Original Mozart (2)
Czech - Austria - Hungary (5) วันที่ 5: Salzburg
เช้าวันนี้เป็นเช้าวันแรกของทริปที่เราได้กินอาหารเช้าจากที่พัก (จริงๆที่ Prague Square Hostel ก็มีแซนวิชให้เป็นอาหารเช้า แต่เริ่มเสิร์ฟตั้งแต่ 7 โมง ซึ่งทั้ง 2 วันที่อยู่ที่ปราก เราออกจากโฮสเทลก่อน 7 โมงเช้าทั้ง 2 วัน ก็เลยต้องอดไป) อาหารเช้าที่ Adlerhof เป็นอาหารเช้าสไตล์ยุโรปแบบง่ายๆได้แก่ซีเรียล โยเกิร์ต นม น้ำส้ม ขนมปังพร้อมเตาปิ้ง ไข่ต้ม แฮม ซาลามี่ ชีส เนยแข็ง ชาและกาแฟ (อันนี้มีบริกรมาถามแต่ละคนเลยว่าจะรับชาหรือกาแฟแบบไหนดี เขาจะจัดให้ 1 กา) เพราะฉะนั้นวันนี้เป็นโอกาสอันดีที่เราจะต้องตุนอาหารไว้ในท้องให้เต็มที่เพื่อที่จะได้มีแรงเที่ยวตลอดวัน วิธีท่องเที่ยวในซาลส์บวร์กอย่างคุ้มค่าที่สุดนั่นคือการท่องเที่ยวพร้อมซาลส์บวร์กการ์ด (Salzburg Card) //www.salzburg.info/en/sights/salzburg_card/ บัตรเดียวที่จะทำให้คุณท่องเที่ยวในซาลส์บวร์กอย่างราชาคือฟรี ฟรี ฟรี หรือเกือบฟรี ราคาตั๋วแบ่งตามระยะเวลาใช้งานเป็น 3 แบบคือ 24 ชม. 48 ชม. และ 72 ชม. นับจากเวลาที่ validate ตั๋ว คุณสมบัติของซาลส์บวร์กการ์ดที่โดดเด่นนั่นคือเป็นตั๋วที่สามารถใช้แทนตั๋วโดยสารระบบขนส่งสาธารณะภายในตัวเมืองซาลส์บวร์ก (โซน S) และบางสถานที่นอกโซน S (Hellbrunn Palace และ Cable car Untersberg) ไม่จำกัดเที่ยว สามารถใช้แทนบัตรเข้าชมสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆภายในซาลส์บวร์กได้ฟรี 1 ครั้ง นอกจากนี้ยังสามารถใช้เป็นส่วนลดเข้าชมงานจัดแสดงรวมถึงทัวร์ต่างๆภายในซาลส์บวร์กด้วยValidity: 01/01/-04/30/2010 and 11/01/-12/31/2010 Salzburg Card: Adult, Child (6-15 years) 24 hours: 22 EUR, 11 EUR 48 hours: 30 EUR, 15 EUR 72 hours: 35 EUR, 17.5 EUR Validity: 05/01/-10/31/2010 Salzburg Card: Adult, Child (6-15 years) 24 hours: 25 EUR, 12.5 EUR 48 hours: 33 EUR, 16.5 EUR (ราคาของปี 2011 เพิ่มเป็น 34 EUR, 17 EUR) 72 hours: 38 EUR, 19 EUR (ราคาของปี 2011 เพิ่มเป็น 40 EUR, 20 EUR) ซาลส์บวร์กการ์ดสามารถหาซื้อได้ที่ information office ที่สถานีรถไฟหรือภายใน city center หรือจะให้ง่ายกว่านั้นก็สามารถหาซื้อได้โฮสเทลหรือโรงแรมที่เราพักอยู่นั่นแหละ โดยปกติที่พักเหล่านี้จะมีซาลส์บวร์กการ์ดสำรองขายอยู่บ้าง เราก็เลือกใช้วิธีซื้อการ์ดจากที่พักที่ Adlerhof แต่ดวงไม่ดีเล็กน้อยที่การ์ดเหลือแค่ใบเดียว ไม่พอกับเรา 3 คน เนื่องจากเมื่อวานมีคุณพี่ๆคนไทย 4 คนเหมาเรียบไปแล้ว (อันนี้คุณพี่คนไทยที่เป็นคนซื้อบัตรมาบอกเราเองตอนที่เรากำลังรอซื้ออยู่ที่เค้าท์เตอร์) เราจึงต้องเปลี่ยนไปซื้อที่ information office ที่สถานีรถไฟแทน แต่ออฟฟิศเขาเปิดตั้ง 9 โมงนี่สิ ทำเอาเราเสียเวลาเที่ยวอยู่พักใหญ่ หลังจากซื้อการ์ดเรียบร้อยแล้วเราก็เดินมารอที่ป้ายรถเมล์หมายเลข 2 หน้าสถานีรถไฟ รอรถเมล์สาย 1 เส้นทาง Zentrum-Europark-Stadion เพื่อไปยังจุดหมายแรกนั่นคือเนินเขา Monchsberg จุดชมวิวที่สวยงามจุดหนึ่งของซาลส์บวร์ก ใช้เวลาเดินทางจากสถานีรถไฟไป Monchsberg ประมาณ 15 นาที ให้ลงรถที่ป้าย Monchsbergaufzug ด้านขวามือจะเป็นพิพิธภัณฑ์ Modern Art Salzburg และลิฟต์สำหรับขึ้นไปบน Monchsberg (Monchsberglift) ราคาค่าขึ้นลิฟต์ปกติอยู่ที่ 2.90 EUR (ขึ้น-ลง) แต่ด้วยบัตรเบ่ง ซาลส์บวร์กการ์ดของเรา ก็เลยได้ขึ้นลิฟต์ฟรี Monchsberglift พาเราไปยังจุดบนสุดที่สามารถมองเห็นเมืองซาลส์บวร์กได้อย่างไกลสุดลูกหูลูกตา เบื้องหน้าคือแม่น้ำซาลซัค (Salzach) ที่ไหลพาดผ่านตัวเมืองซาลส์บวร์ก โบสถ์เก่าแก่ของเมือง ที่พักของอาร์คบิชอปผู้ปกครองเมืองซาลส์บวร์กในอดีต และป้อมปราการ Festung HohenSalzburg อันเก่าแก่ เพลิดเพลินกับการชมวิวและการถ่ายรูปไม่เท่าไหร่ ฝนเม็ดเล้กกกก..เล็ก คือแบบเล็กมากๆจนตาเกือบมองไม่เห็น แต่รู้สึกและสัมผัสได้ว่าเป็นละอองน้ำก็ตกลงมา ทำให้ท้องฟ้าในวันนี้ไม่สดใสเอาซะเลยเลย >_< ออกจาก Monchberglift เราหันขวาแล้วเดินตรงไปเรื่อยๆ จนเจอโบสถ์ St. Blasius ซึ่งตั้งอยู่บริเวณสามหแยกพอดี ถนนที่ตัดผ่านสามแยกนี้ก็คือถนนคนเดินที่เป็นเอกลักษณ์และมีชื่อเสียงที่สุดในซาลส์บวร์กนั่นก็คือถนน Getreidegasse (เก-เทร-เด-กาส-เซ่) โดยเอกลักษณ์ที่ว่านี้อยู่ที่ป้ายชื่อร้านค้าสองฝั่งถนนที่เป็นป้ายเหล็กโบราณ แต่ละร้านมีลวดลายและการออกแบบที่ต่างกัน แม้กระทั่งร้านค้าสมัยใหม่อย่าง ZARA และร้านอาหารขวัญใจวัยรุ่นอย่างแมคโดนัลด์ก็สามารถผสมผสานแบบป้ายหน้าร้านลักษณะแบบโบราณแต่คงลายเส้นของยี่ห้อสินค้าตามที่เราจำได้ติดตากันได้เป็นอย่างดี เนื่องจากวันนี้เป็นวันอาทิตย์ บรรยากาศบนท้องถนนที่ซาลส์บวร์กดูจะเงียบเหงาเป็นพิเศษ เพราะร้านค้าส่วนใหญ่ในยุโรปรวมทั้งออสเตรียและซาลส์บวร์กจะปิดทำการ ทำให้เราขอยกยอดการเดินเที่ยวเล่นบนถนน Getreidegasse ไปเป็นวันพรุ่งนี้แทน เมื่อร้านรวงเปิดให้บริการกันครบ เราคงได้สัมผัสบรรยากาศสนุกๆบนถนนเส้นนี้กัน แต่ถึงแม้ร้านค้าส่วนใหญ่บนถนน Getreidegasse จะปิด แต่บนถนนเส้นนี้ก็ยังมีสถานที่สำคัญแห่งหนึ่งที่ไม่ปิดและเราก็ไม่พลาดที่จะเข้าชมนั่นคือ บ้านโมสาร์ทหรือ Mozarts Geburthaus บ้านของคีตกวีเลื่องชื่อที่สุดคนหนึ่งของโลก และคีตกวีระดับโลกผู้นี้ก็เป็นสัญลักษณ์ที่สำคัญอย่างหนึ่งของซาลส์บวร์ก นักท่องเที่ยวจำนวนไม่น้อยอยากมาซาลส์บวร์กเพราะอยากมาสัมผัสบ้านเกิดของโมสาร์ทและอยากมีส่วนร่วมกับประวัติศาสตร์ตอนหนึ่งในช่วงชีวิตของโมสาร์ท... และหนึ่งในนั้นก็คือเรา วูฟกัง อมาดิอุส โมสาร์ท (Wolfgang Amadeus Mozart, 1756-1791) เกิดที่บ้านหลังนี้เมื่อ 27 มกราคม 1756 โมสาร์ทซึมซับความสามารถในดนตรีมาจากพ่อของเขา (Leopold Mozart) ซึ่งเป็นนักไวโอลิน โมสาร์ทมีพี่น้องหลายคนแต่มีพี่สาวเพียงคนเดียวที่มีชีวิตรอดจนเติบใหญ่คือ Maria Anna หรือ Nannerl เธอคนนี้มีความสัมพันธ์กับโมสาร์ทอย่างใกล้ชิดและมีความสำคัญกับราชวงศ์ฮับส์บวร์กในฐานะพระอาจารย์สอนเปียโนให้กับพระราชโอรสและพระราชธิดาของจักรพรรดินีมาเรีย เทเรซ่า บ้านหลังนี้เป็นบ้านที่ทาสีเหลืองมัสตาร์ดทั้งหลัง ลักษณะคล้ายตึกแถวในปัจจุบัน เป็นอาคาร 3-4 ชั้น ภายในจัดทำเป็นพิพิธภัณฑ์เครื่องดนตรี ภาพวาดของสมาชิกในครอบครัวและจดหมายที่สมาชิกในครอบครัวเขียนถึงกัน ค่าเข้าชมบ้านโมสาร์ทราคาคนละ 7 EUR แต่แน่นอนว่าฟรีถ้าเรามีบัตรเบ่งซาลส์บวร์กการ์ด ออกจากบ้านโมสาร์ท เราเดินอ้อมหลังบ้านมาทาง Universitatsplatz เพื่อมายังโบสถ์ Kollegienkirche แต่หาทางเข้าไม่เจอ คาดว่าโบสถ์จะปิด ก็เลยอดไป เราเดินตรงขึ้นไปตามถนนข้างๆโบสถ์จนตัดถนน Hofstallgasse แล้วเลี้ยวซ้าย เดินตรงไปเรื่อยๆจนเจอ Domplatz จัตุรัสในกลางเมืองที่เป็นสถานที่ตั้งของโบสถ์ Dom โบสถ์บารอคโบสถ์สำคัญของเมือง ข้างๆกันคือ Residenz ที่พำนักของอาร์คบิชอปผู้ปกครองซาลส์บวร์กในอดีต เราเข้าชม Residenz กันก่อน ราคาค่าเข้าชมถ้าไม่มีซาลส์บวร์กการ์ดอยู่ที่คนละ 8.50 EUR (ราคารวมค่าเข้าชม Residenz Gallery) ภายใน Residenz จัดแสดงห้องต่างๆ 15 ห้องที่ตกแต่งดวยศิลปะหลายยุคหลายสมัยได้อย่างวิจิตร ทั้งเรเนอซองส์ บารอค และคลาสิซิซึ่ม เครื่องเรือนบางส่วนยังคงเป็นชิ้นดั้งเดิมเช่นนาฬิกาลูกตุ้ม กางเขนงาช้างในห้องสวดมนต์และกรอบประตูหินอ่อน ระหว่างการเข้าชม เราสามารถฟังคำอธิบายแต่ละห้องได้จาก audio guide ที่ให้มาด้วย มีให้เลือกฟังถึง 8 ภาษา (ซึ่งแน่นอนว่ายังไม่มีภาษาไทย) ต้องบอกตามตรงว่าตอนนี้จำเรื่องราวของแต่ละห้องภายใน Residenz ไม่ได้เลย ขนาดดูรูปที่ถ่ายมาแล้วหลายรอบก็ยังหายจ้อยหมด จำได้แต่ความรู้สึกและความประทับใจที่ได้เข้ามาชมภายใน Residenz แต่ละห้องถูกตกแต่งไว้อย่างสวยงามน่าประทับใจ ที่สำคัญที่นี่อนุญาตให้ถ่ายรูปได้ แตกต่างกับพระราชวัง ปราสาทหรือพิพิธภัณฑ์ส่วนใหญ่ที่ไม่สามารถทำได้ เราจึงได้โอกาสที่จะแบ่งปันความทรงจำดีดีให้คนอื่นได้ด้วย เราใช้เวลาที่ Residenz และ Residenz Gallery อยู่ชั่วโมงกว่า จึงเดินออกไปที่โบสถ์ Dom ซึ่งเผอิญว่าตอนที่เราไปนี้ทางโบสถ์กำลังทำพิธีทางศาสนาอยู่ จึงไม่อนุญาตให้นักท่องเที่ยวเข้าไป เราก็เลยเดินขึ้นไปชมพิพิธภัณฑ์ของโบสถ์ที่ชั้น 2 ก่อน (7 EUR, ฟรีด้วยซาลส์บวร์กการ์ด) สักพักพอพิธีเสร็จ เราจึงเดินไปชมความงามภายในโบสถ์ได้ ออกจากโบสถ์ Dom ฝนก็ยังตกเปาะ... แปะ... เปาะ...แปะ ให้เราหงุดหงิดใจได้ตลอด เราเดินตามแผนที่ย้อนขึ้นไปจนถึงป้ายรถเมล์ Rathaus ซึ่งมีแม่น้ำซาลซัคอยู่ด้านหน้า ขึ้นรถเมล์สาย 25 ไปอีกนับ 10 ป้ายจนถึงป้าย Schloss Hellbrunn ก็ลงได้ จุดหมายปลายทางของเราก็คือวังสีเหลืองมัสตาร์ดที่ฝั่งตรงข้าม วังเฮลล์บรุนน์หรือวังแห่งน้ำพุเล่นกล (tricky fountain) นั่นเอง ราคาเข้าชมคนละ 9.50 EUR แต่ฟรีเมื่อใช้ซาลส์บวร์กการ์ด (ค่าเข้าชมสถานที่จนถึงตอนนี้นี่ดูเหมือนถึงจุดคุ้มทุนแล้วนะ) Hellbrunn เป็นวังฤดูร้อนที่พักของอาร์บิชอป (สมัยนั้นเป็นสมัยที่พระอาร์คบิชอปมีอิทธิพลและมีอำนาจในการปกครองบ้านเมืองเป็นอย่างมาก ดูเหมือนจะมีความสำคัญมากกว่ากษัตริย์เสียด้วยซ้ำ เพราะว่าอาร์คบิชอปสามารถเป็นผู้แต่งตั้งกษัตริย์ได้ด้วย) อาร์คบิชอปรูปนี้จะมีอารมณ์ขันเป็นเลิศและมีความรู้ทางด้านเครื่องกลเป็นอย่างดี เพราะจุดเด่นของวังแห่งนี้อยู่ที่การซ่อนน้ำพุอยู่รอบบริเวณวังเต็มไปหมด ไม่ว่าเราจะเดินไปไหนรอบๆวัง ก็ต้องคอยระวังว่าอยู่ดีดีก็จะมีน้ำพุโผล่ออกมาจากพุ่มไม้บ้าง พื้นบ้าง กำแพงบ้าง พุ่งใส่เราให้ตัวเปียกเล่นๆ การจะเข้าชมวัง Hellbrunn นี้ต้องเข้าชมโดยมีไกด์ทัวร์ด้วยเท่านั้น และการเข้าชมก็แบ่งเป็นรอบๆด้วย เราได้รอบ 13.45 น. เมื่อเดินเข้าไป ช่างถ่ายรูปก็จะถ่ายรูปนักท่องเที่ยวแต่ละคนไว้ก่อนเลย เอาไว้ขายเอาตังค์ตอนขาออก จากนั้นคุณไกด์ที่พูด 2 ภาษาคือเยอรมันและอังกฤษ (ทำให้เสียเวลาอยู่พอควร เพราะเขาต้องรีไวด์คำพูด 2 ภาษาซ้ำเดิมไปเรื่อยๆ) จะพาเราไปเริ่มต้นที่เวทีครึ่งวงกลมที่ด้านหน้าเป็นโต๊ะอาหาร คุณไกด์จะเชิญผู้กล้า 1 คนมานั่งบนเก้าอี้ แต่ดูเหมือนคุณผู้กล้านั้นและคนอื่นๆที่ยืนดูอยู่จะรู้ทันคุณไกด์ คุณผู้กล้าก็เลยหาของมารองก้น ไม่ให้น้ำพูจากช่องที่เจาะไว้บนเก้าอี้ปล่อยน้ำพุให้พุ่งขึ้นมาทิ่มก้น คุณไกด์พาเราชมวังไปเรื่อยๆ ระหว่างทางก็เจอน้ำพุพุ่งออกมาจากสารพัดทิศเป็นระยะๆ เราได้ชมโรงละครหุ่นเล็กๆร่วมร้อยตัวเห็นจะได้ที่เคลื่อนไหวด้วยแรงกล น่ารักและน่าทึ่งในความคิดของผู้คนในสมัยก่อนเป็นอย่างมาก นอกจากนี้คุณไกด์ยังพาเราชมการแสดงเทคนิคสมดุลของวัตถุภายในถ้ำแห่งหนึ่ง โดยให้น้ำพุฉีดพุ่งใต้ฝาครอบสามเหลี่ยมอันหนึ่ง คุณไกด์เปิดวาล์วน้ำให้แรงขึ้นเรื่อยๆจนสามารถทำดันให้ฝานั้นลอยอยู่บนสายน้ำพุได้ จากนั้นคุณไกด์ก็ลดความแรงของน้ำลงให้เห็นว่าฝาครอบสามเหลี่ยมก็เคลื่อนลงมาต่ำลงตามความแรงของสายน้ำ ทำอย่างนี้สลับกันไปเรื่อยๆ ฝาครอบก็ยังอยู่บนสายน้ำโดยไม่ร่วงหล่นลงพื้น สุดท้ายคุณไกด์จะปล่อยให้เราเดินชมสวนและพิพิธภัณฑ์ภายในวังด้วยตนเอง ที่บริเวณทางออกไปสู่สวนได้ตั้งรูปถ่ายที่เขาถ่ายเราเมื่อตอนเข้ามากับตอนที่เรายืนอยู่บนเวทีครึ่งวงกลม ราคาประมาณใบละ 5 EUR ไม่แน่ใจเพราะว่าไม่ได้ซื้อ สวน Hellbrunn มีบริเวณกว้างขวางทีเดียว และสิ่งที่มีชื่อเสียงที่ตั้งอยู่ในสวน Hellbrunn อย่างหนึ่ง หากใครเป็นแฟนพันธุ์แท้ของหนังมนต์รักเพลงสวรรค์ (โอ้ว!!! ชื่อไทย มันแจ่มมากกก) หรือ The sound of music คงทราบว่านั่นคือศาลาสีขาวที่เป็นที่พบกันครั้งแรกของ Liesl ลูกสาวคนโตของกัปตัน von Trapp กับ Rolf บุรุษไปรษณีย์หนุ่มผู้ตกหลุมรักเธอ และเป็นที่มาของเพลง Sixteen going on seventeen (แต่จริงๆแล้วขณะถ่ายทำภาพยนตร์จริง ศาลาสีขาวได้ตั้งอยู่ที่ Leopoldskron Palace ซึ่งขณะนี้ไม่เปิดให้เข้าชมเนื่องจากมีเอกชนซื้อที่นี่ไปแล้ว) เราได้โอกาสดูดีวีดีเรื่องนี้ครั้งหนึ่งก่อนมา นี่ดูมาเพื่อมาเที่ยวซาลส์บวร์กเลยนะเนี่ย แต่สุดท้ายพอมาถึงสวน Hellbrunn จริงๆ กลับลืมถ่ายรูปกับศาลาสีขาวนี่ซะงั้น ขอโทษฝนฟ้าละกัน ก็คุณเธอเล่นตกเปาะแปะทั้งวันจริงๆ ตั้งแต่เช้าจนจะ 4 โมงเย็นยังไม่มีทีท่าจะหยุด เราก็เลยเดินชมสวนแบบไม่มีอารมณ์เท่าไหร่นัก เดินยังไม่ทันทั่วดีก็จะกลับจะกลับแล้ว แต่สำหรับคนที่ได้มา Hellbrunn ในวันที่อากาศดีกว่านี้ ควรใช้เวลาอยู่ใน Hellbrunn ประมาณ 2 ชม. น่าจะกำลังดี แล้วก็อย่าลืมแวะไปชมศาลาสีขาวหลังนี้กันค่ะ เดินไปจนสุดทางออกสวน หรือจะหันหลังจากส่วนตัววัง แล้วเดินตรงไปผ่านทางเดินเล็กๆ จนสุดทาง(รูปจากเว็บไซต์ //www.hellbrunn.at/hellbrunn/english/park/sound_of_music.asp ) ออกจาก Schloss Hellbrunn เราข้ามไปฝั่งไปขึ้นรถเมล์สายเดิม สาย 25 ที่ป้ายเดิม นั่งไปอีกประมาณ 10 ป้าย (สุดสาย) ก็จะถึงสถานี Cable-car Untersberg สถานีรถกระเช้าที่จะพาเราขึ้นไปอีก 1853 เมตรเหนือระดับน้ำทะเลเพื่อขึ้นไปชมวิวที่บน Untersberg ตั๋วราคาคนละ 19 EUR แต่ฟรีถ้ามีซาลส์บวร์กการ์ด เราใช้เวลาระหว่างรอรอบรถกระเช้าที่ร้านกาแฟเล็กๆหน้าทางขึ้นเพื่อหาขนมเล็กๆน้อยๆกิน ไม่นานรถกระเช้าที่แม้จะมีผู้โดยสารเพียง 3 คนก็พาเราขึ้นไปถึงยอด Untersberg (ไม่เหมือนที่ไหนในเชคน๊า...คุ้นๆไหม) ระหว่างทางขึ้น Untersberg แค่ประมาณ 15 นาที เราก็เห็นหิมะโปรยปรายตลอดทางจนถึงยอด Untersberg เพราะฉะนั้นจึงเป็นเหตุให้บนจุดชมวิวมีแต่หิมะปกคลุมหนาตัวเต็มไปหมด หิมะที่กำลังตกอยู่ก็กลายเป็นฝ้าขาวปิดบังทัศนวิสัยในการชมวิวทั้งหมด เราก็เลยได้แต่เดินเล่นรอบๆ ถ่ายรูปหมาน้อยไซบีเรียน ฮัสกี้บนนั้น เล่นปั้นหิมะบ้างอะไรบ้าง ก็ได้บรรยากาศอีกแบบ ทริปนี้เจอทุกอย่าง แดด ฝนและหิมะ ปิดท้ายวันนี้ด้วยการลงจากรถกระเช้าประมาณเกือบ 5 โมงเย็น มารอขึ้นรถเมล์สาย 25 กลับเข้าไปในเมือง ใช้เวลาประมาณ 45 นาที มื้อเย็นวันนี้คุณเพื่อนผู้ใจดีจากเยอรมันที่มาเที่ยวกับเราด้วยในวันนี้จะพาเราไปกินบิ๊กมีลอาหารไทยที่หนึ่งในซาลส์บวร์กกัน แต่ต้องขอโทษจริงๆที่ไม่สามารถจำเส้นทางไปร้านนี้ได้ เพราะคุณเพื่อนพาเดินหลายป้ายรถเมล์ พอขึ้นรถเมล์ก็พาไปอีกหลายป้ายอีก รู้แต่ว่าร้านนี้ชื่อ บางกอก //www.restaurant-bangkok.at/ ซึ่งพอเราเปิดประตูเข้าไป ผู้จัดการร้านที่ไม่ใช่คนไทยก็ออกมาบอกด้วยมารยาทที่ดีว่าถ้าหากไม่ได้จองไว้ก็คงจะไม่ได้โต๊ะ เนื่องจากมีลูกค้าจองโต๊ะไว้เต็มหมดแล้ว อ้าวววว!!! ทำไงล่ะทีนี้ อุตส่าห์เก็บท้องไว้ทั้งวันเพื่อการนี้ทีเดียวเชียวนะ หิวจนน้ำย่อยจะย่อยกระเพาะหมดแล้ว แล้วนี่จะหาที่กินที่ไหนดีเนี่ย ระหว่างที่พวกเรากำลังหาที่ไป คุณผู้จัดการมารยาทดีก็คงจะสงสารผู้ใหญ่ตัวใหญ่แต่มีท่าทางน่าสงสารเหมือนเด็กๆ เขาก็เลยเปิดประตูออกมาบอกเราว่าถ้าเราสามารถกินให้เสร็จทัน 19.30 น. เขาก็สามารถเคลียร์โต๊ะให้เราได้ เท่านั้นละ ไม่พูดพร่ำทำเพลง เรารีบพยักหน้าแล้วรีบเข้าไปในร้านทันที ความจริงแล้วร้านบางกอกนี้เป็นร้านอาหารไทยที่ไม่ใช่ของคนไทย เพราะดูจากทั้งผู้จัดการร้านและบริกรทุกคนของร้านแล้ว ไม่เห็นจะมีคนไทยซักคนเดียว ดูท่าน่าจะเป็นเวียดนามซะมากกว่า แล้วพอได้ดูจากคอลัมน์จากหนังสือพิมพ์ที่ทางร้านนำมาใส่กรอบโชว์ไว้ก็ยิ่งมั่นใจว่าร้านนี้ไม่มีคนไทยแน่แม้กระทั่งเจ้าของร้านเอง เขาคงอาศัยความมีชื่อเสียงของอาหารไทยที่ดังไกลไปทั่วโลกมาเปิดร้านอาหารไทยและยังพ่วงอาหารญี่ปุ่นพวกซูชิ ซาชิมิเข้าไปด้วย ก็อาหารพวกนี้ชาวยุโรปเขาชอบนักชอบหนา ถึงร้านนี้จะไม่ได้ดำเนินการโดยคนไทย แต่ก็อย่าได้ดูถูกฝีมือในการทำอาหารไทยของพวกเขาทีเดียวเชียว เพราะทุกเมนูที่เราสั่งมา ทั้งปลาหมึกผัดกระเพรา ต้มข่าไก่และปลาสามรส รวมทั้งซูชิเซ็ตที่คุณเพื่อนจากเยอรมันอยากลิ้มลองเหลือเกินนั้น ทั้งหมดมีรสชาติเข้าขั้นอร่อยมาก อร่อยกว่าร้านอาหารไทยในต่างแดนบางร้านที่มีคนไทยอยู่ด้วยที่เราเคยไปกินซะอีก ใครอยากไปลิ้มลองรสชาติก็ไปได้เลย (เติมข้าวสวยฟรีด้วย) ร้านอยู่เลขที่ 33 ถนน Bayerhamerstrasse ปิดทุกวันจันทร์ คืนนี้อิ่มอืดกันอีกแล้ว นอนหลับฝันดีเพื่อเตรียมตัวเที่ยวต่อในซาลส์บวร์กอีกค่อนวัน ก่อนมุ่งหน้าสู่เมืองเล็กริมทะเลสาบที่งดงามราวกับภาพวาด พร้อมผู้คนใจดีที่น่าอิจฉาเป็นที่สุดเสริม : สำหรับใครที่อยากตามรอย 'The Sound of Music' จนถึงตอนนี้เราได้ตามรอยสถานที่ถ่ายทำมา 3 ที่แล้วนะคะนั่นคือ 1. จุดชมวิวที่ Monchsbergaufzug - เป็นฉากตอนที่มาเรียมองวิวของซาลส์บวร์กผ่านสำนักชี Nonnberg Abbey และเริ่มร้องเพลง โด เร มี ก่อนออกจากสำนักชี แต่ในความเป็นจริงมุมมองจาก Nonnberg Abbey ของจริงไม่สามารถมองเห็นวิวนี้ได้ค่ะ 2. Residenceplatz - เป็นฉากที่มาเรียทำกระโดดเอาขาเตะน้ำจากน้ำพุ Residenz fountain ระหว่างทางไปบ้าน von Trapp และร้องเพลง I have confidence in me 3. Hellbrunn Palace - ฉากศาลาสีขาวและฉากที่มาเรียมาถึงบ้าน von Trapp
Create Date : 20 ธันวาคม 2553
Last Update : 21 มีนาคม 2554 13:08:11 น.
Counter : 3189 Pageviews.
katiekat
Location :
[Profile ทั้งหมด]
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 8 คน [? ]
ต้องการสอบถามข้อมูลการเดินทางทริปต่างๆที่แคทไปแล้ว ให้ติดต่อผ่านอีเมล์ chayadak@hotmail.com หรือ chayadak@yahoo.com นะคะ เพราะว่าหลายคนทิ้งไว้ในกล่องข้อความของ bloggang แต่แคทไม่ค่อยได้เปิดเลย ทำให้พอมาเปิดอีกที เวลาผ่านไปเกือบปี (แป่ววว!! เค้าจะรอหล่อนตอบมั้ยเนี่ย เค้าไม่โบยบินไปถึงไหนต่อไหนแล้วรึ)... ยินดีและเต็มใจตอบทุกคำถามที่พอจะช่วยได้ค่ะ