จากจุดนี้ก็เป็นอันสิ้นสุดทัวร์รัฐสภาฮังการี ใช้เวลาทัวร์ทั้งหมดประมาณ 45 นาที และก็ยังเป็นการสิ้นสุดโปรแกรมเที่ยวของเราในบูดาเปสต์และในทริปนี้ก็ว่าได้ เรานั่งรถไฟใต้ดินโดยซื้อตั๋วชนิด short metro ticket คนละ 260 HUF จากสถานี Kossuth Lajos ter ไปยังโฮสเทลที่สถานี Astoria จัดแจงเอากระเป๋าออกจากโฮสเทลแล้วขึ้นรถไฟใต้ดินอีกครั้ง มุ่งหน้าไปยังสถานีรถไฟ Budapest Keleti Palyaudvar เพื่อรอรถไฟรอบ 13.10 น. กลับไปยังเวียนนา ตอนจะกลับเข้าไปเอากระเป๋าที่ Astoria City Hostel นี่ก็ยุ่งยากนิดหน่อยเพราะเราคืนกุญแจเข้าโฮสเทลไปแล้ว ก็เลยเปิดประตูใหญ่หน้าทางเข้าตึกไม่ได้ จะกดออดก็หาไม่เจอ โชคดีที่มีคนที่อาศัยอยู่ในตึกนั้นเปิดประตูเข้าไปพอดี เราเลยอาศัยจังหวะนั้นขอเข้าไปด้วย นี่ไม่รู้ว่าถ้าเมื่อวานวันที่จะเข้าไปเช็คอินไม่เจอผู้ชายผิวสีที่พักอยู่ที่โฮสเทลเหมือนกันคนนั้น ก็คงจะไม่ได้เข้าไปเช็คอินง่ายๆแน่
เมื่อเราเดินจากด้านหน้าพระราชวังแล้วเลี้ยวขวาอ้อมผ่านตัวอาคารลอดใต้อุโมงค์มาอีกด้านจะเจอ Museum of Contemporary Arts Ludwig Museum Bedapest (โปรแกรมเที่ยวในบูดาเปสต์เราจะไม่เข้าชมพิพิธภัณฑ์อีกแล้ว เพราะอิ่มล้นจากที่เวียนนาจนตื้อไปหมด) ด้านหน้าพิพิธภัณฑ์จะเป็นอนุสาวรีย์คนล่าม้า (Horse Wrangler, The statue of the Hortobagy) ด้านซ้ายมือเป็นอนุสาวรีย์น้ำพุ Matthias Fountain ซึ่งเป็นรูปปั้นของเหล่านายพรานที่มีกษัตริย์แมทธิอาสเป็นผู้นำ เลี้ยวซ้ายที่อนุสาวรีย์น้ำพุจะเจอซุ้มประตูลอดเข้าไปยังจัตุรัสกลางปราสาทบูดา ซึ่งรอบจุตรัสก็จะเป็นสถานที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์ต่างๆคือ Budapest History Museum และ Hungary National Gallery
จาก Heros square เรานั่งรถไฟใต้ดิน M1 สายสีเหลืองย้อนกลับมา 6 สถานี มาลงที่ Bajci Zsilinszky Ut (อ่านว่าอะไรเนี่ย!!) เพื่อเข้าชมโบสถ์ที่มีความสำคัญมากอีกแห่งหนึ่งของบูดาเปสต์นั่นคือ St. Stephens Basilica โบสถ์ที่มีความใหญ่โตที่สุดในบูดาเปสต์ โบสถ์นี้เป็นโบสถ์คาทอลิกศิลปะ Neo-Classical ใช้เวลาก่อสร้างยาวนานกว่า 50 ปีเพราะประสบปัญหาหลายอย่าง แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดที่ทำให้ St. Stephens Basilica มีความสำคัญและเป็นแรงดึงดูดให้คริสตศาสนิกชนและนักท่องเที่ยวทั่วไปหลั่งไหลมาที่นี่คงเป็นเพราะที่นี่เป็นสถานที่เก็บพระหัตถ์ข้างขวาของกษัตริย์เซนต์สตีเฟ่น (The Holy Right Hand of King St. Stephen) ปฐมกษัตริย์ผู้ก่อตั้งประเทศฮังการี การค้นพบและพบว่าพระหัตถ์ขวาของท่านยังคงอยู่โดยไม่เสื่อมสลายเป็นที่โจษจันและเลื่อมใสจากทั่วทั้งประเทศ แต่กว่าพระหัตถ์ขวาของกษัตริย์เซนต์สตีเฟ่นจะถูกเก็บรักษาที่โบสถ์เซนต์สตีเฟ่นนี้ในปี 1945 ก็ได้ถูกเก็บรักษาและส่งผ่านไปในหลายๆประเทศตั้งแต่เมือง Bihar ใน Transylvania เมือง Ragusa (ปัจจุบันอยู่ที่เมือง Dubrovnik ประเทศโครเอเชีย) จนไปถึงเวียนนา
ห้องสวดมนต์เล็กๆในโบสถ์เซนต์สตีเฟ่นที่เป็นที่เก็บรักษา The Holy Right Hand นี้อยู่ทางด้านซ้ายมือขององค์ประธานของโบสถ์ The Holy Right Hand ถูกเก็บรักษาในหีบกระจกเล็กๆซึ่งวางบนแท่นบูชาอีกทีหนึ่ง หากดูตามปกติ ภายในหีบจะค่อนข้างมืดทำให้มองเห็น The Holy Right Hand ไม่ถนัด ต้องหยอดเหรียญ 100 HUF ที่ตู้รับบริจาคด้านข้าง เมื่อหยอดเหรียญแล้ว หีบกระจกจะส่องแสงสว่างให้เรามองเห็น The Holy Right Hand ได้อย่างชัดเจนเป็นเวลา 2 นาที
The Holy Right Hand
ออกจาก St. Stephens Basilica เราเดินย้อนขึ้นไปทางสถานีรถไฟใต้ดิน Opera เพื่อไปชมโรงละครโอเปร่าของบูดาเปสต์ ซึ่งจะมีการนำทัวร์ภายในโรงละครทุกวันเวลา 15.00 และ 16.00 ราคาคนละ 2800 HUF แต่เราไปไม่ทันก็เลยได้แต่ชมจากด้านนอกและเดินเข้าไปด้านในแค่บริเวณที่ขายตั๋วเท่านั้น
มื้อเย็นวันนี้เราไปอุดหนุนคนไทยในต่างแดนอีกครั้งที่ร้านอาหารไทย Bangkok House ที่ใกล้ๆกับ Central Market Hall เมื่อนั่งรถรางมาลงที่ป้าย Fovam ter ที่หน้า Central Market Hall แล้ว ให้หันหลังให้ Central Market Hall จะเห็นร้าน Burger King อยู่ขวามือ เดินตรงไปตามถนนคนเดินข้างหน้าที่ชื่อ Vaci utca เมื่อพ้นมุมตึกแรกทางขวามือก็ให้เลี้ยวขวา จะเห็นป้ายร้าน Bangkok House ตั้งอยู่ตรงหน้าเลย ร้านอยู่ที่ชั้นใต้ดินของโรงแรม สอบถามผู้จัดการร้านซึ่งเป็นคนไทยแล้วว่ามีพ่อครัวคนไทย 2 คน อาหารร้านนี้รสชาติอร่อยอยู่แต่รสจัดมากกก สั่งผัดกระเพราไปเพราะอยู่ๆก็อยากกินมาก ก็เลยน้ำมูกย้อย น้ำตาไหลไปจนกินเสร็จ ไม่รู้ที่จัดให้หนัก ผัดให้เผ็ดขนาดนี้เพราะเขาเห็นว่าเราเป็นคนไทยหรือเปล่า แต่ถ้าไม่ใช่แล้วทำรสชาติยังงี้กับลูกค้าต่างชาติล่ะก็ ลูกค้าจะรอดไหมเนี่ย
เมื่อจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการีล่มสลายในปี 1918 พระราชวังเชินบรุนน์จึงตกเป็นของสาธารณรัฐออสเตรียและอยู่ภายใต้การบริหารงานของ Schloss Schönbrunn Kultur- und Betriebsges.m.b.H. (SKB)
ย้อนกลับมาที่เรื่องพิพิธภัณฑ์ Sisi, Sisi เป็นชื่อเรียกกันภายในหมู่พระญาติของดัชเชสเอลิซะเบ็ธแห่งบาวาเรีย (Duchess Elisabeth in Bavaria) ภายหลังพระองค์ทรงอภิเษกสมรสกับ สมเด็จพระจักรพรรดิฟรานซ์ โจเซฟที่ 1 และได้รับการสถาปนาเป็นสมเด็จพระจักรพรรดินีเอลิซะเบ็ธ Sisi มีพระสิริโฉมงดงามมาก จึงเป็นที่รักใคร่ของผู้พบเห็น ภายในพิพิธภัณฑ์ Sisi และ Imperial Apartments ไม่อนุญาตให้ถ่ายรูป เราจึงต้องใช้รูปภายจากเว็บไซต์มาลงไว้เพื่อเตือนความจำแทน เริ่มต้นด้วยพิพิธภัณฑ์ Sisi ที่เล่าเรื่องราวของพระจักรพรรดินีผู้เลอโฉม ตลอดช่วงชีวิตของพระองค์มีทั้งช่วงที่พระองค์มีความสุขที่สุดในฐานะพระจักรพรรดินีแห่งออสเตรียและพระราชินีแห่งฮังการี และมีความทุกข์ที่สุดจากการสูญเสียพระโอรสอันเป็นที่รักยิ่งจากการอัตวินิตบาตกรรม พระองค์ฉลองพระองค์สีดำตลอดตั้งแต่นั้นมาจวบจนวันสิ้นพระชนม์ และเป็นเรื่องที่น่าเศร้าที่สุดเรื่องหนึ่งของราชวงศ์เมื่อพระจักรพรรดินี Sisi ถูกลอบปลงพระชนม์จากพวกต่อต้านราชวงศ์ชาวอิตาเลียนที่เมืองเจนีวา สวิตเซอร์แลนด์ ภายในพิพิธภัณฑ์ยังจัดแสดงฉลองพระองค์ เครื่องใช้ส่วนพระองค์ รถพระที่นั่งจำลอง และลายพระหัตถ์ของพระจักรพรรดินี Sisi ให้เราได้เข้าถึงประวัติศาสตร์มากขึ้น