KatieKat... Let's share your thought
 
 

Original Magyar (2)

Czech - Austria - Hungary (11)

วันที่ 11: Budapest - Wien – BKK


วันสุดท้ายของการเดินทาง เรามีโปรแกรมไปอาบน้ำแร่กันแต่เช้าท้าลมหนาวที่ Szechenyi thermal bath spa //www.budapestgyogyfurdoi.hu/en/szechenyi/history จริงๆแล้วที่บูดาเปสต์มีโรงอาบน้ำแร่มากมายหลายที่ แต่ที่นี่ถือได้ว่าเป็น “One of the largest bathing complexes in Europe” เราอยากลองสัมผัสบรรยากาศโรงอาบน้ำแร่สไตล์ยุโรปท่ามกลางตัวอาคารที่มีการออกแบบและตกแต่งแบบศิลปะนีโอ-บารอค แถมยังมีบ่ออาบน้ำกลางแจ้งดูแล้วเหมือนกำลังเล่นสวนน้ำที่สวนสยามซะด้วย ท่ามกลางอากาศหนาวแบบสุดขั้วอย่างนี้น่าจะมันส์ดี เลยต้องไปลองกันซะหน่อย จากสถานีรถไฟใต้ดิน Astoria เราใช้ตั๋ว 24-hour ticket ใบเดิมจากเมื่อวานเนื่องจากมันยังไม่ครบ 24 ชม.จากเวลาที่เราซื้อมา นั่งเมโทร M2 สายสีแดงไปลงที่ Deak Ferenc ter จากนั้นเปลี่ยนเป็นเมโทร M1 สายสีแดงนั่งยาวไปเกือบสุดสาย ลงที่สถานี Szechenyi Furdo ออกจากสถานีก็จะเจอโรงอาบน้ำแร่อยู่ตรงหน้าเลย เข้าไปด้านในอาคารเพื่อซื้อตั๋วสำหรับ 2 คนแต่ใช้ล็อคเกอร์เดียวกันราคารวม 3,250 + 3,650 = 6,900 HUF หลังจากซื้อตั๋วแล้วทางโรงอาบน้ำจะแจกสายรัดข้อมือที่เป็นเหมือนนาฬิกาข้อมือพลาสติกให้ทุกคนรัดข้อมือติดตัวไปตลอดการใช้บริการที่โรงอาบน้ำ ซึ่งจริงๆแล้วนาฬิกาพลาสติกนี้ก็คือคีย์การ์ดสำหรับเปิดเข้า-ออกห้องล็อคเกอร์นั่นเอง ตอนแรกเมื่อได้รับคีย์การ์ดนี้ จะมีเจ้าหน้าที่คีย์รหัสห้องล็อคเกอร์ใส่นาฬิกาคีย์การ์ดของเราก่อน แล้วก็บอกว่าห้องล็อคเกอร์ของเราเบอร์อะไร พอเข้าไปด้านในจะเป็นห้องล็อคเกอร์เรียงรายกันเหมือนห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าในโรงยิมหรือสระว่ายน้ำสาธารณะทั่วไป แต่หน้าตาประตู ลักษณะการตกแต่งภายในดูโบราณๆ เก่าๆแปลกตาดี การเปิดประตูห้องล็อคเกอร์ให้หันหน้าปัทม์ของนาฬิกาคีย์การ์ดเข้ากับแผงเซ็นเซอร์ที่มือจับประตู ประตูก็จะคลายล็อคออก



หลังจากเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดว่ายน้ำ เราก็เข้าไปสำรวจภายในโรงอาบน้ำแร่กัน โรงอาบน้ำมีทั้งส่วนที่อยู่ในร่มและส่วนที่อยู่กลางแจ้ง เราไม่ได้ถ่ายรูปมาเพราะกลัวว่าจะเป็นการละเมิดสิทธิ์ของผู้ใช้บริการคนอื่นและยังไม่สะดวกสำหรับเราเองด้วยที่ต้องพกกล้องไปในที่เปียกๆ ก็เลยต้องไปหารูปจากในเว็บไซต์มาโพสต์แทน เมื่อเปิดประตูใหญ่ที่ห้องล็อคเกอร์ออกไปก็จะเจอโรงอาบน้ำแร่ในร่ม ซึ่งจะมีห้องอาบน้ำกระจายอยู่เป็นระยะๆไว้ใช้สำหรับอาบน้ำก่อนและหลังแช่ตัวในบ่อน้ำแร่ โดยโรงอาบน้ำแร่ในร่มจะแบ่งออกเป็นบ่อน้ำแร่ต่างๆซึ่งแต่ละบ่อมีการปรับอุณหภูมิต่างๆกัน เริ่มต้นที่ 30 องศาต้นๆ น้ำแร่ที่ขุดพบที่มีมาจาก 2 บ่อ มีอุณหภูมิ 74 และ 77 องศาเซลเซียส เราเดินลองจุ่มตัวจากบ่อแรก สักพักก็ย้ายไปบ่อที่สองไปเรื่อยๆ ลูกค้าที่มาโรงอาบน้ำแร่ที่เราเห็นในวันนี้ทั้งหมด 100 เปอร์เซ็นต์เป็นผู้สูงอายุกันทั้งนั้นเลย 55+ อายุอานามแต่ละคนไม่มีกว่า 50 แน่นอน คือจริงๆคิดว่าถ้าเป็นช่วงเวลาอื่นที่ไม่เช้ามากขนาดนี้ก็อาจจะมีคนหนุ่มสาวหรือมากันแบบครอบครัวมาใช้บริการก็ได้


ภาพจาก //www.hungary.com

หลังจากที่เราลองเดินดูรอบๆโรงอาบน้ำในร่มหลายรอบ ก็ยังไม่เห็นว่าโรงอาบน้ำกลางแจ้งมันจะอยู่ตรงไหน ทันใดนั้นก็มีคุณยายคนหนึ่งซึ่งพูดอังกฤษไม่ได้เลย แกสบสายตากับเราแล้วก็ยิ้มแฉ่ง ร่ายภาษาฮังกาเรียนยาวเฟื้อยประหนึ่งว่าพูดกับคนฮังกาเรียนด้วยกันพร้อมกับชี้โบ๊ชี้เบ๊ไปทางซ้ายใหญ่เลย เราก็ได้แต่พยักหน้าหึหึ สงสัยคุณยายจะทักทายเฉยๆมั้ง...อ่า ค่ะๆคุณยาย ที่นี่สวยค่ะ หนูลงไปทุกบ่อแล้วค่ะ... อีกสักพักไม่นานหลังจากเรายังคงเดินวนไปวนมา คุณยายคงเห็นว่ากะเหรี่ยงนี่ไม่เข้าใจที่แกพูดแน่ แกก็เลยเดินมาจูงเราไปที่ด้านขวาสุดของโรงอาบน้ำในร่มซึ่งจะมีทางออกทางหนึ่งอยู่ พอเราเดินไปถึงทางออกนั้นก็ถึงได้เข้าใจที่คุณยายแกต้องการจะสื่อสาร นั่นก็คือคุณยายอยากให้เราเดินออกไปดูโรงอาบน้ำกลางแจ้งนั่นเอง โรงอาบน้ำกลางแจ้งมีลักษณะเหมือนสระว่ายน้ำร้อนที่เป็นวงกลมหลายๆขนาดหลายๆสระอยู่รวมกัน รายล้อมด้วยอาคารศิลปะนีโอ-บารอคสีเหลืองมัสตาร์ดดูคลาสสิคมากๆ ข้างๆสระจะมีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยอยู่หลายคนประจำการอยู่ คุณยายชาวมอยอร์ยังคงอธิบายเป็นภาษาฮังกาเรียนไม่หยุด แต่ดูจากสีหน้าของคุณยายแล้วก็รู้สึกและสัมผัสได้กับความปรารถนาดีของคุณยาย และมีบางทีที่คุณยายทำท่ากอดอกก็พอจะเข้าใจได้ว่าคุณยายคงเป็นห่วงเรื่องอากาศหนาว ให้เราดูแลตัวเองด้วย น่ารักจังเลยคุณยาย ประทับใจกับน้ำใจที่แสนงดงามของคุณยายคนนี้จริงๆ ไม่น่าเชื่อว่าตั้งแต่วันแรกของการเดินทางจนถึงวันนี้ซึ่งเป็นวันสุดท้าย เราจะมาประทับใจกับน้ำใจของคนฮังกาเรียนมากที่สุด ไม่ใช่แค่คุณยายคนนี้ แต่เริ่มตั้งแต่คุณตาที่ช่วยเราหาโฮสเทลเมื่อวานแล้วด้วย ประทับใจจริงๆ



ภาพจาก funkystock.photoshelter.com

ข้อควรระวังและข้อพึงปฏิบัติของการมาโรงอาบน้ำแร่ในวันที่อากาศหนาวเหน็บที่เราลืมไปก็คือการนำรองเท้าแตะมาด้วย เพราะว่าถึงแม้อุณหภูมิในสระว่ายน้ำจะสูงจนควันขึ้น แต่มันก็ไม่ได้ครอบคลุมถึงพื้นซีเมนต์โดยรอบ ทันทีที่เอาเท้าเหยียบพื้นซีเมนต์ปุ๊บ ก็ต้องรีบเล่นเขย่งก้าวกระโดดลงสระไปเลย และพอขึ้นมาจากสระก็ต้องใช้วิชาตัวเบาอีกครั้งเพื่อรีบเข้าไปหาความอบอุ่นภายในอาคาร ทรมานเป็นที่สุด



ออกจากโรงอาบน้ำแล้ว...สดชื่นนนน


ถึงแม้จะยังอยากแช่น้ำอยู่ที่โรงอาบน้ำนานกว่านี้ แต่ก็ต้องรีบออกมาเพื่อภารกิจต่อไป เราออกจาก Szechenyi thermal bath spa ประมาณ 8.30 น. รีบนั่งรถไฟใต้ดินไปที่สถานี Kossuth Lajos ter เพื่อจองรอบทัวร์รัฐสภา และสุดท้ายก็ซื้อตั๋วสำเร็จตอนประมาณ 9 โมงเช้า ราคาคนละ 3,200 HUF แต่ทัวร์รอบแรกเริ่ม 10 โมง ระหว่างรอเวลา เราจึงรีบ (อีกแล้ว) กลับไปที่โฮสเทล รีบทำข้าวเช้าและรีบเช็คเอ้าท์ แต่ก็ยังฝากกระเป๋าไว้ที่โฮสเทลก่อน แล้วกลับมารัฐสภาทันเวลา 10 โมงพอดี คุณไกด์พาลูกทัวร์ผ่านจุดตรวจค้นแล้วเดินไปรวมตัวกันด้านในแล้วค่อยเริ่มการบรรยายทัวร์ด้วยเสียงที่ค่อนข้างเบาเพราะว่าไม่มีการใช้ไมค์ แถมภาษาอังกฤษสำเนียงฮังกาเรียนก็ฟังยากมิใช่น้อย นี่คือบางส่วนที่คุณไกด์อธิบายบวกกับที่ค้นคว้ามาจาก wikipedia และหนังสือของคุณ Picike

รัฐสภาฮังกาเรียนเป็นสิ่งปลูกสร้างที่ใหญ่ที่สุดในประเทศฮังการี และเป็นรัฐสภาที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในยุโรป

เป็นผลงานการออกแบบของ Imre Steindl เมื่อวันที่เขาสร้างแบบจำลองอาคารรัฐสภาที่บ้านสำเร็จ แบบจำลองมีขนาดใหญ่มากจนไม่สามารถนำออกจากประตูบ้านได้ สุดท้ายจึงต้องพังประตูบ้านและทุบกำแพงออกมา ภายหลังรัฐบาลฮังการีได้สร้างบ้านหลังใหม่ให้เขาเพื่อมอบเป็นของรางวัล

ตัวอาคารเป็นศิลปะแบบนีโอ-กอธิค ใช้คนงานก่อสร้างกว่า 1,000 คน อิฐกว่า 40 ล้านก้อน อัญมณีกว่า 5 แสนชิ้นร่วมกับทองคำน้ำหนักกว่า 40 กก.

ความสูง 96 เมตรของตัวอาคารได้มาจากตัวเลข 96 จากปี 1896 ซึ่งเป็นปีครบรอบ 1,000 ปีของการสถาปนาราชอาณาจักรฮังการี

ในระหว่างการปกครองโดยระบอบคอมมิวนิสต์ รัฐบาลฮังการีได้สร้างสัญลักษณ์ดาวสีแดงดวงใหญ่ที่จุดกึ่งกลางของยอดโดมภายในตัวอาคาร แต่เมื่อการปกครองเปลี่ยนเป็นระบอบสาธารณรัฐ ดาวสีแดงดวงใหญ่นี้ก็ถูกปลดลงมา




เมื่อเดินจากหน้าทางเข้าจนถึงบริเวณโถงภายในจะพบเสาหินแกรนิตสีแดงเลือดหมูขนาดใหญ่จำนวน 8 ต้น ทั้งหมดมีความสูง 8 เมตรและหนักต้นละ 8 ตัน ทั้งหมดถูกนำมาจากสวีเดน และถูกตัดมาจากหน้าผาเดียวกัน เดินถัดเข้าไปด้านในจะเป็นส่วนโดมของอาคาร มีรูปปั้นกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่รวมทั้งบุคคลสำคัญผู้ทำคุณประโยชน์อันยิ่งใหญ่ให้แก่ฮังการีพร้อมด้วยสัญลักษณ์ประจำตระกูล 16 ชิ้นประดับบนเสาแต่ละต้นที่ล้อมรอบบริเวณโถงใต้โดม โดยรูปปั้นที่ประดับอยู่บนเสาต้นที่อยู่ตรงกันข้ามกับขั้นบันไดที่เดินขึ้นมายังโถงใต้โดมนี้คือ Arpad ผู้นำเผ่าคนแรกที่มาตั้งรกรากในบริเวณนี้ ถัดไปทางขวามือเป็นกษัตริย์เซนต์สตีเฟน (St. Stephen) ปฐมกษัตริย์ผู้ก่อตั้งประเทศฮังการี ในขณะที่รูปปั้น 3 องค์สุดท้ายเป็นรูปปั้นของสมเด็จพระจักรพรรดิและสมเด็จพระจักรพรรดินีนาถในราชวงศ์ฮับส์บวร์กได้แก่ สมเด็จพระจักรพรรดิคาร์ลที่ 6 สมเด็จพระจักรพรรดินีนาถมาเรีย เทเรซ่าและสมเด็จพระจักรพรรดิลีโอโพลที่ 2 ตามลำดับ



สิ่งของล้ำค่าอีกอย่างหนึ่งที่จัดแสดงอยู่ภายในโถงใต้โดมแห่งนี้คือมงกุฎ (The Holy Crown of Hungary) ดาบ คฑาและกางเขนบนฐานกลม (Globus Cruciger) ที่ใช้เป็นเครื่องราชกกุฏภัณฑ์ของกษัตริย์ฮังการี


จากนั้นคุณไกด์จะพาเราเดินไปยังห้องซ้ายมือของโถงโดม ซึ่งมีรูปปั้นของ Imre Steindl สถาปนิกผู้ออกแบบรัฐสภายืนถือแผนผังอาคารอยู่ที่เสามุมขวาติดประตูทางเข้า พื้นห้องปูพรมสีแดงที่ทอโดยไร้รอยต่อ มีอายุมากกว่า 400 ปี กลางห้องมีของกำนัลลักษณะเหมือนแจกันยักษ์จัดแสดงอยู่



นอกจากนี้คุณไกด์ยังพาเราเข้าชมถึงภายในห้องประชุมรัฐสภา ซึ่งด้านนอกก่อนเข้าห้องจะเป็นระเบียงทางเดิน บริเวณนี้จะมีที่นั่งพักสำหรับสูบซิการ์ และยังมีที่วางซิการ์พร้อมบอกหมายเลขที่วางแต่ละอันเพื่อป้องกันการหยิบซิการ์สลับกันอีกด้วย











จากจุดนี้ก็เป็นอันสิ้นสุดทัวร์รัฐสภาฮังการี ใช้เวลาทัวร์ทั้งหมดประมาณ 45 นาที และก็ยังเป็นการสิ้นสุดโปรแกรมเที่ยวของเราในบูดาเปสต์และในทริปนี้ก็ว่าได้ เรานั่งรถไฟใต้ดินโดยซื้อตั๋วชนิด short metro ticket คนละ 260 HUF จากสถานี Kossuth Lajos ter ไปยังโฮสเทลที่สถานี Astoria จัดแจงเอากระเป๋าออกจากโฮสเทลแล้วขึ้นรถไฟใต้ดินอีกครั้ง มุ่งหน้าไปยังสถานีรถไฟ Budapest Keleti Palyaudvar เพื่อรอรถไฟรอบ 13.10 น. กลับไปยังเวียนนา ตอนจะกลับเข้าไปเอากระเป๋าที่ Astoria City Hostel นี่ก็ยุ่งยากนิดหน่อยเพราะเราคืนกุญแจเข้าโฮสเทลไปแล้ว ก็เลยเปิดประตูใหญ่หน้าทางเข้าตึกไม่ได้ จะกดออดก็หาไม่เจอ โชคดีที่มีคนที่อาศัยอยู่ในตึกนั้นเปิดประตูเข้าไปพอดี เราเลยอาศัยจังหวะนั้นขอเข้าไปด้วย นี่ไม่รู้ว่าถ้าเมื่อวานวันที่จะเข้าไปเช็คอินไม่เจอผู้ชายผิวสีที่พักอยู่ที่โฮสเทลเหมือนกันคนนั้น ก็คงจะไม่ได้เข้าไปเช็คอินง่ายๆแน่




รถไฟเร็วจากการรถไฟออสเตรีย RJ 66 พาเราเดินทางจากบูดาเปสต์มายังเวียนนา Westbahnhof อย่างตรงเวลาเช่นเคย เราไปเอากระเป๋าที่ฝากไว้ที่ล็อคเกอร์ตั้งแต่วันวานตอนเช้าก่อนออกเดินทางมาบูดาเปสต์ แต่เนื่องจากเวลาที่ฝากกระเป๋าเกิน 24 ชม.ไปแล้ว ก็จะต้องหยอดเหรียญเพิ่มอีก 3.5 EUR เพื่อให้เปิดล็อคเกอร์ออกได้ หลังจากนั้นเราซื้อตั๋วรถไฟใต้ดินแบบ 2 โซน ราคาคนละ 3.6 EUR (ที่ตู้ขายตั๋วอัตโนมัติจะมีให้เลือกว่าตั๋วเป็นแบบกี่โซน) เพื่อนั่งเมโทร U3 สายสีส้มจาก Westbahnhof เส้นทาง Simmering ไปลงที่ Landstrasse จากนั้นเดินตามทางออกที่บอกว่าไป Wien Mitte เพื่อรอขึ้นรถไฟออกนอกเมือง S-bahn สาย S7 เส้นทางสนามบิน (Flughafen Wien) ตรงไปยังท่าอากาศยานเวียนนาที่ตั้งอยู่นอกเมือง โดยถือว่าเป็นโซนที่อยู่นอกโซนที่ 1 ซึ่งคือภายในตัวเมืองเวียนนา ใช้เวลาเดินทางประมาณ 40 นาที ก่อนเข้าไปเช็คอินที่เค้าท์เตอร์ เดี๋ยวนี้สายการบินออสเตรียนแอร์ไลน์ติดตั้งเครื่องเช็คอินด้วยตนเองอัตโนมัติซึ่งบังคับให้ผู้โดยสารเช็คอินด้วยตนเองก่อน โดยเครื่องเช็คอินจะออก boarding pass เพื่อให้ผู้โดยสารนำไปยื่นที่เค้าท์เตอร์เช็คอินอีกที ก็สะดวกและรวดเร็วดีเหมือนกัน



บ๊ายบาย เวียนนา

และแล้วการเดินทาง 3 ประเทศ 11 วันก็มาถึงช่วงเวลาสุดท้าย ตลอดเวลาทั้ง 11 วัน ใน 3 ประเทศนี้ได้ให้ประสบการณ์ชีวิตที่เป็นประโยชน์และน่าจดจำเหลือเกิน สาธารณรัฐเชค ปราก... เมืองอันเก่าแก่และสิ่งก่อสร้างอันยิ่งใหญ่แห่งแม่น้ำวัลตาวา คาร์โลวี วารี... เมืองสีพาสเทลและน้ำแร่ธรรมชาติ และเชสกี้ ครุมลอฟที่รัก... เมืองที่เทพนิยายกลายเป็นจริง สาธารณรัฐออสเตรีย อินส์บรูค... เมืองน้อยกลางหุบเขาของสาวช่างฝัน ซาลส์บวร์ก... เมืองแห่งเสียงดนตรีอันเป็นนิรันดร์ ฮัลล์สตัชท์... หมู่บ้านเล็กๆริมทะเลสาบอันชวนหลงใหล และเวียนนา... เมืองหลวงแห่งประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม และสุดท้ายที่สาธารณรัฐฮังการี บูดาเปสต์... เมืองที่เต็มไปด้วยผู้คนที่มีจิตใจอันงดงาม

สุดท้ายก่อนจบทริปจริงๆ ก็ต้องมีการรวบรวมค่าใช้จ่ายจากการเดินทางทั้งหมดในครั้งนี้กันซะหน่อย


สรุปแล้วทริปนี้ 11 วัน + วันเดินทางไป-กลับ 2 วันรวม 13 วัน เสียค่าใช้จ่ายต่อคนทั้งสิ้น 73,092.63 บาทค่ะ




 

Create Date : 02 มกราคม 2554   
Last Update : 21 มีนาคม 2554 22:34:27 น.   
Counter : 5494 Pageviews.  


Original Magyar (1)

Czech - Austria - Hungary (10)

วันที่ 10: Budapest


และแล้วก็เข้าสู่วันที่ 10 ของการเดินทาง เราจะข้ามพรมแดนไปสู่ประเทศสุดท้ายของทริปนี้กันนั่นคือฮังการี เราเช็คเอาท์ออกจากโฮสเทลกันเช้ามากเช่นเคย เดินไปที่ Westbahnhof เนื่องจากไม่อยากแบกสัมภาระไปเยอะ เราก็เลยฝากกระเป๋าใบใหญ่ไว้ที่ล็อคเกอร์ 1 ใบ ฝากกันแบบข้ามคืนเกิน 24 ชม. เดี๋ยวพอกลับมาจากบูดาเปสต์ค่อยมาหยอดเหรียญเพิ่มค่าชม.ที่เกินอีกที จาก Westbahnhof มีรถไฟตรงไปบูดาเปสต์ทุก 2 ชม. โดยจะจอดที่สถานี Budapest Keleti Palyaudvar ซึ่งเป็นสถานีรถไฟทางฝั่งตะวันออกของเมือง จากเวียนนาถึงบูดาเปสต์ใช้เวลาประมาณ 3 ชม. พอถึงบูดาเปสต์ก็ต้องหาเคาท์เตอร์แลกเงิน EUR เป็นฮังกาเรียนฟลอรินท์ (HUF) เอาให้พอใช้เดินทางไปที่พักก่อน เนื่องจากเรทที่แลกแย่มากอย่างที่เคยบอกไว้ จากนั้นเราเดินออกมาจากตัวสถานีรถไฟทางด้านหน้า (ซึ่งหน้าตาคล้ายหัวลำโพงบ้านเรา) แล้วเลี้ยวซ้ายจะเจอทางลงไปรถไฟใต้ดิน ระบบขนส่งสาธารณะที่บูดาเปสต์ก็คล้ายๆกับ 2 ประเทศที่เราไปก่อนหน้านี้ แต่มีความซับซ้อนน้อยกว่ามาก รถไฟใต้ดินมี 3 สาย แต่ละสายก็สั้นๆ นอกจากนี้ก็มีรถรางและรถเมล์เหมือนที่อื่นทั่วไป สำหรับตั๋วโดยสารก็แบ่งเป็นประเภทต่างๆได้ดังนี้

ประเภทตั๋วโดยสาร
1. Short section metro ticket 260 HUF ขึ้นรถไฟใต้ดินในระยะทางไม่เกิน 3 ป้าย ภายใน 30 นาที (สามารถนั่งข้ามสายได้ ป้ายที่เป็น interchange นับเป็น 1 ป้าย)
2. Single ticket 320 HUF สำหรับรถไฟใต้ดิน รถรางหรือรถเมล์ชนิดใดชนิดหนึ่ง ห้ามต่อข้ามสายหรือข้ามระบบพาหนะ ยกเว้นรถไฟใต้ดิน สามารถนั่งข้ามสายได้และไม่จำกัดจำนวนป้ายภายในระยะเวลา 60 นาที นับจากเวลาที่ validate
3. Transfer ticket 490 HUF สามารถโดยสารต่อข้ามสายหรือข้ามระบบพาหนะได้ 1 ครั้ง โดยต้อง validate ตั๋ว 2 ครั้งเมื่อขึ้นครั้งแรกกับเมื่อขึ้นพาหนะคันที่ 2 ยกเว้นรถไฟใต้ดินให้ validate แค่ครั้งเดียวและสามารถนั่งข้ามสายกี่รอบก็ได้ ภายในระยะเวลา 90 นาที นับจากเวลาที่ validate
4. Budapest 24-hour travel card 1,550 HUF สำหรับระบบขนส่งสาธารณะทุกประเภท ข้ามสายหรือข้ามระบบพาหนะได้ทั้งหมดและกี่รอบก็ได้ ภายใน 24 ชม. นับจากเวลาที่ระบุในตั๋ว
5. Family ticket 2,200 HUF เหมือนข้อ 4 แต่ใช้ได้ 48 ชม. และต้องมีผู้โดยสารที่เป็นผู้ใหญ่อายุมากกว่า 18 ปี 2 คน มาพร้อมเด็กจำนวน 1-7 คนอายุไม่เกิน 14 ปี
6. Budapest 72-hour travel card 3,850 HUF เหมือนข้อ 4 แต่ใช้ได้ 72 ชม.



เราซื้อตั๋วแบบ 24 ชม. ตอนแรกพยายามจะซื้อจากตู้ขายตั๋วอัตโนมัติอยู่นานมากแต่ไม่สำเร็จ ตู้มันไม่ยอมอ่านแบงก์ที่เราสอดเข้าไป คนหลังจากเราก็ทำไม่สำเร็จเหมือนกัน แต่ก็มีคนหนึ่งทำได้แต่ใช้เวลานานมาก สุดท้ายเราก็เลยต้องซื้อจากเคาท์เตอร์ขายตั๋วแทน เจ้าหน้าที่จะลงวันและเวลาที่ออกตั๋วถือเป็นการ validate ตั๋วเลย หน้าทางเข้าและทางออกสถานีรถไฟใต้ดินจะมีนายตรวจ 1-2 คนยืนสุ่มตรวจตั๋วอยู่ ถ้าสถานีเล็กๆคนไม่เยอะก็จะตรวจทุกคนแต่ถ้าสถานีใหญ่ๆอย่าง Keleti Palyaudvar นี่ก็ใช้วิธีสุ่มเอา





รถไฟใต้ดินที่บูดาเปสต์เป็นรถไฟใต้ดินสายแรกในภาคพื้นยุโรป นั่นคือในยุโรปแผ่นดินใหญ่ ไม่นับรวมเกาะอังกฤษ รถไฟใต้ดินที่ยังใช้งานในปัจจุบันมีสภาพเก่าใช้ได้ ดูแล้วผ่านประสบการณ์ชีวิตมาอย่างโชกโชน บางขบวนก็เก่าจนสนิมเกรอะกรังไปหมด แต่เขาก็ยังใช้งานกันได้อยู่และถือว่าเป็นพาหนะหลักพาหนะหนึ่งที่ใช้สัญจรภายในบูดาเปสต์ เรานั่งจาก Keleti Palyaudvar ไปอีกแค่ 2 ป้ายลงที่สถานี Astoria ที่พักของเราที่บูดาเปสต์ชื่อ Astoria City Hostel //astoriacityhostel.com/ จากแผนที่ในกูเกิ้ลดูเหมือนจะหาไม่ยาก เราก็เลยไม่ได้จดรายละเอียดการเดินทางจากในเว็บมา แต่เอาเข้าจริง แค่พอลงจากรถไฟใต้ดินปุ๊บก็งงปั๊บ เดินหมุนเป็นวงกลมเพราะไม่รู้จากออกทางไหนดี ออกผิดไปหลายรอบจนรอบสุดท้ายออกจากทางออกที่เขียนว่า Buda ขึ้นบันไดจะเจอตึกขวางหน้าอยู่ ทางซ้ายมือเป็นประตูเข้าตึกมีกริ่งให้กดตามห้องและชั้นที่มีคนพักอาศัย คล้ายๆอพาร์ทเม้นท์ในหลายที่ แต่กว่าที่เราจะหาโฮสเทลนี้เจอก็ใช้เวลานานมาก และไม่ใช่ด้วยความสามารถของเราแต่ด้วยความใจดีของชาวฮังกาเรียนและความโชคดีของเราที่เจอนักท่องเที่ยวที่พักอยู่ที่โฮสเทลเดียวกันพอดี ขณะที่เราเดินวนไปวนมาหาโฮสเทล ก็มีคุณตาชาวมอยอร์ (Magyar, ชื่อชาวพื้นเมืองของฮังการี) ผู้ใจดีคนหนึ่งเดินเข้ามาถามเป็นภาษาอังกฤษว่าเราพูดภาษาอังกฤษได้ไหม จะไปไหนเหรอ เขาเห็นเราลากกระเป๋าเดินย้อนไปย้อนมาอยู่หลายรอบแล้ว พอเราเอาแผนที่กับชื่อโฮสเทลให้คุณตาดู ก็มีผู้ชายผิวสีคนหนึ่ง ฟังจากภาษาอังกฤษที่พูดน่าจะเป็นคนอเมริกันเดินชะโงกหน้าเข้ามาดูเหมือนกันแล้วบอกว่าเขาพักที่นี่เหมือนกัน เดี๋ยวเขาพาไปให้ คุณตาก็เลยปล่อยให้คุณผู้ชายคนนั้นพาเราไป เพราะคุณตาบอกว่าคุณตาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าโฮสเทลที่ว่าเนี่ยมันอยู่ไหน บอกตามตรงว่าตอนนั้นที่เราละจากคุณตาและผู้ชายผิวสีนำทางเราไปที่โฮสเทล เรารู้สึกกลัวๆยังไงบอกไม่ถูก ดูเหตุการณ์ทำไมมันดูลงตัวบอกไม่ถูก ไม่ค่อยไว้ใจผู้นำทางเท่าไหร่ แต่สุดท้ายเขาก็พาเราไปถูกที่ ไขกุญแจเข้าประตูหน้าและชี้ให้เราขึ้นลิฟต์ไปที่ชั้น 3 จนเจอโฮสเทล พอถึงที่หมายถูกต้องปลอดภัย เราก็รู้สึกสำนึกผิดว่าไม่น่าไปคิดกับเขาอย่างนั้นเลย ทีหลังอย่าตัดสินคนอื่นแบบนี้

พูดถึงเรื่องขึ้นลิฟต์ที่ Astoria City Hostel นี้ ไม่พูดไม่ได้ เพราะลิฟต์ลักษณะคล้ายๆอย่างนี้เราเห็นครั้งสุดท้ายเมื่อ 20 ปีก่อนที่โรงแรมในเมลเบิร์น ออสเตรเลีย ไม่คิดว่ามันจะยังมีอยู่อีก ลิฟต์ที่ว่าเป็นลิฟต์เก่าๆ มีกลิ่นอายคอมมิวนิสต์ๆ วิธีการใช้งานก็แบบเก่าๆ โบราณๆ ต้องดึงเปิดประตูบานนอกก่อน จากนั้นก็ผลักประตูด้านในเข้าไปอีกที พอเข้าไปในลิฟต์ปิดประตูด้านในให้เรียบร้อย กดปุ่มบอกชั้น ลิฟต์ก็จะยกตัวเสียงดังตึง เคลื่อนไปยังชั้นที่ต้องการ




ถึงแม้เวลาที่เราไปถึงโฮสเทลยังไม่ใช่เวลาเช็คอิน แต่เจ้าหน้าที่โฮสเทลก็ใจดีมาก เปิดห้องให้เราพักได้เนื่องจากห้องว่างอยู่ ห้องพักของเราเป็นห้องคู่ อยู่ชั้นล่างลงไปอีก 1 ชั้น แต่ถ้าเป็นห้องพักแบบ dormitory จะอยู่ที่ชั้นเดียวกับรีเซฟชั่น อุปกรณ์เครื่องอำนวยความสะดวกของโฮสเทลค่อนข้างดีเหนือความคาดหมาย เพราะโฮสเทลเมื่อมองจากภายนอกอาคารมันจะดูเก่าๆ โทรมๆ บางคนอาจทำใจลำบาก (ถึงว่ารูปในเว็บไซต์ไม่มีรูปด้านนอกอาคารเลย) แต่พอเข้าไปถึงห้องพักก็สะอาดสะอ้านดี มีห้องน้ำรวม ห้องครัวรวมที่ใหม่และสะอาด เครื่องครัวก็ของ Ikea มีคอมพิวเตอร์ให้เล่น มี wifi ฟรีให้เล่น แค่นี้ก็คุ้มค่าราคา 32 EUR ต่อห้องแล้ว

โปรแกรมแรกในบูดาเปสต์ของเราคือไปเดินเล่นในตลาด Central Market Hall ตลาดมีหลังคาคล้ายๆตลาดอตก. หรือกาดวโรรสบ้านเรา เพราะเป็นตลาดที่มีขนาดใหญ่ 2 ชั้น ขายทั้งของกินของใช้เต็มไปหมด เดินทางจากโฮสเทลให้ออกไปขึ้นรถรางที่ถนน Karoly korut ป้ายรถรางอยู่ฝั่งเดียวกับทางออกสถานีรถไฟใต้ดิน ให้ข้ามถนนไปที่เกาะกลางที่เป็นป้ายรถราง ขึ้นสาย 47 เส้นทาง Budafok, Varoshaz ter นั่งไป 2 สถานีลงที่ Fovam ter ตลาด Central Market Hall อยู่ทางซ้ายมือ เนื่องด้วยเวลาจำกัด เพราะเราต้องรีบไปต่อคิวเข้าทัวร์รัฐสภา (Parliament) ให้ทันรอบเที่ยงซึ่งเป็นรอบที่มีบรรยายภาษาอังกฤษ เราก็เลยต้องรีบๆเดินไปหาเป้าหมายใน Central Market Hall นั่นคือกินข้าวและแลกเงิน เราเดินขึ้นไปที่ชั้น 2 ซึ่งเป็นบริเวณที่ขายอาหารปรุงสำเร็จแล้วหลายร้าน หน้าร้านก็จะมีเคาท์เตอร์และเก้าอี้เล็กๆให้เบียดๆกันนั่งรับประทานอาหาร เราเลือกร้านขายอาหารฮังกาเรียนร้านหนึ่งที่มีเมนูสตูว์เนื้อกูยาช (Goulash) พร้อมกับสั่งข้าวสวยเม็ดโตๆ แข็งๆคล้ายข้าวอินเดียมา 1 จานไว้กินด้วยกัน ร้านอาหารที่ Central Market Hall นี้มีเมนูภาษาอังกฤษประกอบอยู่ทุกเมนูทุกร้าน เพราะฉะนั้นไม่ต้องกลัวสั่งพลาด กูยาชเป็นสตูว์เนื้อตุ๋น นุ่มๆหน่อย รสชาติออกเผ็ดเล็กๆแต่มันมากๆ จริงๆเห็นคนข้างๆเขากินคู่กับขนมปัง แต่เราเลือกกินกับข้าวก็เหมือนกินข้าวแกงซักอย่าง เข้ากันได้อยู่ อร่อยใช้ได้





ออกจาก Central Market Hall เรานั่งรถรางสาย 2 ซึ่งป้ายรถรางจะต้องเดินลงใต้ดินไป เมื่อออกจาก Central Market Hall ให้เลี้ยวซ้ายเดินตรงไปทางสะพานข้ามแม่น้ำจะเห็นทางลงไปใต้ดิน ให้ลงไปทางนั้นก็จะเจอป้ายรถราง จาก Fovam ter นั่งรถรางสาย 2 เส้นทาง Jaszai Mari ter นั่งไป 5 ป้ายลงที่สถานี Kossuth Lajos ter ใช้เวลาประมาณ 15 นาที จะเห็นอาคารรัฐสภา ที่มีสถาปัตยกรรมดูแปลกตา ลักษณะเป็นยอดแหลมๆเป็นชั้นๆ หลังคาสีม่วงเปลือกมังคุด พอลงจากรถรางได้ เรารีบตาลีตาเหลือกไปยังประตูที่ 10 ที่เป็นจุดจำหน่ายตั๋วเข้าชมทัวร์ภายในรัฐสภา วิ่งอ้อมไปทางซ้าย ผ่านด้านหน้ารัฐสภา ถ้าเห็นคนยืนออกันอยู่ละก็ใช่เลย การจะเข้าไปประตูที่ 10 เพื่อซื้อตั๋วได้นั้นต้องได้รับอนุญาตจากเจ้าหน้าที่ก่อน ตอนที่เราไปถึงนั้นก็ใกล้เที่ยงเต็มที แต่ก็ไม่รู้หรอกว่าเหตุการณ์ข้างในมันเป็นยังไง ยังเข้าใจว่าเข้าไปซื้อบัตรได้ถึงจะมีคนรอกันอยู่หลายสิบคน (เฉียดๆร้อยคน) แต่ปรากฏว่าพอเจ้าหน้าที่อนุญาตให้เราเข้าไป 1 คน เจ้าหน้าที่ที่ขายตั๋วก็บอกว่าทัวร์เต็มหมดแล้วทั้งวัน เหลือแต่รอบภาษาเยอรมันตอนบ่าย 3 โมงจะเอาไหม เราก็เลยลังเล กลัวว่าถ้าปรับแผนการเที่ยวแล้วจะกลับมาไม่ทันบ่าย 3 สุดท้ายก็เลยตอบเขาไปว่าไม่เอา... เพิ่งรู้ว่าทัวร์รัฐสภาที่นี่มันได้รับความนิยมขนาดนี้เชียว ถ้าอย่างงั้นพรุ่งนี้เช้าเราจะรีบมาจองคิวใหม่ ต้องมาให้ทันให้ได้ ทัวร์รอบภาษาอังกฤษมีตอน 10.00 12.00 และ 14.00 ส่วนภาษาอื่นเช่นเยอรมัน ฝรั่งเศส อิตาเลียนก็จะมีสลับกันไป รวมๆแล้วทัวร์จะมีทุก 1 ชม. บางช่วงก็มีทุกครึ่งชม. ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ //www.parlament.hu/angol/eng/tajekoztato.htm




พอเราย้ายโปรแกรมทัวร์รัฐสภาไปเป็นวันพรุ่งนี้เช้า เพราะฉะนั้นโปรแกรมของพรุ่งนี้ก็ต้องเลื่อนมารวมในวันนี้แทน ออกจากรัฐสภาเราจะข้ามฝั่งแม้น้ำดานูบจากฝั่งเปสต์ที่เราอยู่ซึ่งเป็นฝั่งเมืองใหม่ไปยังเขตเมืองเก่าฝั่งบูดา (จึงเป็นที่มาของชื่อเมืองบูดาเปสต์) เพื่อขึ้นเขาไป Castle hill พื้นที่บนเนินเขาในฝั่งบูดา แหล่งรวมสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ของฮังการีมากมาย วิธีการไปยัง Castle hill ทำได้หลากหลายวิธี ทั้งขึ้นรถราง รถกระเช้าไฟฟ้าและวิธีเดิน เราเลือกวิธีที่สะดวกจากการอ่านหนังสือของคุณ Picike นั่นคือการนั่งรถราง จากป้าย Kossuth Lajos ter เรานั่งรถไฟใต้ดิน M2 สายสีแดง เส้นทาง Deli Palyaudvae ไปลงที่สถานี Moszkva ter (ทำไมแต่ละชื่อมันอ่านยากอ่านเย็นยังงี้ อ่านไม่ออก ต้องเทียบชื่อเอาอย่างเดียว) เมื่อออกจากสถานีรถไฟใต้ดิน ให้สังเกตดูอาคารหลังใหญ่สีขาว-แดง มองหาบันไดที่อยู่ละแวกนั้นแล้วเดินขึ้นไป ข้ามไปฝั่งตรงกันข้ามจะเห็นรถเมล์ (รถมินิบัส) จอดอยู่ ให้ขึ้นรถเมล์สาย 16 ไป รถเมล์จะขับผ่านทางไปเรื่อยๆจนลอดซุ้มประตู Vienna Gate ให้ลงที่ป้ายรถเมล์ที่ใกล้ที่สุด (ชื่อ Becsi kapu ter) ทางซ้ายมือจะเป็นวัดเก่าแก่ชื่อ Maria Magdolna



จากวัด Maria Magdolna เดินตรงไปเรื่อยๆไม่ไกลก็จะเจอโรงแรมฮิลตัน (Hilton) โรงแรมที่สร้างขึ้นเพื่อบดบังทัศนียภาพของสถานที่รอบๆนั้นโดยแท้ (เขาว่ากันไว้อย่างนี้) ก่อนประตูทางเข้าโรงแรมจะมีหอคอยเก่าๆที่เป็นที่บรรจุอัฐิของกษัตริย์แมทธิอาส (King Matthias) กษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดพระองค์หนึ่งของฮังการี ถัดจากโรงแรมฮิลตันก็จะเจอโบสถ์แมทธิอาส (Matthias Church) อยู่ทางซ้ายมือในขณะที่ทางขวามือคือจัตุรัส Szentharomsag (Holy Trinity Square) โบสถ์แมทธิอาสเป็นโบสถ์คาทอลิกเก่าแก่สร้างขึ้นเมื่อกว่า 700 ปีก่อน เคยใช้เป็นสถานที่ประกอบพิธีราชาภิเษกของกษัตริย์ฮังการี และประกอบพิธีอภิเษกสมรส (ข้อมูลจากหนังสือคุณ Picike) รอบๆด้านนอกโบสถ์ด้านหนึ่งเป็นป้อมปราการชาวประมง (Fisherman’s Bastion) เราซื้อตั๋วเข้าชมโบสถ์แมทธิอาสที่ช่องขายตั๋วด้านนอกโบสถ์ข้างๆ Fisherman’s Bastion ราคาคนละ 750 HUF โบสถ์แมทธิอาสเป็นศิลปะแบบนีโอ-กอธิค (Neo-Gothic) ชื่ออย่างเป็นทางการคือโบสถ์ของพระแม่มาเรีย (Church of Our Lady) เป็นสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์เป็นอย่างมากเนื่องจากเป็นสถานที่ที่กษัตริย์แมทธิอาสทรงใช้จัดพิธีอภิเษกสมรสขึ้นถึง 2 ครั้ง และยังเป็นสถานที่ที่สมเด็จพระจักรพรรดิฟรานซ์ โจเซฟที่ 1 แห่งออสเตรียและสมเด็จพระจักรพรรดิคาร์ลที่ 1 (Karl I) สมเด็จพระจักรพรรดิองค์สุดท้ายแห่งจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี ทรงสวมมงกุฎกษัตริย์ขึ้นเสวยราชสมบัติเป็นพระมหากษัตริย์ของฮังการีอีกด้วย (ข้อมูลจากหนังสือคุณ Picike)






ออกจากโบสถ์แมทธิอาส เราเดินไปชม Fisherman’s Bastion กัน ด้านหน้าป้อมปราการมีอนุสาวรีย์กษัตริย์ Istvan หรือกษัตริย์ Stephen ปฐมกษัตริย์แห่งฮังการีตั้งอยู่ ในส่วนของ Fisherman’s Bastion นั้นมีลักษณะเป็นป้อมปราการสีขาว มียอดหอคอยทั้งหมด 7 ยอดซึ่งหมายถึงอดีตผู้นำทั้ง 7 เผ่า ส่วนชื่อของป้อมปราการก็ได้มาจากชื่อกลุ่มชาวประมงที่อาสาเป็นผู้ปกป้องแนวกำแพงเมืองจากการรุกรานของข้าศึกในยุคกลาง (ข้อมูลจากหนังสือคุณ Picike อีกเช่นเดิม) จากมุมมองบนป้อม Fisherman’s Bastion จะทำให้เรามองเห็นบูดาเปสต์ด้านฝั่งเปสต์ได้อย่างกว้างไกล มองเห็นรัฐสภาได้อย่างเต็มตา









จากโบสถ์แมทธิอาสและ Fisherman’s Bastion เดินต่อไปเรื่อยๆที่ปลายสุดของถนนจะเจออาคารเก่าหลังหนึ่งตั้งขวางหน้าอยู่ อาคารหลังนี้มีร่องรอยของกระสุนปืนและสะเก็ดระเบิดอันเนื่องมาจากสงครามโลกอยู่เป็นจำนวนมาก เดินเบี่ยงไปทางขวาก็จะเริ่มเข้าสู่เขตปราสาทบูดา (Buda Castle) เราเดินอ้อมจากด้านหน้าซึ่งคือทางซ้ายมือก่อน ซึ่งจากด้านนี้จะมองเห็นฝั่งเปสต์เหมือนกับที่ยืนดูที่ Fisherman’s Bastion สำหรับประวัติของปราสาทบูดานั้นสรุปได้คร่าวๆดังนี้


ปราสาทบูดาเป็นพระราชวังหลวงสร้างขึ้นตั้งแต่ศตวรรษที่ 13 มีการต่อเดิมและปรับปรุงสิ่งก่อสร้างภายในบริเวณพื้นที่ Castle hill เรื่อยมา

ปี 1541 เมื่อบูดาถูกจักรวรรดิออตโตมานยึดครอง ชาวเติร์กที่เข้ามาครอบครองปล่อยให้พระราชวังรกร้าง บางส่วนถูกใช้เป็นค่ายทหารและโกดังเก็บของ

ปี 1867 สมเด็จพระจักรพรรดิฟรานซ์ โจเซฟที่ 1 แห่งจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการีได้ขึ้นครองราชย์เป็นกษัตริย์ของฮังการี พระองค์ทรงใช้พระราชวังแห่งนี้เป็นที่ประทับในช่วงเวลาที่เสด็จเยือนฮังการี และใช้เป็นที่พำนักของผู้สำเร็จราชการของอาณาจักรฮังการีเรื่อยมา

หลังจากถูกโจมตีในช่วงสงครามโลกอย่างหนักหน่วงจนพื้นที่บริเวณนี้ได้รับความเสียหายอย่างหนัก รัฐบาลฮังการีจึงต้องบูรณะปรับปรุงสิ่งก่อสร้างและพื้นที่โดยรอบอย่างมาก ส่วนพระราชวังมีการก่อสร้างขึ้นใหม่และสำเร็จสมบูรณ์ในปี 1980

ปัจจุบันพื้นที่ส่วนต่างๆถูกจัดให้เป็นพิพิธภัณฑ์และห้องสมุดต่างๆแยกกันแต่ละปีก


เมื่อเราเดินจากด้านหน้าพระราชวังแล้วเลี้ยวขวาอ้อมผ่านตัวอาคารลอดใต้อุโมงค์มาอีกด้านจะเจอ Museum of Contemporary Arts – Ludwig Museum Bedapest (โปรแกรมเที่ยวในบูดาเปสต์เราจะไม่เข้าชมพิพิธภัณฑ์อีกแล้ว เพราะอิ่มล้นจากที่เวียนนาจนตื้อไปหมด) ด้านหน้าพิพิธภัณฑ์จะเป็นอนุสาวรีย์คนล่าม้า (Horse Wrangler, The statue of the Hortobagy) ด้านซ้ายมือเป็นอนุสาวรีย์น้ำพุ Matthias Fountain ซึ่งเป็นรูปปั้นของเหล่านายพรานที่มีกษัตริย์แมทธิอาสเป็นผู้นำ เลี้ยวซ้ายที่อนุสาวรีย์น้ำพุจะเจอซุ้มประตูลอดเข้าไปยังจัตุรัสกลางปราสาทบูดา ซึ่งรอบจุตรัสก็จะเป็นสถานที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์ต่างๆคือ Budapest History Museum และ Hungary National Gallery













ขากลับ เราเดินย้อนกลับทางเดิมผ่าน Horse Wrangler ตรงไปยังประตูทางออกด้านหลังที่เป็นประตูเหล็กสีดำที่มีรูปปั้นอีกาคาบแหวนอยู่ กล่าวกันว่าอีกาตัวนี้เป็นอีกาที่กษัตริย์แมทธิอาสทรงเลี้ยงไว้ ก่อนออกจากปราสาทบูดาเราผ่านร้านขายขนมกรวย funnel cake ก็เลยซื้อกิน 1 ชิ้น รสชาติอร่อยกว่าที่กินที่เชสกี้ ครุมลอฟ แล้วก็ชิ้นใหญ่มาก อิ่มมาก



เราออกจากบริเวณ Castle hill ด้วยการเดินลงเนิน ให้เดินย้อนกลับไปจนถึงอาคารที่มีรอยกระสุนและสะเก็ดระเบิดจนพรุนไปหมดที่เราเดินผ่านมาแล้วเมื่อตอนก่อนถึงปราสาทบูดา จากอาคารนี้ให้มองไปทางขวา จะเห็นทางเดินลงเนินเขา ให้เดินตามทางนั้นลงเนินเขาไปเรื่อยๆจนสุดทางจะเจอถนนตัดผ่าน พอถึงถนนให้เลี้ยวขวา เดินตรงไปไม่ไกลก็จะเจอถนนใหญ่ที่ด้านหน้าขวามือจะเป็นทางขึ้นรถกระเช้าไฟฟ้าไปที่ปราสาทบูดา ซ้ายมือเป็นสะพานเชน (Chain bridge) จากจุดนี้เราสามารถขึ้นรถเมล์ได้สาย 16 หรือ 105 ข้ามไปฝั่งเปสต์ที่ป้าย Deak Ferenc ter ได้เลย แต่เราเลือกข้ามไปฝั่งเปสต์โดยเดินข้ามสะพานเชน เพื่อระหว่างทางจะได้ถ่ายรูปบนสะพานไปด้วย อากาศดีแดดดีซะขนาดนี้ต้องรีบรัวภาพ พอข้ามสะพานไปถึงฝั่งเปสต์ รอที่ป้ายรถเมล์ที่อยู่ทางขวามือ ขึ้นรถเมล์สาย 16 ไปลงที่ Deak Ferenc ter แล้วนั่งรถไฟใต้ดิน M1 สายสีเหลืองไปลงที่สถานี Hosok Tere เพื่อไปจุดหมายต่อไปคือจัตุรัสฮีโร่ (Heros’ square) รถไฟใต้ดินสาย M1 เป็นสายที่แรกในจำนวน 3 สายที่มีในบูดาเปสต์ เพราะฉะนั้นการตกแต่งภายในสถานีทุกแห่งในสายนี้จึงดูเก่าแก่แต่เป็นเอกลักษณ์มาก ให้ความรู้สึกเหมือนอยู่ในชานชาลา 9 ¾ ในเรื่องแฮรี่ พอตเตอร์ยังไงยังงั้น






Heros’ square เป็นลานกว้างที่มีอาคารสถานที่สำคัญล้อมรอบอยู่มากมายทั้งพิพิธภัณฑ์และสถานทูต ในขณะที่บริเวณกลางลานเองก็มีอนุสาวรีย์และรูปปั้นของบุคคลสำคัญที่เปรียบเสมือนเป็นผู้กล้าเป็นฮีโร่ของชาวฮังกาเรียนเรียกว่า Millennium Memorial ประกอบไปด้วยรูปปั้นผู้นำทั้ง 7 เผ่าของชาวมอยอร์ บริเวณด้านหน้าของอนุสาวรีย์เป็นหลุมฝังศพของเหล่าทหารหาญ ส่วนรูปปั้นด้านหลังที่ล้อมรอบเป็นลักษณะครึ่งวงกลมเป็นรูปปั้นของบุคคลสำคัญคนอื่นๆของฮังการี (ข้อมูลจากหนังสือของคุณ Picike)






จาก Heros’ square เรานั่งรถไฟใต้ดิน M1 สายสีเหลืองย้อนกลับมา 6 สถานี มาลงที่ Bajci Zsilinszky Ut (อ่านว่าอะไรเนี่ย!!) เพื่อเข้าชมโบสถ์ที่มีความสำคัญมากอีกแห่งหนึ่งของบูดาเปสต์นั่นคือ St. Stephen’s Basilica โบสถ์ที่มีความใหญ่โตที่สุดในบูดาเปสต์ โบสถ์นี้เป็นโบสถ์คาทอลิกศิลปะ Neo-Classical ใช้เวลาก่อสร้างยาวนานกว่า 50 ปีเพราะประสบปัญหาหลายอย่าง แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดที่ทำให้ St. Stephen’s Basilica มีความสำคัญและเป็นแรงดึงดูดให้คริสตศาสนิกชนและนักท่องเที่ยวทั่วไปหลั่งไหลมาที่นี่คงเป็นเพราะที่นี่เป็นสถานที่เก็บพระหัตถ์ข้างขวาของกษัตริย์เซนต์สตีเฟ่น (The Holy Right Hand of King St. Stephen) ปฐมกษัตริย์ผู้ก่อตั้งประเทศฮังการี การค้นพบและพบว่าพระหัตถ์ขวาของท่านยังคงอยู่โดยไม่เสื่อมสลายเป็นที่โจษจันและเลื่อมใสจากทั่วทั้งประเทศ แต่กว่าพระหัตถ์ขวาของกษัตริย์เซนต์สตีเฟ่นจะถูกเก็บรักษาที่โบสถ์เซนต์สตีเฟ่นนี้ในปี 1945 ก็ได้ถูกเก็บรักษาและส่งผ่านไปในหลายๆประเทศตั้งแต่เมือง Bihar ใน Transylvania เมือง Ragusa (ปัจจุบันอยู่ที่เมือง Dubrovnik ประเทศโครเอเชีย) จนไปถึงเวียนนา





ห้องสวดมนต์เล็กๆในโบสถ์เซนต์สตีเฟ่นที่เป็นที่เก็บรักษา The Holy Right Hand นี้อยู่ทางด้านซ้ายมือขององค์ประธานของโบสถ์ The Holy Right Hand ถูกเก็บรักษาในหีบกระจกเล็กๆซึ่งวางบนแท่นบูชาอีกทีหนึ่ง หากดูตามปกติ ภายในหีบจะค่อนข้างมืดทำให้มองเห็น The Holy Right Hand ไม่ถนัด ต้องหยอดเหรียญ 100 HUF ที่ตู้รับบริจาคด้านข้าง เมื่อหยอดเหรียญแล้ว หีบกระจกจะส่องแสงสว่างให้เรามองเห็น The Holy Right Hand ได้อย่างชัดเจนเป็นเวลา 2 นาที


The Holy Right Hand




ออกจาก St. Stephen’s Basilica เราเดินย้อนขึ้นไปทางสถานีรถไฟใต้ดิน Opera เพื่อไปชมโรงละครโอเปร่าของบูดาเปสต์ ซึ่งจะมีการนำทัวร์ภายในโรงละครทุกวันเวลา 15.00 และ 16.00 ราคาคนละ 2800 HUF แต่เราไปไม่ทันก็เลยได้แต่ชมจากด้านนอกและเดินเข้าไปด้านในแค่บริเวณที่ขายตั๋วเท่านั้น



มื้อเย็นวันนี้เราไปอุดหนุนคนไทยในต่างแดนอีกครั้งที่ร้านอาหารไทย Bangkok House ที่ใกล้ๆกับ Central Market Hall เมื่อนั่งรถรางมาลงที่ป้าย Fovam ter ที่หน้า Central Market Hall แล้ว ให้หันหลังให้ Central Market Hall จะเห็นร้าน Burger King อยู่ขวามือ เดินตรงไปตามถนนคนเดินข้างหน้าที่ชื่อ Vaci utca เมื่อพ้นมุมตึกแรกทางขวามือก็ให้เลี้ยวขวา จะเห็นป้ายร้าน Bangkok House ตั้งอยู่ตรงหน้าเลย ร้านอยู่ที่ชั้นใต้ดินของโรงแรม สอบถามผู้จัดการร้านซึ่งเป็นคนไทยแล้วว่ามีพ่อครัวคนไทย 2 คน อาหารร้านนี้รสชาติอร่อยอยู่แต่รสจัดมากกก สั่งผัดกระเพราไปเพราะอยู่ๆก็อยากกินมาก ก็เลยน้ำมูกย้อย น้ำตาไหลไปจนกินเสร็จ ไม่รู้ที่จัดให้หนัก ผัดให้เผ็ดขนาดนี้เพราะเขาเห็นว่าเราเป็นคนไทยหรือเปล่า แต่ถ้าไม่ใช่แล้วทำรสชาติยังงี้กับลูกค้าต่างชาติล่ะก็ ลูกค้าจะรอดไหมเนี่ย


ก่อนนอนคืนนี้ เรากลับไปเดินย่อยที่แถวๆ สะพานเชนอีกครั้ง ยามค่ำคืนจากสะพานเชนทำให้มองเห็นอาคารที่ Castle hill จากฝั่งบูดาสว่างไสวด้วยแสงไฟงดงามไม่แพ้มุมมองจากสะพานชาร์ลส์ที่ปรากเท่าไหร่นัก แต่ก็อาจจะดูมืดๆ น่ากลัวๆนิดหน่อย ระหว่างเดินเล่น ระวังตัวไว้หน่อยก็ไม่เสียหายอะไร





 

Create Date : 01 มกราคม 2554   
Last Update : 21 มีนาคม 2554 22:28:25 น.   
Counter : 3932 Pageviews.  


Original Habsburg (3)

Czech - Austria - Hungary (9)

วันที่ 9: Wien


เรายังคงอยู่ในเวียนนาอย่างเต็มอิ่มอีก 1 วัน มื้อเช้าของเราวันนี้เป็นอาหารเช้าของโฮสเทล ซื้อคูปองที่หน้ารีเซฟชั่นแล้วก็ยื่นให้เข้าหน้าที่ที่หน้าซุ้มอาหารเช้าได้เลย อาหารเช้าที่ Wombat ก็จะคล้ายกับที่ซาลส์บวร์ก มีขนมปังปิ้ง ซีเรียล โยเกิร์ต ไข่ต้ม แฮม ซาลามี ชีส เนยแข็ง น้ำผลไม้ นม และผลไม้พวกกล้วย ส้ม แอปเปิ้ล กินกันให้เกินอิ่มซักหน่อยเพราะวันนี้ยังอีกยาวไกล เท่านั้นไม่พอ เรายังเก็บไข่ต้ม กล้วย ขนมปังใส่ถุงซิปเอาไปกินเป็นมื้อกลางวันด้วย





บรรยากาศภายในโฮสเทล

โปรแกรมของวันนี้เริ่มต้นที่พระราชวังฤดูร้อนที่ใหญ่ที่สุดและมีชื่อเสียงที่สุดในเวียนนาและออสเตรียนั่นคือพระราชวังเชินบรุนน์ (Schloss Schonbrunn) จากหน้าโฮสเทลจะมีป้ายรถราง (ชื่อป้าย Gerstnerstrasse ชื่อเดียวกับถนน) ให้นั่งรถรางสาย 58 เส้นทาง Hummelgasse (หันหน้าเข้าโฮสเทล รถรางจะวิ่งมาจากด้านซ้ายมือ ผ่านสถานีรถไฟ Westbahnhof ก่อนมาจอดที่ป้ายที่เรารอ) นั่งไป 8 สถานีแล้วลงที่ป้าย Schloss Schonbrunn ใช้เวลาประมาณ 10 นาที หรือถ้าอยากนั่งรถไฟใต้ดิน จากสถานี Westbahnhof ให้นั่งเมโทร U6 สายสีน้ำตาล เส้นทาง Siebenhirten แล้วไปเปลี่ยนขบวนที่สถานี Langenfeldgasse นั่งเมโทร U4 สายสีเขียว เส้นทาง Hutteldorf แล้วลงที่สถานี Schloss Schonbrunn

เราเลือกนั่งรถราง พอลงป้ายปุ๊บ มองไปทางขวาก็จะเห็นทางเข้าด้านหน้าพระราชวังเชินบรุนน์อยู่ไม่ไกล พระราชวังเชินบรุนน์เป็นพระราชวังฤดูร้อนของราชวงศ์ฮับส์บวร์กที่ปัจจุบันกลายเป็นสัญลักษณ์และเป็นสถานที่ที่มีชื่อเสียงที่สุดในออสเตรีย จนได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลก UNESCO World Heritage Culture ตั้งแต่ปี 1996 เป็นต้นมา ประวัติของพระราชวังเชินบรุนน์สามารถสรุปรวมได้คร่าวๆ ดังนี้ (ข้อมูลจาก //www.schoenbrunn.at และ Wikipedia)

สมัยยุคกลางช่วงศตวรรษที่ 14 อาคารหลายหลังบนพื้นที่นี้เดิมชื่อว่า Kutterburg

ต่อมาได้ตกเป็นของสมเด็จพระจักรพรรดิแม็กซิมิเลียนที่ 2 แห่งโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ พระองค์จึงเปลี่ยนที่นี่เป็นสถานที่สำหรับเล่นกีฬาล่าสัตว์ ที่นี่จึงกลายเป็นสถานที่สำหรับล่าสัตว์ที่เป็นที่โปรดปรานขององค์จักรพรรดิของราชวงศ์ฮับส์บวร์กหลายต่อหลายพระองค์

จักรพรรดิแมททิอาส (Emperor Matthias) เป็นผู้ตั้งชื่อที่นี่ว่า Schon Brunnen ซึ่งแปลว่าน้ำพุอันสวยงาม (fair spring)

พระราชวังเชินบรุนน์เป็นมรดกสืบทอดกันในราชวงศ์ฮับส์บวร์กจากรุ่นสู่รุ่น แต่ในฐานะสถานที่สำหรับเล่นกีฬาล่าสัตว์เท่านั้น จวบจนเมื่อตกเป็นของสมเด็จพระจักรพรรดินีมาเรีย เทเรซ่า พระองค์ทรงโปรดปรานที่นี่มาก จึงเป็นที่มาของความยิ่งใหญ่ของพระราชวังเชินบรุนน์ในปัจจุบัน เนื่องจากพระองค์ทรงปรารถนาที่จะเปลี่ยนรูปแบบสถาปัตยกรรมและการตกแต่งภายในของที่นี่ให้ยิ่งใหญ่ สวยงามดังพระราชวังอื่นๆ

สมเด็จพระจักรพรรดินีมาเรีย เทเรซ่า เป็นผู้ทรงควบคุมการออกแบบก่อสร้างและรูปแบบการตกแต่งภายในพระราชวังตลอดจนสวนและพื้นที่โดยรอบพระราชวังด้วยพระองค์เองแทบทั้งสิ้นผ่านทางสถาปนิก วิศวกรและจิตรกรเอกหลายคนในสมัยนั้น งานทั้งหมดสำเร็จโดยสมบูรณ์ก่อนพระองค์เสด็จสวรรคตเพียงไม่นาน

หลังจากสมเด็จพระจักรพรรดินีมาเรีย เทเรซ่า เสด็จสวรรคต ก็ไม่มีพระบรมวงศานุวงศ์พระองค์ใดใช้ที่ที่เป็นที่ประทับ จะมีบ้างประปรายในฐานะเป็นที่ประทับในช่วงฤดูร้อนเท่านั้น

ปี 1830 สมเด็จพระจักรพรรดิฟรานซ์ โจเซฟทรงประสูติ เติบโตและใช้ชีวิตครั้งทรงพระเยาว์ที่นี่ เนื่องจากพระราชบิดาและพระราชมารดาของพระองค์ทรงประทับอยู่ทางปีกฟากตะวันออกของพระราชวัง จนเมื่อพระองค์เสด็จขึ้นครองราชย์ พระราชวังเชินบรุนน์ก็กลับมาสู่ยุครุ่งเรืองอีกครั้ง เมื่อสมเด็จพระจักรพรรดิฟรานซ์ โจเซฟทรงโปรดปรานที่นี่มากและใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่ที่พระราชวังแห่งนี้จวบจนพระองค์เสด็จสวรรคต

เมื่อจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการีล่มสลายในปี 1918 พระราชวังเชินบรุนน์จึงตกเป็นของสาธารณรัฐออสเตรียและอยู่ภายใต้การบริหารงานของ Schloss Schönbrunn Kultur- und Betriebsges.m.b.H. (SKB)





การเข้าชมพระราชวังเชินบรุนน์มีให้เลือกหลายรูปแบบตามเวลาและงบประมาณที่มี //www.schoenbrunn.at/en/besucherinfo/admission-charges.html เราเลือก Classic Pass Ticket ราคาคนละ 17.9 EUR ซึ่งครอบคลุมการเข้าชม 1) ทัวร์ภายในพระราชวัง (Grand tour) 2) สวนส่วนพระองค์ (Privy garden) 3) Panorama terrace 4) เขาวงกต 5) สาธิตการทำแอปเปิ้ลสตรูเดล (apple strudel) พร้อมชิมตัวอย่างฟรี (อันสุดท้ายนี่ล่ะที่ทำให้เราเลือกตั๋วประเภทนี้ กินฟรี ไม่มีพลาดอยู่แล้ว)

จุดจำหน่ายตั๋วเข้าเชินบรุนน์มีหลายที่ เราซื้อตั๋วที่ร้านขายของที่ระลึกที่หน้าทางเข้ารั้วพระราชวัง (Main entrance) บริเวณแรกสุดที่เริ่มก้าวเดินเข้ามาในบริเวณเชินบรุนน์ ร้านขายของที่ระลึกจะอยู่ซ้ายมือที่ใหญ่ หรือจะเดินลึกเข้าไปซื้อที่จุดจำหน่ายตั๋วที่ภายในอาคารพระราชวังก็ได้ จะมีป้ายใหญ่ๆเขียนว่า Ticket อยู่ แต่จุดจำหน่ายตั๋วนี้เป็นจุดใหญ่ที่สุดจึงทำให้มีผู้คนพลุกพล่านที่สุดด้วย


ทัวร์ประเภท Grand tour ภายในเชินบรุนน์พร้อม audio guide เปิดให้เข้าชมห้องประทับจำนวน 40 ห้อง (จากจำนวนห้องทั้งหมดกว่า 1,400 ห้อง... กรี๊ดดดด) ในขณะที่ทัวร์ขนาดย่อมอย่าง Imperial tour เปิดให้เข้าชมห้องจำนวนน้อยกว่าครึ่งหนึ่ง เริ่มต้นที่การขึ้นผ่านบันไดใหญ่สีน้ำเงิน (Blue staircase) แล้วเดินชมห้องต่างๆทางด้านปีกขวา (ทิศตะวันตก) ของอาคาร โดยส่วนแรกทางปีกทิศตะวันตกเป็นห้องประทับและห้องส่วนพระองค์ของสมเด็จพระจักรพรรดิฟรานซ์ โจเซฟและสมเด็จพระจักรพรรดินีเอลิซะเบ็ธ มีทั้งห้องทรงงาน ห้องบรรทม ร้านฉลองพระองค์ ห้องรับแขก ห้องสวดมนต์ ลักษณะไม่ต่างจากที่ Hofburg ที่เราไปดูมาเมื่อวานนัก เพียงแต่พื้นที่แต่ละห้องที่เชินบรุนน์มีขนาดใหญ่กว่าและมีจำนวนห้องมากกว่ามาก เดินไปเรื่อยๆจนถึงส่วนกลางของอาคาร (Central wing) ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นห้องประทับและห้องส่วนพระองค์ของสมเด็จพระจักรพรรดินีนาถมาเรีย เทเรซ่า เดินต่อไปที่ปีกซ้ายจะเป็น Franz Karl Apartments ห้องประทับและห้องส่วนพระองค์ของอาร์คดัชเชสโซฟีและอาร์คดยุคฟรานซ์ คาร์ลซึ่งเป็นพระราชบิดาและพระราชมารดาของสมเด็จพระจักรพรรดิฟรานซ์ โจเซฟ เป็นอันจบทัวร์

ออกจากตัวพระราชวังเราเดินไปที่สวนส่วนพระองค์ (Privy garden) หน้าปีกฟากตะวันออกของพระราชวัง การมาเที่ยวชมสวนในฤดูใบไม้ร่วงถือเป็นการท่องเที่ยวที่ขาดทุนมาก เพราะดอกไม้โรยไปหมด คนสวนก็ปล่อยให้ดินแห้งกรัง ทำให้สวนส่วนพระองค์ที่ครอบคลุมอยู่ในค่าตั๋วของเรานี่ไม่สวยเอาซะเลย


จากสวนส่วนพระองค์ เราเดินอ้อมไปที่ด้านหลังตัวพระราชวังเชินบรุนน์ จะเจอกับ Great Parterre สวนสไตล์บารอคขนาดใหญ่ ที่เมื่อเรายืนแล้วมองไปรอบๆ ก็จะสามารถมองเห็นวิวของพระราชวังเชินบรุนน์และพื้นที่โดยรอบได้อย่างเต็มตา จนสวนนี้กลายเป็นมุมมหาชนที่ใครๆก็ต้องมาถ่ายรูปเก็บไว้ให้รู้ว่าที่นี่คือเชินบรุนน์ ถัดจากสวน Great Parterre จะเป็นเนินเขาที่จะขึ้นไปสู่ Panorama terrace ที่ตีนเนินเขา มี Neptune fountain น้ำพุที่ถูกออกแบบให้เป็นเหมือนส่วนมงกุฏครอบเหนือสวน Great Parterre อีกชั้นหนึ่ง น้ำพุเนปจูนและสวน Great Parterre ทั้งหมดถูกออกแบบไว้ตั้งแต่ตั้นให้มีความสอดคล้องกับตัวอาคารพระราชวังเชินบรุนน์ที่อีกฝั่งหนึ่ง ซึ่งเป็นพระประสงค์ดั้งเดิมของสมเด็จพระจักรพรรดินีนาถมาเรีย เทเรซ่า




เราเดินขึ้นเนินเขาเพื่อไปยัง Gloriette หรือ Panorama terrace ระเบียงทางเดินที่มีเสาเรียงกันเป็นแถว (colonnade) ที่จะทำให้เรามองเห็นเชินบรุนน์ได้จากมุมสูง รวมทั้งมองเห็นเวียนนาได้ไกลสุดลูกหูลูกตาอีกด้วย ที่ Gloriette นี้มีร้านกาแฟให้บริการนั่งจิบพักผ่อนด้วย จากนั้นเราเดินลงเนินเขาแล้วขอย้อนกลับไปวัยเด็กด้วยการเข้าไปชมเขาวงกตที่อยู่ด้านซ้ายของตีนเนินเขา (หันหลังให้ Gloriette) ในเขาวงกตมีแต่เด็กๆวัยรุ่นมากันเป็นหมู่คณะ อาจจะมากับโรงเรียนหรือมากันเองก็ไม่รู้ แต่ว่ามีแต่น้องๆหน้าใสๆ วิ่งหาทางเข้าออกภายในเขาวงกตกันให้ควั่ก ถ้าไม่หลง (ซึ่งเราก็ไม่หลง รอบเดียวผ่าน อาศัยเดินตามช่องที่คนเยอะๆ) ปลายทางด้านในสุดของเขาวงกตจะเป็นบันไดขึ้นไปยังจุดชมวิวเล็กๆเหนือยอดพุ่มไม้ที่สร้างเป็นเขาวงกต นอกจากนี้ภายในบริเวณใกล้เคียงยังมีเกมคล้ายๆเขาวงกตให้เด็กๆได้สนุกสนานหลายเกม




เมื่อได้เวลาใกล้เที่ยง เราต้องรีบเดินย้อยกลับไปทางด้านหน้าของพระราชวังเพื่อไปชมการสาธิตการทำแอปเปิ้ลสตรูเดล ขนมหวานสัญชาติออสเตรียแท้ๆที่ราคาค่าชมรวมอยู่ในค่าตั๋ว Classic Pass ของเราแล้วด้วย บริเวณโชว์อยู่ที่อาคาร Old bakery เยื้องไปทางขวามือของตัวอาคารพระราชวัง (เมื่อหันหลังให้พระราชวัง) โชว์เริ่ม 10 โมง มีเป็นรอบๆ เริ่มต้นเวลา .00 น. พอเราเข้าไปถึงที่สาธิต เจ้าหน้าที่ก็ยื่นขนมแอปเปิ้ลสตรูเดลชิ้นน้อยๆให้เราเดินถือไปนั่งที่โต๊ะด้านหน้า ซึ่งด้านหน้าโต๊ะกาแฟที่เรานั่งก็เป็นเค้าท์เตอร์ทำครัวที่จัดวางวัตถุดิบ เครื่องปรุงและอุปกรณ์สำหรับเตรียมสาธิตวิธีทำขนมให้เราชมกันแล้ว ดูแล้วให้ความรู้สึกเหมือนกำลังดูหมึกแดงโชว์กันเลยทีเดียว ต่างกันที่พ่อครัวคนนี้ขี้เล่นและมุกเยอะใช้ได้ คงทำเป็นอาชีพ พอเขารู้ว่าเราจะถ่ายรูป เขาก็รีบหยุดแล้วหันหน้ายิ้มให้ หรือตอนที่เขาเชิญตัวแทนผู้ชมให้ไปลองทำจริงก็มีการหยอดมุกเล็กๆน้อยๆตลอด แอปเปิ้ลสตรูเดลเป็นขนมหวานที่ส่วนผสมหลักก็คือแอปเปิ้ล เพราะฉะนั้นรสชาติพื้นฐานของมันคือหวานม้ากกกก เขาจะเอาแอปเปิ้ลมาเตรียมเป็นไส้แยกไว้ จากนั้นก็เตรียมแป้งแผ่ให้เป็นแผ่นบางๆที่สุด จากนั้นค่อยเอาส่วนไส้มาวางบนแป้งแล้วนำเข้าเตาอบ เสิร์ฟกับน้ำชาร้อนๆน่าจะแก้เลี่ยนได้ดี






หลังจากดูโชว์แอปเปิ้ลสตรูเดล เราออกมานั่งกินมื้อเที่ยงกันที่เก้าอี้ลานด้านหน้าพระราชวัง การกินไข่ต้ม ขนมปังและกล้วยหอมที่หยิบมาจากโฮสเทลบวกกับการนั่งมองวิวเพลินๆของพระราชวังเชินบรุนน์ก็เป็นบรรยากาศที่ทำให้อาหารมื้อนี้อิ่ม (วิว) และอร่อยขึ้นอีกเยอะ

ออกจากเชินบรุนน์ เรานั่งเมโทร U4 สายสีเขียวจาก Schloss Schonbrunn เส้นทาง Heiligenstadt ไปลงสถานี Stadtpark สวนสาธารณะที่ศาลาว่าการเมืองเวียนนาที่เราผ่านมาแล้วเมื่อวานแต่ยังไม่มีโอกาสได้เดินเที่ยว Stadtpark ก็เหมือนสวนสาธารณะอื่นทั่วไป แต่จุดเด่นอย่างหนึ่ง (ที่จริงๆก็ไม่ได้เด่นอะไร) ที่ทำให้นักท่องเที่ยวโดยเฉพาะทัวร์ไทยมาที่นี่ก็คือการได้ถ่ายรูปกับอนุเสาวรีย์คีตกวีเอกของโลกอีกคนหนึ่งนั่นก็คือโยฮัน สเตราส์ (Johann Strauss) รูปปั้นสีทอง มือกำลังสีไวโอลินเป็นรูปที่คุ้นตาโบรชัวร์ท่องเที่ยวจากเมืองไทย เราก็เลยขอตามเก็บภาพตามที่เขาฮิตๆกันหน่อย จริงๆแล้วที่ Stadtpark นอกจากจะมีอนุสาวรีย์ของโยฮัน สเตราส์แล้ว ก็ยังมีอนุสาวรีย์และรูปปั้นของบุคคลสำคัญอีกหลายต่อหลายคนของออสเตรียอีกเช่น Franz Schubert, Franz Lehar, Robert Stolz และ Hans Makart จึงนับได้ว่า Stadtpark เป็นสวนสาธารณะที่มีอนุเสาวรีย์และรูปปั้นบุคคลสำคัญมากที่สุดในเวียนนา (ข้อมูลจาก Wikipedia)


จาก Stadtpark เราเดินตามแผนที่ไปเรื่อยๆผ่านถนน Schubertring, Karntner Ring และโอเปร่าเฮ้าส์ (Wienner Staatoper) ตอนที่กำลังจะข้ามสี่แยกที่โอเปร่าเฮ้าส์ มีคุณยายคนหนึ่งเกิดอุบัติเหตุบางอย่างบนรถรางที่แกโดยสารมา อาจจะไม่สบายหรืออะไรบางอย่าง มีหน่วยพยาบาล รถฉุกเฉินวิ่งวี้หว่อวี้หว่อมาจอดอยู่หน้ารถรางเลย รถรางขบวนนั้นที่มีผู้โดยสารอยู่เต็มก็ต้องหยุด แล้วหน่วยพยาบาลก็พาคุณยายนอนเตียงเปลยกขึ้นรถฉุกเฉินไป เห็นแล้วก็รู้สึกประทับใจกับระบบการจัดการของเขาดีจัง จากโอเปร่าเฮ้าส์ เราเดินตรงไปที่ถนนช้อปปิ้งของเวียนนาอย่าง Karntnerstrasse ที่จริงเส้นนี้เราผ่านมาแล้วตั้งแต่เมื่อวานที่มาที่โบสถ์ Dom ที่ถนน Karntner มีร้านค้าโดยเฉพาะร้านขายเสื้อผ้าให้สาวกนักช้อปอย่างเราได้น้ำลายไหล (แต่เงินไม่ไหลจากกระเป๋า) ได้ตลอดเส้น จาก Karntnerstrasse เราเปลี่ยนบรรยากาศไปหาเค้กกินกันที่ร้านเค้กชื่อดังของออสเตรียอย่าง Demel ซึ่งร้านนี้เราเห็นก่อนแล้วที่ซาลส์บวร์กแต่เก็บความอยากไว้มากินที่เวียนนาตามแผนดีกว่า เรารู้จัก Demel จากการอ่านหนังสือของอ.ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ ก็เลยอยากจะมาลิ้มรสด้วยตัวเองบ้าง ร้าน Demel เป็นร้านเบเกอรี่คาเฟ่ชื่อดังแห่งหนึ่ง แค่เปิดประตูเข้าไปเห็นจำนวนคนในร้านก็ยิ่งมั่นใจว่าร้านนี้เขาดังจริง ลูกค้าทั้งที่นั่งโต๊ะและลูกค้าที่รอซื้อขนมกลับบ้านมีปริมาณมากจนทำเอาร้านที่มีขนาดเล็กอยู่แล้วยิ่งคับแคบไปถนัดตา ภายในร้านสามารถมองเห็นส่วนครัวเบเกอรี่โดยมีกระจกกั้นไว้ชั้นหนึ่งได้ เรามองเห็นพ่อครัวแม่ครัวหลายชีวิตที่กำลังขะมักเขม้นทำขนมอบแล้วเหมือนกำลังดูเรื่องชาร์ลีกับโรงงานช็อกโกแลตมหัศจรรย์ (Charlie and the chocolate factory) อยู่เลย น่ารักและน่าสนุกมากๆ


โอเปร่าเฮ้าส์


ห้องครัวที่ Demel

เนื่องจากไม่รู้จะสั่งเครื่องดื่มอะไร เพราะในเมนูมีแต่กาแฟแต่ความสามารถในการดื่มการแฟของเราเท่าระดับเด็กอนุบาล เราเลยเลือกสั่งเมนูโกโก้อย่างเดียวที่ร้านมีนั่นคือ Choco-Bailey’s โดยเอาความรู้แบบเด็กอนุบาลอีกแล้วทำให้เข้าใจไปเองว่า Bailey เนี่ยต้องคล้ายๆน้ำส้มไบเล่ย์บ้านเราแหง... หารู้ไม่ว่ามันคือเหล้าดีดีนี่เอง มิน่า...พอจิบแรกเท่านั้น กลิ่นแอลกอฮอล์หึ่งเลย แต่ด้วยความเสียดายตังค์ ก็เมนูไบเล่นี่เล่นแพงสุดเลยด้วย เด็กอนุบาลก็เลยต้องซดไบเล่ย์จนหมด... มึนนนน สำหรับขนมหวานที่เราสั่ง ต้องไปเลือกที่หน้าเค้าท์เตอร์ ไม่สามารถสั่งออเดอร์ผ่านบริกรได้เพราะมันไม่มีในเมนู เมื่อไปที่เค้าท์เตอร์ก็ให้เลือกขนมที่เราต้องการแล้วสั่งกับพนักงานหน้าเค้าท์เตอร์ได้เลย เขาจะเขียนกระดาษโน้ตให้เราถือไปวางที่โต๊ะ จากนั้นถึงจะมีบริกรอีกคนเดินมาเก็บกระดาษโน้ตไปแล้วเอาขนมมาเสิร์ฟ น่าเสียดายที่เราจำชื่อขนมไม่ได้ อ่านยากมาก ตอนสั่งก็ได้แต่ชี้ๆ จำได้แค่ว่าเป็น white chocolate ที่เราชอบกับชีสและสตรอเบอรี่เปรี้ยวนิดๆสักอย่าง แต่อร่อยมากๆ ไม่หวาน ไม่เลี่ยน อร่อยนุ่มลิ้นจริงๆ


Choco-Bailey's




หลังจากเติมพลังด้วยของหวานและแอลกอฮอล์จนอิ่มแล้ว เวลาอีก 3-4 ชม.ที่เหลือในช่วงเย็นถึงค่ำในวันนี้จะหมดไปกับการเลคเชอร์ชุดใหญ่อีกชุดหนึ่งที่พิพิธภัณฑ์โบราณวัตถุ สิ่งของล้ำค่าและทรงคุณค่าทางประวัติศาสตร์ รวมทั้งรูปปั้นและภาพเขียน 3 แห่งในเวียนนาที่ตั้งอยู่ใกล้ๆกันในบริเวณพระราชวัง Hofburg ค่าเข้าชมแบบแพ็คเกจ 3 พิพิธภัณฑ์รวมกันราคา 18 EUR เริ่มต้นด้วยพิพิธภัณฑ์ Schatzkammer (Treasury) เป็นพิพิธภัณฑ์จัดแสดงสมบัติล้ำค่าที่เป็นเอกลักษณ์และสัญลักษณ์ของประวัติศาสตร์นับพันปีของชาวยุโรป ที่นี่เป็นพิพิธภัณฑ์ที่จัดแสดงสมบัติล้ำค้าของราชวงศ์ในยุคกลางที่สำคัญที่สุดได้แก่เครื่องหมาย สัญลักษณ์แห่งจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์เช่นมงกุฏ เครื่องทรง Coat of Arms กระบี่ หอก ทวน เครื่องศาสตราวุธต่างๆ นอกจากนี้ยังจัดแสดงสิ่งสำคัญที่เกี่ยวข้องกับคริสตศาสนาสิ่งหนึ่งที่เราคาดไม่ถึงนั่นคือมีการจัดแสดงตะปูที่ใช้ตอกพระหัตถ์ของพระเยซูคริสต์เมื่อพระองค์ทรงถูกตรึงกางเขน






ตะปูที่ใช้ตอกพระหัตถ์ของพระเยซูคริสต์เมื่อพระองค์ทรงถูกตรึงกางเขน

ถัดมาที่พิพิธภัณฑ์ที่ 2 Neue Burg พิพิธภัณฑ์ที่จัดแสดงคอเลคชั่นพิเศษ 3 สิ่ง และยังเป็นหอจดหมายเหตุของพิพิธภัณฑ์แห่งที่ 3 อีกด้วย สำหรับสิ่งจัดแสดง 3 สิ่งที่พิเศษสุดนั้นได้แก่พิพิธภัณฑ์จัดแสดงศาสตราวุธและชุดเกราะที่ใส่ขณะออกรบ (ทำให้เรารู้ว่าคนยุโรปสมัยก่อนตัวสูงใหญ่ขนาดไหน ยังกับเจ้ายักษ์ตัวเขียวเรื่อง Hawk ไม่ใช่ Shrek นะจ๊ะ) พิพิธภัณฑ์เครื่องดนตรีโบราณ และพิพิธภัณฑ์ Ephesus (อันนี้ไม่ได้เข้าไป)





ส่วนพิพิธภัณฑ์สุดท้ายที่ทุกวันพฤหัสฯ จะปิดช้าถึง 3 ทุ่ม ทำให้เราสามารถเข้าไปชมได้ทันเวลา เพราะแค่ 2 พิพิธภัณฑ์แรกก็หมดเวลาไปกว่า 2 ชม. ปาเข้าไป 6 โมงเย็นแล้ว ถ้าเป็นวันอื่นก็จะไม่ได้เข้าพิพิธภัณฑ์ที่ 3 แต่โชคดีที่โปรแกรมของเราลงตัวที่วันพฤหัสฯ พิพิธภัณฑ์แห่งที่ 3 Kunsthistorisches Museum (Museum of Fine Arts) จึงยังเปิดรอเราอยู่ Museum of Fine Arts หรือพิพิธภัณฑ์วิจิตรศิลป์นี้เป็นแหล่งรวมประติมากรรมเก่าแก่ของโลกตั้งแต่ยุคกรีก โรมัน อียิปต์และเรื่อยมา ซึ่งงานประติมากรรมทั้งหมดนี้จัดแสดงอยู่ที่ชั้น 1 และชั้น 2 นอกจากนี้พิพิธภัณฑ์ยังเป็นแหล่งรวบรวมงานจิตรกรรมชั้นยอดของศิลปินทุกยุคทุกสมัย ซึ่งงานทั้งหมดนี้จัดแสดงที่ชั้นบนขึ้นไปของตัวอาคาร ถึงแม้ว่าเราจะไม่ใช่ผู้ที่รู้จักประวัติศาสตร์เป็นอย่างดี ไม่ใช่ผู้ที่หลงใหลในศิลปะการต่อสู้ ไม่ใช่นักดนตรีขั้นเทพ และไม่ใช่ศิลปินใดๆ แต่การเข้าชมพิพิธภัณฑ์สำคัญทั้ง 3 แห่งนี้ก็ไม่ได้ทำให้บรรยากาศในการเดินชมพิพิธภัณฑ์น่าเบื่อแต่อย่างใดในทางกลับกัน พิพิธภัณฑ์ทั้ง 3 แห่งทำให้เราได้มีโอกาสทำความรู้จักเรื่องราวต่างๆในประวัติศาสตร์มากขึ้นทีละน้อยๆ และอยากเรียนรู้มากขึ้นไปอีก









เรากลับไปที่โฮสเทลด้วยเมโทร U2 สายสีม่วงจากสถานี Museumquartier เส้นทาง Stadion แล้วไปเปลี่ยนขบวนที่สถานี Volkstheatre นั่งเมโทร U3 สายสีส้ม เส้นทาง Ottakring แล้วลงที่สถานี Westbahnhof พอถึง Westbahnhof หิวกันมาก ก็เลยต้องอุดหนุน Donor Kebab หน้าสถานีอีกครั้ง คืนนี้เก็บข้าวของพร้อมลุยต่ออีก 2 วันที่เหลือ ณ เมืองที่มีแม่น้ำดานูบคั่นกลาง...บูดาเปสต์





 

Create Date : 29 ธันวาคม 2553   
Last Update : 21 มีนาคม 2554 22:18:08 น.   
Counter : 2891 Pageviews.  


Original Habsburg (2)

Czech - Austria - Hungary (8)

วันที่ 8: Wien


เราตื่นแต่เช้าเดินไปที่สถานีรถไฟ Westbahnhof เพื่อซื้อตั๋วรถสำหรับเดินทางภายในเวียนนา การเดินทางภายในเวียนนานั้นสะดวกสบายมาก ทั้งรถไฟใต้ดิน (U-bahn) ขนส่งสาธารณะที่เป็นหัวใจของการคมนาคม ยังมีรถไฟบนดิน และรถรางมีสารพัดสายให้เลือกขึ้น เพราะฉะนั้นถ้ามีแผนที่ดีดีสักใบ เราก็ใช้ชีวิตในเวียนนาได้อย่างเพลิดเพลินแล้ว ตั๋วโดยสารระบบขนส่งสาธารณะในเวียนนาก็มีหลากหลายแบบให้เลือกตามแผนการเดินทางของเรา ตั๋ว 1 ใบสามารถใช้ขึ้นระบบขนส่งสาธารณะได้ทุกประเภท ขอรวบรวมจากหลายๆที่รวมทั้งเว็บนี้ค่ะ //www.wienerlinien.at/wl/ep/channelView.do/channelId/-17256/pageTypeId/10220

ประเภทตั๋วโดยสาร
1. Single Trip Ticket 1.8 EUR
2. The 24-hour Vienna Card 5.7 EUR
3. The 48-hour Vienna Card 10 EUR
4. The 72-hour Vienna Card 13.6 EUR
ตั๋วประเภทที่ 2-4 สามารถใช้กับระบบขนส่งสาธารณะทุกประเภทในเวียนนา (แต่ไม่รวมรถไฟ S-bahn ที่วิ่งออกไปนอกเมืองอย่างสนามบิน อันนี้ต้องซื้อตั๋ว single trip แบบ 2 โซนราคา 3.6 EUR) ภายในระยะเวลา 24, 48 และ 72 ชม.ตามลำดับ นับจากเวลาที่ระบุจากเครื่องตอกตั๋ว ซึ่งเมื่อซื้อตั๋ว บนตั๋วจะไม่ได้ระบุเวลาให้ เราต้องทำการ validate ตั๋วโดยการนำเข้า validate หน้าทางเข้าสถานีรถไฟใต้ดินหรือหน้าป้ายรถราง ลักษณะเดียวกับการ validate ตั๋วที่ปราก
5. The Vienna Card 18.5 EUR สำหรับการเดินทาง 72 ชม. อันนี้ไม่คุ้มค่ะ เพราะใช้ขึ้นรถได้ฟรีจริง แต่ค่าเข้าชมสถานที่ต่างๆเป็นแค่ส่วนลดนิดหน่อยเท่านั้นเอง แต่ยังไงลองคำนวณค่าใช้จ่ายดูก่อนอีกทีก็ได้ค่ะ
6. The 8-day Climate Ticket 28.8 EUR ตั๋ว 8 วันแบบไม่จำเป็นต้องติดต่อกันค่ะ เหมาะสำหรับผู้ที่เดินทางเข้าออกเวียนนาหลายๆครั้ง


จากแผนการเดินทางของเรา เราเลือกซื้อตั๋วแบบ 48 ชั่วโมงค่ะ ตั๋วสามารถซื้อได้ที่เครื่องขายตั๋วอัตโนมัติที่สถานีรถไฟใต้ดินทุกแห่ง เรานั่ง metro U3 สายสีส้มจาก Westbahnhof ไปยังจุดหมายแรกของวันนี้คือโบสถ์สเตฟาน (Stephansdom) ที่สถานี Stephansplatz 5 สถานีใช้เวลาประมาณ 10 นาที Stephansdom นี้เป็นโบสถ์ศิลปะแบบกอธิคชิ้นเอกแห่งศตวรรษที่ 13 ด้วยตัวโบสถ์มีลักษณะรูปทรงเรขาคณิตอันโดดเด่น ซึ่งกลายเป็นสัญลักษณ์สำคัญแห่งหนึ่งของเวียนนาในปัจจุบัน (ข้อมูลจากหนังสือ Lonely planet; Central Europe) Stephansdom เป็นโบสถ์ใหญ่ (mother church) และเป็นที่พำนักของอาร์คบิชอปแห่งเวียนนา น่าเสียดายที่ตอนนี้บางส่วนของโบสถ์กำลังซ่อมอยู่ เราจึงไม่ได้เห็นตัวโบสถ์ของจริงแบบเต็มๆ มีการนำภาพของโบสถ์มาปิดบังบริเวณที่กำลังซ่อมแซมไว้เพื่อให้เมื่อมองจากภายนอกแล้ว โบสถ์ยังคงความสวยงามอยู่ ภายในตัวโบสถ์สามารถเข้าชมฟรี แต่ถ้าจะเข้าไปให้ลึกจนถึงหน้าแท่นสวดมนต์ก็ต้องเสียค่าเข้าชม นอกจากนี้ยังสามารถขึ้นไปชมวิวเมืองเวียนนาบนยอด Stephansdom ได้ เสียค่าเข้าชมประมาณ 4 EUR แต่ว่ากันว่าวิวไม่ค่อยสวยเท่าไหร่





ออกจาก Stephansdom เราเดินงมๆแผนที่อยู่พักใหญ่ กว่าจะไปถึงสวนสาธารณะ Burggarten สวนสาธารณะที่อยู่ติดกับพระราชวัง Hofburg สวนสาธารณะ Burggarten มีขนาดเล็กมากและไม่มีอะไรน่าสนใจเลยเว้นแต่แปลงดอกไม้รูปกุญแจซอลและรูปอนุสาวรีย์โมสาร์ทที่ใครๆก็พากันมาที่นี่เพื่อถ่ายรูปสิ่งนี้






ถัดไปจาก Burggarten เป็นด้านหลังของบริเวณพระราชวังหลวง Hofburg เพราะฉะนั้นถ้าจะเข้าชมพระราชวังต้องเดินอ้อมไปเข้าทางด้านหน้าที่ Michaelplatz จัตุรัสด้านหน้าทางเข้าพระราชวัง


พระราชวัง Hofburg เป็นพระราชวังหลวงสร้างตั้งแต่เมื่อประมาณ 600 ปีที่แล้ว แต่เรื่องราวที่จัดแสดงในปัจจุบันจะเป็นยุคสมัยของสมเด็จพระจักรพรรดิฟรานซ์ โจเซฟที่ 1 และสมเด็จพระจักรพรรดินีเอลิซะเบ็ธแห่งราชวงศ์ฮับส์บวร์ก (Habsburg) เป็นผู้ครอบครอง ราชวงศ์ฮับส์บวร์กนี้เป็นราชวงศ์ที่มีความสำคัญมากที่สุดราชวงศ์หนึ่งของยุโรป ถึงแม้ว่าปัจจุบันการปกครองประเทศโดยราชวงศ์ฮับส์บวร์กจะล่มสลายแล้ว แต่ประวัติศาสตร์ สิ่งก่อสร้าง สถาปัตยกรรมและวัฒนธรรมที่เกี่ยวข้องกับราชวงศ์ยังคงอยู่อย่างยิ่งใหญ่และเป็นที่จดจำของผู้คนทั่วไปจากรุ่นสู่รุ่น พระราชวัง Hofburg ก็เป็นสิ่งหนึ่งที่เป็นตัวแทนของราชวงศ์ฮับส์บวร์กได้เป็นอย่างดี จริงๆแล้วพื้นที่ของ Hofburg มีขนาดกว้างขวางมาก แต่ปัจจุบันพื้นที่ส่วนใหญ่ได้ถูกจัดเป็นพิพิธภัณฑ์ในรูปแบบต่างๆ คงเหลือส่วนที่เป็นพระราชวังสำหรับให้เข้าชมประวัติศาสตร์รวมถึงเข้าของเครื่องใช้ เครื่องประดับตกแต่งที่บอกเล่าประวัติความเป็นมาของราชวงศ์เฉพาะส่วนที่อยู่ด้านหน้า Michaelplatz การเข้าชมพระราชวัง Hofburg นั้น ถ้ากลัวว่าคนจะเยอะ ไม่อยากต่อคิวก็สามารถซื้อตั๋วเข้าชมล่วงหน้าผ่านเว็บไซต์ //www.hofburg-wien.at/en/plan-your-visit/admission-charges.html แต่เอาเข้าจริงๆวันที่เราไปนั้น คนก็ไม่เห็นเยอะอะไรเลย ไม่ต้องต่อคิวด้วย อาจเป็นเพราะมาแต่เช้าก็ได้ ราคาค่าเข้าชมคนละ 9.9 EUR (เรียกว่า Hofburg ticket) รวมค่า audio guide ค่าเข้าชมคอเลคชั่นเครื่องเงิน (silver collection) และค่าเข้าชมพิพิธภัณฑ์เจ้าหญิงซิสซี่ (Sisi Museum) และห้องประทับต่างๆภายในพระราชวัง (Imperial Apartments) ด้วย

เราเริ่มการทัวร์ภายใน Hofburg ด้วยการชมของสะสมเครื่องเงินซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นเครื่องใช้บนโต๊ะอาหารพวกจาน ชาม ช้อน ส้ม ผ้าปูโต๊ะ ผ้ากันเปื้อน แก้วน้ำ เหยือกไวน์ ถาดผลไม้เป็นต้น เครื่องใช้บางอย่างบางรุ่นไม่ได้เป็นเครื่องเงินทั้งหมด อาจเป็นแก้ว กระเบื้อง porcelain บ้าง กระเบื้องบรรณาการจากเมืองจีนบ้าง แต่สวยงามไม่แพ้กัน เครื่องใช้ที่จัดแสดงมีมากมายหลายแบบ หลายรุ่นเพื่อวัตถุประสงค์การใช้ที่แตกต่างกันเช่นบางรุ่นใช้เมื่อแปรพระราชฐาน ในสมัยก่อนวัสดุที่นิยมใช้ในการทำเครื่องครัวสำหรับราชวงศ์และชนชั้นสูงคือทองแดง เนื่องจากทองแดงมีคุณสมบัติการนำความร้อนที่ดีเยี่ยม แต่ข้อเสียข้อสำคัญของทองแดงก็มีเช่นกันนั่นคือเมื่อทองแดงสัมผัสกับอาหารที่มีฤทธิ์เป็นกรดจะเกิดปฏิกิริยาขึ้น ทำให้เกิดพิษต่อผู้บริโภคได้ ดังนั้นเครื่องครัวในสมัยก่อนจึงต้องเคลือบด้วยดีบุกด้านในและมีการตรวจสอบรอยเคลือบทุกครั้งก่อนนำมาใช้งาน Silver collection นี้มีจำนวนมากมายจริงๆ แต่ละชิ้นก็ดูหรูหราอลังการมากๆ นับจำนวนห้องที่จัดแสดงทั้งหมดมีถึง 29 ห้อง หนึ่งในนั้นมีการจัดแสดงเครื่องใช้ที่ใช้สำหรับพระราชพิธีเก่าแก่พิธีหนึ่งนั่นคือพราะราชพิธีล้างเท้า (The foot-washing ceremony) กล่าวคือเป็นพระราชพิธีที่ปฏิบัติสืบต่อกันมานับร้อยๆปี โดยพระจักรพรรดิและพระจักรพรรดินีจะทรงล้างเท้าชายสูงอายุ 12 คนและหญิงสูงอายุอีก 12 คนในวัน Holy Thursday ในเทศกาลอีสเตอร์ เพื่อแสดงถึงพระเมตตาของพระองค์ดั่งเช่นที่พระเยซูคริสต์ที่ปฏิบัติต่อสาวกของพระองค์ ในวัน Holy Thursday ชายและหญิงสูงอายุ 24 คนที่ยืนรออยู่หน้าพระราชฐานจะได้รับเชิญเข้าร่วมพระราชพิธีนี้ ทั้งหมดจะได้รับการเปลี่ยนเสื้อผ้าให้สะอาด ใหม่ ได้รับการตรวจสุขภาพและได้รับการพระราชทานอาหารที่จัดเตรียมด้วยวัตถุดิบอย่างดีบนเครื่องเรือนเฉพาะ



หลังจากใช้เวลาร่วมชั่วโมงกับ Silver collection เราก็เดินผ่านบันไดที่พาเราไปสู่ส่วนภายในของพระราชวังที่เล่าเรื่องราวของราชวงศ์ฮับส์บวร์กผ่านพิพิธภัณฑ์ซิสซี่ (Sisi Museum) ประวัติของราชวงศ์ฮับส์บวร์กตาม Wikipedia สรุปได้แบบคร่าวๆที่สุดดังนี้




ราชวงศ์ฮับส์บวร์กได้ปกครองสเปนและออสเตรีย รวมเวลาการปกครองถึง 600 ปี แต่ที่รู้จักกันมากที่สุดคือการปกครองในตำแหน่งสมเด็จพระจักรพรรดิแห่งโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ (Holy Roman Emperor) และหลังจากที่มีการสถาปนาจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมา ราชวงศ์ฮับส์บวร์กนี้ก็ได้ปกครองรัฐและประเทศต่างๆถึง 1,800 รัฐ

พระบรมวงศานุวงศ์ได้ทรงขยายอำนาจการปกครอง ทรงนำรัฐและประเทศต่างๆมาผนวกรวมกับจักรวรรดิโดยการอภิเษกสมรสกับพระธิดาแห่งเมืองต่างๆแล้วก็ผนวกเมืองนั้นเข้าเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิ

ราชสกุลฮับส์บวร์กแบ่งออกเป็น 2 สายคือสายฮับส์บวร์ก-ออสเตรียและสายฮับส์บวร์ก-สเปน

สายสกุลฮับส์บวร์ก-สเปนล่มสลายเมื่อปี 1,700 เช่นเดียวกับสายสกุลฮับส์บวร์ก-ออสเตรียที่ล่มสลายจากสงครามสืบราชบัลลังก์ออสเตรีย

องค์รัชทายาทองค์สุดท้ายแห่งสายสกุลฮับส์บวร์ก-ออสเตรีย อาร์คดัชเชสมาเรีย เทเรซ่า (ต่อมาคือสมเด็จพระจักรพรรดินีนาถมาเรีย เทเรซ่า) ซึ่งเป็นองค์รัชทายาทหญิงโดยพฤตินัย ได้ทรงอภิเษกสมรสกับดยุคฟรานซิสที่ 3 สตีเฟนแห่งลอเรน องค์พระประมุขแห่งลอเรน (ต่อมาคือ สมเด็จพระจักรพรรดิฟรานซ์ที่ 1) ทั้งสองทรงเป็นพระญาติกันเนื่องจากทรงเป็นพระราชปนัดดาในสมเด็จพระจักรพรรดิเฟอร์ดินานที่ 3 แห่งโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ หลังการอภิเษกสมรส สายสกุลฮับส์บวร์ก-ออสเตรียได้ถูกยุบลงกลายเป็น ราชสกุลฮับส์บวร์ก-ลอเรน จวบจนปัจจุบัน

ถึงแม้ดยุคฟรานซิสที่ 3 สตีเฟนแห่งลอเรนจะถูกสถาปนาแต่งตั้งเป็น สมเด็จพระจักรพรรดิฟรานซ์ที่ 1 แห่งโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ แต่พระราชอำนาจและการบริหารบ้านเมืองยังเป็นของ สมเด็จพระจักรพรรดินีนาถมาเรีย เทเรซ่า ในฐานะผู้ทรงสืบราชสมบัติ

ปี 1867 ประชาชนชาวฮังกาเรียนก่อการปฏิวัติเพื่อเรียกร้องเอกราชจากจักรวรรดิออสเตรีย สมเด็จพระจักรพรรดิฟรานซ์ โจเซฟที่ 1 ต้องทรงไปไกล่เกลี่ยการจลาจลด้วยพระองค์เองจนฮังการียอมจำนน พระองค์จึงรวมออสเตรียและฮังการีเข้าด้วยกันในชื่อจักรวรรดิใหม่ จักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี ซึ่งเจริญรุ่งเรืองจนถึงสมัยสงครามโลกครั้งที่ 1

ปี 1914 เกิดสงครามโลกครั้งที่ 1 อันเนื่องมาจาก อารค์ดยุคฟรานซ์ เฟอร์ดินานด์แห่งออสเตรีย-เอสต์ ถูกลอบปลงพระชนม์โดยนักอนุรักษ์นิยม ออสเตรียประกาศสงครามกับเซอร์เบียโดยร่วมมือกับเยอรมัน แต่แพ้สงครามเมื่อปี 1918 สมเด็จพระจักรพรรดิคาร์ลที่ 1 แห่งออสเตรีย (สมเด็จพระราชาธิบดีคาร์ลที่ 4 แห่งฮังการี) ทรงประกาศแยกออสเตรียและฮังการีออกจากกัน ทำให้มีการล้มล้างจักรวรรดิและเกิดการล่มสลายของจักรวรรดิในที่สุด


ย้อนกลับมาที่เรื่องพิพิธภัณฑ์ Sisi, Sisi เป็นชื่อเรียกกันภายในหมู่พระญาติของดัชเชสเอลิซะเบ็ธแห่งบาวาเรีย (Duchess Elisabeth in Bavaria) ภายหลังพระองค์ทรงอภิเษกสมรสกับ สมเด็จพระจักรพรรดิฟรานซ์ โจเซฟที่ 1 และได้รับการสถาปนาเป็นสมเด็จพระจักรพรรดินีเอลิซะเบ็ธ Sisi มีพระสิริโฉมงดงามมาก จึงเป็นที่รักใคร่ของผู้พบเห็น ภายในพิพิธภัณฑ์ Sisi และ Imperial Apartments ไม่อนุญาตให้ถ่ายรูป เราจึงต้องใช้รูปภายจากเว็บไซต์มาลงไว้เพื่อเตือนความจำแทน เริ่มต้นด้วยพิพิธภัณฑ์ Sisi ที่เล่าเรื่องราวของพระจักรพรรดินีผู้เลอโฉม ตลอดช่วงชีวิตของพระองค์มีทั้งช่วงที่พระองค์มีความสุขที่สุดในฐานะพระจักรพรรดินีแห่งออสเตรียและพระราชินีแห่งฮังการี และมีความทุกข์ที่สุดจากการสูญเสียพระโอรสอันเป็นที่รักยิ่งจากการอัตวินิตบาตกรรม พระองค์ฉลองพระองค์สีดำตลอดตั้งแต่นั้นมาจวบจนวันสิ้นพระชนม์ และเป็นเรื่องที่น่าเศร้าที่สุดเรื่องหนึ่งของราชวงศ์เมื่อพระจักรพรรดินี Sisi ถูกลอบปลงพระชนม์จากพวกต่อต้านราชวงศ์ชาวอิตาเลียนที่เมืองเจนีวา สวิตเซอร์แลนด์ ภายในพิพิธภัณฑ์ยังจัดแสดงฉลองพระองค์ เครื่องใช้ส่วนพระองค์ รถพระที่นั่งจำลอง และลายพระหัตถ์ของพระจักรพรรดินี Sisi ให้เราได้เข้าถึงประวัติศาสตร์มากขึ้น

สุดท้าย เราเข้าชม Imperial Apartments ส่วนจัดแสดงห้องประทับบางส่วนของสมเด็จพระจักรพรรดิฟรานซ์ โจเซฟที่ 1 และสมเด็จพระจักรพรรดินีเอลิซะเบ็ธ ซึ่งมีทั้งหมดประมาณ 18 ห้อง เริ่มต้นจากห้องประทับ ห้องทรงงานและห้องส่วนพระองค์อื่นๆของสมเด็จพระจักรพรรดิฟรานซ์ โจเซฟที่ 1 เช่นห้องรอเข้าเฝ้า ห้องประชุม ห้องทรงงาน ห้องบรรทม ห้องฉลองพระองค์ ห้องถัดๆมาจะเป็นห้องส่วนพระองค์ของสมเด็จพระจักรพรรดินีเอลิซะเบ็ธ และปิดท้ายด้วยห้องเสวยพระกระยาหาร แต่ละห้องบอกเล่าเรื่องราวและความยิ่งใหญ่ของราชวงศ์ฮับส์บวร์กได้เป็นอย่างดี ทัวร์จบแล้วเหมือนได้เรียนหนังสือเล่มใหญ่






เราใช้เวลาอยู่ที่ Hofburg นานมากถึงเกือบ 3 ชม. ทั้งๆที่ในเว็บไซต์เขียนไว้ว่าใช้เวลาประมาณ 1 ชม.ครึ่งเท่านั้น นี่ขนาดเราก็รีบเดินพอสมควรแล้วนะ แต่เรื่องราวและจำนวนห้องจัดแสดงเยอะมากจริงๆ ออกมาถึงกับมึน นับรวมตั้งแต่ silver collection มาจนถึง Imperial Apartments แล้วได้กว่า 76 สถานีที่มี audio guide บรรยาย นับว่ามากที่สุดเลยก็ว่าได้ สำหรับคนที่ไม่ชอบประวัติศาสตร์คงไม่เหมาะกับที่นี่ อาจข้ามไปเข้าชมเฉพาะที่พระราชวังเชินบรุนน์ซึ่งเป็นพระราชวังฤดูร้อนของราชวงศ์ก็ได้ ส่วนที่นี่ให้ถ่ายรูปเฉพาะด้านนอกก็พอ แต่สำหรับเรา ถึงแม้ความรู้ทางประวัติศาสตร์จะน้อยนิด แต่ความอยากรู้อยากเห็นเรื่องประวัติศาสตร์ไม่เป็นสองรองใคร ส่วนจะเก็บเกี่ยวความรู้ได้หรือไม่นั้นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ไหนๆมาเวียนนาเมืองแห่งประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมแล้ว ก็ต้องเข้าถึงกันซะหน่อย

ออกจาก Hofburg เราเดินลัดเลาะตามแผนที่ไปยังอาคารรัฐสภา (Parliament) ตามที่อ่านมาที่รัฐสภามีทัวร์ให้เข้าชมด้วยรอบ 11 โมง ราคา 4 EUR แต่เวลาของเรามันเลยไปเที่ยงครึ่งแล้ว ก็เลยได้แต่ถ่ายรูปด้านหน้าพอเป็นพิธี อาคารรัฐสภาออสเตรียเป็นศิลปะแบบโรมันซึ่งเดาว่าน่าจะเพิ่งสร้างไม่นาน ไม่ใช่อาคารที่มีอยู่เดิม มีรูปปั้นเทพเจ้าหลายต่อหลายองค์รายล้อมรอบอาคารเต็มไปหมด โดยมีเทพีเอเธน่าองค์ใหญ่ที่สุดอยู่ด้านหน้า




ถัดจากอาคารรัฐสภาไปไม่ไกล เดินผ่านสวนสาธารณะ (Stadtpark) ก็จะเจอศาลาว่าการเมืองเวียนนา (Rathaus) ซึ่งเราจะต้องรีบไปให้ทันทัวร์ฟรีรอบบ่ายโมง เมื่อไปถึงศาลาว่าการ ดูเหมือนว่าถ้าเดินผ่านทางสวนสาธารณะเราจะไปโผล่ด้านหลังศาลากลาง ให้เดินอ้อมอาคารไปยังด้านหน้าจะมีทางเข้าใหญ่ให้เข้าไป จากนั้นเดินตรงไปไม่ไกล ให้มองหาประตูทางเข้าหมายเลข 8 ทางขวามือ ทัวร์จะเริ่มจากห้องนั้น ทัวร์ศาลากลางฟรีนี้ใจดีสุดๆ มี audio guide ภาษาอังกฤษให้ฟังด้วย โดยคุณไกด์จะพูดเป็นภาษาเยอรมันแต่เมื่อถึงห้องหนึ่งหรือสถานีหนึ่ง คุณไกด์ก็จะยกป้ายแสดงหมายเลขใน audio guide ให้เรากดฟังตาม เรารู้สึกโชคดีและสนุกมากที่ได้มีโอกาสเข้าชมอาคารและห้องต่างๆภายในศาลาว่าการเมืองเวียนนา เพราะห้องต่างๆนี้เป็นห้องที่ใช้ทำงานจริง เราได้เข้าชมห้องสำคัญต่างๆเช่นประชุมสภา ห้องจัดเลี้ยงรับรอง ห้องแถลงข่าว ทัวร์ใช้เวลาประมาณ 45 นาที กำลังดี









โปรแกรมของเราในวันนี้ดำเนินไปได้เพียงครึ่งเดียวเท่านั้น เราก็รู้สึกปวดเมื่อยล้าไปทั้งตัว คงเพราะล้าสะสมตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้วันที่ 8 แล้ว วันก่อนๆก็ยังแค่เดินบ้าง พักบ้าง นั่งรถไฟบ้าง แต่วันนี้นี่เดินล้วนๆ แถมเดินฟังเลคเชอร์ที่ Hofburg แบบนอนสต๊อปไม่ได้นั่งเลย ตอนนี้ก็เลยปวดเท้าขึ้นมาแปล๊บๆ แต่เราก็ยังต้องทำตามแผนต่อไปนั่นคือไปพระราชวังอีกแล้ว พระราชวัง Belvedere วิธีไปก็คือให้เดินจากศาลาว่าการผ่านสวนสาธารณะ รอรถรางสาย D ที่ป้ายหน้าสวนสาธารณะ นั่งไป 8 ป้ายไปลงที่สถานี Schloss Belvedere ตัวพระราชวังจะอยู่ฝั่งตรงข้ามป้ายรถราง พระราชวัง Belvedere แบ่งเป็น 2 ส่วนคือ Upper Belvedere บริเวณที่เราลงรถราง และ Lower Belvedere อยู่อีกฝั่งหนึ่ง วิธีที่ดีที่สุดในการเข้าชมทั้ง 2 ส่วนให้เข้าชม Upper ก่อนแล้วค่อยเดินลงเนินผ่านสวนจนไปถึงส่วน Lower ไม่งั้นถ้าเดินกลับกันก็ต้องกลายเป็นเดินขึ้นเนิน เมื่อยตาย


พระราชวัง Belvedere สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 18 เพื่อเป็นพระราชวังฤดูร้อนของเจ้าชายยูจีนแห่งซาวอย (Prince Eugene of Savoy) แม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในออสเตรีย ปัจจุบัน Belvedere กลายเป็นสถานที่จัดแสดงพิพิธภัณฑ์ไปหมดแล้ว โดย Upper Belvedere เป็นพิพิธภัณฑ์ประติมากรรมและจิตรกรรมภาพของศิลปินชื่อดังมากมายตั้งแต่ยุคกลาง บารอคเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน ในขณะที่ Lower Belvedere เป็นส่วนจัดแสดงนิทรรศการหมุนเวียนเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ตรงกลางระหว่าง Upper และ Lower Belvedere เป็นสวนขนาดย่อม มีรูปปั้นผู้หญิงอกอึ๋มดูประหลาดไม่เข้าพวกอยู่เต็มไปหมด ค่าเข้าชมพระราชวัง Belvedere ราคาคนละ 14 EUR (combined ticket) แพงเอาการ สำหรับคนที่ไม่ได้มีความสนใจทางศิลปะมากนัก ไม่ต้องซื้อบัตรเข้าชมก็ได้ ถ่ายรูปบริเวณรอบๆ นั่งกินบรรยากาศได้ฟรี ไม่เสียเงิน





ออกจาก Belvedere ทาง Lower Belveder เราเดินไกลประมาณกิโลกว่า (แต่เหมือน 5 กิโล) เพื่อไปเดินชมตลาดชื่อดังใจกลางกรุงเวียนนาอย่างตลาด Naschmarkt ตลาด Naschmarkt เป็นตลาด open air กลางใจเมือง ตลาดจัดพื้นที่ขายของเป็นแนวยาวตลอดถนน ขายทั้งของกินของใช้เต็มไปหมด แต่ดูไปดูมาก็ขายของซ้ำๆกันซะเยอะจนดูไม่หลากหลายเท่าไหร่ นอกจากเป็นตลาดแล้ว Naschmarkt ยังมีร้านอาหารเปิดให้บริการอยู่เต็มไปหมดเช่นกัน



ความจริงตามแผนวันนี้ ตอนกลางคืนเราว่าจะไปลองฟังดนตรีคลาสสิคฝีมือการประพันธ์ของโมสาร์ท ถ้าราคาตั๋วพอรับได้กับความสามารถทางโสตประสาทของเรา (นั่นคือตั๋วถูกสุดๆนั่นเอง) เราจึงเดินย้อนกลับทางเดิมเพื่อไปดูลาดเลาสถานที่และราคาตั๋วก่อน เวียนนานอกจากจะเป็นเมืองที่ร่ำรวยด้วยประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมการเมืองการปกครองแล้ว เวียนนาก็ยังเป็นเองที่ร่ำรวยด้วยวัฒนธรรมดนตรีคลาสสิคด้วยเช่นกัน สองคีตกวีชื่อก้องที่โด่งดังในเวียนนาก็คือโมสาร์ทและโยฮัน สเตราท์ ดังนั้นการรับชมดนตรีคลาสสิคในเวียนนาเป็นเรื่องที่ทำได้ทั่วไป ทุกวันจะมีการแสดงดนตรีคลาสสิคในรูปแบบต่างๆทั้งคอนเสิร์ต โอเปร่าหรือบัลเล่ย์หมุนเวียนสลับสับเปลี่ยนกันไปในหลายๆที่ ถ้าหากอยากทราบว่าวันนี้มีโปรแกรมที่ไหน อย่างไรก็ไม่ต้องขวนขวายหาให้ยากเย็น แค่เดินตามท้องถนนก็จะมีคนขายบัตร บ้างก็แต่งตัวเป็นโมสาร์ทมานำเสนอโปรแกรมพร้อมโฆษณาเสร็จสรรพว่าถ้าซื้อตอนนี้ราคาจะเหลือเท่าไหร่ แข่งขันกันน่าดู โดยปกติแล้วตั๋วเข้าชมการแสดงดนตรีคลาสสิคเหล่านี้มีหลากหลายราคามาก ราคาตั๋วแพงสุดอาจสูงถึงหลักหลายร้อยยูโร ส่วนถูกสุดก็ประมาณ 40-50 ยูโร ซึ่งก็ยังไม่เหมาะสมกับความสามารถในการรับฟังดนตรีคลาสสิคของเรา (แปลว่าต่ำมาก แต่ยังอยากจะลองฟัง) เพราะฉะนั้นทางเลือกสุดท้ายที่จะได้ราคาตั๋วถูกที่สุดก็คือหาตั๋วยืน ซึ่งโดยทั่วไปตั๋วยืนจะเปิดขายประมาณ 1 ชม.ก่อนการแสดงจะเริ่มที่บริเวณหน้าทางเข้าจุดแสดงเลย เคยอ่านมาจากหลายที่ว่าบางทีตั๋วยืนที่ขายที่หน้าโอเปร่าเฮ้าส์บางรอบ ราคาถูกสุดๆเหลือแค่ 2 EUR ก็มี

เราเช็คมาจากทางอินเตอร์เน็ทว่าวันนี้จะมีคอนเสิร์ตโมสาร์ท //www.mozart.co.at/index_en.htm หรือ //www.viennaconcerts.com/ (แสดงดนตรีออเคสตร้าอย่างเดียว ไม่มีโอเปร่าและบัลเล่ย์ ซึ่งน่าจะดูง่ายหน่อย เข้าถึงไม่ยาก) โดยผู้แสดงจะแต่งตัวด้วยเครื่องแต่งกายในยุคโมสาร์ทหมดเลย มีการสวมวิกผมสีบลอนด์แล้วผมดัดๆเป็นลอนๆด้วย การแสดงในวันนี้จะจัดขึ้นที่ Musikverein ซึ่งอยู่ที่ถนนเส้นใกล้ๆกับที่เราเดินผ่านมาจาก Belvedere พอหาสถานที่เจอแล้วเราก็เดินเลยและข้ามถนนไปอีกฟากเพื่อไปกินมื้อเย็นของวันนี้ที่ร้าน Café Schwarzenberg ร้านนี้เป็นร้านคาเฟ่ขายพวกเครื่องชา กาแฟและของหวานซะเยอะ แต่ก็มีอาหารจานหลักขายอยู่พอสมควร เราสั่ง Clear soup with liver dumpling, ‘Sacher sausages’ with masturd and fresh horseradish, ‘Grilled pork tenderloin’ with sautéed mushrooms and potato croquettes, Hot chocolate ‘Alt Wiener Art’ with vanilla, cinnamon, and whipped cream และน้ำแร่ผสมโซดาแทนน้ำเปล่า อาหารรสชาติดี คุณลุงหัวหน้าบริกรก็ใจดี ขยันขันแข็ง บรรยากาศในร้านก็ใช้ได้ คนเยอะ ดูเหมือนเวียนนาดี บางคนก็มานั่งที่นี่เพื่อดื่มกาแฟแก้วเดียวแล้วพูดคุยธุรกิจกันอีกเป็นนาน






สุดท้ายเมื่อถึงเวลาประมาณ 1 ทุ่ม เวลาก่อนคอนเสิร์ตจะเริ่ม 1 ชม. เราก็กลับไปที่ Musikverein อีกครั้ง ตอนนี้ผู้คนมาจากไหนไม่รู้ แห่กันมาออเต็มหน้าโถงชั้น 1 ของอาคารเต็มไปหมด ต่อคิวยาวเหยียดเพื่อซื้อตั๋วยืน ในขณะที่ผู้ชมที่ไม่ได้มารอซื้อตั๋วยืนก็มาถึงแล้วจำนวนมากเหมือนกัน พอสอบถามราคาตั๋วยืนแล้วก็ได้ความว่าราคา 23 EUR เอิ่มมมมม... ทำไมยังแพงอยู่ (สุดท้ายมารู้ว่าราคาตั๋วยืนจะลดเหลือ 50% ของราคาตั๋วนั่งที่ถูกที่สุดค่ะ ถ้าการแสดงที่เราจะไปชมอย่างเช่นที่โอเปร่าเฮ้าส์ ลองเช็คดูมีบางการแสดงที่ราคาตั๋วนั่งต่ำสุดอยู่ที่ 11 EUR ราคาตั๋วยืนก็เลยอยู่ที่ประมาณ 5 EUR ได้ค่ะ) ใจหนึ่งก็อยากตัดใจเสียเงินเข้าไปดู ไปหาประสบการณ์ใหม่ ใจหนึ่งก็เสียดายตังค์ คิดไปคิดมาสุดท้ายก็เลยตัดใจไม่ดูซะงั้น โดยอ้างว่าเดี๋ยวเลิกดึก (ก็ประมาณ 4 ทุ่มอะนะ แค่ดึกนิดหน่อยถ้าอยู่เมืองไทย แต่ถ้าสำหรับโปรแกรมเที่ยวที่ทรหด 11 วันอย่างงี้ การได้นอนพักผ่อนให้มากที่สุดเป็นเรื่องสำคัญ.... อยากอ้างอะไรก็อ้างไปตอนนั้น 55+) ก็เลยไม่ได้เก็บเกี่ยวประสบการณ์การชมการแสดงดนตรีคลาสสิคเลย จนถึงตอนนี้ที่เมืองไทย ยังคิดเสียดายไม่เลิก เพราะหลังจากคำนวณค่าใช้จ่ายทั้งทริปปรากฏว่าเงินเยอะกว่าที่ตั้งงบไว้เยอะอยู่ ฮึ่มๆๆ ไม่น่าเลยจริงๆ


Musikverein




 

Create Date : 26 ธันวาคม 2553   
Last Update : 21 มีนาคม 2554 22:12:27 น.   
Counter : 4079 Pageviews.  


Original Habsburg (1)

Czech - Austria - Hungary (7)

วันที่ 7: Hallstatt - Bad Ischl - Wien


เช้านี้เราตื่นนอนพร้อมรับเช้าวันใหม่ที่ดูท่าว่าอากาศจะสดใส ท้องฟ้าเต็มไปด้วยหมอกขาวกระจายทั่ว แต่ก็ขยับตัวสูงขึ้นทีละน้อยเพื่อรอเวลาให้ฟ้าเปิดอย่างเต็มที่ เราออกไปยืนที่ระเบียงหน้าห้องเพื่อชมวิวหมู่บ้านน้อยริมทะเลสาบกันแต่เช้า มองออกไปยังไม่เห็นผู้คนเท่าไหร่ในเวลานี้ แต่ก็เห็นนักท่องเที่ยวชาวไทยคู่หนึ่งยืนถ่ายรูปและพูดคุยกันถึงแม้เสียงจะเบาแต่ด้วยความที่ทั้งเมืองเงียบสงัดขนาดนี้เลยได้เสียงพวกเขาชัดมาก


ประมาณก่อน 8 โมงเช้านิดหน่อย เราได้ยินเสียงก๊อกแก๊กๆ บริเวณห้องครัว ก็รู้ได้ว่าเป็นเสียงคุณป้าโยฮันกำลังเตรียมอาหารเช้าไว้ให้เราแน่ๆ อีกสักครู่ คุณป้าก็พูดเสียงลอดเข้ามาในห้องเราว่าอาหารเช้าพร้อมแล้ว (แต่ตอนนั้นเรายังไม่พร้อม) เราออกมาที่ห้องกินข้าวก็พบกับอาหารเช้าธรรมดาๆ แต่บรรยากาศรอบๆนี่สิที่ไม่ธรรมดา ที่ไม่ธรรมดานี่ไม่ใช่ว่าคุณป้าแกตกแต่งห้องหรือจัดแจงข้าวของใหม่อะไรหรอก แต่บรรยากาศที่มองออกไปนอกหน้าที่อยู่ติดกับโต๊ะกินข้าวแล้วต่างหาก ที่สวยงาม สดชื่น สดใสเกินบรรยาย อาหารเช้าวันนี้คุณป้าเตรียมขนมปังก้อนกลมแข็งเป๊กกกไว้ 4 ก้อน ให้หั่นผ่าครึ่งตรงกลางแล้วทาเนย ทาแยม ใส่ชีสและซาลามี่ให้เป็นไส้ขนมปังเข้าไป ส่วนเครื่องดื่ม คุณป้าเตรียมชาสมุนไพรพร้อมเหยือกน้ำร้อนตามที่เราขอไว้ตั้งแต่เมื่อวาน บรรยากาศอาหารเช้าที่สุดแสนผ่อนคลายในวันนี้เป็นบรรยากาศที่ประทับใจที่สุดในทริปอันหนึ่งเลย




หลังจากอิ่มตื้อกับอาหารเช้าแล้ว (ดูเหมือนน้อยแต่อิ่ม ดูเหมือนอิ่มแต่ย่อยเร็วเหลือเกิน แป๊บเดียวก็หิวอีกแล้ว) เราก็ออกไปเดินสำรวจเมืองเล็กๆริมทะเลสาบเมืองนี้กัน

Hallstatt เป็นเมืองเล็กๆ ในแคว้น Upper Austria เขต Salzkammergut มีประชากรไม่ถึง 1,000 คน ตั้งอยู่ริมทะเลสาบ Hallstatt ประวัติศาสตร์ของเมืองมีมายาวนานตั้งแต่สมัยยุคหินเมื่อ 7,000 ปีก่อนเมื่อครั้งมีผู้พบว่าบริเวณนี้มีเกลือธรรมชาติเป็นจำนวนมาก จึงได้ตั้งถิ่นฐานและประกอบอาชีพทำเหมืองเกลือตั้งแต่นั้นมา ว่ากันว่าเหมืองเกลือที่ Hallstatt น่าจะเป็นเหมืองเกลือแห่งแรกในโลกและยังคงเปิดดำเนินการอยู่จนถึงทุกวันนี้ ด้วยภูมิทัศน์ที่สวยงามราวภาพวาดและวัฒนธรรมที่เก่าแก่และยังคงเอกลักษณ์ ทำให้ Hallstatt ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก (UNESCO World Heritage Site) ในปี 1997 และกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังของแคว้น Salzkammergut และออสเตรีย

การท่องเที่ยวในภาย Hallstatt สามารถทำได้ง่ายที่สุดด้วยการเดินเท้า เราเริ่มเดินสำรวจเมืองจากจุดตั้งต้นที่เราขึ้นจากเรือข้ามฟากเมื่อวานแล้วเดินย้อนกลับมาทางบ้านพัก ระหว่างทางก็เจอนักท่องเที่ยวชาวเอเชียหลายกลุ่ม ทั้งคนไทย คนญี่ปุ่น คนจีน แต่ปริมาณนักท่องเที่ยวก็ไม่ได้มากมายอะไรนัก เดินแล้วก็รู้สึกเหมือนว่าเมืองนี้เป็นของเราอยู่ดี อาจเป็นเพราะยังเช้าอยู่มาก มองไปในทะเลสาบเห็นฝูงคุณเป็ดขนเขียวว่ายน้ำในทะเลสาบที่ใสปิ๊ง เดินเข้าไปถ่ายรูปก็หยุดนิ่ง โพสท่าสวยให้ถ่ายตลอด มองไกลออกไปเห็นคฤหาสน์หลังใหญ่ที่เป็นปราสาทย่อมๆอยู่ที่ฝั่งตรงข้าม รู้สึกอิจฉาท่านเจ้าของคฤหาสน์เหลือเกินที่ได้อยู่ในที่ที่สวยงามอย่างนี้ เดินตรงไปเรื่อยๆก็ยังเป็นบ้านหลังหนึ่งกางเก้าอี้ผ้าใบ 2 เตียงไว้ที่สวนหน้าบ้านหันหน้าชมวิวทะเลสาบ อันนี้ยิ่งตาร้อนผ่าวอยากจะเข้าไปขอนอนถ่ายรูปบนเก้าอี้ผ้าใบซะเหลือเกิน คุณเจ้าของบ้านคนนี้คงขี้เกียจตัวเป็นขน เพราะวันๆแค่ได้เอนตัวนอนบนเก้าอี้ผ้าใบนี้ก็คงทำให้หลับเพลินได้ตลอดวัน เมื่อเราเดินผ่านหน้าบ้านคุณป้าโยฮันก็พบว่าบ้านของคุณป้าโยฮันที่เราพักอยู่ที่เป็นจุดที่นักท่องเที่ยวหยุดถ่ายรูปกันมากๆเลย ก็บ้านคุณป้าออกจะมีเอกลักษณ์ซะขนาดนี้ ตัวบ้านก็ยื่นออกมาเด่นกว่าบ้านหลังอื่น สีของไม้ที่เป็นตัวบ้านก็เป็นสีน้ำตาลอ่อนกว่าหลังอื่น ลายฉลุไม้ที่ขอบระเบียงบ้านก็ไม่เหมือนใคร (ซึ่งมารู้จากคุณป้าทีหลังว่าจริงๆแล้วบ้านหลังนี้เคยถูกไฟไหม้ครั้งใหญ่ครั้งหนึ่ง ตอนนั้นคุณป้าก็ไม่ได้มีเงินมากมายอะไรแถมยังต้องเลี้ยงดูลูกหลายคนที่ยังเล็กอยู่ แต่คุณป้าก็ซ่อมแซมบ้านหลังนี้จนสำเร็จ ตอนที่ซ่อมเสร็จใหม่ๆก็มีคนมาถ่ายรูปหน้าบ้านคุณป้าเยอะอย่างนี้นี่ล่ะ คุณป้าเห็นแล้วก็อยากจะถือป้ายเก็บตังค์ค่าถ่ายรูปซะเหลือเกินเป็นค่าซ่อมบ้าน แต่มาถึงตอนนี้คุณป้าบอกว่าล้อเล่นแล้วนะ... แสดงว่าคุณป้ารวยแล้ว)












เมื่อเดินตรงไปสุดทางจนเจอถนนใหญ่และบริเวณที่จอดรถของเมือง ด้านซ้ายมือจะเป็นลานกว้างสำหรับชมวิว จากจุดนี้จะทำให้เรามองเห็น Hallstatt ได้ครอบคลุมตลอดทั้งโค้งน้ำ มองเห็นชุมชนที่ตั้งบ้านอยู่บนเขาลดหลั่นกันเป็นชั้นๆอย่างสวยงาม ไกลสุดจะมองเห็นยอดคอหอยโบสถ์ประจำเมืองเด่นเป็นเอกลักษณ์ ส่วนด้านขวามือจะเป็นป้ายบอกทางไปยังสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญซึ่งเล่าถึงประวัติศาสตร์ของ Hallstatt ได้ดีที่สุดนั่นก็คือเหมืองเกลือ (Salt mine, Salzwelten) เราจะไปเที่ยวที่นี่กัน



แผนที่เมือง Hallstatt

เหมืองเกลือในออสเตรียมีอยู่ 3 แห่ง แต่แห่งที่เก่าแก่และมีชื่อเสียงที่สุดน่าจะอยู่ที่ Hallstatt นี่ล่ะ //www.salzwelten.at/salz_en/index.php?option=com_content&view=article&id=81&Itemid=64 เหมืองไม่ได้เปิดตลอดทั้งปี จะปิดระหว่างวันที่ 27 ตุลาคมถึง 22 เมษายนของทุกปีหรือใกล้เคียงนั้น คาดว่าเป็นเพราะอากาศที่หนาวเหน็บ หิมะลงจัดจนไม่สามารถขึ้นไปชมเหมืองเกลือได้อย่างสะดวกและปลอดภัย วันที่เราไปเป็นวันที่ 26 ตุลาคมซึ่งเป็นวันเปิดทำการวันสุดท้ายของปีพอดี เหมืองเกลือ Hallstatt นั้นตั้งอยู่บนภูเขาสูง สำหรับคนที่ชอบ hiking ก็สามารถเดินขึ้นตามทางบนแผนที่ไปที่หน้าเหมืองเกลือได้เลย แต่เราขอเลือกวิธีนั่งรถกระเช้าไฟฟ้าขึ้นไป ค่าเข้าชมรวมค่าขึ้นลงรถกระเช้าไฟฟ้าอยู่ที่คนละ 24 EUR แพงเอาการมากอยู่ แต่ดูจากเว็บไซต์แล้วรู้สึกว่าที่นี่น่าสนใจดี ก็เลยอยากมาเที่ยวโดยไม่คิดมาก แล้วบรรยากาศข้างบนก็ไม่ทำให้ผิดหวัง เมื่อรถกระเช้าไฟฟ้านำเราจากด้านล่างสู่ชั้นบน จากนั้นก็ขึ้นพาโนรามาลิฟต์ (Panorama lift) ขึ้นไปยังสะพานที่เป็นจุดชมวิวได้โดยรอบ (Vantage-point bridge) ขวามือคืออาคารแสดงนิทรรศการ Rudolfsturm ซ้ายมือเดินตรงไปตามทางเรื่อยๆจะเป็นทางไปยังเหมืองเกลือ ระหว่างทางมีห้องที่จัดแสดงหลุมศพของมนุษย์ยุคก่อนประวัติศาสตร์ให้เข้าชม




เมื่อถึงหน้าทางเข้าเหมืองเกลือซึ่งหน้าตาเหมือนบ้านหลังหนึ่ง มีระเบียงอยู่หน้าบ้านซะด้วย เจ้าหน้าที่นำเที่ยวเหมืองจะรอรวบรวมนักท่องเที่ยวเพื่อจัดทัวร์เป็นรอบๆ การจะเข้าไปชมเหมืองเกลือนั้นจะต้องสวมทับเสื้อผ้าที่เขาจัดไว้ให้ด้วย คงเพื่อป้องกันความสกปรกและกลิ่นไอความเค็มของเกลือที่จะมาติดเสื้อผ้าของนักท่องเที่ยว เสื้อผ้าที่ให้สวมทับเป็นเสื้อและกางเกงมีสีแดงและสีเขียวให้เลือก (จริงๆเขาเลือกให้) เราใส่แล้วรู้สึกเหมือนนักโทษยังไงไม่รู้ แต่อีกคนใส่แล้วก็ยังเหมือนหมอผ่าตัดอยู่ดี ไม่เปลี่ยนอาชีพ


แผนที่ภายในเหมืองเกลือ

จุดเริ่มต้นของทัวร์เหมืองเกลืออยู่ที่ทางออกอาคาร (1) เดินผ่านทางเดินตรงตามกันไปเรื่อยๆจะเจอทางเข้าอุโมงค์ Christina tunnel (2) คุณไกด์พาเราเดินลอดอุโมงค์ไปยังห้องโถง salt crystal chamber (3) อุณหภูมิภายในเหมืองอยู่ที่ประมาณ 8-9 องศาตลอดเวลา การจะผ่านไปยังห้องโถงที่ลึกลงไปอีกชั้นนั้นต้องใช้วิธีนั่งสไลเดอร์ลงไป สนุกมากกกกก สไลเดอร์ที่ว่านี้จะเป็นเหมือนสไลเดอร์ที่เราเคยเล่นตามสวนสาธารณะหรือสวนสนุกทั่วไป แต่แทนที่จะนั่งเอาขายื่นไปข้างหน้า สไลเดอร์อันนี้ต้องใช้การนั่งคร่อมแล้วค่อยยื่นขาไปข้างหน้าแทนพร้อมกับเกร็งขาด้วย ส่วนมือให้วางไว้ที่หน้าขาไม่ต้องเกร็ง เขาจะปล่อยสัญญาณไฟให้แต่ละคนลื่นลงจากสไลเดอร์ได้เพื่อไม่ให้คนที่ลงทีหลังไปชนกับคนที่ลงไปก่อนหน้า (ถึงจะเป็นสไลเดอร์ก็ยังต้องควบคุมการจราจร) ขณะที่ลื่นลงไปให้เอนหลังเล็กน้อย ยิ่งเอนหลังมากเท่าไหร่ก็ยิ่งลื่นลงไปเร็วมากเท่านั้น แต่สำหรับคนที่ไม่กล้าลื่นผ่านสไลเดอร์ สามารถเดินลงทางบันไดที่อยู่ข้างๆสไลเดอร์ได้


ในโถง salt crystal chamber จะจัดแสดงตัวอย่างของผลึกเกลือในรูปแบบต่างๆทั้งก้อนเล็ก ก้อนใหญ่ ถัดจากโถงไปคุณไกด์ก็พาเราไปนั่งที่ชมวิดีโอแสดงเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ของเหมืองเกลือแห่งนี้ จากนั้นก็พาเราไปที่ภาพแสดงที่มาของเกลือในเหมืองเกลือนี้ (4) คุณไกด์ใช้วิธีหมุนมือจับเพื่อให้ภาพหมุนเปลี่ยนไปตามเวลาที่เขาพูดเพื่อให้เราเห็นภาพการเปลี่ยนแปลงทางธรณีวิทยาตามกาลเวลาอันเป็นที่มาของกำเนิดเหมืองเกลือ เกลือที่ขุดพบในเหมืองเกลือเป็นเกลือสมุทรที่เกิดจากการเคลื่อนที่ของเปลือกโลก แต่ก่อนบริเวณนี้เป็นท้องทะเลอันกว้างใหญ่ แต่แล้วเมื่อเวลาผ่านไป เปลือกโลกก็เกิดการเคลื่อนที่มาชนกันและยกตัวขึ้นจนกลายเป็นแอ่งทะเลสาบน้ำเค็ม เมื่อเวลาผ่านไปอีกนับล้านปี บริเวณนี้ก็ถูกทับถมโดยชั้นดินไปเรื่อยๆ น้ำเค็มในทะเลสาบก็เหือดแห้งลงจนสุดท้ายก็เป็นเกลืออยู่ใต้ดิน นี่ก็คือจุดเริ่มต้นของการเกิดการค้นพบเหมืองเกลือและการขุดทำเหมืองเกลือจนถึงทุกวันนี้

เราเดินต่อมายังสไลเดอร์อีกอันหนึ่งซึ่งมีระยะทางยาวกว่าสไลเดอร์อันแรกเรียก Mega-slide (6) คุณไกด์บอกว่าการลงครั้งนี้จะมีการถ่ายรูปและจับอัตราเร็วในการลื่นลงมาเก็บไว้เป็นสถิติของแต่ละคนด้วย เพราะฉะนั้นให้เตรียมตัวให้ดี พอถึงตาของเรา เราก็เลยยิ้มแฉ่งสู้กล้องมากทั้งๆที่ดูไม่ทันว่ากล้องอยู่ตรงไหน หันหน้าไปคนละทิศละทางกับกล้องเลย แต่สนุกมากๆ


ผ่านสไลเดอร์ไปก็จะพบไฮไลท์ของทัวร์เหมืองเกลือนั่นคือการแสดงมัลติวิชั่นผ่านถ้ำ Hornerwerk ที่เป็นทะเลสาบเกลือใต้ดิน (7) มัลติวิชั่นแสดงเรื่องราวประวัติศาสตร์การค้นพบเหมืองเกลือทำได้สวยงามและน่าสนใจมาก ในเรื่องเล่าว่าชาวอียิปต์ถึงกับต้องข้ามน้ำข้ามทะเลมาขุดเกลือกันถึงที่นี่ (อันนี้งงอยู่ อียิปต์ก็มีทะเลทำไมไม่ไปขุดเอาแถวบ้าน) แสงเลเซอร์สีต่างๆถูกยิงผ่านผนังสะท้อนลงน้ำให้ความรู้สึกที่น่าประทับใจ ถัดมาจะเป็นบริเวณจัดนิทรรศการถึงเหมืองเกลือในปัจจุบันว่าได้เปลี่ยนแปลงและแตกต่างจากในอดีตอย่างไร (8) วิธีการผลิตเกลือสำเร็จรูปจากผลึกเกลือใหญ่ที่ได้มานั้นก็พัฒนาปรับปรุงให้ทันสมัยและได้ผลผลิตที่มากขึ้น กำลังการผลิตในปัจจุบันสามารถผลิตน้ำเกลือได้ 605,000 ลูกบาศก์เมตรต่อปีซึ่งเป็นผลให้ผลิตเม็ดเกลือได้ 180,000 ตัน โดยใช้พนักงาน 313 คน (ข้อมูลจากเว็บไซต์เหมืองเกลือ) บริเวณถัดไปคือ The man in salt (9) มีหุ่นจำลองเป็นรูปคนงานเหมืองแล้วขยับปากเล่าเรื่องราวว่าในอดีตมีการขุดพบศพผู้เสียชีวิตภายในเหมืองด้วย บริเวณถัดมาอีก 2 ที่เป็นพื้นที่จัดนิทรรศการประวัติศาสตร์ของเหมืองในยุค Iron age และ Bronze age (10, 11) จากนั้นคุณไกด์ก็พาเรานั่งรถไฟในเหมืองลอดผ่านอุโมงค์มืดที่มีแสงสว่างเป็นระยะๆ (12) เป็นระยะทางยาวพอควรทีเดียว สนุกอีกแล้ว จนรถไฟออกมาโผล่หน้าอุโมงค์ Maria Theresia tunnel (13) เป็นอันจบทัวร์ ก่อนกลับมีรูปถ่ายตอนที่ลื่นลง mega-slide พร้อมบอกอัตราเร็วในการลื่นของเราไว้ที่รูปด้วย คุณคนที่ได้อัตราเร็วสูงที่สุดในรอบของเราเป็นชายหนุ่มที่ลื่นลงมาคนเดียว มือหนึ่งถือกล้องถ่ายรูปแล้วหันกล้องถ่ายรูปตัวเองซะด้วย ขนาดต้องทำท่าอย่างงี้ไปด้วยยังได้สปีดเร็วที่สุดอีก ขอคารวะ






ระหว่างลงจากเหมืองเกลือก็ประมาณเที่ยงกว่าๆแล้ว ตอนนั้นแดดเริ่มสาดส่องเต็มที่ วิวจากสะพานบนเหมืองเกลือทำให้เราเห็นทิวทัศน์รอบ Hallstatt ได้อย่างเต็มตา หิมะที่ปกคลุมยอดเขา ใบไม้ที่เปลี่ยนสี แสงแดดที่สะท้อนกับน้ำในทะเลสาบที่ใสบริสุทธิ์เป็นภาพที่ช่างน่าประใจเหลือเกิน เราได้แต่บอกกับตัวเองว่าโชคดีแค่ไหนที่เรามา Hallstatt วันนี้ โชคดีแค่ไหนที่ฝนและหิมะตกไปก่อนหน้านี้ที่ซาลส์บวร์กแล้ว ฟ้าถึงได้เปิดและเป็นใจกับเราเป็นที่สุด













เราเดินกลับไปถึงที่พักเพื่อเช็คเอาท์บอกลาคุณป้าโยฮัน (ทั้งที่จริงๆก็ไม่ได้ถามคุณป้าก่อนว่าเวลาเช็คเอ้าท์จริงนี่กี่โมง เพราะปกติต้องประมาณ 10 โมง แต่นี่เราก็มั่วนิ่มเอ้อระเหยมาจนถึงบ่ายโมง) พอมาถึงปุ๊บ คุณป้าก็รีบมารอเลย สงสัยจะมาไล่แล้วล่ะ แต่คุณป้าน่ารักมากนะคะ ไม่ได้พูดหรือแสดงท่าว่าจะรีบขับไล่เราแต่อย่างใด สำหรับใครที่จะหาที่พักใน Hallstatt แนะนำเลยค่ะ ได้โปรดรับคุณป้าโยฮัน Johann Hoell ไว้พิจารณาด้วยค่ะ ทำเลที่ตั้งดี 5 ดาว บรรยากาศห้องพักดี 5 ดาว อุปกรณ์อำนวยความสะดวกดี 5 ดาว บริการดี 5 ดาวบวกๆ ราคาดี 4 ดาว (ขอแอบหักที่ไม่รวมค่าอาหารเช้าหน่อย แต่ก็ยังคุ้มค่าอยู่ดี) ที่นี่เหมาะสำหรับพัก 2 คนค่ะ แต่ถ้ามากกว่านั้นลองสอบถามคุณป้าดูก่อน เผื่อว่าคุณป้าจะมีห้องพักชั้นบนไว้ให้อีก


คุณป้า Johann Hoell



เรานั่งเรือข้ามฟากจากฝั่งตัวเมืองเวลา 14.15 น. เพื่อไปขึ้นรถไฟเที่ยว 14.32 น. จาก Hallstatt ไปบ๊าด อิชเชิล (Bad Ischl) น่าจะอ่านอย่างนี้นะ Bad Ischl เป็นเมืองทางผ่านที่จะไปเวียนนา จุดหมายสุดท้ายของวันนี้ เราก็เลยจะแวะเดินเที่ยวชมเมืองเสียหน่อย สำหรับคนที่มีเวลา การวางแผนเที่ยวรอบๆเขต Salzkammergut นอกเหนือจากซาลส์บวร์กอย่าง Hallstatt, St. Gilgen, St. Wolfgang และ Bad Ischl โดยใช้เวลาประมาณ 2-3 วัน น่าจะเต็มอิ่ม เราใช้เวลาประมาณ 2 ชม. ใน Bad Ischl ไปกับการเดินรอบๆเมือง ตึกรามบ้านช่องและอาคารหลายหลังในเมืองนี้สวยงามไม่ใช่เล่น ที่นี่มี Kongresshaus หรือที่ประชุมสภาเทศบาลของเมืองสีชมพูอ่อน ด้านหน้าสวนดอกไม้ที่ตอนนี้ดอกไม้โรยหมด สถานที่ท่องเที่ยวสำคัญใน Bad Ischl (ที่เราไม่ได้ไปเพราะเวลาไม่พอ ไม่คุ้มกับค่าเข้าชม) คงหนีไม่พ้นพระราชวัง Kaiservilla สถานที่ที่จักรพรรดิ Franz Joseph I ได้พบกับ Elisabeth แห่ง Bayern แล้วตกหลุมรักเธอทันพร้อมขอเธอแต่งงานที่นี่ ต่อมา Elisabeth แห่ง Bayern ก็ได้กลายเป็นจักรพรรดินี Elisabeth หรือ SiSi ผู้เป็นที่รักของคนทั้งจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี




ได้เวลา 16.54 น. เราออกจาก Bad Ischl นั่งรถไฟยาว 3 ชม.นิดหน่อยไปถึงเวียนนา (Vienna, Wien) เมืองหลวงที่ร่ำรวยด้วยประวัติศาสตร์ อารยธรรมและวัฒนธรรมที่สุดแห่งหนึ่งของโลก รถไฟจอดที่สถานี Westbahnhof ให้หาทางออก Gerstnerstrasse (หันหน้าออกจะเจอร้านอาหารจีน) เมื่อออกจากสถานีให้เลี้ยวซ้ายเดินตรงไปจนเจอถนนใหญ่ Mariahilferstrasse จากนั้นเลี้ยวขวา มองไปฝั่งตรงข้ามก็จะเห็นที่พักที่ทำเลและราคาดีที่สุดที่หนึ่งในเวียนนาเลยก็ว่าได้นั่นคือ Wombat’s City Hostel //www.wombats-hostels.com/vienna/the-lounge/ อยู่ฝั่งตรงกันข้าม Wombat’s City Hostel เป็นโฮสเทลที่มีหลายสาขาทั้งในเวียนนาและเมืองใหญ่ๆเมืองอื่นในยุโรปอย่างมิวนิคและเบอร์ลิน เยอรมันก็มี สำหรับในเวียนนาเองก็มี Wombat’s City Hostel อยู่ 2 สาขาและกำลังจะเปิดสาขาที่ 3 ที่ Naschmarkt ประมาณฤดูใบไม้ผลิปี 2011 ห้องพักที่ Wombat’s City Hostel “The Lounge” ทุกห้องมีห้องน้ำในตัว มีห้องตั้งแต่ dormitory ห้องคู่ ห้อง 4-6 คนแบบครอบครัว มีบริการ WiFi ฟรีตลอดทั้งโฮสเทล อาหารเช้าสามารถหุงหาทำเองได้ที่ห้องกินข้าวชั้นล่าง เขามีอุปกรณ์ไว้ให้พร้อมสรรพ หรือถ้าอยากกินที่โอสเทลเตรียมไว้ก็สามารถซื้อคูปองได้ที่รีเซฟชั่นด้านหน้าราคา 3.9 EUR อาหารเช้าเป็นบุฟเฟต์ที่ค่อนข้างหลากหลายและมีปริมาณมากพอเกินอิ่ม นอกจากนี้ยังมีคูปอง welcome drink ให้ใช้บริการที่ผับชั้นใต้ดินของโฮสเทลด้วย ถึงจะมีผับแต่โฮสเทลก็ไม่พลุกพล่านและอึกทึกเสียงดัง เพราะเขามีการกำหนดเวลาเปิดปิด เวลาห้ามส่งเสียงดังอย่างชัดเจน วันที่ไปพักเรายังเจอครอบครัวคนไทยพ่อแม่ลูกและคุณน้า 4-5 คนมาพักด้วยเลย เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะมาเป็นคู่ มากับเพื่อนหรือมากับครอบครัว ก็สามารถพักที่นี่ได้อย่างสบายใจ




 

Create Date : 24 ธันวาคม 2553   
Last Update : 21 มีนาคม 2554 21:56:15 น.   
Counter : 4086 Pageviews.  


1  2  3  

katiekat
 
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 8 คน [?]




ต้องการสอบถามข้อมูลการเดินทางทริปต่างๆที่แคทไปแล้ว ให้ติดต่อผ่านอีเมล์ chayadak@hotmail.com หรือ chayadak@yahoo.com นะคะ เพราะว่าหลายคนทิ้งไว้ในกล่องข้อความของ bloggang แต่แคทไม่ค่อยได้เปิดเลย ทำให้พอมาเปิดอีกที เวลาผ่านไปเกือบปี (แป่ววว!! เค้าจะรอหล่อนตอบมั้ยเนี่ย เค้าไม่โบยบินไปถึงไหนต่อไหนแล้วรึ)... ยินดีและเต็มใจตอบทุกคำถามที่พอจะช่วยได้ค่ะ
New Comments
[Add katiekat's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com