพิพิธภัณฑ์อีกที











ชั้นล่างสุดจะมีร้านขายของที่ระลึกซึ่งน่ารักมากๆแต่ราคาก็ไม่ค่อยจะน่ารักซักเท่าไหร่ แล้วก็มีร้านลอตเตอเรียให้เราได้ฝากท้องกันอีกมื้อหนึ่ง นอกจากนี้บริเวณด้านนอกโดยรอบของพิพิธภัณฑ์ก็จะมีหมีเท้ดดี้ตัวใหญ่เท่าคนและใหญ่เท่าหมีจริงๆแอ๊คท่าทางต่างๆให้เราน่ารักมากๆ อันนี้ชอบมาก เพราะได้สวมกอดหมีน้อยถ่ายรูปอย่างเยอะ แอ๊บแบ๊วย้อนวัยเด็กได้สมใจเลย







ออกจากเท้ดดี้แบร์มิวเซียมประมาณ 11 โมงกว่าๆ เดินกลับไปโรงแรมเพื่อเช็คเอ้าท์และรอรถแอร์พอร์ต ลิมูซีนนั่งกลับไปสนามบิน ถึงสนามบินคิมโปเวลาประมาณบ่ายสามโมงเย็น เดินทางกลับมาบีวอน เก็บข้าวเก็บของ ได้ดูรายการอินกิกาโยหน่อยนึง แต่อยู่รอดูตอนที่เอสเจขึ้นเวทีไม่ไหว (เดี๋ยวกลับเมืองไทยไปหาโหลดเอาทีหลัง) ออกจากบีวอนประมาณ 4 โมงครึ่งไปยังอินซาดงกันต่อ

อินซาดงอยู่ถัดจากบีวอนไปทางสถานีรถไฟฟ้าอังกุก สถานีที่เราลงจากรถแอร์พอร์ต ลิมูซีนในวันที่เรามาเกาหลีวันแรกนั่นเอง ใช้เวลาเดินจากบีวอนประมาณ 15-20 นาที อินซาดงเป็นชื่อถนนสายศิลปะสายหนึ่งของโซล ตลอดความยาวหลายกิโลเมตรจะมีร้านขายของทำมือหรือของฝากน่ารักๆอยู่มากมาย ในวันเสาร์-อาทิตย์ถนนนี้ก็จะเป็นถนนคนเดิน มีการแสดงพื้นบ้านเกาหลีหลากหลายรูปแบบให้ชมกันฟรีๆ อย่างวันที่เราไปนั้นมีการแสดงการตีกลองอยู่ที่หน้า i เลย แต่ว่าการแสดงแบบนี้เราได้ดูที่เกาะเชจูเมื่อวันก่อนแล้ว แบบเดียวกันเลย ก็เลยไม่ได้สนใจอะไรนัก เดินเล่นชมบรรยากาศกันดีกว่า เดินไปเรื่อยๆก็มาแวะกินไอศกรีมโคนที่ร้านนึง อร่อยมาก เนื้อแน่น นุ่มมากๆ ตอนแรกนึกว่ารสชาติจะเหมือนซอฟต์ไอศกรีมของแมคโดนัลด์หรือแดรี่ควีน แต่เนื้อไอศกรีมที่ร้านนี้แน่นกว่ามากๆ แต่ก็ยังคงความนุ่มอยู่ ไอศกรีมมีหลายรสให้เลือก พอเลือกแล้ว คุณคนขายก็จะหยิบไอศกรีมรสที่แพ็คอยู่ในกล่องแล้ว คว่ำลงบนเครื่องทำไอศกรีมให้มันเป็นเกลียวๆ แล้วก็กดคันโยกให้ไอศกรีมก้อนนั้นกลายเป็นไอศกรีมเกลียวๆวางอยู่บนโคนอีกที ราคาโคนละ 2000 วอน อร่อยมากๆ อ้อ!! ที่เกาหลีนี่เราเห็นร้านขายไอศกรีมตุรกีอยู่หลายที่มากตั้งแต่วันที่ไปจินแฮแล้ว คนซื้อก็ดูจะมีมาเรื่อยๆเหมือนกัน แต่เราไม่อยากเข้าไปลอง ก็มาเกาหลีนี่นา จะให้ไปกินไอศกรีมตุรกีเพื่อ...?



นอกจากไอศกรีมที่เป็นที่โปรดปรานแล้วเราก็ยังพบร้านรถเข็นร้านนึงขายขนมปังใส้คัสตาร์ดและถั่วแดง คนต่อแถวกันเยอะมาก เราก็เลยเข้าไปดู แล้วก็ขำในความครีเอทของคนคิดคนทำมากๆ ถึงกับรีบไปยืนต่อแถวซื้อโดนไม่ต้องคิดเลยทีเดียว ความขำความฮาที่ว่านี้ก็คือ ขนมปังไส้คัสตาร์ดและถั่วแดงนี้เรียกว่า “ต้งปัง” แปลว่าขนมปังอุนจิ (ต้ง = อุนจิ) คือแม่พิมพ์ของขนมปังนี้จะเป็นรูปอุนจิ เวลาขายเค้าก็จะขาย 4 ชิ้น 2000 วอน โดย 2 ชิ้นเป็นรูปต้งปัง ส่วนอีก 2 ชิ้นจะเป็นรูปหัวของเด็กผู้หญิง หน้าตาประมาณมารุโกะจอมกวน เหมือนว่าต้งปังเนี่ยมันจะมีประวัติความเป็นมาโดยเกี่ยวข้องกับยัยเด้กผู้หญิงคนนี้ด้วย ก็เลยเป็นที่มาของการขายต้งปัง เราต่อแถวยืนรอนานพอสมควร เพราะนอกจากคนจะเยอะแล้ว คุณคนขายเค้าก็ค่อยๆทำแบบไม่มีสต็อกด้วย มารู้ทีหลังตอนกินแล้วว่าที่ไม่ทำสต็อกน่าจะเป็นเพราะว่าขนมนี้ต้องกินตอนร้อนๆเท่านั้น ถ้าทิ้งไว้ให้เย็น แป้งจะเหนียว ไม่อร่อย


เดินชมอินซาดงจนอิ่มใจแต่ไม่อิ่มท้อง เราก็เลยต้องฝากท้องมื้อเย็นของวันนี้ที่ร้านอาหารเกาหลีร้านนึงในอินซาดง น่าเสียดายที่จำชื่อร้านไม่ได้ มันจะอยู่ในซอยที่มีร้านอาหารเยอะๆ คาดว่ามีอยู่ซอยเดียว ให้เดินเข้าไปร้านในสุดซ้ายมือ ความจริงอยากลองร้านอื่นอยู่เกมือนกัน เพราะแต่ละร้านมีการตกแต่งร้านได้อย่างสวยงาม น่าเข้ามากๆ สำหรับเมนูมื้อเย็นของเราในวันนี้ก็คือหมูสามชั้นหมักอะไรซักอย่างกับพิซซ่าเกาหลีหน้าต้นหอม ทั้งสองอย่างนี้จานใหญ่มากกกก ใหญ่ได้อีก แต่ก็อร่อยดี หมูสามชั้นก็อร่อยนะ นุ่มมาก แต่อ่ะนะ ด้วยความที่มันเป็นหมูสามชั้น ชั้นที่สามของมันนั่นก็คือมันหมูเนี่ย จนปัญญาจะกินจริงๆ กินได้แค่ 2 ชิ้นแรก ส่วนชิ้นที่เหลือก็ต้องกินแต่เนื้อหมูอย่างเดียว



ออกจากอินซาดงเราปิดท้ายการเดินทางของวันนี้ด้วยรถไฟฟ้าสายที่ 1 มุ่งตรงไปยังทงแดมุน (Dongdaemun) ระยะทาง 2 สถานี ใช้เวลาแค่ 5 นาทีเท่านั้น จริงๆไม่ได้มีจุดประสงค์มาเที่ยวเกาหลีครั้งนี้เพื่อช้อปปิ้งเสื้อผ้า แต่ที่วางแผนจะมาทงแดมุนก็เพราะว่ากลัวจะอายคนอื่นถ้าตอบไม่ได้ว่าทงแดมุนอยู่ไหน บ้าได้อีกเรา ก็เลยว่าไหนๆก็วางแผนแล้วก็เลยต้องมาตามแผนซะหน่อย แต่การมาทงแดมุนครั้งนี้ก็ดูจะไม่คุ้มค่ากับการเสียค่ารถไฟใต้ดินไปกลับ 1800 วอนซะเลย เพราะว่าไม่ได้เดินดูเสื้อผ้าอะไรมากมาย ไม่ได้ไปตลาดทงแดมุน ไปเดินแค่ห้าง Migliore ซึ่งก็เหมือนกับวันที่เดินที่เมียงดงนั่นล่ะ แต่ได้เดินห้าง Doota ซึ่งอยู่ข้างๆ Migliore ด้วย เป็นห้างเปิดใหม่ ยังเปิดไม่เรียบร้อยดีแต่ก็เปิดบางส่วนให้เดินได้แล้ว ภายในห้างมีร้านขายเสื้อผ้าน่ารักๆอยู่หลายร้านมากๆ น่ารักทั้งการตกแต่งร้านและดีไซน์ของเสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า แม้ราคาจะค่อนข้างสูง แต่ก็คุณภาพตามราคาอ่ะนะ แล้วก็ดูไม่เป็นเสื้อผ้าโหลๆแบบใน Migliore ด้วย แนะนำสำหรับคนที่อยากมาเดินเพื่อให้เกิดแรงบันดาลใจและชอบช้อปปิ้ง ที่ Doota นี่เป็นหนึ่งในอีกทางเลือกเลย ราคาก็ไม่ได้แพงเวอร์นะคะ เหมือนของในห้างทั่วไปน่ะอ่ะ อย่างที่บอกว่าคุณภาพตามราคา แล้วก็ดูเหมือนว่าร้านส่วนใหญ่จะเป็นร้านของพวกนักศึกษาหรือหนุ่มๆสาวๆรุ่นใหม่ ไม่ใช่แบรนด์ใหญ่โตอะไร น่าซื้อ น่าสนับสนุนค่ะ แต่สำหรับเราในวันนั้น ยิ่งเดินดูไปกิเลสก็ขึ้นไปเรื่อยๆ ต้องพยายามข่มใจตลอด ท่องเอาไว้ว่าชั้นจะต้องกลับไปช้อปช่วยชาติที่เมืองไทยเท่านั้น สุดท้ายเพื่อขจัดกิเลสนั้นเลยต้องรีบเดินออกจากห้าง ตัดสินใจกลับที่พักดีกว่า




 

Create Date : 21 เมษายน 2552   
Last Update : 21 เมษายน 2552 21:31:23 น.   
Counter : 722 Pageviews.  


13eyond your imagination in Korea (4)

วันที่ 4 มุ่งสู่เกาะเชจู

วันนี้ออกจากบีวอนในเวลาที่ชิลๆ ไม่รีบร้อน ใช้รถไฟใต้ดินสายที่ 5 จากจงโนซัมก้าตรงไปยังสถานีสนามบินคิมโป ใช้เวลาเดินทางประมาณ 40 นาที นั่งกันตั้งแต่คนแน่นๆ จนเหลือคนในโบกี้ไม่ถึง 5 คน พอออกจากสถานีรถไฟก็ให้เดินตามป้ายที่ไปสนามบินเรื่อยๆ (แต่เดินอย่างไกลเลยค่ะ) แล้วก็เข้าไปเช็คอินตั๋ว อันนี้จริงๆเราใช้บริการอีเช็คอินมาล่วงหน้าตั้งแต่อยู่เมืองไทยแล้ว เลยสบายใจหายห่วงเรื่องไม่ได้ที่นั่งอย่างที่ต้องการ ไปเชจูวันนี้เราใช้บริการของสายการบินโคเรียนแอร์หรือสายการบินแห่งชาติเกาหลี ตอนแรกไม่กะว่าจะเลือกโคเรียนแอร์หรอก อยากซื้อตั๋วของสายการบินโลว์คอสอย่างเช่น Jinair มากกว่า แต่ว่าในเว็บไซด์ของจินแอร์มันไม่มีภาษาอังกฤษอ่ะ มีแต่ภาษาเกาหลี อันนี้ก็จนปัญญาจริงๆ เลยต้องเข้าไปในเว็บของโคเรียนแอร์กับเอเชียน่าแอร์ไลน์แทน ซึ่งไปๆมาๆเวลาเดินทางของโคเรียนแอร์ดูจะลงตัวมากกว่า ส่วนราคาของ 2 สายการบินนี้ก็ไม่ต่างกัน เราก็เลยเลือกโคเรียนแอร์ ทีนี้โคเรียนแอร์เค้าจะมีบริการให้เลือกที่นั่งได้ก่อน โดยจะเปิดให้เข้าไปทำการจองที่นั่งได้ก่อนการเดินทาง 30 วัน เราก็เลยเข้าไปเลือกที่นั่งไว้ล่วงหน้าทั้งขาไป-ขากลับตั้งแต่อยู่ที่เมืองไทย ขาไปเกาะเชจูเครื่องออกตอน 10.10 น. อาจจะดูสายไปหน่อย แต่รอบที่เร็วกว่านี้มันไม่สามารถซื้อผ่านเน็ตได้อ่ะ (ประมาณว่าโควต้าซื้อในเน็ตเต็มแล้ว นี่ขนาดซื้อก่อนตั้งเดือนกว่านะเนี่ย) บอร์ดดิ้งก่อนเครื่องออก 30 นาที ระหว่างรอขึ้นเครื่องเราก็เลยหาอะไรกินมื้อเช้าซะหน่อย ก็เลยได้มากินที่ร้านอาหารฟาสต์ฟู้ดสัญชาติเกาหลีแต่หน้าตาเหมือนแมคโดนัลด์มากกกกกก มองผ่านๆนึกว่าใช่เลย แต่ร้านนี้ชื่อว่าร้านลอตเตอเรีย ขายพวกแฮมเบอร์เกอร์ เฟรนช์ฟรายด์ ไก่ทอด ไอติมอะไรประมาณนั้น แต่เนื้อที่ทำแฮมเบอร์เกอร์ก็จะเป็นสไตล์เกาหลีเองเช่น หมูพูลโกกิ อันนี้ได้สั่งกินด้วย อร่อยดีเหมือนกัน


เราใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมงก็มาถึงท่าอากาศยานนานาชาติเชจู เราตกลงว่าจะฝากกระเป๋าใบเล็กที่ลากมาด้วยไว้ที่สนามบินก่อน เพราะยังไงสุดท้ายก็ต้องมาขึ้นรถแอร์พอร์ต ลิมูซีนที่สนามบินเพื่อไปโรงแรมที่พักอยู่แล้ว (ซึ่งอันนี้ยังแค้นใจไม่หายจนถึงทุกวันนี้ ถ้ารู้ว่าจะได้เจอ 13eyond your imagination รอบ 2 ที่เชจูเนี่ย ตรูไม่มีทางฝากกระเป๋าไว้ที่นี่แน่ เฮ้อ!! ยิ่งคิดยิ่งปวดใจ) ในใบรับกระเป๋าบอกว่าต้องมารับก่อน 2 ทุ่มครึ่ง พอเดินไปที่ i เพื่อขอโบรชัวร์และแผนที่เมืองเชจู ก็อ่านโบรชัวร์งานเทศกาลดอกซากุระเกาะเชจูประจำปีนี้ที่เริ่มจัดวันที่ 4 เมษายนนี้เป็นวันแรกจนถึงวันที่ 8 เมษายน ในโบรชัวร์บอกว่าตั้งแต่เวลา 19.10 น. จะเริ่มมีการแสดงดนตรีและปิดท้ายด้วยการจุดพลุตอน 20.40 น. ไอ่เราก็แอบตะหงิดๆแล้วว่าศิลปินที่จะมาแสดงวันนี้จะเป็นใครน้อ จะมีเด็กช้านอยู่ในนั้นหรือเปล่า แต่ก็เสียตังค์ค่าฝากกระเป๋าไปแล้วนี่นา จะไปเอาคืนมาแล้วหอบหิ้วมันไปตลอดทางก็ดูว่าจะไม่คุ้ม ก็เลยต้องเลยตามเลย พร้อมกับปลอบใจตัวเองว่าคงไม่มีใครที่เรารู้จักหรอกน่า (มาคิดทีหลังว่าทำไมแกรไม่เปิดไปหน้าที่เป็นภาษาเกาฟระ มันเขียนชื่อศิลปินที่ขึ้นแสดงด้วยอ่ะ จะได้รีบตัดสินใจเอากระเป๋าที่ฝากไว้คืนมาแล้วหอบหิ้วมันไปด้วยกัน = =! เฮ้อ! ตรู อีกแล้ว)

เมื่อถามถึงวิธีการไปสถานที่จัดงานเทศกาลดอกซากุระซึ่งคุณจนท. บอกว่าไม่มีรถเมล์ผ่าน ต้องนั่งแท็กซี่เท่านั้น เราก็เออๆ เหรอคะ ได้ค่ะ แต่ในใจก็คิดว่าไม่มีทางได้แอ้มเงินชั้นหรอกย่ะคุณแท็กซี่ เดี๋ยวหาทางเดินไปเองก็ได้ (หารู้ไม่อีกแล้วปร้า ไกลโฮก!) เราเดินออกไปด้านนอกเพื่อรอรถเมล์สาย 500 ไปยังถนนซากุระหรือ Cherry blossom street ที่ถนนจอนนงโน (Jeonnongno) ตามที่ได้เคยเมลล์ไปถามที่เว็บของเชจู แล้วมีจนท.ตอบมาว่าให้ขึ้นรถเมล์สายนี้ไป ซึ่งที่ i ก็มีแจกเส้นทางเดินรถเมล์สายสำคัญต่างๆภายในเชจูด้วย พอเดินออกไปปุ๊บก็เจอรถสาย 500 พอดี ก็รีบกระโดดขึ้นเลย อืม! บัตร T-money ที่ซื้อมาจากโซลก็สามารถใช้กับรถเมล์ที่นี่ได้ด้วยนะคะ ค่าโดยสารจะถูกลง 50 วอนค่ะ ระหว่างนั่งรถเมล์ไป ก็พยายามจะมองป้ายรถเมล์เทียบกับชื่อที่เขียนไว้ในใบเส้นทางเดินรถที่รับแจกมาจาก i แล้วก็กางแผนที่ประกอบด้วย แต่ยิ่งนั่งนานไปเท่าไหร่ ก็ไม่เห็นจะเจอชื่อป้ายรถเมล์ที่มันใกล้เคียงกับในใบที่แจกเลย นานเข้าๆ คนก็ยิ่งลงจากรถเยอะขึ้นๆ จนเรามาอ่านเจอตรงป้ายรถเมล์นึงเทียบกับในใบที่แจกว่าอ้าว! นี่ไงชื่อตรงกัน แต่ไหงกลายเป็นเส้นทางที่ไปปลายทางคนละเส้นกับที่เราจะไปกันล่ะ คือเราจะต้องนั่งรถสาย 500 ที่ไปสุดปลายทางที่มหาวิทยาลัยแห่งชาติเชจู แต่รถสาย 500 คันที่นั่งอยู่นี่มันไปสุดปลายทางที่ Halla College สรุปว่าคือนั่งผิดฝั่งนั่นเอง ว่าแล้วก็เลยรีบกระโดดลงจากรถที่ป้ายนั้นทันที แล้วก็ข้ามถนนมาอีกฝั่ง แต่กลับกลายเป็นว่าป้านรถเมล์อีกฝั่งนั้น รถเมล์สาย 500 มันไม่ผ่านซะนี่ ก็เลยตัดสินใจรอถามคนเกาหลีดู ปรากฏว่าไม่สำเร็จเนื่องจากคุยกันไม่รู้เรื่อง พอดีมีคนสุดท้ายที่ถามเป็นนักเรียน เค้าก็ตอบไม่ค่อยได้แต่เดาๆได้ว่าต้องเดินย้อนขึ้นไป ก็เลยเดินย้อนกลับขึ้นไปทางที่รถเมล์เพิ่งผ่านมา ก็เลยเจอป้ายรถเมล์ที่สาย 500 ผ่าน ค่อยโล่งใจหน่อย ทีนี้ก็ขึ้นสาย 500 ย้อนกลับไปที่สนามบินตามเดิม อยากรู้จริงๆว่าเราขึ้นป้ายผิดเหรอ ป้ายที่จะไปทางต้นสายข้างหนึ่งกับอีกข้างหนึ่งนี่มันต้องขึ้นกันคนละที่ใช่มั้ย แต่พอรถวิ่งกลับมาที่สนามบินถึงได้เข้าใจว่าเราน่ะขึ้นถูกป้ายแล้ว แต่ขึ้นไม่ถูกคัน เพราะป้ายน่ะมันก็มีอยู่ป้ายเดียว แต่ต้องขึ้นรถคันที่เขียนว่าไปมหาลัยเชจู ประมาณว่ารถมันวิ่งเป็นวงกลมนั่นเอง เราก็เลยนั่งรถสาย 500 คันนั้นต่อไป แล้วไปลงที่ป้ายควังยังโร (Gwangyangro) แล้วเดินย้อนขึ้นไปจนเจอโรงแรม Jeju KAL หรือให้ชัวร์ก็ลงก่อนที่ป้ายจุนกังโน (Jungangno) ก็ได้ ให้เดินขึ้นไปเรื่อยๆจนเจอโรงแรม KAL Jeju อยู่ทางซ้ายมือและเจอตึก Koybo อยู่ข้างหน้าก็ให้เลี้ยวขวาก็จะเจอถนนจอนนงโน หรือให้สังเกตป้ายว่า Cherry blossom street ไปก็ได้

ถนนจอนนงโนนี้มีความยาวประมาณ 2 กิโลเมตร เป็นถนน 2 เลนสวนกัน มีรถวิ่งผ่านเยอะแยะตลอดเวลา เพราะฉะนั้นต้องถ่ายรูปด้วยความระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง สองข้างทางจะมีโคมกระดาษห้อยอยู่ตลอดเส้นทาง แล้วก็จะมีกระดาษห้อยออกมาจากโคมน่าจะให้เขียนคำอวยพรหรืออะไรซักอย่าง ก็ดูน่ารักดี









เมื่อถ่ายรูปหนำใจแล้วเราก็เดินย้อนกลับมาขึ้นรถเมล์สาย 500 เหมือนเดิม คราวนี้นั่งไปสุดสายที่มหาวิทยาลัยแห่งชาติเชจู (Jeju National University) เพื่อไปที่จุดชมซากุระอีกแห่งหนึ่ง ใช้เวลาไม่นาน รถก็มาถึงหน้ามหาลัยเชจู ถนนหน้าทางเข้ามหาวิทยาลัยความกว้าง 4 เลนสวนกัน ความยาวกว่า 3-4 กิโลเมตร คือสถานที่ชมดอกซากุระได้สวยงามกว่าที่จอนนงโนซะอีก เพราะดูเหมือนว่าต้นซากุระที่นี่จะต้นใหญ่กว่า ถนนก็เป็นแนวโค้ง ถ่ายรูปสวย รถก็ไม่พลุกพล่านมาก วิ่งไปถ่ายรูปกลางถนนได้ตั้งหลายที มีคนแวะจอดรถถ่ายรูปที่ถนนเส้นนี้เยอะมาก




ประมาณบ่าย 2 โมงเราก็ขึ้นรถเมล์สาย 500 ย้อนกลับไปทางเดิมเพื่อไปที่ที่ทำการเมืองเชจู สถานที่จัดงานเทศกาลดอกซากุระ ให้ลงที่ป้าย District court แล้วเดินตรงขึ้นไปจนเจอสี่แยกที่ตัดกับถนนยอนซัมโน (Yeonsamno) ซึ่งจะเป็นถนนใหญ่และยาวมาก (ต้องดูแผนที่เมืองเชจูที่ได้มาจาก i ที่สนามบินประกอบไปด้วย จะเข้าใจมากขึ้น) ให้เลี้ยวซ้ายเข้าสู่ถนนยอนซัมโน เดินตรงไปเรื่อยๆ ตรงนี้จะเดินนานและเหนื่อยนิดนึง เนื่องจากต้องขึ้นลงเนินอยู่หลายรอบ เดินไปเรื่อยๆประมาณ 20 นาทีก็จะเริ่มเจอผู้คนเดินสวนมาเยอะขึ้น ที่ทำการเมืองเชจูจะอยู่ทางซ้ายมือ พอเริ่มเลี้ยวซ้ายเข้างานก็จะเจอทุ่งดอกคาโนล่าเหลืองอร่ามไปหมด สวยไม่แพ้กับทุ่งดอกทานตะวันบ้านเราเลย ณ จุดนี้เราเลยบ้าถ่ายรูปกันยกใหญ่ ในงานก็เหมือนงานเทศกาลทั่วๆไป คล้ายๆกับที่จินแฮที่ไปมาเมื่อวาน คือมีของกิน มีการละเล่น มีดนตรี พอเดินวนไปแถวๆเวทีจัดแสดงตอนประมาณบ่าย 3 โมงกว่าๆ เราก็เริ่มเอะใจแล้วว่าทำไมมีเด็กนักเรียนผู้หญิงเริ่มมาจับจองพื้นที่หน้าเวทีกันแล้ว ทั้งๆที่มันยังไม่มีวี่แววว่าจะมีการแสดงเลย และที่สำคัญยิ่งกว่านั้นก็คือเด็กนักเรียนส่วนใหญ่ถือลูกโป่งสีเขียวที่เขียนว่า SHINee ด้วย ณ จุดนี้... อ๊ากกกกกกกกกกกก เนกา มิชยอ (แปลว่าชั้นจะบ้าตาย) เด็ก 5 สีจะมาเหรอเนี่ย ไม่จริงมั้ง ว่าแล้วเราก็เลยเปิดโบรชัวร์กำหนดการของงานในวันนี้ขึ้นมาอ่านอีกรอบ พลิกไปพลิกมาก็เลยเจอหน้ากำหนดการภาษาเกาหลี เค้าเขียนว่าเวลาเริ่มแสดงคอนเสิร์ตคือ 19.10 น. มีวงที่ร่วมแสดงคือ บลาๆๆ แล้วก็ชยาอินี่ = ชายนี่ กร๊ากกกกกก เซอร์ไพรส์สุดๆ เวทีก็อย่างเล็กเลย งานนี้ได้ใกล้ชิดกันสุดๆแน่ๆ แต่แล้วก็เริ่มคิดได้ แล้วเด็กๆจะมากันกี่โมงเนี่ย ถ้ามาเป็นวงสุดท้ายแล้วเราจะอยู่ดูได้ยังไง ต้องไปเอากระเป๋าที่สนามบินตอน 2 ทุ่มครึ่งนี่นา แล้วต้องออกจากที่นี่ล่วงหน้าอีกอย่างน้อยครึ่งชั่วโมงเพื่อความชัวร์ด้วย เฮ้อ!! คิดแล้วก็ดูเหมือนความหวังที่จะได้เจอน้องๆชายนี่ คงจะยากแล้วล่ะทีนี้ สงสัยดวงจะหมดตั้งแต่เจอทงแฮที่อินชอนแล้วล่ะ







ระหว่างรอดูชายนี่ เราก็เดินเล่นหาของกินไปเรื่อยเปื่อย ได้ข้าวโพดต้มกับฮอทด็อกเกาหลี (จริงๆมันเรียกว่าอะไรไม่รู้) คือเป็นแป้งขนมปังเสียบไม้ทอด ข้างในเป็นไส้กรอก เวลากินให้ราดซอสมะเขือเทศหรือมัสตาร์ดด้วย คำแรกๆก็รู้สึกเหมือนจะอร่อยดีนะ แต่พอคำต่อๆไปเริ่มรู้สึกว่ามันจืด แถมแป้งและไส้กรอกก็มีกลิ่นแปลกๆด้วยอ่ะ หรือเป็นเฉพาะร้านที่เราซื้อก็ไม่รู้สิ ร้านอื่นๆอาจรสชาติดีกว่านี้ก็ได้ แต่เห็นคนเกาหลีกินไอ่ฮอทด็อกนี้มากเลยนะ คงเป็นขนมที่กินง่ายๆ ไม่เลอะเทอะมั้ง


ยิ่งเวลาผ่านไป อากาศที่เชจูก็เริ่มหนาวมากขึ้น ลมแรงมากขึ้น เสื้อผ้าตัวที่ใส่มาตั้งแต่เช้าก็เริ่มจะกันความหนาวไม่อยู่ ขนาดเด็กนักเรียนเกาหลีที่นั่งที่ยืนรอชายนี่ยังต้องออกไปหาเสื้อผ้าหนาๆ หาสเว็ตเตอร์หรือแจ็คเก็ตมาใส่กันเลย เราก็พยายามยืนหนีบแบบสุดๆ อดทนรอกันอย่างไม่ไหวหวั่น เด็กๆชายนี่จะรู้มั้ยเนี่ยว่านูน่าทรมานขนาดไหนที่จะได้ดูน้องๆเนี่ย และแล้วเวลา 18.00 พิธีการบนเวทีก็เริ่มขึ้นตามกำหนดการ พิธีเปิดเริ่ม 19.00 แต่พิธีเปิดนี่ล่ะตัวช้าเลย เพราะต้องเชิญคนโน้นคนนี้มาพูดบนเวทีเยอะมาก เวลาก็เริ่มเลทไปมากขึ้น คอนเสิร์ตเริ่มจริงๆก็ทุ่มครึ่ง เริ่มเปิดด้วยใครก็ไม่รู้ มาถึงตอนนี้เราก็เลยเริ่มถอดใจแล้ว เพราะเราคงต้องรีบหาแท็กซี่ไปสนามบินแล้ว แอบเสียใจสุดๆ แต่จะทำไงได้... TT_TT

เราเรียกแท็กซี่แถวๆนั้นไปสนามบิน ใช้เวลาแค่ 10 นาทีก็ถึงแล้ว ค่าโดยสาร 4500 วอน ไม่แพงอย่างที่คิด พอเอากระเป๋าที่ฝากไว้ได้ ก็ขึ้นรถแอร์พอร์ต ลิมูซีนสาย 600 ราคาคนละ 3900 วอน ซื้อตั๋วบนรถได้เลย ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมงก็เริ่มเข้าสู่จุงมุนรีสอร์ต (Jungmun resort) ที่ซอกวีโพ (Seogwipo) พอในรถประกาศว่าจะจอดที่ Hana hotel ก็ให้เตรียมตัวลงได้ แต่ของเราเกิดอุบัติเหตุเล็กน้อย คุณลุงคนขับดันไม่จอดที่โรงแรมฮานาซะงั้น ไม่รู้เพราะว่าไม่เห็นว่าจะมีคนลงหรือเพราะอะไร ทำให้เราต้องไปลงที่โรงแรมไฮแอทแทน แล้วก็ต้องนั่งแท็กซี่ย้อนกลับไปโรงแรมฮานา ล่ะเซ็งจริงๆ (แต่มารู้ตอนหลังว่าถ้าเลยป้ายที่จะลงก็ไม่เป็นไรนะ เพราะเดี๋ยวยังไงรถมันก็จะต้องวนย้อนกลับมาทางเดิมเพื่อออกจากจุงมุนรีสอร์ตแล้วไปยังเมืองซอกวีโพต่อ คือเหมือนว่ารถจะต้องเข้ามาภายในจุงมุนเพื่อส่งผู้โดยสารตามโรงแรมต่างๆ แล้วก็จะวนออกทางเดิมเพื่อออกจากจุงมุน แล้วค่อยตรงไปยังตัวเมืองซอกวีโพน่ะค่ะ) พอเข้าไปในโรงแรมได้ พนง.ที่เค้าท์เตอร์ก็เหมือนรอเราอยู่คนเดียวเลย เพราะยังไม่ทันที่เราจะยื่นเอกสารการจองโรงแรมให้ เค้าก็รีบบอกนามสกุลของเราได้ทันทีกับพนง.อีกคนนึงให้ไปเตรียมเอกสารมาให้เรากรอก ซึ่งเหมือนกับเค้าท่องนามสกุลของเรามาเป็นชั่วโมงๆแล้ว 55+ คงต้องแอบด่าที่เรามาเช็คอินช้า ทำให้เค้าต้องรอจนดึกดื่นแน่เลย อ้อ! โรงแรมฮานาที่เราพักนี้ เราจองผ่าน //www.asiarooms.com และที่เลือกโรงแรมนี้ก็เพราะเราต้องการพักในจุงมุนรีสอร์ตเพื่อที่วันรุ่งขึ้นจะได้ไปเที่ยวสถานที่เที่ยวภายในจุงมุนได้ง่ายๆ และโรงแรมฮานาก็เป็นโรงแรมที่ราคาไม่แพงเกินไปนัก ดูเหมือนจะถูกที่สุดและถูกกว่าโรงแรมอื่นในจุงมุนอย่างมากๆด้วย




 

Create Date : 19 เมษายน 2552   
Last Update : 20 เมษายน 2552 8:04:50 น.   
Counter : 920 Pageviews.  


13eyond your imagination in Korea (3)

วันที่ 3 ซากุระที่จินแฮ

วันนี้เรามีโปรแกรมไปชมงานเทศกาลดอกซากุระที่เมืองเล็กๆทางตะวันออกเฉียงใต้ของเกาหลีชื่อเมืองจินแฮ จินแฮเป็นเมืองที่เล็กมากๆขนาดที่ว่าไม่มีรถไฟหรือรถบัสจากโซลโดยตรง เราเลือกที่จะใช้บริการรถบัสโดยสารทั้งที่อยากลองนั่งรถไฟเกาหลีใจจะขาด แต่เนื่องจากเช็คดูแล้วเวลาของรถบัสมันดีกว่าเดินทางโดยรถไฟ (รถไฟไม่มีรอบเช้าอย่างที่เราต้องการ) ว่าแล้วก็ออกเดินทางกันแต่เช้าตรู่มากๆ (ตีห้าครึ่ง อ๊ากกก) เพื่อรอขึ้นรถไฟใต้ดินสายที่ 3 จากจงโนซัมก้าสู่จุดหมายปลายสถานีโคสกทอมินอล หรือ express bus terminal (โคสกแปลว่ารถด่วนระหว่างเมือง) ใช้เวลาประมาณ 20 นาที แต่บวกเวลาที่เราออกจากบีวอน เวลาที่เดินเข้าเดินออกจากสถานี เวลาที่วิ่งหาบูธขายตั๋วรถบัส (อันนี้ต้องใช้สายตาว่องไวมาก มองป้ายบอกที่ขายตั๋วบนป้ายที่ห้อยมาจากเพดานให้ดี เพราะแต่ละบูธจะขายตั๋วรถเฉพาะตามที่ติดป้ายไว้เท่านั้น) ตามที่เช็คมาล่วงหน้าจะมีรถบัสจากโซลไปเมืองมาซานประมาณทุกครึ่งชั่วโมง ใช้เวลาเดินทางประมาณ 4 ชม. 5 นาที แล้วจากมาซานเราถึงจะต้องหาวิธีเดินทางต่อไปยังเมืองจินแฮต่ออีกทีนึง พอหาบูธขายตั๋วไปมาซานเจอ ก็บอกพนง.ว่าขอซื้อตั๋วไปมาซาน 2 คน (มาซานคาโย ทู-มยองโย) ตั๋วราคาใบละ 27800 วอน จากนั้นก็เดินหาช่องออกรถกัน ค่อยยังชั่วที่มาทันเวลา 6 โมง 18 นาที (รถออก 6.30 น. เป๊ะๆๆ ย้ำว่าเป๊ะมาก) เราก็เลยบ้ากล้อง ขอถ่ายรูปกับ express bus terminal ซะหน่อย คุณลุงตรวจตั๋วแอบขำเราใหญ่เลย อ่ะนะอะจ๊อชชี่ ขอหน่อยเหอะ ใช่ว่าจะได้มากันบ่อยๆอ่ะ


รถบัสที่เรานั่งวันนี้เป็นรถบัสแบบพิเศษ พิเศษในที่นี้ก็คือแพงพิเศษ 55+ ก็ไม่เชิงคือมันก็แพงกว่ารถธรรมดาล่ะ แต่ที่แพงก็เพราะที่นั่งมันจะกว้างกว่ารถบัสแบบธรรมดา ข้างหนึ่งมี 2 ที่นั่ง อีกข้างหนึ่งมี 1 ที่นั่ง เบาะเลยกว้างเป็นพิเศษ อ้อ! อย่าลืมคาดเข็มขัดนิรภัยตลอดการเดินทางด้วยนะคะ อันนี้เค้าจะมีประกาศบอกอยู่แล้ว รู้สึกดีที่เค้าจะมีการประกาศเป็นภาษาอังกฤษให้ด้วย นอกเหนือจากภาษาเกาหลี ภาษาญี่ปุ่นและภาษาจีน ก็เลยไม่เป็นกังวล พอเดินทางไปได้ประมาณครึ่งทาง รถก็จะจอดพัก 15 นาทีที่จุดพักรถซึ่งเหมือนกับประเทศอื่นๆหลายประเทศ (เคยเห็นที่อเมริกาและญี่ปุ่น เมืองไทยก็เคยเห็นที่มอเตอร์เวย์) จุดพักรถก็จะมีห้องน้ำ ร้านขายของทั้งในห้องแอร์เป็นแบบมินิมาร์ทกับนอกห้องแอร์เป็นซุ้มขายอาหาร

พอใกล้ครบ 4 ชั่วโมงตามเวลาที่กำหนด เราก็เริ่มเห็นดอกซากุระบานเยอะขึ้นเรื่อยๆเป็นทิวแถว นั่นเป็นสัญญาณอันดีในการเข้าสู่เมืองแห่งซากุระ พอรถมาจอดที่โคสกทอมินอลของเมืองมาซาน เราก็ต้องหาวิธีกันไปจินแฮต่อ ถามคุณคนขายตั๋วแกก็ไม่รู้ภาษาอังกฤษ โชคดีที่มีพนง.อีกคนนึงที่กำลังเช็ดกระจกอยู่ พี่แกเข้าใจก็เลยอธิบายว่าให้ขึ้นรถเมล์สาย 760 ที่ฝั่งตรงกันข้าม ราคาคนละ 1500 วอน (อันนี้ตรงกับที่เช็คในเว็บเมืองจินแฮมาก่อนหน้าว่าให้ขึ้นสาย 760 แต่ที่ถามอีกรอบเพื่อความแน่ใจ) เราก็เลยรีบวิ่งข้ามถนนจับรถเมล์สาย 760 ซึ่งมาพอดีไปจินแฮกัน คนบนรถเมล์คันนั้นนี่เยอะได้อีก ไอ่เราก็ไม่รู้ว่าจะต้องลงป้ายไหน อันนี้เป็นอุปสรรคมากๆ สายตาต้องคอยสอดส่องตลอดเวลา จะถามคนขับรถก็ถามไม่เป็น แถมถ้าคุณพี่คุณลุงเค้าตอบมาก็ไม่เข้าใจอยู่ดีนั่นล่ะ โอ๊ย!!ตรู อยากได้ลิ้นแปลงภาษาของโดราเอมอนจะใจขาด ต้องพยายามอ่านชื่อป้ายรถเมล์ตลอด (แต่ก็นะ มันเป็นภาษาเกาอ่ะ กว่าจะประสมคำเสร็จ รถเมล์มันก็แทบจะเลยไปอีกป้ายละ) ระหว่างทางจากมาซานไปจินแฮเต็มไปด้วยต้นซากุระซึ่งออกดอกบานหมดแล้วขึ้นเรียงรายเป็นทิวแถว บางต้นบานมานานจนเริ่มจะออกใบสีเขียวแซมมาบ้างแล้ว พอรถแล่นไปได้ประมาณ 20-30 นาที ผู้คนบนรถเมล์ก็เริ่มลงจากรถมากขึ้นเรื่อยๆ เราก็เริ่มลุกลี้ลุกลน จนถึงป้ายนึง ป้ายนี้จะมีคนหนุ่มสาว วัยรุ่นหน่อยลงรถค่อนข้างเยอะ (ผิดกับป้ายก่อนหน้า เป็นคุณตาคุณยายซะเยอะ) เราก็มองหน้าคุณลุงคนขับรถ ทำไม้ทำมือว่านี่จินแฮอ๊ะป่าว ถึงอ๊ะยังอ่ะลุง คุณลุงแกก็พยักเพยิด เราก็เลยรีบลงเลย แล้วก็ตัดสินใจเดินตามคู่หนุ่มสาวคู่นึงไป ไม่รู้มันไปไหนแต่ค่อนข้างมั่นใจว่ามันต้องไปที่เดียวกับเราแน่ๆ และแล้วก็ไม่ผิดหวัง คุณหนุ่มสาวคู่นั้นพาเรามุ่งไปสู่งานเทศกาลชมซากุระครั้งที่ 47 ของเมืองจินแฮจนได้ จริงๆแล้วคิดว่าป้ายที่ลงนั้นน่าจะเป็นป้ายก่อนถึงสถานีรถไฟจินแฮ 1 ป้าย หรือจะลงที่ป้ายสถานีรถไฟจินแฮก็ได้ชื่อสถานีจินแฮ-ย็อก (Jinhae-yeok) พอลงจากรถเมล์ก็ให้เดินตรงขึ้นไปเรื่อยๆ (สถานีรถไฟจะอยู่ซ้ายมือ) เดินตรงไปจนเริ่มเห็นถนนที่เค้าปิดเพื่อให้คนเดิน มีป้ายบอกว่าเป็นเทศกาล Jinhae Cherry Blossom Festival ก็ให้เลี้ยวขวา เดินตรงไปอีกเรื่อยก็จะเจอวงเวียนแปดแยก ตรงนั้นล่ะจะเป็นสถานที่จัดงาน นอกจากจินแฮจะขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองที่มีต้นซากุระมากที่สุดในเกาหลีแล้ว จินแฮยังเป็นที่ตั้งของโรงเรียนนาวิกโยธินของเกาหลีอีกด้วย ดังนั้นงานเทศกาลดอกซากุระในครั้งนี้จึงมีการแสดงดนตรีจากวงดนตรีทหารของนานาประเทศด้วย เรียกว่าเป็น international military band festival




ที่วงเวียนแปดแยกนี้ จะมีอยู่แยกหนึ่งที่เป็นที่ตั้งของซุ้มกองอำนวยการของงาน ให้เข้าไปเอาแผนที่เมือง รายละเอียดการจัดงานได้ที่นี่ พอเราได้แผนที่ปุ๊บ เราก็ถามจนท.เลยว่าจะไปดูซากุระตามรูปในโบรชัวร์นี่ได้ที่ไหน นั่นก็คือที่คลองยอจวาชอน (Yeojwacheon stream) จนท.ก็กางแผนที่แล้วบอกว่า... บลาๆๆๆ ฟังไม่ค่อยรู้เรื่อง แต่สรุปได้ดังนี้คือให้เดินออกไปที่วงเวียน จากนั้นเดินทวนเข็มนาฬิกาไปที่ทางออกที่ 2 เดินตรงไปเรื่อยๆจะเจอถนนใหญ่ ข้ามถนนไปฝั่งตรงกันข้ามจะเจอสถานีรถไฟจินแฮ เลี้ยวซ้าย เดินตรงไปประมาณ 20 เมตรจะเจอซอยแรก ให้เลี้ยวขวา เดินตรงไปจะเจออุโมงค์คนเดิน ลอดอุโมงค์ไป พอโผล่ขึ้นมาจากอุโมงค์ก็จะเจอแล้วคลองยอจวาชอน หรือถ้าไปไม่ถูกจริงๆ พอถึงสถานีรถไฟจินแฮแล้วให้ถามจนท.ที่บูธ i ถ้าเค้าอธิบายไม่ถูก เค้าจะใจดีเดินจูงมือพาเราไปถึงที่เลย

ต้องยอมรับว่าจินแฮเป็นเมืองที่เต็มไปด้วยต้นซากุระจริงๆ เพราะตลอดสองข้างทาง ไม่ว่าจะเป็นซอยเล็กซอยน้อย ก็จะมีต้นซากุระขึ้นเรียงรายเต็มไปหมด ที่คลองยอจวาชอนที่เป็นสถานที่ไฮไลท์ของเมืองยิ่งไม่ต้องพูดถึง บรรยากาศน่ารักมาก เป็นคลองระบายน้ำเล็กๆ กว้างประมาณไม่ถึง 10 เมตร มีสะพานไม้ข้ามระหว่างสองฝั่ง ที่นี่นักท่องเที่ยวต่างหลั่งไหลมาเที่ยวกันมาก ส่วนใหญ่ถ้าไม่นับชาวเกาหลีเอง ก็จะเป็นทัวร์ญี่ปุ่นซะเยอะ เราได้ยินเสียงคนไทยเป็นระยะๆ แต่ค่อนข้างน้อยมาก วันนี้ถ่ายรูปได้สวยงามมากมาย (หมายถึงหน้าตาเราดูดีกว่าสองวันแรกอย่างเห็นได้ชัด) ตั้งแต่รูปแรกที่จุดพักรถบัสแล้ว คาดว่าด้วยอิทธิพลของแป้งบีบีที่สอยมาจากเมียงดงเมื่อคืนแน่นอน เท่าที่ค้นหาข้อมูลจากอินเตอร์เน็ต BB ย่อมาจาก Blemish Balm มันคือแป้งผสมรองพื้นเนื้อมุกหน่อยๆ ไม่ว่าจะเอามาผสมในผลิตภัณฑ์อะไรเช่นครีมหรือแป้งแข็ง เมื่อทาแล้วก็จะทำให้หน้าดูสว่างใส ออกวิ้งๆหน่อยสไตล์เกาหลี เห็นแล้วชอบมากๆ










พอถ่ายรูปได้อย่างหนำใจที่คลองยอจวาชอนแล้ว เราก็หาทางไปสถานที่ที่สองที่เราทำการบ้านมาจากเมืองไทย นั่นก็คือสถานีรถไฟคยองฮวาหรือคยองฮวา-ย็อก (Gyunghwa-yeok) ให้เดินย้อนกลับไปที่ถนนใหญ่หน้าสถานีรถไฟจินแฮ เดินข้ามถนนแล้วหาป้ายรถเมล์ ขึ้นรถเมล์สาย 107 ราคาคนละ 1000 วอน ถามคนขับอีกทีว่าไปสถานีรถไฟคยองฮวาหรือเปล่า (คยองฮวาย็อก คาโย๊) ใช้เวลาเดินทางประมาณ 10-15 นาที ตอนจะลงเนี่ยก็เจอปัญหาเดิมอีกแล้วว่ามันจะต้องป้ายไหนว๊า พยายามอ่านชื่อที่ป้ายรถเมล์ไปเรื่อยๆจนเห็นว่ามันเขียนว่าคยองฮวาแล้วตามด้วยอะไรซักอย่างแต่ไม่ใช่ย็อก เราก็ว่าลงป้ายนี้ก็ได้ คงจะใกล้ถึงสถานีรถไฟแล้ว เดี๋ยวเดินหาเอาก็ได้ ที่ไหนได้ พอเราทำท่าจะลง คุณลุงคนขับก็ตะโกน ย๊าๆๆๆ !?@#$! ประมาณว่ายังไม่ถึง อย่าเพิ่งลง... แต่น้ำเสียงคุณลุงแกโหดร้ายมากเลยอ่ะ เราก็ได้แต่พยักหน้าหึหึ อ่ะค่ะลุง อย่าดุหนูสิคะ หนูกลัวแล้ว กลัวคุณลุงจะกินหัวหนูค่ะ จริงๆแล้วสถานีรถไฟคยองฮวาอยู่ป้ายถัดไปอีก 1 ป้ายเท่านั้น พอลงปั๊บก็ให้ข้ามถนนไป ก็จะเจอสถานีรถไฟอยู่ตรงหน้าเลย

สถานีรถไฟคยองฮวาเป็นอีกหนึ่งที่ที่มีต้นซากุระอยู่ขนาบสองข้างฝั่งของทางรถไฟ ระหว่างที่รถไฟยังไม่แล่นมา ผู้คนก็จะลงไปเดินบนทางรถไฟเพื่อถ่ายรูปโดยมีวิวต้นซากุระเป็นฉากหลัง แต่พอรถไฟเริ่มแล่นผ่านมา พนง.รถไฟก็จะเริ่มไล่คนให้ออกจากทางรถไฟ นักท่องเที่ยวก็ไม่หวั่นนะคะ ต้องรอให้รถไฟมันจะพุ่งมาชนแล้วจริงๆน่ะค่ะ ถึงจะยอมกระโดดออกจากราง ที่นี่เรายังพบว่ามีคุณครูพาน้องๆหนูๆนักเรียนอนุบาลมาทัศนศึกษาด้วยนะคะ น้องๆน่ารักกันมากๆเลย เท่าที่เห็นมาตั้งแต่วันแรกที่มาเกาหลี เด็กๆที่มาทัศนศึกษาเนี่ยแกจะดูร่าเริง ตื่นตัว ตื่นเต้น ไฮเปอร์กันมากๆ ดูน้องๆมีความสุขกับการได้ออกมาเรียนรู้นอกสถานที่มากมายเลย เราเห็นแล้วก็สนุกตามไปด้วย










เดินชมวิวได้เต็มอิ่ม ถ่ายรูปได้เต็มที่ เราก็ขึ้นรถเมล์สายเดิมกลับมาที่สถานีรถไฟจินแฮ แล้วเดินย้อนกลับมาที่วงเวียนแปดแยกเพื่อมาหาของกินกัน เพราะภายในสถานที่จัดงานนี้ก็จะเป็นลักษณะแบบงานวัดบ้านเรา คือจะมีร้านขายอาหาร ร้านขายของกินของใช้มือสอง มีปาเป้า ปาตุ๊กตาอะไรไปตามเรื่อง เราก็เลยได้หาของกินใส่ท้องนิดๆหน่อยๆ


พอได้เวลาประมาณบ่าย 2 โมงครึ่งกว่าๆ เราก็ตัดสินใจออกจากจินแฮกลับไปมาซาน เราซื้อตั๋วรถบัสจากมาซานกลับไปโซล (บอกจนท.ว่าซื้อตั๋วไปโซล 2 ที่ค่ะ; โซอูลคาโย ทู-มยองโย) ในรอบ 15.30 น. ซึ่งรอบนั้นจะเป็นรถบัสแบบธรรมดา คือที่นั่งจะเป็นแบบ 2 ที่นั่งทั้ง 2 ฝั่ง ทำให้เบาะก็จะเล็กกว่าตอนขามามาซานที่เป็นรถบัสแบบพิเศษนิดนึง แต่ค่าโดยสารก็จะถูกลงตามไปด้วย อันนี้ดีมากๆ ราคาคนละ 18700 วอน ถูกกว่าขามาตั้ง 9100 วอน ผู้โดยสารรอบนี้เยอะมากๆ เต็มทุกที่นั่ง ขากลับพอใกล้ๆเข้าโซลซึ่งก็มืดแล้ว รถเริ่มเยอะขึ้น เยอะขึ้น ไม่รู้เป็นเพราะว่าเป็นเวลากลับบ้านหรือเปล่า แต่ดูเหมือนว่ารถบัสของเราจะวิ่งอยู่ในเลนพิเศษที่เป็นเลนของรถบัสหรือรถที่ต้องกำหนดเวลาเดินทางอย่างชัดเจน ทำให้เราวิ่งอย่างค่อนข้างฉลุยกว่าเลนอื่นๆอย่างเห็นได้ชัด เพราะเลนอื่นๆก็จะเป็นรถยนต์ธรรมดา หรือรถบัสอื่นๆที่ไม่ใช่รถบัสบขส.แบบเรา เลนนั้นก็จะติดแหงก เคลื่อนตัวได้ช้ามาก แต่ถึงกระนั้นเราก็กลับมาถึงโคสกทอมินัลได้ช้ากว่าเวลาที่กำหนดไว้เกือบครึ่งชั่วโมง ขากลับระหว่างเดินไปสถานีรถไฟใต้ดิน แอบเห็นร้านขายโจ๊กร้านนึงน่ากินมาก แต่สั่งไม่เป็นอ่ะ บวกกับไม่ค่อยหิวเท่าไหร่ด้วย เพราะตอนที่รถจอดแวะที่จุกพักรถ เราก็ฟาดต็อกป๊อกกิไปแล้ว 1 จาน แป้งล้วนๆ อย่างอิ่ม คืนนั้นกลับไปถึงบีวอนก็เตรียมตัวแพ็คของใส่กระเป๋าเล็กเตรียมไปเกาะเชจูในวันพรุ่งนี้ แพ็คของไปก็ดู Boys Over Flowers เวอร์ชั่นเกาหลีไป ได้ข่าวว่าที่ดูเนี่ยมันเป็นเทปรีรัน เพราะของจริงมันเพิ่งจบไปเมื่อวันก่อนที่เราจะถึงเกาหลี ดูแล้วกรี๊ดคิมฮยอนจุง ณ ดับเบิ้ลเอสเหลือเกิน คนอะร้ายยยย ไม่ไหวจะเคลียร์ เดี๋ยวกลับไปเมืองไทย จะกลับไปดูที่โหลดไว้ให้เต็มอิ่มเลย




 

Create Date : 19 เมษายน 2552   
Last Update : 20 ธันวาคม 2552 18:32:30 น.   
Counter : 1221 Pageviews.  


13eyond your imagination in Korea (2)

วันที่ 2 กับประสบการณ์ปลากระป๋องที่ซูวอน

วันนี้โปรแกรมของเราคือการออกไปเมืองซูวอนเพื่อชมป้อมปราการเก่าซึ่งเปรียบเสมือนกำแพงเมืองเกาหลี ต่อด้วยไปหมู่บ้านพื้นเมืองเกาหลีที่ใหญ่ที่สุดในเกาหลีที่เมืองยงอิน สุดท้ายกลับมาโซลมาช้อปปิ้งเล็กๆน้อยๆและอัพเดทเทรนด์ที่เมียงดง เราเริ่มออกเดินทางโดยรถไฟใต้ดินสายที่ 1 จากจงโนซัมก้าตรงไปยังซูวอนได้เลย ใช้เวลาประมาณ 70 นาที เราเริ่มขึ้นรถตอนประมาณเืกือบ 8 โมงเช้า ซึ่งคาดว่าคงเป็นเป็นช่วง rush hour ของที่นั่นพอดี เพราะว่าตั้งแต่สถานีจงโนซัมก้าเนี่ยผู้คนก็เริ่มเยอะแล้ว จะบอกนิดนึงว่ารถใต้ดินสายที่ 1 จากจงโนซัมก้าเนี่ยมันจะมีเส้นทางปลายทางได้ 2 สถานีคือปลายทางสถานีชอนัน (Cheonan) กับปลายทางสถานีอินชอน (ดูแผนที่ประกอบ) ทีนี้ไอ่เราก็บื้ออ่ะ จะรีบขึ้นท่าเดียว ปลายทางมันไปไหนก็ไม่ได้ใส่ใจแต่ก็ได้ยินเค้าประกาศก่อนที่รถไฟจะจอดเทียบที่จงโนซัมก้านะว่ารถไฟคันนี้จะไปอินชอน เราก็ไม่รู้ล่ะ ตรูมารอถูกฝั่งแล้ว ยังไงมันก็คงผ่านซูวอนเหมือนกันล่ะน่า พอขึ้นไปได้ซักพัก ตาก็อ่านตามแผนที่เดินรถที่อยู่บนรถไฟก็ถึงได้รู้ว่าปลายทางอินชอนเนี่ยมันไม่ผ่านซูวอนเว้ย มันจะไปแยกกันที่สถานีกูโร (Guro) เราจะต้องเลือกคันที่บอกว่ามันไปปลายทางที่ชอนันต่างหาก ระหว่างที่คิดได้ว่าจะต้องลงที่สถานีกูโีร (แต่คิดว่าจะลงก่อน 1 สถานีคือสถานีชินโดริม Sindorim เพราะว่ากลัวพลาด) พอรถจอดแต่ละสถานี ผู้คนก็เริ่มหลั่งไหลมาจากไหนไม่รู้ เข้ามาเยอะขึ้น เยอะขึ้น อัดกันแน่นมากขึ้น มากขึ้น ประสบการณ์การโดนอัดกันในรถไฟจนเป็นปลากระป๋องก็เริ่มขึ้น เรายืนอยู่ใกล้ๆทางออกเลยเห็นความเป็นไปทุกอย่างได้อย่างชัดเจน ยิ่งผ่านไปๆ ตัวเราก็เริ่มถูกบีบอัดจากคนรอบข้างจนไม่มีที่ที่มือจะจับยึด ไอ่เราก็ตัวสูงหุ่นซูเปอร์โมเดลซะเหลือเกิ๊นนน (ประชด!) ไอ่การที่จะหวังว่าจะเอามือจับราวที่ห้อยมาจากเพดานรถไฟนี่ไม่ต้องพูดถึง ไอ่ครั้นจะจับเสาที่อยู่ข้างๆที่เป็นความหวังเดียวก็ดันถูกลุงป้าน้าอาพี่น้องเบียดซะไม่ต้องได้จับเลย ผู้คนที่ขึ้นกันต่อๆมาเค้าก็ไม่ละความพยายามนะ เหมือนมันเป็นชีวิตปกติของเค้าอยู่แล้ว จากที่เราเคยแต่ได้เห็นการอัดเป็นปลากระป๋องบนรถไฟที่ญี่ปุ่นจากในทีวีที่ต้องมีพนักงานสถานีมาช่วยแพ็คช่วยดันให้คนเข้าไปในรถไฟได้หมด ทีนี้ล่ะซึ้งเลย ได้เจอกับตัวเอง สุดท้ายเราก็ถูกอัดไปยืนอยู่หน้าอาจุมม่าและผองเพื่อนกลุ่มนึง อาจุมม่าที่นั่งอยู่แกก็ยังสนุกสนานกับการเม้าท์แตกกับเพื่อนๆอยู่เลยนะ พอแกอ้าปากที คิดดูว่าหัวเราแทบจะเข้าไปอยู่ในปากอาจุมม่าได้เลย พอถึงสถานีนึงก็มีคุณลุงอะจ๊อชชี่คนนึงแกพยายามจะลงให้ได้ คุณลุงแกก็เบียดหาทางออกสิคะ โอย!! ทรมานกว่านี้มีอีกมั้ย แกเบียดทีนี่เราแทบจะลงไปนั่งตักอาจุมม่ากันเลยทีเดียว แต่สุดท้ายก็อยู่รอดปลอดภัยถึงสถานีชินโดริมซะที (ออกซิเจนเกือบไม่พอ) เราก็ยืนรอจนได้ขึ้นรถไฟขบวนที่จะผ่านซูวอน แอบดีใจนิดนึงว่าขบวนที่จะไปซูวอนเนี่ยคนไม่มหาศาลเท่าขบวนก่อน


พอถึงซูวอนซึ่งสถานีนี้มันจะอยู่ภายในห้างสรรพสินค้าเอ-คยองหรือ AK ให้เราเดินออกมาทางหน้าห้าง จากนั้นให้เลี้ยวซ้าย เดินตรงไปซักพักก็จะเห็น i หรือ information center และป้ายรถเมล์ ให้รอรถเมล์สาย 2, 7, 7-2, 8, 13 เราขึ้นรถเมล์สาย 13 ก่อนขึ้นก็ถามคนขับซะหน่อยก็ได้ว่าไปป้อมฮวาซองหรือเปล่าคะ (ซูวอนฮวาซอง คาโย๊) ขึ้นรถได้ก็เอาบัตร T-money แปะไปที่เครื่องอ่านตั๋ว (ที่ซูวอนนี้สามารถใช้ T-money ได้นะคะ) นั่งรถไปประมาณ 10 นาทีก็จะถึงประตูใหญ่ๆขวางทางถนนทำให้เกิดเป็นวงเวียน ประตูนี้ก็คือประตูพัลทัลมุน ป้ายนี้จะมีคนลงเยอะ ให้ลงตามเค้าไปเลย จากนั้นเราก็ตัดสินใจอยู่ว่าจะข้ามถนนไปฝั่งซ้ายมือหรือจะเดินเลี้ยวขวาไปเลยดี เพราะว่าหนังสือคู่มือที่เราอ่านมาสองเล่มมันค้านกันเองอะดิ เราก็เลยลองเลี้ยวขวาไปก่อน ด้านนั้นเป็นทางที่จะมุ่งหน้าตรงไปยังตลาดสดนัมมุน ระหว่างทางเราก็เจอ i คุณลุงจนท.ที่นี่น่ารักมาก แกแก่แล้วนะแต่พูดภาษาอังกฤษคล่องปรื๋อจนน่าตกใจมาก คุณลุงแกก็แจกแผนที่ แจกคู่มือพร้อมแนะนำเส้นทางให้เสร็จสรรพ ว่าแล้วเราก็มาผิดทางอ่ะ จริงๆก็ไม่ผิดหรอก แต่เราดันมาฝั่งที่เป็นปลายทางของกำแพงเมืองแล้วสิล่ะ ถ้าอยากจะเดินทางฝั่งเริ่มต้นจะต้องเดินย้อนกลับไปที่ประตูพัลทัลมุน เราก็เลยเดินย้อนกลับไป ข้ามถนนไปฝั่งตรงกันข้าม เดินอีกนิดหน่อยก็จะเห็นทางขึ้นเขาไปสู่ป้อมฮวาซองหรือกำแพงเมืองเกาหลีแล้ว ทีนี้กะเตรียมเดินเผาผลาญพลังงานกันได้เลย สำหรับเราก็ได้รู้ซึ้งถึงผลของการไม่ยอมออกกำลังกายเลย เพราะว่าเหนื่อยยยยยยโฮกกกกกกกกก กว่าจะเดินถึงป้อมซอนามัมมุน (Seonamammun) ซึ่งเป็นจุดที่ 3 ของเส้นทางนี้ก็หอบแฮกๆไปไม่รู้กี่รอบ แต่หลังจากนั้นก็จะเริ่มสบายขึ้นแล้ว เพราะจะเริ่มเป็นการเดินทางราบค่อยข้างเยอะ จะมีเดินขึ้นเนินนิดๆหน่อยๆไม่ัชันมาก เราเดินชมป้อมฮวาซองเรื่อยๆก็จะผ่านจุดขายตั๋วราคาคนละ 1000 วอน คุณคนขายพูดญี่ปุ่นแถมหยิบโบรชัวร์ญี่ปุ่นให้เราเสร็จสรรพ โอย!! ป้าคะ หนูไม่ใช่ญี่ปุ่น บอกแล้วไงว่าหนูมาจากแทกุ๊ก (ประเทศไทย) ป้าไม่ฟังหนูเลยเหรอคะ




เดินไปอีกซักพัก เราก็เจอคุณลุงจนท.ผู้ใจดีสุดๆมาคอยอธิบายและเทคแคร์เราอย่างดี แถมบอกว่าเราดูเหมือนคนเกาหลีมากๆ ^^ เราพยายามจะเดินหนีจากคุณลุง คุณลุงก็ไม่ยอมแพ้ วิ่งตามมาอธิบายโน่นนี่ตลอดเวลา ดูท่าแกจะอยากปฏิบัติหน้าที่เอามากๆ แต่ก็ขอบคุณคุณลุงมากเลยนะคะที่คุณลุงถ่ายรูปให้เราด้วย 1 รูป (ซึ่งแกเล็งนานมากแต่รูปก็ออกมาไม่ไหวเลยอ่า) เราเดินได้ถึงแค่จุดที่ 9 ตามแผนที่ก็ดูเหมือนเวลาจะไม่พอซะแล้ว ยังไม่ได้ไปฮวาซองแฮงกุงหรือพระราชวังชั่วคราวของกษัตริย์เลย เราก็เลยรีบหาทางลงเขา พอไปถึงหน้าพระราชวังก็กำลังมีการแสดงพื้นเมืองเกาหลีอยู่พอดี จากนั้นก็ซื้อตั๋วเข้าชมพระราชวังคนละ 1500 วอน ภายในพระราชวังก็ไม่มีอะไรมาก เหมือนๆกับพระราชวังเกาหลีทั่วๆไปนั่นล่ะ (แสดงว่าเริ่มจะเอียนแล้ว) แถมตอนนั้นเค้ากำลังปรับปรุงพื้นที่บางส่วนอยู่ด้วย มันก็เลยดูไม่ค่อยเรียบร้อยเท่าไหร่









ระหว่างทางบนท้องถนน เจอโปสเตอร์อะไรก็โดนใจ ก็ถ่ายรูปไปซะหมด อย่างเช่นอันนี้เป็นต้น อิอิ

ได้เวลาประมาณเที่ยง เราก็จับรถเมล์สาย 13 เดินย้อนกลับไปขึ้นที่ประตูพัลทัลมุน ฝั่งตรงข้ามกับขามาแต่เป็นฝั่งเดียวกับจุดที่เริ่มเดินขึ้นเขาไปป้อมฮวาซอง กลับมาลงที่ป้ายหน้าสถานีซูวอน แล้วเดินเข้าไปซื้อตั๋วเข้าชมหมู่บ้านพื้นเมืองเกาหลีเมืองยงอิน (Korean Folk Village อ่านตามเกาหลีได้ว่า โคเรียน โพค บิลเลจี หรือชื่อตามเกาหลีคือฮันกุ๊ก มินซกชน) ที่ภายใน i ตั๋วจะมีอยู่ 3 ราคาตามแพคเกจ เราเลือกแพคเกจที่ 2 ราคาคนละ 15000 วอน รวมค่า Admission, Folk Museum และ World Folk Museum จากนั้นก็รอขึ้นรถแชตเทิลบัสฟรีที่มีบริการให้นักท่องเที่ยวที่ลานจอดรถข้างๆ i นั่นเลย ตรวจสอบเวลาเดินรถทั้งขาไปและขากลับและข้อมูลอื่นๆของหมู่บ้านพื้นเมืองนี้ได้ที่ www.koreanfolk.co.kr

เราขึ้นรถแชตเทิลบัสตอน 12.30 น. ใช้เวลาเดินทางประมาณ 40 นาทีก็ถึงที่หมาย เนื่องจากเรายังไม่ได้กินข้าวเที่ยง ก็เลยตั้งใจว่าจะมาหาข้าวกินกันที่นี่ล่ะ เพราะอ่านคู่มือมาก่อนหน้านี้ว่าที่นี่จะมีศูนย์อาหารพื้นเมืองสไตล์เกาหลีขายด้วย ทีนี้จะได้กินอาหารเกาหลีจริงๆมื้อแรกซะที หมู่บ้านพื้นเมืองนี้เต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวญี่ปุ่น เจอคนไทยอยู่แค่กลุ่มเดียวเท่านั้น ไม่แปลกใจที่ทำไมเดินไปทางไหนคนเกาหลีีถ้าไม่ทักทายเราด้วยเกาหลีก็พูดญี่ปุ่นใส่เลย เพราะว่านักท่องเที่ยวญี่ปุ่นมาเที่ยวเกาหลีเยอะที่สุดจริงๆ แต่นักท่องเที่ยวชาวตะวันตกจะมีน้อยมาก น้อยกว่าประเทศไทยอย่างเทียบไม่ได้เลย ภายในหมู่บ้านพื้นเมืองจะแสดงวิถีชีวิตของคนเกาหลีในภูมิภาคต่างๆและตามระดับฐานะทางสังคมต่างๆเช่นบ้านของชาวนาในภาคต่างๆ บ้านคนธรรมดาทั่วไป บ้านคนรับใช้ จวนผู้ว่าฯ ศาลากลางจังหวัด บ้านขุนนาง (ภายในบ้านขุนนางจะมีการแสดงพิธีแต่งงานแบบเกาหลีวันละ 2 รอบ แต่เราอดดู) นอกจากนั้นก็ยังมีบริเวณลานกลางแจ้งสำหรับโชว์การแสดงพื้นบ้านต่างๆของเกาหลีด้วย โดยปกติการแสดงจะมีให้ชมการแสดงละ 2 รอบ รอบแรกเริ่มตั้งแต่เวลา 11.00 น. รอบที่สองเริ่มเวลา 15.00 น.








เดินเกือบครบรอบ เราก็มาถึงโคเรียนฟู้ดคอร์ท สถานที่ฝากท้องของเรา ที่นี่มันจะเป็นลานกว้างๆ ตรงกลางเป็นโต๊ะให้นั่งกินอาหารอยู่หลายแบบ ทั้งแบบที่เป็นโต๊ะเตี้ยๆ นั่งขัดสมาธิกิน กับโต๊ะที่นั่งเก้าอี้แบบตะวันตก รายล้อมด้วยร้านขายอาหารที่เป็นบ้านเป็นหลังๆ แต่ละบ้านก็ติดเบอร์อยู่หน้าบ้าน แล้วก็มีซุ้มขายตั๋วอยู่เป็นระยะ วิธีใช้บริการก็คือให้เราอ่านเมนูที่หน้าซุ้มขายตั๋ว เมนูจะมีภาษาอังกฤษกำกับอยู่ไม่ต้องกลัว ที่เมนูก็จะเขียนหมายเลขร้านที่ขายอาหารนั้นๆอยู่ด้วย เพราะว่าเมนูเดียวกันก็อาจจะมีร้านค้าที่ขายเมนูนั้นๆอยู่มากกว่า 1 ร้าน จากนั้นให้เราบอกเมนูพร้อมจำนวนที่ต้องการสั่งแก่คุณคนขายตั๋วพร้อมจ่ายเงิน เค้าก็จะออกใบเสร็จมาให้พร้อมกับบอกว่าเมนูนี้จะต้องไปยื่นให้ที่ร้านเบอร์อะไร จากนั้นเราก็ยื่นใบเสร็จที่มีเมนูพิมพ์ติดอยู่แล้วให้กับร้านขายอาหาร เค้าก็จะทำอาหารให้ตามใบสั่ง ส่วนใหญ่จะเป็นการทำให้เดี๋ยวนั้นเลย ดีจริงๆ อาหารร้อนดี วันนั้นเราสั่งบะหมี่อะไรซักอย่าง ซุปกิมจิหรือกิมจิชิเกะ (อันนี้สั่งเพราะรู้จักอยู่อย่างเดียว แล้วก็ไม่ผิดหวัง ด้วยความที่มันเป็นแกงร้อนๆ เผ็ดๆหน่อย กินกับข้าวสวยแล้วสดชื่นมากมาย)


เมื่ออิ่มแล้วก็เดินต่อไปที่ลานการแสดง ก็มีการแสดงไม้กระดกโดยสองสาวน้อยเกาหลี ไม้กระดกมันก็เหมือนของบ้านเรานั่นล่ะ เพราะฉะนั้นมันก็ดูจะธรรมดาเกินไปถ้าสองสาวจะมานั่งเล่นไม้กระดกให้คนอื่นดู เธอก็เลยยืนบนไม้กระดกแล้วก็กระโดดเทคตัวขึ้นไปสูงๆสลับกัน ต่อมาก็เข้าขั้นแอดวานซ์มากขึ้นโดยการกระโดดไปพร้อมกับในมือก็ถืออุปกรณ์เช่นริบบิ้น แล้วก็โบกไปมามั่ง ลอดขามั่ง ประหนึ่งว่ากำลังโชว์ยิมนาสติกลีลากันอยู่ อะเมซซิ่งมาก เท่านั้นยังไม่พอ สองสาวก็สลับกับม้วนตัวตีลังกาขณะที่เทคตัวขึ้นไปบนอากาศ แล้วก็กลับมายืนบนไม้กระดกได้อย่างสง่างาม วิ้ววววว เจ๋งมากคร่าคุณน้อง ประทับใจจริงๆ จากนั้นก็เป็นการแสดงของฮาราบอจี (คุณตา) โดยคุณตาคนนี้ท่าทางจะตลกอ่า เพราะแกพูดอะไร นักท่องเที่ยวเกาหลีก็หัวเราะกันใหญ่เลย คุณตาแกมาแสดงความสามารถพิเศษคือการเดินไต่เชือก มือข้างนึงของคุณตาถือพัด (เดาว่าเพื่อความสมดุลของร่างกาย) ทีนี้เชือกมันก็มีแรงเด้งดึ๋งใช่มั้ย คุณตาก็กระโดดดึ๋งๆตามเชือกไปด้วย บางทีก็กระโดดแล้วลงมานั่งขัดสมาธิบนเชือกแล้วก็กลับกระเด้งขึ้นไปยืนบนเชือกได้อีก โห!! คุณตานี่แข็งแรงจริงๆเลย นับถือๆ แต่ดูเหมือนโชว์นี้จะนานเกินพอดีไปหน่อย แถมคุณตาพูดอะไรก็ไม่รู้ ก็ภาษาเกาหลีนี่คะคุณตา หนูไม่รู้เรื่อง เราก็เลยเริ่มเบื่อเพราะคุณตาแกก็เริ่มจะโชว์ซ้ำแต่ท่าเดิมๆ ก็เลยเดินออกจากลานแสดงนั้นเดินต่อไปยัง Korean Folk Museum ซึ่งเป็นพิพิธภัณฑ์แสดงวิถีชีวิต ขนบธรรมเนียมและวัฒนธรรมต่างๆของชาวเกาหลี


รถแชตเทิลบัสฟรีจากยงอินไปซูวอนรอบสุดท้ายคือ 16.30 น. พอใกล้เวลากลับเราก็ออกไปรอรถ กลับถึงซูวอนประมาณ 5 โมงกว่าๆ จากนั้นเราก็จับรถไฟใต้ดินมุ่งตรงไปยังสถานีเมียงดงกันเลย จากซูวอนขึ้นรถไฟสายที่ 1 ไปเปลี่ยนเป็นสายที่ 4 ที่สถานีกึมจอง (Geumjeong) แล้วค่อยไปลงที่เมียงดง ให้ออกที่ทางออกที่ 6

ไปถึงเมียงดงตอนนั้นก็ประมาณเกือบทุ่มได้ ได้แวะซื้อขนมนิดหน่อยแก้หิว แล้วก็เดินซื้อเครื่องสำอางตามใบสั่งของแม่และน้องโบว์ แต่ก็ได้ของตัวเองมาอย่างเยอะ ลองซื้อแป้ง BB Magic Powder ของ ETUDE มาด้วย แบบว่าเราเฉิ่มมากๆที่ไม่รู้ว่าบีบีมันคืออะไร เคยได้ยินในทีวีไทยที่มิสทีนออกมาประกาศว่าขออภัยค่ะ บีบีครีมวัตถุดิบนำเข้าจากเกาหลีขาดตลาด ตอนนี้ออกมาแล้ว ทางมิสทีนจะตอบแทนลูกค้าโดยการแถมโน่นแถมนี่ให้ด้วย ก็เคยถามคนที่ทำงานนะว่ามันคืออะไร แต่ก็ไม่ได้คำตอบที่พอใจอ่ะ นัยว่าเฉิ่มพอกัน (แต่เดี๋ยวพรุ่งนี้เราก็จะได้เห็นอิทธิพลอันมหัศจรรย์ของแป้งบีบีกัน รู้งี้ไปสอยมาตั้งนานแย้ว) ที่ร้านเดอะเฟสช้อปถ้าเกิดเราทำท่างกๆเงิ่นๆเลือกของอยู่ล่ะก็ จะมีคุณพนง.มาประกบติดเป็นระยะๆ ความจริงเราไม่ค่อยชอบอารมณ์นี้เท่าไหร่เลย คือเป็นคนไม่ชอบคุยอ่ะ ถ้าอยากรู้จะถามเองล่ะคุณ มาประกบติดยังงี้ มันอยากจะเดินออกแล้ว (ให้อารมณ์เหมือนกับตอนเดินร้าน Kini irimashita ที่สยามตอนที่ร้านมันยังอยู่ที่เซ็นเตอร์พ้อยท์เลยอ่ะ ใครเคยเข้าร้านนี้มั่ง แต่เดี๋ยวนี้พอร้านมันย้ายมาอยู่ปากซอยข้างลิโดแล้วเหมือนจะดีขึ้น) แต่เราก็พยายามอดทนเดินเลือกของอยู่ได้อีกซักพัก ก็มีพนง.มาถามพูดญี่ปุ่นใส่เรา (อีกแล้ว) เราก็ตอบว่ามะใช่ญี่ปุ่นห่ะ อิเจ๊นี่ไม่เชื่อคร่า ทำหน้าทำตาเหวอสุดขีด Really ฮนโต๊ (ภาษาญี่ปุ่น) จินจาโร๊ (ภาษาเกาหลี) เจ๊แกขุดมาทุกภาษาเลยค่ะที่แปลว่า ‘จริงเหรอ?’ ไอ่เราก็พอฟังออกหมด แต่มันไม่ใช่ภาษาแม่เดี๊ยนฮ่า เค้าก็พยายามจะถามอีกนะว่าเป็นลูกครึ่งอ๊ะป่าว ออมม่า อัปป้า โอโตซัง โอก้าซัง เป็นคนพวกนี้รึป่าว... ป่าวค้าบบบ ชีถึงเลิกถาม แล้วก็เลยเหวอเลย พูดต่ออังกฤษไม่ได้ ไม่รู้จะแนะนำสินค้าอะไรให้เรา แต่พอเค้าเห็นของในตะกร้าเราเป็นพวกคอลลาเจนซะเยอะ เราก็บอกว่านี่น่ะซื้อให้แม่อ่ะค่ะ คุณพนง.ก็บอกว่า อ๊า!! ใช่ๆๆ ครีมระดับนี้มันต้องแม่คุณใช้เท่านั้นค่ะ เพราะว่ามันลดรอยเหี่ยวย่นขั้นเทพ 55+



พอช้อปปิ้งตามใบสั่งเสร็จ ก็เดินเล่นต่อไปเรื่อยๆ จริงๆไม่มีจุดประสงค์จะซื้ออะไรอย่างอื่นในเกาหลีนอกจากเครื่องสำอางสัญชาติเกาหลีที่รู้มาก่อนหน้าว่าถูกกว่าที่เมืองไทยหลายเท่าตัวนัก ส่วนของใช้อย่างอื่นกะว่าไม่ซื้อเลยอ่ะ เพราะอยากจะกลับไปช้อปช่วยชาติที่เมืองไทยมากกว่า แค่สนองกิเลสส่วนตัวมาเที่ยวเกาหลี เงินก็รั่วไหลออกนอกประเทศไปเยอะมากแล้ว ได้เดินผ่านร้านซีดี ดีวีดีเล็กๆร้านนึงเข้า มีจัดอันดับซีดีขายดีประจำร้านด้วย และแล้วแต่น แตน แต๊น ที่ 1 ประจำสัปดาห์นี้ก็คืออัลบั้มซอรี่ ซอรี่ อัลบั้มที่ 3 ของลูกลิงทั้ง 13 ซูเปอร์จูเนียร์นั่นเอง วิ้วววววววว ชุกคาฮัมนีดะ ชุกคาฮัมนีดะ ยินดีด้วยค่าเด็กๆ อารมณ์ดีอีกแล้วเรา จากนั้นเราก็เริ่มมองหาร้านอาหารกินมื้อเย็นของวันนี้ สุดท้ายก็ได้มาที่ร้านยูคาเน (Yukane) เห็นหน้าร้านมีเมนูไก่ย่างเกาหลีหรือ chicken kalbi แล้วเพิ่งมารู้ตอนสั่งด้วยว่ามากัน 2 คนมันก็ต้องสั่ง 2 ที่ จะมาประหยัดสั่งที่เดียวไม่ได้ มันเหมือนว่าอันนี้มันเป็น main dish อ่ะ ส่วน side dish นี่จะสั่งที่เดียวก็ไม่เป็นไร ว่าแล้วเราก็เลยสั่ง chicken kalbi 2 ที่ แล้วก็มีต๊อก (tteok) เป็น side dish ซักพักพนง.ก็ติดไฟในกระทะให้ เอาผักนานาชนิดมาลงในกระทะพร้อมไม้พาย 1 อัน ส่วนช้อนและตะเกียบหยิบได้จากลิ้นชักเล็กๆข้างๆโต๊ะ น้ำเปล่าเสิร์ฟฟรี เอาหล่ะ พอของลงแล้วคราวนี้เราก็งงสิคะ แบบว่าทำไม่เป็นอ่า ก็เลยตัดสินใจผัดผักดิบกับกระทะนั้นไปเรื่อยๆ มันก็ไม่มีทีท่าว่าจะสุกมาได้เลย ก็ส่วนใหญ่มันเป็นผักกะหล่ำด้วยอ่ะ สุกง่ายซะที่ไหน อีกแป๊บนึงพนง.ก็เอาต๊อกมา เราก็ตั้งหน้าตั้งตาคลุกกันต่อไป ทีนี้ไม่รู้ว่าพนง.จะเห็นว่ากะเหรี่ยงสองคนนี้ท่าจะไม่รอดหรือมันเป็นบริการตามปกติของร้านเค้าอยู่แล้ว คุณพนง.หญิงคนนึงก็เข้ามาจัดการแสดงการผัดให้เราดูซักครู่ แล้วก็เดินออกไป อีกแป๊บเค้าก็เอาไก่ที่คลุกซอสมาแล้วมาคลุกรวมกันในกระทะ ไอ่เราก็คลุกๆผัดๆกันต่อไป แต่ทำเท่าไหร่มันก็เหมือนจะยังกินไม่ได้ซักที พนง.ก็กลับมาผัดให้อีกเป็นครั้งที่ 2 แล้วเราก็ผัดๆคลุกๆกันอีก ทีนี้เริ่มจะรอไม่ไหวแล้ว เอาวะ!! มันคงกินได้แล้วมั้ง ทั้งๆที่ใจจริงก็รู้สึกได้นะว่ามันยังไม่สุกดีอ่ะ พอเริ่มจะเอาตะเกียบคีบเข้าปากเท่านั้นล่ะ คุณพนง.ก็พุ่งมาพร้อมกับทำมือทำแขนเป็นรูปกากบาทอันเป็นสัญญาณว่า “ยังกินไม่ได้นะคร้าบบบบคุณ” จากนั้นเค้าก็รีบเข้ามาผัดให้จนมันกินได้ ระหว่างที่เค้าผัดก็เห็นป้ายชื่อที่หน้าอกด้วยคุณพนง.สุดเท่มัดผมจุกคนนี้เป็นถึงผู้จัดการร้านเลยนะเออ แบบว่าเท่มาก เท่ได้อีก น่ารักน่าหยิก ละม้ายคล้ายจางกึนซอกมากๆ กรี๊ดดดด (ใจเย็นปร้า ใจเย็น เมื่อวานปร้าเพิ่งจะกรี๊ดอีทงแฮอยู่นะ) คุณผู้จัดการก็จัดการผัดให้เราจนกินได้ พอมันเข้าเนื้อกันหมดแล้วก็อร่อยดีเหมือนกันเมนูนี้ ผักและเห็ดสดดี หวานด้วย แต่เป็นมื้อที่ใหญ่มากเหมือนกัน และเนื่องจากได้ตุนขนมระหว่างทางลงท้องมาก่อนหน้านี้นิดนึง ตอนหลังๆก็เริ่มจะกินกันแบบเขี่ยๆแล้ว แต่สุดท้ายก็กินกันเกือบหมดนั่นแหล่ะ พอออกจากร้านกินข้าวก็เดินเข้าไปในห้าง Migliore เข้าไปก็ให้ความรู้สึกแบบประตูน้ำแพลทตินั่มเด๊ะเลย สงสัยแพลทตินั่มจะไปก็อปไอเดียห้างนี้มา เราก็เลยได้แต่เดินดูผ่านๆให้เห็นว่าตอนนี้เกาหลีเค้าอินเทรนด์อะไรกันอยู่บ้าง ก็เป็นเสื้อผ้าที่น่ารักน่าซื้อดีเหมือนกัน เป็นสไตล์ที่เราน่าจะใส่ได้และก็ชอบๆอยู่


ออกจากเมียงดง 2 ทุ่มครึ่งกว่าๆได้ กลับบีวอนโดยขึ้นรถไฟใต้ดินสาย 4 มาเปลี่ยนสาย 1 ที่สถานีัชุงมูโร (Chungmuro) ต่อไปสถานีัจงโนซัมก้า ใช้เวลาประมาณ 10 นาที คืนนี้หลับสบายอีกแล้วเพราะก่อนนอนดูช่อง ETN กับ Mnet มีข่าวคิบอมมี่เรื่องที่หายไปจากไลฟ์อัลบั้มสามนี้ด้วย แต่สาระฟังไม่ออกเลย อยากรู้จริงๆว่าเค้าพูดว่าอะไร แล้วก็มีข่าวที่เด็ก 5 สีชายนี่กับสาวๆโซนยอมาไทยงานพัทยามิวสิคเฟสด้วย น่ารักกันจริงๆ




 

Create Date : 14 เมษายน 2552   
Last Update : 14 เมษายน 2552 17:05:25 น.   
Counter : 1495 Pageviews.  


1  2  

katiekat
 
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 8 คน [?]




ต้องการสอบถามข้อมูลการเดินทางทริปต่างๆที่แคทไปแล้ว ให้ติดต่อผ่านอีเมล์ chayadak@hotmail.com หรือ chayadak@yahoo.com นะคะ เพราะว่าหลายคนทิ้งไว้ในกล่องข้อความของ bloggang แต่แคทไม่ค่อยได้เปิดเลย ทำให้พอมาเปิดอีกที เวลาผ่านไปเกือบปี (แป่ววว!! เค้าจะรอหล่อนตอบมั้ยเนี่ย เค้าไม่โบยบินไปถึงไหนต่อไหนแล้วรึ)... ยินดีและเต็มใจตอบทุกคำถามที่พอจะช่วยได้ค่ะ
New Comments
[Add katiekat's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com