KatieKat... Let's share your thought
 
 

Original Mozart (3)

Czech - Austria - Hungary (6)

วันที่ 6: Salzburg - Hallstatt


วันนี้เรายังคงอยู่ในซาลส์บวร์ก หลังอาหารเช้า เราเช็คเอ้าท์จากที่พักก่อนแล้วเอากระเป๋าไปฝากไว้ที่ล็อคเกอร์ที่สถานีรถไฟเหมือนที่เคยทำมาแล้วที่อินส์บรูค (วันที่ 4) จากนั้นจึงค่อยเริ่มโปรแกรมสำหรับวันนี้ วันนี้ที่ซาลส์บวร์กฝนไม่ตกเปาะแปะแบบเมื่อวานอีกแล้ว... แต่ว่าตกหนักและอากาศหนาวจัดจนกลายเป็นหิมะแทน พอเริ่มก้าวเท้าออกมาจากโรงแรมก็นะจังงังกับหิมะกันเลย ใจหนึ่งก็ดีใจ๊ ดีใจที่ได้เห็นหิมะกำลังตกต่อหน้าต่อตา แต่อีกใจก็คิดเตลิดเปิดเปิงไปว่า นั่นไง!!! แล้วชั้นจะเที่ยวได้ไหมเนี่ย วิวเวิวที่ไหนจะมองเห็นไหม ได้แต่ปลอบใจตัวเองว่าเอาน่า หิมะตกก็น่าจะดีกว่าฝนตกละกัน



เรารอรถเมล์ที่ป้ายหน้าสถานีรถไฟเหมือนเดิม ป้ายหมายเลข 2 ป้ายเดิม รอรถเมล์สายเดิมคือสาย 1 (เส้นทาง Europark) หรือสาย 6 (เส้นทาง Ludwig-Schmerderer) ก็ได้ แล้วลงป้าย Mirabellplatz จากนั้นข้ามฝั่งมาก็จะเจอทางเข้าด้านข้างของสวนมิราเบล (Mirabellgarten) อีก 1 สถานที่ถ่ายทำเรื่อง The Sound of Music เป็นฉากที่มาเรียและเด็กๆลูกของกัปตัน von Trapp ทั้ง 7 ร้องเพลงโด เร มี กันรอบที่ 2 (หลังจากที่ฝึกร้องกันรอบแรกที่ภูเขา) จนถึงจบฉาก





โปรแกรมในวันนี้ค่อนข้างสบายๆและชิลๆมาก เราเดินเล่นภายในสวนมิราเบลอยู่สักพัก ระหว่างนั้นก็มีทัวร์ลงหลายกลุ่ม ส่วนใหญ่จะเป็นทัวร์จีน แต่ก็เจอนักท่องเที่ยวชาวไทย 4-5 คนที่ดูเหมือนจะมากันเอง เราพยายามจะหาทางเข้าวังมิราเบล (Schloss Mirabell) แต่ก็ไม่สำเร็จ เพราะตอนนี้ Schloss Mirabell ได้กลายเป็นสถานที่ราชการไปหมดแล้ว แต่ว่าก็เคยอ่านมาจากเว็บการท่องเที่ยวซาลส์บวร์กจริงๆนะ //www.salzburg.info/en/sights/fortress_palaces/mirabell_palace_gardens.htm ว่าถึงแม้ตอนนี้ Schloss Mirabell จะเป็นที่ทำงานของนายกเทศมนตรีและสภาเทศบาล แต่ก็ยังเปิดห้องบางห้องให้ชมกันฟรีเมื่อไม่มีการใช้ประชุมหรือจัดเลี้ยง น่าเสียดายเหมือนกันที่ไม่ได้เข้าไป

เนื่องจากหิมะตก เราก็เลยไม่ได้เดินจนทั่วสวนมิราเบลเท่าไหร่ เพราะพื้นค่อนข้างเฉอะแฉะมาก เราเดินออกมาทางด้านหน้าสวนมิราเบลเพื่อเดินไปที่บ้านโมสาร์ทอีกหลังหนึ่ง (Mozart’s Wohnhaus, Mozart’s Residenz) ที่ Makartplatz บ้านโมสาร์ทหลังที่เราไปเมื่อวานที่ถนน Getreidegasse นั้นเป็นบ้านเกิดของโมสาร์ท แต่บ้านหลังนี้ Mozart’s Residence เป็นบ้านที่โมสาร์ทและครอบครัวใช้ชีวิตช่วงหนึ่งอยู่ด้วยกัน โมสาร์ทใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่ที่บ้านหลังนี้เป็นเวลา 7 ปี ตั้งแต่ปี 1773-1780 (ถ้าไม่นับช่วงเวลาที่โมสาร์ทเดินทางไปแสดงดนตรีแทบจะทั่วทวีปยุโรป) ก่อนที่จะย้ายไปอยู่ที่เวียนนา Mozart’s Residence เป็นอาคารสีโอลด์โรสหลังยาวสองชั้น ดูๆแล้วเหมือนโรงเรียนประจำ จริงๆแล้วบ้านหลังนี้ถูกสร้างขึ้นใหม่ภายหลังถูกทำลายเมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 (ข้อมูลจาก //www.mozarteum.at/en/museums/mozarts-residence.html) ปัจจุบันเป็นพิพิธภัณฑ์ประวัติและเรื่องราวของครอบครัวโมสาร์ท ภายในจัดแสดงข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัวของครอบครัวโมสาร์ท เครื่องดนตรีจริงที่ครอบครัวโมสาร์ทเป็นเจ้าของ ทั้งเปียโน ออร์แกน ไวโอลิน นอกจากนี้ยังแสดงจดหมายลายมือ Leopold Mozart ลายมือ Nannerl (พี่สาวของโมสาร์ท) และตัวโมสาร์ทเอง เล่าบรรยายเหตุการณ์ต่างๆในช่วงชีวิต และยังมีบทประพันธ์ชิ้นต่างๆที่โมสาร์ทประพันธ์ขึ้นระหว่างที่ใช้ชีวิตอยู่ที่ซาลส์บวร์กอีกด้วย Mozart’s Residence ไม่อนุญาตให้ถ่ายรูป เราก็เลยบรรยายอะไรได้ไม่มากนัก แต่จากการฟัง audio guide และอ่านคำแปลจากจดหมายที่ครอบครัวนี้เขียนถึงกันและกัน ก็ทำให้เรารู้จักโมสาร์ทในแง่มุมที่เห็นว่าโมสาร์ทนั้นมีความผูกพันกับคนในครอบครัวมากแค่ไหน ทั้งพ่อแม่รวมถึงพี่สาวคนเดียวอย่าง Nannerl บ้านโมสาร์ทหลังนี้นอกจากจะเป็นพิพิธภัณฑ์แล้ว ยังเป็นสถานที่จัดแสดงนิทรรศการ คอนเสิร์ต รวมถึงการประชุมต่างๆด้วย


ออกจาก Mozart’s Residence ทางประตูด้านหน้า เราเดินข้ามถนนไปถนน Makartplatz ที่อยู่ด้านหน้า (จะเห็น Landstheatre อยู่ตรงหน้า) ให้เลี้ยวซ้ายแล้วเดินตรงจะเจอสะพาน Makartsteg ข้ามแม่น้ำซาลซัค ข้ามถนนแล้วเดินลัดเลาะไปตามถนน Griesgasse ผ่านตรอก Sterngasse ทะลุไป Getreidegasse วันนี้วันจันทร์ ร้านค้าที่ Getreidegasse เปิดกันอย่างพร้อมเพรียง เพราะฉะนั้นเราจะไปเดินเที่ยวเข้าร้านโน้นออกร้าน (แบบไม่ซื้ออะไร) กันค่ะ ระหว่างทางก่อนข้ามสะพาน Makartsteg เราเจอร้านขายเค้กซาเชอร์ (Original Sacher Torte) เค้กช็อกโกแลตชื่อดังของออสเตรียด้วย แต่ไม่ได้ลองชิม



เริ่มต้นการเดินเที่ยวบน Getreidegasse ด้วยการซื้อช็อกโกแลตจากร้าน La Chocothek แล้วก็เดินแวะเวียนตามร้านเสื้อผ้าต่างๆทั้ง Benetton, Zara, H&M (คิดถึงมากกกก ร้านนี้), MNG และยังร้านที่เราไม่รู้จักอีกเยอะแยะ ถึงหิมะจะยังตกไปเรื่อยอย่างไม่มีท่าว่าจะหยุด แต่ผู้คนก็ยังมาเดินบนถนนนี้อย่างคับคั่ง พอเดินจนพอใจเราก็เดินเรื่อยๆไปจนถึง Mazartplatz ที่มีรูปปั้นอนุสาวรีย์โมสาร์ทอยู่ใจกลาง ข้างๆกันเป็นร้านเบเกอรี่และเครื่องดื่มชื่อดัง Demel แต่เราก็ยังไม่ได้ชิมอีกอยู่ดี เพราะว่าเราจะเทเวลาให้ร้านนี้ตอนที่เราอยู่ที่เวียนนาค่ะ อดใจรอไปก่อน











ประมาณเที่ยงครึ่ง เราเดินไปทางโบสถ์ Dom แล้วผ่าน Kapitelplatz จนเจอโบสถ์ St. Peterskirche และ Catacombs ก็จะถึงทางขึ้นรถกระเช้าไฟฟ้าที่จะพาเราไปยังป้อมปราการแห่งซาลส์บวร์ก (Festung Hohensalzburg, Hohensalzburg Fortress) (ราคาตั๋วรวมค่าขึ้นรถกระเช้าคนละ 10.50 EUR ฟรีเมื่อใช้ซาลส์บวร์กการ์ด) เมื่อถึงป้อมให้เดินไปยังป้ายหมายเลข 1 ซึ่งเป็นจุดเริ่มการนำทัวร์ (จริงๆคือเดินเอง แต่มี audio guide ให้) ภายในป้อมปราการ ทัวร์ภายในป้อมรับนักท่องเที่ยวจำนวนจำกัดได้ครั้งละ 40 คนเท่านั้น คงเนื่องจากป้องกันการรับน้ำหนักที่มากเกินไป ป้อมปราการ Hohensalzburg นี้เป็นป้อมปราการที่เก่าแก่มาก สร้างขึ้นสมัยยุคกลาง ในศตวรรษที่ 11 โดยความประสงค์ของอาร์คบิชอปรูปหนึ่ง การก่อสร้างกินเวลามาเรื่อย ดัดแปลง เปลี่ยนแปลงรูปแบบมาเรื่อย จะเห็นได้จากรูปโมเดลจำลองของป้อมปราการในแต่ละยุคสมัยที่ตั้งอยู่ในห้องแรกที่เริ่มทัวร์ อย่างที่บอกไปก่อนหน้านี้ว่าในสมัยก่อนนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในซาลส์บวร์กเอง อาร์คบิชอปเป็นผู้มีอำนาจในทางการเมืองการปกครองเป็นอย่างสูง ดันนั้นการสร้างป้อมปราการจึงเป็นสัญลักษณ์หนึ่งในการปกป้องและรักษาอำนาจและผลประโยชน์ของพวกเขาเอง นอกจากป้อมปราการจะทำหน้าเป็นเกราะกำบังอาณาเขตแล้ว ในครั้งหนึ่งป้อม Hohensalzburg นี้ยังเคยใช้เป็นคุกขังนักโทษในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 1 และสมัยนาซีอีกด้วย




ทัวร์พาชมบริเวณรอบๆป้อมปราการ ผ่านห้องต่างๆเช่น ante chamber ห้องแสดงอาวุธ ห้องครัว และยังพาขึ้นไปบนยอดป้อมเพื่อชมวิวทิวทัศน์ของเมืองซาลส์บวร์ก แต่เมื่อหิมะยังคงตกอย่างไม่หยุด ทำให้ทั้งป้อมปกคลุมไปด้วยหิมะสีขาวโพลน มองลงไปข้างล่างไม่เห็นอะไรเลย สำหรับคนที่มาเที่ยวในวันที่ท้องฟ้าเปิด สามารถมองวิวทิวทัศน์ได้ไกลสุดลูกหูลูกตา ป้อมปราการนี้เหมาะแก่การมาชมวิวเมืองซาลส์บวร์กในช่วงบ่าย แสงอาทิตย์สาดส่องให้เราเห็นเมืองเป็นสีเหลืองอร่ามน่าประทับใจ (ข้อมูลจากหนังสือของคุณธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์)

เมื่อทัวร์รอบป้อมเสร็จแล้ว เรายังสามารถเข้าชมพิพิธภัณฑ์ภายในป้อมได้ (มองหาป้ายหมายเลข 2) ในพิพิธภัณฑ์มีการจัดแสดงเครื่องไม้เครื่องมือที่ใช้กันในสมัยนั้น ทั้งเครื่องมือสื่อสาร เสื้อผ้าอาภรณ์ที่สวมใส่กัน Coat of Arms และตราสัญลักษณ์ในแต่ละยุคสมัยการปกครอง การเที่ยวชมป้อมปราการ Hohensalzburg ให้เพลิดเพลินและครบถ้วนนั้น น่าจะใช้เวลา 2-3 ชม. กำลังดี


เราเดินกลับมาขึ้นรถกระเช้าลงจากป้อม Hohensalzburg ประมาณบ่ายสองโมงกว่าๆ เลยคิดว่าน่าจะถึงเวลาที่ต้องบอกลาซาลส์บวร์กและคุณเพื่อนจากเยอรมันเสียที ตอนแรกเราวางแผนจะขึ้นรถไฟรอบ 16.10 น. จากซาลส์บวร์กไปฮัลล์สตัชท์ (Hallstatt) แต่พอมีเวลาเหลือเราก็เลยเปลี่ยนใจขึ้นรถไฟรอบ 15.10 น. แทน จะได้ถึง Hallstatt ไม่เย็นมาก เพราะใจหนึ่งกลัวจริงๆว่าถ้าเรือข้ามฟากจากฝั่งไปยังเมือง Hallstatt เกิดมีปัญหาต้องหมดรอบก่อนหรือเราไปไม่ทัน ทีนี้จะนอนไหนล่ะ พอเวลาเหมาะเจาะ เราก็เลยกลับไปที่สถานีรถไฟซาลส์บวร์ก เอากระเป๋าจากล็อคเกอร์แล้วขึ้นรถไฟ OIC 645 ออกจากซาลส์บวร์กไป ระหว่างทางก็เห็นบ้านเมืองที่ปกคลุมไปด้วยหิมะตลอดทาง ได้บรรยากาศดีจริงๆ พอนั่งรถไฟไป 48 นาที เราต้องไปเปลี่ยนรถไฟอีกขบวนที่สถานี Attang-Puccheim (ได้ยินเขาอ่านว่า อัตนั้ง-ปุคไฮม์ แต่หลายคนจากหลายเว็บบอร์ดชอบบอกให้เรียก ปูเค็มดีกว่า อ่านง่ายกว่ากันเยอะ) ตอนที่นายตรวจมาตรวจตั๋วรถไฟเขาก็ถามเราว่าจะไปไหน พอเราบอกว่าจะไป Hallstatt ค่ะ เขาก็รีบบอกเลยว่างั้นต้องไปลงที่ Attang-Puccheim นะ แสดงว่าเมือง Attang-Puchheim นี้เป็นชุมทางสำหรับต่อรถไฟไปเมืองต่างๆนั่นเอง






เรามาถึงสถานีรถไฟ Hallstatt ตอน 17.26 น. สถานีเป็นสถานีเล็กเล้กกก มีห้องออกตั๋วหรือห้องนายสถานีอยู่ห้องเดียว ชานชาลาก็เหมือนแค่ฟุตบาทเอาไว้ให้ก้าวขาลงจากรถไฟเท่านั้น เพราะเมือง Hallstatt เป็นเมืองเล็กๆ แต่ถึงกระนั้นก็มีธรรมชาติที่สวยงาม มีสถาปัตยกรรม วัฒนธรรมและรูปแบบการใช้ชีวิตที่เป็นเอกลักษณ์ จนได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก UNESCO World Heritage Site และเป็นสาเหตุให้นักท่องเที่ยวมากมายรวมทั้งเราตั้งใจที่จะมาเยี่ยมเยียนที่นี่ให้ได้ พอถึงสถานีรถไฟ เราจะต้องขึ้นเรือข้ามฟากจากฝั่งสถานีรถไฟไปยังตัวเมือง Hallstatt ที่ฝั่งตรงข้ามทะเลสาบฮัลล์สตัชท์ (Hallstatter See) จากที่ค้นคว้ามา เรือข้ามฟากนี้จุดประสงค์หลักมีไว้เพื่อบริการนักท่องเที่ยวข้ามฝั่งไปมาอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นเขาก็เลยกำหนดตารางเวลาเดินเรือให้สัมพันธ์กับรอบรถไฟที่มาถึงสถานี Hallstatt รอบออกจากฝั่งของเรือข้ามฟากจะช้ากว่าเวลาที่รถไฟมาถึงสถานีแล้วประมาณ 7 นาที แต่ว่ารถไฟจาก Attang-Puccheim ของเราในวันนี้มันมาถึง Hallstatt ช้าประมาณเวลาที่เรือจะออกเลย เราก็เลยรีบตาเหลือกเพราะก็ยังไม่รู้ว่าท่าเรืออยู่ตรงไหน ต้องถามใคร ต้องเดินไปยังไง กลัวว่าจะตกเรือมาก แต่พอลงจากรถไฟปุ๊บ ก็มีผู้ชายแต่งตัวเหมือนนายสถานีมารอรับเรา พอเราถามว่าท่าเรืออยู่ไหน เขาก็บอกว่า It’s waiting for you แล้วก็ผายมือแล้วเดินนำเราไปเลย ตอนนั้นเราก็คิด.... โอ้ว!!! waiting for me เลยเหรอเนี่ย ทำไมดีอย่างงี้ แล้วนายสถานีรถไฟนี่ดูแลดีขนาดนี้เชียว จากสถานีรถไฟ Hallstatt เดินลงเนินตามทางเดินที่มีอยู่ทางเดียวแค่ประมาณ 20 เมตรก็ถึงท่าเรือแล้ว บนเรือมีลูกค้านั่งอยู่แล้ว 2 คน ส่วนคุณนายตรวจสถานีที่เราคิด ก็กลับไม่ใช่ แต่เขาคือคนขับเรือข้ามฟากต่างหาก 55+ แต่เขาน่ารักมากมายเลยจริงๆ ถึงรถไฟเราจะเลท แต่เขาก็ยังรอจนรถไฟเทียบท่า รอให้รู้แน่ว่ามีผู้โดยสารจากรถไฟจะขึ้นเรือของเขาหรือไม่ก่อนแล้วจึงค่อยออกเรือ (จริงๆอาจจะรอเพื่อให้รู้ว่ามีลูกค้าเพิ่มแน่ๆ จะได้รายได้เพิ่ม คุ้มค่าน้ำมันหน่อยมากกว่า) ค่าโดยสารเรือข้ามฟากไปฝั่งตัวเมืองราคาคนละ 2.2 EUR

ใช้เวลาไม่ถึง 10 นาทีเราก็ข้ามฝั่งมาถึงตัวเมือง Hallstatt คืนนี้เราจองที่พักเป็นลักษณะเกสท์เฮ้าส์ที่หนึ่งไม่ไกลจากท่าเรือมากนักและยังอยู่บริเวณด้านหน้าของถนน ทำให้มองเห็นวิวทะเลสาบได้ชัดเจนอีกด้วย ที่นี่คือ Johann Hoell //www.hallstatt.net/accomodation/action/view/frmArticleID/546/ วิธีจองที่พักให้จองผ่านอีเมล johann.hoell@hallstatt.net ที่ได้จากเว็บไซต์ที่ให้นี้ จากนั้นคุณป้าโยฮันก็จะอีเมล (aon.913007410@aon.at) ตอบกลับมาว่าห้องว่างหรือไม่ ราคาเท่าไหร่ วิธีการเดินทางไปที่พักไปอย่างไร สำหรับการเดินทางไปที่พักของคุณป้านี้ต้องบอกว่าถ้าเราไม่ได้เส้นทางจากที่คุณป้าบอกแล้วมัวแต่เชื่อตามที่พี่กูเกิ้ลบอกอย่างเดียวล่ะก็ คืนนี้คงได้นอนอยู่หน้าบ้านคุณป้าแทนที่ได้เข้าไปนอนในบ้าน เพราะว่าทางเข้าบ้านมันต้องเข้าจากหลังบ้านซึ่งต้องเดินตัดเข้าถนนเส้นใน ถ้าเดินเลียบถนนเส้นนอกตามแผนที่กูเกิ้ลมันจะผ่านหน้าบ้านก็จริงแต่เข้าไม่ได้ ไม่มีทางเข้า ตามเส้นทางที่คุณป้าโยฮันบอกเราไว้ก็คือ เมื่อเรือเทียบท่าเราจะเห็นโบสถ์ (upper church) ให้เลี้ยวซ้ายแล้วเดินเลียบถนนมาเรื่อยๆจะผ่านอีกโบสถ์หนึ่ง (lower church) จัตุรัสของเมือง (Marktplatz) และพิพิธภัณฑ์ พอเดินจนสุดพิพิธภัณฑ์จะมีทางเลี้ยวขวา ให้เลี้ยวขวาจากนั้นเลี้ยวซ้าย จะเห็นโรงแรม Hotel Weisses Lamm ให้เดินตรงไปเรื่อยๆ ประมาณ 300 เมตรจะเจออุโมงค์ ประตูทางเข้าบ้านของคุณป้าจะอยู่ใต้ปากอุโมงค์นี้เลย


แผนที่ที่ทำให้ถึงบ้านแต่เข้าบ้านไม่ได้จากกูเกิ้ล

บ้านพัก Johann Hoell เป็นบ้านที่คุณป้าโยฮันอยู่กับสามี แต่ก่อนคาดว่าคงอยู่กับลูกๆด้วยแต่ตอนนี้คุณลูกๆก็แยกย้ายกันไปมีครอบครัวหมดแล้ว ห้องก็เลยว่าง คุณป้าก็เลยทำเป็นห้องพักให้เช่าซะเลย คุณป้าตัวใหญ่ใจดีแบ่งพื้นที่ชั้นล่างของบ้านทั้งชั้นให้สำหรับแขกที่มาพัก ในขณะที่คุณป้ากับคุณสามีพักอยู่ชั้นบน พื้นที่ชั้นล่างนี้มีทั้งห้องนอน ห้องอาบน้ำในห้องนอน (ที่ดูเหมือนว่าจะทำขึ้นมาใหม่) ห้องส้วม ห้องรับแขกพร้อมทีวี ห้องครัวพร้อมเตา ตู้เย็น ไมโครเวฟ กาต้มน้ำและโต๊ะกินข้าว และห้องที่เป็นระเบียงหน้าบ้านพร้อมโต๊ะนั่งเล่นให้นั่งชมวิวทะเลสาบกันอย่างโรแมนติกอีกด้วย ตอนแรกที่คุณป้าแนะนำห้องต่างๆว่าเป็นของเรานั้น เราถึงกับตาค้าง อึ้งกับอุปกรณ์อำนวยความสะดวกที่คุณป้ามอบให้เหลือเกิน ทำไมคุณป้าถึงใจป้ำอย่างงี้ ถึงแม้ว่าราคาที่พักทั่วไปที่ Hallstatt จะไม่ใช่ถูก ราคาถึง 65 EUR ต่อห้อง แต่กับสิ่งที่ได้พร้อมธรรมชาติสวยๆเบื้องหน้าก็คุ้มค่าเกินราคา ก่อนคุณป้าจะกลับขึ้นไปชั้นบน เราถามคุณป้าเรื่องอาหารเช้า จริงๆตามที่คุยกับคุณป้าทางอีเมลแต่แรก ที่นี่จะไม่มีบริการอาหารเช้าให้ แต่ถ้าต้องการให้เตรียมให้ต้องจ่ายเพิ่มคนละ 5 EUR ซึ่งเราก็ตกลงกับคุณป้าไว้แล้วว่าจะให้คุณป้าเตรียมไว้ให้ แต่พอมาเจอตัวกันจริงๆคุณป้ากลับลืมแล้วก็บอกว่าไม่ได้เตรียมไว้ให้ แต่ถ้าหนูจะอยากให้เตรียมล่ะก็...เอิ่ม เอิ่ม (ทำหน้าอึกอัก) เราก็เลยอ้อนคุณป้าไปว่าถ้าคุณป้าไม่รังเกียจนะคะ... เอิ่ม เอิ่ม (ทำหน้าอ้อนวอน) คุณป้าก็เลยตกลงจะเตรียมอาหารเช้าให้ แต่อาจจะไม่ได้ชุดใหญ่ ฟูลคอร์สเท่าไหร่ เพราะว่าวันพรุ่งนี้ 26 ต.ค. เป็นวันชาติออสเตรีย ร้านค้าจะหยุดทำการ คุณป้าเลยจะเตรียมอาหารให้ได้จากวัตถุดิบในสต็อคของคุณป้าเท่านั้น ซึ่งเราก็ไม่คิดอะไรมากอยู่แล้ว แค่ได้กินอาหารเช้าบนโต๊ะที่สามารถมองวิวภายนอกได้ดีดี ได้พักผ่อนเย็นๆใจก็เพียงพอ



หลังจากตกลงกับคุณป้าเรียบร้อย ก็ถึงเวลาที่เราจะออกไปหามื้อเย็นตามแผนที่วางไว้แล้ว มื้อเย็นวันนี้อยู่ที่ร้าน Gasthof Zauner //www.zauner.hallstatt.net/index.php?lang=en ใกล้ๆกับ Marktplatz เป็นร้านที่เราอ่านมาจากบล็อคของคุณมีนา //www.oknation.net/blog/mena/2008/05/11/entry-1 ถึงแม้จะรู้มาก่อนว่าร้านนี้มีชื่อเสียงและเป็นที่นิยมในหมู่คนท้องถิ่นและนักท่องเที่ยว แต่ก็เพิ่งรู้ว่าเป็นร้านที่คนไทยนิยมไปกินกันมาก เพราะพอเราเข้าไปในร้านเราก็เจอกลุ่มคนไทยนั่งรอสั่งอาหารอยู่แล้วอีกถึง 2 โต๊ะ เราสั่ง Zauner soup ซุปประจำร้าน คล้ายๆ Minestrone แต่รสจัดจ้านและมีไข่ลวก จานหลักสั่งปลา Reinanke ย่าง ซึ่งเป็นปลาท้องถิ่นที่จับได้จากทะเลสาบ Hallstatt เสิร์ฟพร้อมขนมปัง มินิสลัด และครีมราดบน horse radish (horse radish หน้าตาคล้ายชีสแต่มีรสและกลิ่นขึ้นจมูกมาก คล้ายๆวาซาบิ อร่อยดี) ส่วนอีกจานเป็นบาร์บีคิวเสิร์ฟพร้อมข้าวและผักต้ม หน้าตาปลา Reinanke แบบคล้ายปลาดุกไปซะหน่อย แต่รสชาติต่างกันมากอยู่ อร่อยดีเหมือนกัน สังเกตว่าที่ร้านอาหารในออสเตรียนี่ เขาจะใช้พนักงานคุ้มมาก เหมือนลูกจ้างร้านบะหมี่ข้างทางบ้านเรา ที่เป็นทั้งคนรับออร์เดอร์ เด็กเสิร์ฟและคนคิดเงิน ทอนเงิน ไม่เหมือนร้านอาหารภัตตาคารทั่วไปที่เด็กเสิร์ฟจะเสิร์ฟอาหารทีละจาน เวลาคิดเงินก็ให้แคชเชียร์คิดให้ เอาบิลมาวาง รับเงินไปให้แคชเชียร์ วางเงินทอนให้ลูกค้า แต่คุณบริกรที่ Gasthof Zauner เท่าที่เห็นมี 2 คน เวลาแบกจานอาหารทีก็ใช้ท่อนแขนล่ำให้เป็นประโยชน์ แบกที 3 จานใหญ่ พอเรียกเก็บเงิน เขาก็จะเอาบิลมาวาง พอรับเงินไปก็หยิบเงินจากกระเป๋าผ้ากันเปื้อนทอนเงินให้เลย ดูเขาทำงานไปเรื่อยๆแล้วเพลินดีเหมือนกัน







หลายคนที่เราเจอที่ร้าน Gasthof Zauner วันนี้ เราจะได้เจอะเจอพวกเขาอีกในการเที่ยว Hallstatt อย่างเต็มอิ่มในวันพรุ่งนี้ บางคนตามไปเจอกันถึงเวียนนาและบูดาเปสต์กันก็มี พอเห็นหน้าก็ได้แต่ขำๆว่าอ้าววว ยังตามมาเจอกันอีกเหรอเนี่ย




 

Create Date : 22 ธันวาคม 2553   
Last Update : 21 มีนาคม 2554 13:17:16 น.   
Counter : 3802 Pageviews.  


Original Mozart (2)

Czech - Austria - Hungary (5)

วันที่ 5: Salzburg


เช้าวันนี้เป็นเช้าวันแรกของทริปที่เราได้กินอาหารเช้าจากที่พัก (จริงๆที่ Prague Square Hostel ก็มีแซนวิชให้เป็นอาหารเช้า แต่เริ่มเสิร์ฟตั้งแต่ 7 โมง ซึ่งทั้ง 2 วันที่อยู่ที่ปราก เราออกจากโฮสเทลก่อน 7 โมงเช้าทั้ง 2 วัน ก็เลยต้องอดไป) อาหารเช้าที่ Adlerhof เป็นอาหารเช้าสไตล์ยุโรปแบบง่ายๆได้แก่ซีเรียล โยเกิร์ต นม น้ำส้ม ขนมปังพร้อมเตาปิ้ง ไข่ต้ม แฮม ซาลามี่ ชีส เนยแข็ง ชาและกาแฟ (อันนี้มีบริกรมาถามแต่ละคนเลยว่าจะรับชาหรือกาแฟแบบไหนดี เขาจะจัดให้ 1 กา) เพราะฉะนั้นวันนี้เป็นโอกาสอันดีที่เราจะต้องตุนอาหารไว้ในท้องให้เต็มที่เพื่อที่จะได้มีแรงเที่ยวตลอดวัน

วิธีท่องเที่ยวในซาลส์บวร์กอย่างคุ้มค่าที่สุดนั่นคือการท่องเที่ยวพร้อมซาลส์บวร์กการ์ด (Salzburg Card) //www.salzburg.info/en/sights/salzburg_card/ บัตรเดียวที่จะทำให้คุณท่องเที่ยวในซาลส์บวร์กอย่างราชาคือฟรี ฟรี ฟรี หรือเกือบฟรี ราคาตั๋วแบ่งตามระยะเวลาใช้งานเป็น 3 แบบคือ 24 ชม. 48 ชม. และ 72 ชม. นับจากเวลาที่ validate ตั๋ว คุณสมบัติของซาลส์บวร์กการ์ดที่โดดเด่นนั่นคือเป็นตั๋วที่สามารถใช้แทนตั๋วโดยสารระบบขนส่งสาธารณะภายในตัวเมืองซาลส์บวร์ก (โซน S) และบางสถานที่นอกโซน S (Hellbrunn Palace และ Cable car Untersberg) ไม่จำกัดเที่ยว สามารถใช้แทนบัตรเข้าชมสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆภายในซาลส์บวร์กได้ฟรี 1 ครั้ง นอกจากนี้ยังสามารถใช้เป็นส่วนลดเข้าชมงานจัดแสดงรวมถึงทัวร์ต่างๆภายในซาลส์บวร์กด้วย

Validity: 01/01/-04/30/2010 and 11/01/-12/31/2010
Salzburg Card: Adult, Child (6-15 years)
24 hours: 22 EUR, 11 EUR
48 hours: 30 EUR, 15 EUR
72 hours: 35 EUR, 17.5 EUR
Validity: 05/01/-10/31/2010
Salzburg Card: Adult, Child (6-15 years)
24 hours: 25 EUR, 12.5 EUR
48 hours: 33 EUR, 16.5 EUR (ราคาของปี 2011 เพิ่มเป็น 34 EUR, 17 EUR)
72 hours: 38 EUR, 19 EUR (ราคาของปี 2011 เพิ่มเป็น 40 EUR, 20 EUR)

ซาลส์บวร์กการ์ดสามารถหาซื้อได้ที่ information office ที่สถานีรถไฟหรือภายใน city center หรือจะให้ง่ายกว่านั้นก็สามารถหาซื้อได้โฮสเทลหรือโรงแรมที่เราพักอยู่นั่นแหละ โดยปกติที่พักเหล่านี้จะมีซาลส์บวร์กการ์ดสำรองขายอยู่บ้าง เราก็เลือกใช้วิธีซื้อการ์ดจากที่พักที่ Adlerhof แต่ดวงไม่ดีเล็กน้อยที่การ์ดเหลือแค่ใบเดียว ไม่พอกับเรา 3 คน เนื่องจากเมื่อวานมีคุณพี่ๆคนไทย 4 คนเหมาเรียบไปแล้ว (อันนี้คุณพี่คนไทยที่เป็นคนซื้อบัตรมาบอกเราเองตอนที่เรากำลังรอซื้ออยู่ที่เค้าท์เตอร์) เราจึงต้องเปลี่ยนไปซื้อที่ information office ที่สถานีรถไฟแทน แต่ออฟฟิศเขาเปิดตั้ง 9 โมงนี่สิ ทำเอาเราเสียเวลาเที่ยวอยู่พักใหญ่


หลังจากซื้อการ์ดเรียบร้อยแล้วเราก็เดินมารอที่ป้ายรถเมล์หมายเลข 2 หน้าสถานีรถไฟ รอรถเมล์สาย 1 เส้นทาง Zentrum-Europark-Stadion เพื่อไปยังจุดหมายแรกนั่นคือเนินเขา Monchsberg จุดชมวิวที่สวยงามจุดหนึ่งของซาลส์บวร์ก ใช้เวลาเดินทางจากสถานีรถไฟไป Monchsberg ประมาณ 15 นาที ให้ลงรถที่ป้าย Monchsbergaufzug ด้านขวามือจะเป็นพิพิธภัณฑ์ Modern Art Salzburg และลิฟต์สำหรับขึ้นไปบน Monchsberg (Monchsberglift) ราคาค่าขึ้นลิฟต์ปกติอยู่ที่ 2.90 EUR (ขึ้น-ลง) แต่ด้วยบัตรเบ่ง ซาลส์บวร์กการ์ดของเรา ก็เลยได้ขึ้นลิฟต์ฟรี


Monchsberglift พาเราไปยังจุดบนสุดที่สามารถมองเห็นเมืองซาลส์บวร์กได้อย่างไกลสุดลูกหูลูกตา เบื้องหน้าคือแม่น้ำซาลซัค (Salzach) ที่ไหลพาดผ่านตัวเมืองซาลส์บวร์ก โบสถ์เก่าแก่ของเมือง ที่พักของอาร์คบิชอปผู้ปกครองเมืองซาลส์บวร์กในอดีต และป้อมปราการ Festung HohenSalzburg อันเก่าแก่ เพลิดเพลินกับการชมวิวและการถ่ายรูปไม่เท่าไหร่ ฝนเม็ดเล้กกกก..เล็ก คือแบบเล็กมากๆจนตาเกือบมองไม่เห็น แต่รู้สึกและสัมผัสได้ว่าเป็นละอองน้ำก็ตกลงมา ทำให้ท้องฟ้าในวันนี้ไม่สดใสเอาซะเลยเลย >_<






ออกจาก Monchberglift เราหันขวาแล้วเดินตรงไปเรื่อยๆ จนเจอโบสถ์ St. Blasius ซึ่งตั้งอยู่บริเวณสามหแยกพอดี ถนนที่ตัดผ่านสามแยกนี้ก็คือถนนคนเดินที่เป็นเอกลักษณ์และมีชื่อเสียงที่สุดในซาลส์บวร์กนั่นก็คือถนน Getreidegasse (เก-เทร-เด-กาส-เซ่) โดยเอกลักษณ์ที่ว่านี้อยู่ที่ป้ายชื่อร้านค้าสองฝั่งถนนที่เป็นป้ายเหล็กโบราณ แต่ละร้านมีลวดลายและการออกแบบที่ต่างกัน แม้กระทั่งร้านค้าสมัยใหม่อย่าง ZARA และร้านอาหารขวัญใจวัยรุ่นอย่างแมคโดนัลด์ก็สามารถผสมผสานแบบป้ายหน้าร้านลักษณะแบบโบราณแต่คงลายเส้นของยี่ห้อสินค้าตามที่เราจำได้ติดตากันได้เป็นอย่างดี เนื่องจากวันนี้เป็นวันอาทิตย์ บรรยากาศบนท้องถนนที่ซาลส์บวร์กดูจะเงียบเหงาเป็นพิเศษ เพราะร้านค้าส่วนใหญ่ในยุโรปรวมทั้งออสเตรียและซาลส์บวร์กจะปิดทำการ ทำให้เราขอยกยอดการเดินเที่ยวเล่นบนถนน Getreidegasse ไปเป็นวันพรุ่งนี้แทน เมื่อร้านรวงเปิดให้บริการกันครบ เราคงได้สัมผัสบรรยากาศสนุกๆบนถนนเส้นนี้กัน


แต่ถึงแม้ร้านค้าส่วนใหญ่บนถนน Getreidegasse จะปิด แต่บนถนนเส้นนี้ก็ยังมีสถานที่สำคัญแห่งหนึ่งที่ไม่ปิดและเราก็ไม่พลาดที่จะเข้าชมนั่นคือ บ้านโมสาร์ทหรือ Mozart’s Geburthaus บ้านของคีตกวีเลื่องชื่อที่สุดคนหนึ่งของโลก และคีตกวีระดับโลกผู้นี้ก็เป็นสัญลักษณ์ที่สำคัญอย่างหนึ่งของซาลส์บวร์ก นักท่องเที่ยวจำนวนไม่น้อยอยากมาซาลส์บวร์กเพราะอยากมาสัมผัสบ้านเกิดของโมสาร์ทและอยากมีส่วนร่วมกับประวัติศาสตร์ตอนหนึ่งในช่วงชีวิตของโมสาร์ท... และหนึ่งในนั้นก็คือเรา



วูฟกัง อมาดิอุส โมสาร์ท (Wolfgang Amadeus Mozart, 1756-1791) เกิดที่บ้านหลังนี้เมื่อ 27 มกราคม 1756 โมสาร์ทซึมซับความสามารถในดนตรีมาจากพ่อของเขา (Leopold Mozart) ซึ่งเป็นนักไวโอลิน โมสาร์ทมีพี่น้องหลายคนแต่มีพี่สาวเพียงคนเดียวที่มีชีวิตรอดจนเติบใหญ่คือ Maria Anna หรือ Nannerl เธอคนนี้มีความสัมพันธ์กับโมสาร์ทอย่างใกล้ชิดและมีความสำคัญกับราชวงศ์ฮับส์บวร์กในฐานะพระอาจารย์สอนเปียโนให้กับพระราชโอรสและพระราชธิดาของจักรพรรดินีมาเรีย เทเรซ่า

บ้านหลังนี้เป็นบ้านที่ทาสีเหลืองมัสตาร์ดทั้งหลัง ลักษณะคล้ายตึกแถวในปัจจุบัน เป็นอาคาร 3-4 ชั้น ภายในจัดทำเป็นพิพิธภัณฑ์เครื่องดนตรี ภาพวาดของสมาชิกในครอบครัวและจดหมายที่สมาชิกในครอบครัวเขียนถึงกัน ค่าเข้าชมบ้านโมสาร์ทราคาคนละ 7 EUR แต่แน่นอนว่าฟรีถ้าเรามีบัตรเบ่งซาลส์บวร์กการ์ด



ออกจากบ้านโมสาร์ท เราเดินอ้อมหลังบ้านมาทาง Universitatsplatz เพื่อมายังโบสถ์ Kollegienkirche แต่หาทางเข้าไม่เจอ คาดว่าโบสถ์จะปิด ก็เลยอดไป เราเดินตรงขึ้นไปตามถนนข้างๆโบสถ์จนตัดถนน Hofstallgasse แล้วเลี้ยวซ้าย เดินตรงไปเรื่อยๆจนเจอ Domplatz จัตุรัสในกลางเมืองที่เป็นสถานที่ตั้งของโบสถ์ Dom โบสถ์บารอคโบสถ์สำคัญของเมือง ข้างๆกันคือ Residenz ที่พำนักของอาร์คบิชอปผู้ปกครองซาลส์บวร์กในอดีต เราเข้าชม Residenz กันก่อน ราคาค่าเข้าชมถ้าไม่มีซาลส์บวร์กการ์ดอยู่ที่คนละ 8.50 EUR (ราคารวมค่าเข้าชม Residenz Gallery)


ภายใน Residenz จัดแสดงห้องต่างๆ 15 ห้องที่ตกแต่งดวยศิลปะหลายยุคหลายสมัยได้อย่างวิจิตร ทั้งเรเนอซองส์ บารอค และคลาสิซิซึ่ม เครื่องเรือนบางส่วนยังคงเป็นชิ้นดั้งเดิมเช่นนาฬิกาลูกตุ้ม กางเขนงาช้างในห้องสวดมนต์และกรอบประตูหินอ่อน ระหว่างการเข้าชม เราสามารถฟังคำอธิบายแต่ละห้องได้จาก audio guide ที่ให้มาด้วย มีให้เลือกฟังถึง 8 ภาษา (ซึ่งแน่นอนว่ายังไม่มีภาษาไทย) ต้องบอกตามตรงว่าตอนนี้จำเรื่องราวของแต่ละห้องภายใน Residenz ไม่ได้เลย ขนาดดูรูปที่ถ่ายมาแล้วหลายรอบก็ยังหายจ้อยหมด จำได้แต่ความรู้สึกและความประทับใจที่ได้เข้ามาชมภายใน Residenz แต่ละห้องถูกตกแต่งไว้อย่างสวยงามน่าประทับใจ ที่สำคัญที่นี่อนุญาตให้ถ่ายรูปได้ แตกต่างกับพระราชวัง ปราสาทหรือพิพิธภัณฑ์ส่วนใหญ่ที่ไม่สามารถทำได้ เราจึงได้โอกาสที่จะแบ่งปันความทรงจำดีดีให้คนอื่นได้ด้วย










เราใช้เวลาที่ Residenz และ Residenz Gallery อยู่ชั่วโมงกว่า จึงเดินออกไปที่โบสถ์ Dom ซึ่งเผอิญว่าตอนที่เราไปนี้ทางโบสถ์กำลังทำพิธีทางศาสนาอยู่ จึงไม่อนุญาตให้นักท่องเที่ยวเข้าไป เราก็เลยเดินขึ้นไปชมพิพิธภัณฑ์ของโบสถ์ที่ชั้น 2 ก่อน (7 EUR, ฟรีด้วยซาลส์บวร์กการ์ด) สักพักพอพิธีเสร็จ เราจึงเดินไปชมความงามภายในโบสถ์ได้






ออกจากโบสถ์ Dom ฝนก็ยังตกเปาะ... แปะ... เปาะ...แปะ ให้เราหงุดหงิดใจได้ตลอด เราเดินตามแผนที่ย้อนขึ้นไปจนถึงป้ายรถเมล์ Rathaus ซึ่งมีแม่น้ำซาลซัคอยู่ด้านหน้า ขึ้นรถเมล์สาย 25 ไปอีกนับ 10 ป้ายจนถึงป้าย Schloss Hellbrunn ก็ลงได้ จุดหมายปลายทางของเราก็คือวังสีเหลืองมัสตาร์ดที่ฝั่งตรงข้าม วังเฮลล์บรุนน์หรือวังแห่งน้ำพุเล่นกล (tricky fountain) นั่นเอง ราคาเข้าชมคนละ 9.50 EUR แต่ฟรีเมื่อใช้ซาลส์บวร์กการ์ด (ค่าเข้าชมสถานที่จนถึงตอนนี้นี่ดูเหมือนถึงจุดคุ้มทุนแล้วนะ) Hellbrunn เป็นวังฤดูร้อนที่พักของอาร์บิชอป (สมัยนั้นเป็นสมัยที่พระอาร์คบิชอปมีอิทธิพลและมีอำนาจในการปกครองบ้านเมืองเป็นอย่างมาก ดูเหมือนจะมีความสำคัญมากกว่ากษัตริย์เสียด้วยซ้ำ เพราะว่าอาร์คบิชอปสามารถเป็นผู้แต่งตั้งกษัตริย์ได้ด้วย) อาร์คบิชอปรูปนี้จะมีอารมณ์ขันเป็นเลิศและมีความรู้ทางด้านเครื่องกลเป็นอย่างดี เพราะจุดเด่นของวังแห่งนี้อยู่ที่การซ่อนน้ำพุอยู่รอบบริเวณวังเต็มไปหมด ไม่ว่าเราจะเดินไปไหนรอบๆวัง ก็ต้องคอยระวังว่าอยู่ดีดีก็จะมีน้ำพุโผล่ออกมาจากพุ่มไม้บ้าง พื้นบ้าง กำแพงบ้าง พุ่งใส่เราให้ตัวเปียกเล่นๆ การจะเข้าชมวัง Hellbrunn นี้ต้องเข้าชมโดยมีไกด์ทัวร์ด้วยเท่านั้น และการเข้าชมก็แบ่งเป็นรอบๆด้วย เราได้รอบ 13.45 น. เมื่อเดินเข้าไป ช่างถ่ายรูปก็จะถ่ายรูปนักท่องเที่ยวแต่ละคนไว้ก่อนเลย เอาไว้ขายเอาตังค์ตอนขาออก จากนั้นคุณไกด์ที่พูด 2 ภาษาคือเยอรมันและอังกฤษ (ทำให้เสียเวลาอยู่พอควร เพราะเขาต้องรีไวด์คำพูด 2 ภาษาซ้ำเดิมไปเรื่อยๆ) จะพาเราไปเริ่มต้นที่เวทีครึ่งวงกลมที่ด้านหน้าเป็นโต๊ะอาหาร คุณไกด์จะเชิญผู้กล้า 1 คนมานั่งบนเก้าอี้ แต่ดูเหมือนคุณผู้กล้านั้นและคนอื่นๆที่ยืนดูอยู่จะรู้ทันคุณไกด์ คุณผู้กล้าก็เลยหาของมารองก้น ไม่ให้น้ำพูจากช่องที่เจาะไว้บนเก้าอี้ปล่อยน้ำพุให้พุ่งขึ้นมาทิ่มก้น






คุณไกด์พาเราชมวังไปเรื่อยๆ ระหว่างทางก็เจอน้ำพุพุ่งออกมาจากสารพัดทิศเป็นระยะๆ เราได้ชมโรงละครหุ่นเล็กๆร่วมร้อยตัวเห็นจะได้ที่เคลื่อนไหวด้วยแรงกล น่ารักและน่าทึ่งในความคิดของผู้คนในสมัยก่อนเป็นอย่างมาก นอกจากนี้คุณไกด์ยังพาเราชมการแสดงเทคนิคสมดุลของวัตถุภายในถ้ำแห่งหนึ่ง โดยให้น้ำพุฉีดพุ่งใต้ฝาครอบสามเหลี่ยมอันหนึ่ง คุณไกด์เปิดวาล์วน้ำให้แรงขึ้นเรื่อยๆจนสามารถทำดันให้ฝานั้นลอยอยู่บนสายน้ำพุได้ จากนั้นคุณไกด์ก็ลดความแรงของน้ำลงให้เห็นว่าฝาครอบสามเหลี่ยมก็เคลื่อนลงมาต่ำลงตามความแรงของสายน้ำ ทำอย่างนี้สลับกันไปเรื่อยๆ ฝาครอบก็ยังอยู่บนสายน้ำโดยไม่ร่วงหล่นลงพื้น



สุดท้ายคุณไกด์จะปล่อยให้เราเดินชมสวนและพิพิธภัณฑ์ภายในวังด้วยตนเอง ที่บริเวณทางออกไปสู่สวนได้ตั้งรูปถ่ายที่เขาถ่ายเราเมื่อตอนเข้ามากับตอนที่เรายืนอยู่บนเวทีครึ่งวงกลม ราคาประมาณใบละ 5 EUR ไม่แน่ใจเพราะว่าไม่ได้ซื้อ สวน Hellbrunn มีบริเวณกว้างขวางทีเดียว และสิ่งที่มีชื่อเสียงที่ตั้งอยู่ในสวน Hellbrunn อย่างหนึ่ง หากใครเป็นแฟนพันธุ์แท้ของหนังมนต์รักเพลงสวรรค์ (โอ้ว!!! ชื่อไทย มันแจ่มมากกก) หรือ The sound of music คงทราบว่านั่นคือศาลาสีขาวที่เป็นที่พบกันครั้งแรกของ Liesl ลูกสาวคนโตของกัปตัน von Trapp กับ Rolf บุรุษไปรษณีย์หนุ่มผู้ตกหลุมรักเธอ และเป็นที่มาของเพลง Sixteen going on seventeen (แต่จริงๆแล้วขณะถ่ายทำภาพยนตร์จริง ศาลาสีขาวได้ตั้งอยู่ที่ Leopoldskron Palace ซึ่งขณะนี้ไม่เปิดให้เข้าชมเนื่องจากมีเอกชนซื้อที่นี่ไปแล้ว) เราได้โอกาสดูดีวีดีเรื่องนี้ครั้งหนึ่งก่อนมา นี่ดูมาเพื่อมาเที่ยวซาลส์บวร์กเลยนะเนี่ย แต่สุดท้ายพอมาถึงสวน Hellbrunn จริงๆ กลับลืมถ่ายรูปกับศาลาสีขาวนี่ซะงั้น ขอโทษฝนฟ้าละกัน ก็คุณเธอเล่นตกเปาะแปะทั้งวันจริงๆ ตั้งแต่เช้าจนจะ 4 โมงเย็นยังไม่มีทีท่าจะหยุด เราก็เลยเดินชมสวนแบบไม่มีอารมณ์เท่าไหร่นัก เดินยังไม่ทันทั่วดีก็จะกลับจะกลับแล้ว แต่สำหรับคนที่ได้มา Hellbrunn ในวันที่อากาศดีกว่านี้ ควรใช้เวลาอยู่ใน Hellbrunn ประมาณ 2 ชม. น่าจะกำลังดี แล้วก็อย่าลืมแวะไปชมศาลาสีขาวหลังนี้กันค่ะ เดินไปจนสุดทางออกสวน หรือจะหันหลังจากส่วนตัววัง แล้วเดินตรงไปผ่านทางเดินเล็กๆ จนสุดทาง


(รูปจากเว็บไซต์ //www.hellbrunn.at/hellbrunn/english/park/sound_of_music.asp)


ออกจาก Schloss Hellbrunn เราข้ามไปฝั่งไปขึ้นรถเมล์สายเดิม สาย 25 ที่ป้ายเดิม นั่งไปอีกประมาณ 10 ป้าย (สุดสาย) ก็จะถึงสถานี Cable-car Untersberg สถานีรถกระเช้าที่จะพาเราขึ้นไปอีก 1853 เมตรเหนือระดับน้ำทะเลเพื่อขึ้นไปชมวิวที่บน Untersberg ตั๋วราคาคนละ 19 EUR แต่ฟรีถ้ามีซาลส์บวร์กการ์ด เราใช้เวลาระหว่างรอรอบรถกระเช้าที่ร้านกาแฟเล็กๆหน้าทางขึ้นเพื่อหาขนมเล็กๆน้อยๆกิน ไม่นานรถกระเช้าที่แม้จะมีผู้โดยสารเพียง 3 คนก็พาเราขึ้นไปถึงยอด Untersberg (ไม่เหมือนที่ไหนในเชคน๊า...คุ้นๆไหม) ระหว่างทางขึ้น Untersberg แค่ประมาณ 15 นาที เราก็เห็นหิมะโปรยปรายตลอดทางจนถึงยอด Untersberg เพราะฉะนั้นจึงเป็นเหตุให้บนจุดชมวิวมีแต่หิมะปกคลุมหนาตัวเต็มไปหมด หิมะที่กำลังตกอยู่ก็กลายเป็นฝ้าขาวปิดบังทัศนวิสัยในการชมวิวทั้งหมด เราก็เลยได้แต่เดินเล่นรอบๆ ถ่ายรูปหมาน้อยไซบีเรียน ฮัสกี้บนนั้น เล่นปั้นหิมะบ้างอะไรบ้าง ก็ได้บรรยากาศอีกแบบ ทริปนี้เจอทุกอย่าง แดด ฝนและหิมะ





ปิดท้ายวันนี้ด้วยการลงจากรถกระเช้าประมาณเกือบ 5 โมงเย็น มารอขึ้นรถเมล์สาย 25 กลับเข้าไปในเมือง ใช้เวลาประมาณ 45 นาที มื้อเย็นวันนี้คุณเพื่อนผู้ใจดีจากเยอรมันที่มาเที่ยวกับเราด้วยในวันนี้จะพาเราไปกินบิ๊กมีลอาหารไทยที่หนึ่งในซาลส์บวร์กกัน แต่ต้องขอโทษจริงๆที่ไม่สามารถจำเส้นทางไปร้านนี้ได้ เพราะคุณเพื่อนพาเดินหลายป้ายรถเมล์ พอขึ้นรถเมล์ก็พาไปอีกหลายป้ายอีก รู้แต่ว่าร้านนี้ชื่อ “บางกอก” //www.restaurant-bangkok.at/ ซึ่งพอเราเปิดประตูเข้าไป ผู้จัดการร้านที่ไม่ใช่คนไทยก็ออกมาบอกด้วยมารยาทที่ดีว่าถ้าหากไม่ได้จองไว้ก็คงจะไม่ได้โต๊ะ เนื่องจากมีลูกค้าจองโต๊ะไว้เต็มหมดแล้ว อ้าวววว!!! ทำไงล่ะทีนี้ อุตส่าห์เก็บท้องไว้ทั้งวันเพื่อการนี้ทีเดียวเชียวนะ หิวจนน้ำย่อยจะย่อยกระเพาะหมดแล้ว แล้วนี่จะหาที่กินที่ไหนดีเนี่ย ระหว่างที่พวกเรากำลังหาที่ไป คุณผู้จัดการมารยาทดีก็คงจะสงสารผู้ใหญ่ตัวใหญ่แต่มีท่าทางน่าสงสารเหมือนเด็กๆ เขาก็เลยเปิดประตูออกมาบอกเราว่าถ้าเราสามารถกินให้เสร็จทัน 19.30 น. เขาก็สามารถเคลียร์โต๊ะให้เราได้ เท่านั้นละ ไม่พูดพร่ำทำเพลง เรารีบพยักหน้าแล้วรีบเข้าไปในร้านทันที

ความจริงแล้วร้านบางกอกนี้เป็นร้านอาหารไทยที่ไม่ใช่ของคนไทย เพราะดูจากทั้งผู้จัดการร้านและบริกรทุกคนของร้านแล้ว ไม่เห็นจะมีคนไทยซักคนเดียว ดูท่าน่าจะเป็นเวียดนามซะมากกว่า แล้วพอได้ดูจากคอลัมน์จากหนังสือพิมพ์ที่ทางร้านนำมาใส่กรอบโชว์ไว้ก็ยิ่งมั่นใจว่าร้านนี้ไม่มีคนไทยแน่แม้กระทั่งเจ้าของร้านเอง เขาคงอาศัยความมีชื่อเสียงของอาหารไทยที่ดังไกลไปทั่วโลกมาเปิดร้านอาหารไทยและยังพ่วงอาหารญี่ปุ่นพวกซูชิ ซาชิมิเข้าไปด้วย ก็อาหารพวกนี้ชาวยุโรปเขาชอบนักชอบหนา ถึงร้านนี้จะไม่ได้ดำเนินการโดยคนไทย แต่ก็อย่าได้ดูถูกฝีมือในการทำอาหารไทยของพวกเขาทีเดียวเชียว เพราะทุกเมนูที่เราสั่งมา ทั้งปลาหมึกผัดกระเพรา ต้มข่าไก่และปลาสามรส รวมทั้งซูชิเซ็ตที่คุณเพื่อนจากเยอรมันอยากลิ้มลองเหลือเกินนั้น ทั้งหมดมีรสชาติเข้าขั้นอร่อยมาก อร่อยกว่าร้านอาหารไทยในต่างแดนบางร้านที่มีคนไทยอยู่ด้วยที่เราเคยไปกินซะอีก ใครอยากไปลิ้มลองรสชาติก็ไปได้เลย (เติมข้าวสวยฟรีด้วย) ร้านอยู่เลขที่ 33 ถนน Bayerhamerstrasse ปิดทุกวันจันทร์


คืนนี้อิ่มอืดกันอีกแล้ว นอนหลับฝันดีเพื่อเตรียมตัวเที่ยวต่อในซาลส์บวร์กอีกค่อนวัน ก่อนมุ่งหน้าสู่เมืองเล็กริมทะเลสาบที่งดงามราวกับภาพวาด พร้อมผู้คนใจดีที่น่าอิจฉาเป็นที่สุด

เสริม: สำหรับใครที่อยากตามรอย 'The Sound of Music' จนถึงตอนนี้เราได้ตามรอยสถานที่ถ่ายทำมา 3 ที่แล้วนะคะนั่นคือ
1. จุดชมวิวที่ Monchsbergaufzug - เป็นฉากตอนที่มาเรียมองวิวของซาลส์บวร์กผ่านสำนักชี Nonnberg Abbey และเริ่มร้องเพลง โด เร มี ก่อนออกจากสำนักชี แต่ในความเป็นจริงมุมมองจาก Nonnberg Abbey ของจริงไม่สามารถมองเห็นวิวนี้ได้ค่ะ
2. Residenceplatz - เป็นฉากที่มาเรียทำกระโดดเอาขาเตะน้ำจากน้ำพุ Residenz fountain ระหว่างทางไปบ้าน von Trapp และร้องเพลง I have confidence in me
3. Hellbrunn Palace - ฉากศาลาสีขาวและฉากที่มาเรียมาถึงบ้าน von Trapp




 

Create Date : 20 ธันวาคม 2553   
Last Update : 21 มีนาคม 2554 13:08:11 น.   
Counter : 3189 Pageviews.  


Original Mozart (1)

Czech-Austria-Hungary (4)

วันที่ 4: Innsbruck via Linz - Salzburg


แผนการเดินทางของวันนี้เริ่มต้นจากการออกเดินทางจากเชสกี้ ครุมลอฟ ข้ามประเทศไปยังออสเตรียผ่านทางเมืองลินซ์ (Linz) เท่าที่ศึกษาข้อมูลมา วิธีที่สะดวกที่สุดน่าจะเป็นการขึ้นรถตู้เอกชนที่ให้บริการอยู่หลายเจ้าในเชสกี้ ครุมลอฟ แต่ละเจ้าก็ห้ำหั่นราคาเรียกลูกค้ากันน่าดู เราเลือกใช้บริการของ Lobo shuttle ซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นรายแรกที่เปิดให้บริการในรูปแบบนี้ //www.shuttlelobo.cz/shuttle/index.php?lang=en โลโบให้บริการรถตู้จากครุมลอฟไปยังเมืองสำคัญต่างๆในออสเตรียได้แก่ เวียนนา ซาลส์บวร์กและลินซ์ เส้นทางที่ใกล้ที่สุดและราคาถูกที่สุดคือจากครุมลอฟไปลินซ์ ใช้เวลาเดินทาง 1.15 ถึง 1.30 ชม. ราคาตั๋วคนละ 390 CZK จากเมืองลินซ์ เราจะเดินทางต่อไปยังเมืองน้อยในหุบเขา...อินส์บรูค (Innbruck) โดยรถไฟโดยใช้ตั๋ว European East Pass ที่ซื้อมาแล้วจากกรุงเทพฯ

การจองที่นั่งรถตู้โลโบทำได้โดยจองและติดต่อผ่านทางอีเมล เราจองรอบ 9 โมงเช้าเพื่อให้ไปถึงลินซ์ภายใน 10.30 น. และต่อรถไฟไปถึงอินส์บรูคประมาณบ่ายสองโมง (รถตู้โลโบจากครุมลอฟไปลินซ์มีวันละ 2 เที่ยวคือ 9 โมงเช้าและ 11 โมง) เพราะฉะนั้นเช้าวันนี้เราจึงไปรอที่จุดนัดพบที่รถตู้จะมารับเราคือที่โลโบออฟฟิศ บริเวณจัตุรัสสโวร์โนสติ ใกล้ๆกับ information center ออฟฟิศนี้จะเป็นเหมือนคอกเล็กๆ ขนาดและลักษณะคล้ายๆกับเค้าท์เตอร์แลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศที่เห็นตามห้างหรือสนามบินในบ้านเรา ตอนที่เราไปสำรวจสถานที่ตั้งแต่เมื่อวานที่เรามาถึงครุมลอฟ ป้ายหน้าออฟฟิศเขียนว่า “ตอนนี้ออฟฟิศปิดเนื่องจากเป็นช่วงโลว์ซีซั่น มีอะไรให้เดินไปติดต่อที่โลโบเกสท์เฮ้าส์ อยู่ใกล้ๆ เดินไปแค่ 300 เมตรเท่านั้น” เราไปยืนรอตั้งแต่ 8.45 น. จน 9 โมงตามเวลาที่รถต้องออก ก็ไม่เห็นรถของโลโบซักคัน รอแล้วรอเล่า 9 โมงเกือบครึ่ง ก็ยังไม่มีวี่แวว จนเริ่มเครียด พอ 9 โมงครึ่งซึ่งเป็นเวลาที่ information center เปิดทำการพอดี เราจึงเข้าไปขอให้เจ้าที่ที่ information center ช่วยติดต่อทางโลโบให้หน่อย เพราะว่าเราก็ไม่มีเบอร์ติดต่อซะด้วย ที่สำคัญเขาจะได้คุยกันเองรู้เรื่องแล้วค่อยถ่ายทอดเป็นภาษาอังกฤษให้เราฟัง พอเจ้าหน้าที่ที่ information center วางสายจากโลโบ เราก็ถึงได้รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น คุณเจ้าหน้าที่บอกเราว่าทางโลโบบอกมาว่าเมื่อวานเขาติดต่อเราผ่านทางอีเมลแล้วเพื่อแจ้งว่ารถตู้ของเขาเสีย ทำให้ไม่สามารถออกรถรอบ 9 โมงได้ ต้องรอเป็นรอบ 11 โมงแทน เราจะว่ายังไง ถ้าตกลงเปลี่ยนรอบ เขาก็จะได้จองที่รอบ 11 โมงไว้ให้ อ้าวววว เอาแล้วไงล่ะ รอบ 11 โมง แล้วแผนไปอินส์บรูคของช้านจะยังไงกันละทีนี้ แต่เนื่องจากไม่มีทางเลือก ไม่มีทางเลือกเลยจริงๆ จะให้ไปหาบริษัทรถตู้เจ้าอื่นก็ไม่มีใครรู้ และคิดว่าคงไม่มี หรือถ้ามีรอบ 10 โมง เราก็คงไปไม่ทัน เราก็เลยต้องหิ้วกระเป๋าฝ่าถนนก้อนหินจากโลโบออฟฟิศไปที่โลโบเกสต์เฮ้าส์ ขอย้ำว่าเป็นการหิ้วกระเป๋า 2 ใบหนัก 20 กว่ากิโลโดยผู้ชายตัวเล็กๆ คนเดียว (ส่วนผู้หญิงตัวอวบอ้วนอย่างเราก็ได้แต่วิ่งกระหืดกระหอบตามหลังไป หลังจากกลับไปคุยกับทาง information center ให้รู้เรื่องอีกรอบ) เพราะถ้าขืนใช้วิธีลากละก็ เราคงต้องจัดพิธีไว้อาลัยให้เจ้ากระเป๋าทั้ง 2 ใบทันที ระยะทาง 300 เมตรจากโลโบออฟฟิศไปโลโบเกสต์เฮ้าส์อย่างกับ 3 กิโลเมตร ทรมานเป็นที่สุด

พอถึงหน้าโลโบเกสต์เฮ้าส์ เราก็เอ๊ะ!!! นั่นมันรถตู้นี่ เห็นตั้ง 2 คัน “ไหนว่ารถเสียคะ แหมๆๆๆๆ คุณเพ่โลโบ คุณเพ่จะทำเหมือนพี่วินรถตู้ที่เสาวรีย์บ้านหนูก็ไม่บอก รถไม่เต็มไม่ยอมออกใช่มั้ยคะ ทำมาหลอกว่ารถรอบ 9 โมงเสีย แต่รถรอบ 11 โมงรอพร้อมอยู่แล้ว มันยังไงกันเนี่ย” แต่ไอ่ที่บ่นๆนี่ก็ได้แต่คิดในใจนั่นแหละ ความเป็นจริงก็คือเราต้องรอรถรอบ 11 โมงอย่างเลี่ยงไม่ได้ เราเข้าไปจ่ายเงินค่ารถพร้อมฝากกระเป๋าไว้ที่เกสต์เฮ้าส์ ระหว่างรอเวลาเราก็เลยได้เล่นอินเตอร์เน็ตและเช็คอีเมลจาก wifi ฟรีที่โลโบนั่นเลย ก็เลยไม่เห็นอีเมลจากโลโบจริงๆ ฮึ่มๆๆ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี ช่างมันเหอะ



10.45 น. ได้เวลาออกเดินทางจากโลโบเกสต์เฮ้าส์ เพื่อไปรับผู้โดยสารจากโอสเทลหรือโรงแรมต่างๆโดยรอบ ปรากฏว่าในรถตู้คันนี้มีผู้โดยสารถึง 5 ชาติ 10 คนด้วยกัน มีเราซึ่งเป็นคนไทย 2 คน ผู้ชายเกาหลี 2 คนที่นั่งรถจากปรากมาพร้อมกับเราเมื่อวาน คู่คุณลุงคุณป้าชาวญี่ปุ่น 2 คน ผู้หญิงคนจีน 2 คน คู่ชาวอเมริกัน 2 คนและอีก 2 คนน่าจะเป็นคนเชค เพราะคุยกับคนขับรถรู้เรื่อง รถตู้ขับผ่านเส้นทางมาเรื่อยๆจนถึงลินซ์ตอน 12.30 น. รถจอดที่หน้าสถานีรถไฟลินซ์ (Linz Hauptbahnhof) ลงจากรถเราก็รีบหาเค้าท์เตอร์ขายตั๋ว เพื่อให้เจ้าหน้าที่สถานี validate ตั๋ว European East Pass ไม่งั้นจะเริ่มใช้ตั๋วไม่ได้ (ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ European East Pass อ่านได้จากบล็อคนี้ ตอนเตรียมตัวก่อนเดินทาง) จากนั้นก็รีบไปรอที่ชานชาลา 5AD เพื่อรอรถไฟรอบ 12.53 น. ไปยังอินส์บรูค




รถไฟจากลินซ์ไปอินส์บรูคเป็นรถไฟแบบเป็นห้องๆ ที่นั่งหันหน้าชนกัน ระหว่างทางเรานั่งไปกับคู่ข้าวใหม่ปลามันชาวบัลแกเรีย ซึ่งขึ้นมาจากซาลส์บวร์กกำลังจะไปอินส์บรูคเหมือนกัน



พอถึงอินส์บรูคตอน 16.06 น. เราก็รีบฝากกระเป๋าไว้กับล็อคเกอร์ที่สถานีรถไฟทันที เราเลือกล็อคเกอร์ขนาดใหญ่ กว้าง x ยาว (ลึก) x สูง เท่ากับ 50 x 85 x 95 ซม. ซึ่งสามารถยัดกระเป๋า 2 ใบของเราใส่ไปได้พอดิบพอดี ราคา 3.50 EUR วิธีใช้ล็อคเกอร์ทำโดยเลือกล็อคเกอร์ที่ยังว่างอยู่ ใส่กระเป๋าสัมภาระของเราเข้าไป ปิดตู้ หน้าจอควบคุมล็อคเกอร์บริเวณตรงกลางของแผงล็อคเกอร์จะแสดงราคาค่าฝาก หยอดเหรียญตามราคาที่แสดง (หยอดเกินมีเงินทอนให้ค่ะ แต่ถ้าหยอดขาด หน้าจอจะนับถอยหลังจนหมดเวลาประมาณ 1 นาที ประตูล็อคเกอร์ก็จะเปิดออก) เมื่อหยอดเงินครบแล้วเครื่องจะปริ๊นท์ใบฝากของให้เราเก็บไว้ เวลามารับกระเป๋าคืน ให้นำใบฝากกระเป๋าสอดเข้าไปในช่องที่แผงควบคุมล็อคเกอร์ ตู้ล็อคเกอร์ก็จะเปิดออกมา ระยะเวลาในการรับฝากกระเป๋าคือ 24 ชม. หากเกินกว่านี้เวลามารับกระเป๋า เมื่อสอดใบรับประเป๋าแล้ว เราต้องหยอดเงินเพิ่มจนครบจำนวนเวลาที่ฝากเกิน ล็อคเกอร์จึงจะปลดล็อคได้

อินส์บรูคเป็นเมืองหลวงของแคว้นทีโรล (Tirol) ประเทศออสเตรีย จุดเด่นของเมืองนี้ก็คือทิวทัศน์ที่เป็นเอกลักษณ์ เมืองน้อยกลางหุบเขาที่ถูกโอบล้อมด้วยเทือกเขาออสเตรียน แอลป์ (Austrian Alps) ในแง่ความสำคัญทางประวัติศาสตร์ อินส์บรูคเป็นเมืองที่รุ่งเรืองที่สุดในยุคจักรพรรดิแม็กซิมิเลียนที่ 1 (Emperor Maximilian I) อัศวินคนสุดท้ายในยุคที่อัศวินเป็นผู้ปกครองบ้านเมือง เพราะฉะนั้นพระองค์จึงถือว่าเป็นกษัตริย์พระองค์แรกแห่งสากลหลังยุคสิ้นอัศวิน นอกจากนี้อินส์บรูคยังเป็นเมืองต้นกำเนิดของเครื่องแก้วคริสตัลชื่อดังที่สุดในโลกอย่างชวารอฟสกี้ (Swarovski) อีกด้วย


เนื่องจากเรามาถึงอินส์บรูคช้ากว่าแผนเดิมถึง 2 ชม. และคงไม่สามารถอยู่ที่อินส์บรูคได้นานกว่าที่แผนที่วางไว้เดิม เพราะคืนนี้เราต้องไปพักที่ซาลส์บวร์ก เราจึงเวลาเหลือเดินเที่นวในอินส์บรูคเพียง 2 ชม.กว่าๆเท่านั้น เพราะฉะนั้นคงต้องชะโงกทัวร์กันหน่อย ออกจากสถานีรถไฟ เราศึกษาแผนที่ซักพัก แล้วมุ่งตรงสู่สถานที่แรกในอินส์บรูคนั่นคือ Hofkirche หรือ Imperial church ราคาค่าเข้าชมคนละ 4 EUR ก่อนเข้าไปในตัวโบสถ์ จะมีการฉายสไลด์มัลติวิชั่นแสดงถึงประวัติของเมืองอินส์บรูคและจักรพรรดิแม็กซิมิเลียนประมาณ 10 นาที โบสถ์นี้มีความสำคัญเนื่องจากเป็นสุสานของจักรพรรดิแม็กซิมิเลียนที่ 1 เมื่อเดินเข้าไปจะพบกับหีบพระศพขนาดใหญ่ตั้งอยู่ใจกลาง รายล้อมด้วยรูปปั้นสัมฤทธิ์ของอัศวินและพระญาติ ถือได้ว่าเป็นเอกลักษณ์สำคัญ





หีบพระศพของจักรพรรดิแมกซิมิเลียน 1

ออกจาก Hofkirche เราเดินผ่านพระราชวังหลวง (Imperial Palace) ไปเนื่องจากเราต้องไปชมพระราชวังต่างๆในเวียนนาจนเอียนแน่ๆ เลยขอเก็บความเอียนไว้ไปเอียนทีเดียวที่เวียนนาเลย แต่สำหรับใครที่มีเวลามากพอ Imperial Palace แห่งนี้ก็น่าสนใจไม่น้อย นอกจากจะยิ่งใหญ่และสวยงามมากแล้วยังสามารถถ่ายรูปได้ด้วย ผิดกับพระราชวังที่อื่นๆส่วนใหญ่ในออสเตรีย... แก้ข่าวค่ะ มีน้องที่เพิ่งไปมาบอกว่าตอนนี้ Imperial Palace ไม่อนุญาตให้ถ่ายรูปแล้ว แป่วววว!! เดินผ่าน Imperial Palace ไปทางถนน Hofgasse อีกไม่ไกลก็จะเจอสถานที่สำคัญอีกแห่งหนึ่งในอินส์บรูคนั่นคือหลังคาทองคำ (Golden roof หรือ Golden Dachl) ยื่นออกมาจากอาคารคล้ายตึกแถว 1 ห้อง แรกเริ่มอาคารหลังนี้สร้างขึ้นตั้งแต่ศตวรรษที่ 15 ต่อมาในสมัยจักรพรรดิแมกซิมิเลียน มีการใส่แผ่นทองแดงผสมทองจำนวน 2,734 แผ่น ทำให้สถานที่นี้เป็นที่สนใจแก่ผู้พบเห็นและกลายเป็นเอกลักษณ์ในที่สุด (ข้อมูลจากหนังสือ สิบสุดสุด ยุโรป-รัสเซีย)



"Westie" West Highland White Terrier ผู้น่ารักที่สุด




หันหลังให้หลังคาทองคำ หันหน้าให้ถนน Friedrich Strasse สองข้างทางจะเต็มไปด้วยร้านรวงสวยๆมากมาย ส่วนใหญ่เป็นร้านค้าของแบรนด์เนมทั้งที่เรารู้จักและไม่รู้จัก เดินต่อไปไม่นาน เราก็จะพบกับถนนที่มีชื่อเสียงที่สุดในอินส์บรูคนั่นคือ Maria-Theresien Strasse ถนนเส้นนี้เป็นถนนคนเดินเส้นใหญ่ที่สามารถเดินเล่นได้อย่างเพลิดเพลินที่สุดเล่น มีร้านและโชว์รูมสวารอฟสกี้ที่ใหญ่ไม่น้อย (แต่ถ้าอยากไปดูให้จุใจต้องไปดูที่ Swarovski world นอกเมืองอินส์บรูค มีบริการรถรับ-ส่งฟรีเป็นเวลาจากจุดต่างๆในตัวเมืองไปยัง Swarovski world ด้วย) นอกจากนี้กลางถนน ยังมีร้านกาแฟน่ารักๆไว้ให้นั่งชิลๆอีกด้วย ถ้าไม่ติดว่าต้องทำเวลาแบบชะโงกทัวร์แล้วล่ะก็ เราคงได้นั่งเก๊กท่ากินขนมที่ร้านนี้แน่ๆ












ปุ่มกดสำหรับรอสัญญาณไฟข้ามถนน

เดินเล่นได้ไม่นาน เราก็ต้องรีบเดินกลับสถานีรถไฟอินส์บรูคแล้ว ทีแรกว่าจะอยู่ต่ออยู่ชั่วโมง แล้วนั่งรถไฟรอบ 1 ทุ่ม ไปถึงซาลส์บวร์ก 3 ทุ่ม แต่สุดท้ายก็ลงเอยด้วยรถไฟเที่ยว 18.09 ไปถึงซาลส์บวร์ก 19.59 น. ตามที่วางแผนแต่แรก ก่อนขึ้นรถไฟเราซื้อแฮมเบอร์เกอร์ที่ Burger King ตรงข้ามสถานีรถไฟเป็นมื้อเย็น 2 คนราคา 5.48 EUR แปลกใจนิดหน่อยที่ราคาดูไม่ค่อยต่างจากแมคโดนัลด์เลย ทั้งๆที่เมืองไทย Burger King เป็นแฮมเบอร์เกอร์ที่ราคาแพงเว่อร์ (แต่วัตถุดิบเค้าก็คุณภาพอยู่นะ) แพงกว่าแมคมากอยู่

อินส์บรูคเป็นเมืองที่น่ารักเกินความคาดหมายของเราไปมากทีเดียว เนื่องจากมีบางคนบอกไว้ว่าอินส์บรูคเหรอ ก็ไม่มีอะไรมากหรอก เป็นเมืองในหุบเขา มีภูเขาล้อมรอบ แล้วก็แค่มีหลังคาทองคำที่นักท่องเที่ยวแห่ไปดูกันเยอะๆ... ก็คงจริงอย่างที่เขาบอกว่าอินส์บรูคไม่มีอะไรหรอก แต่ความไม่มีอะไรมากหรอกของอินส์บรูคนี่แหละที่ทำให้เราติดใจเมืองนี้ซะแล้ว เมืองอะไรก็ไม่รู้ ยิ่งเดินยิ่งเพลิน น่าเสียดายที่เรามีเวลาอยู่ที่นี่น้อยมาก ความจริงควรเพิ่มเวลาในทริปอีก 1 วันเพื่อนอนค้างที่นี่ หรืออย่างน้อยต้องอยู่ที่นี่ไม่ต่ำกว่า 6 ชม. คงทำให้เราเต็มอิ่มกับอินส์บรูคได้มากกว่านี้

รถไฟด่วนพิเศษของการรถไฟแห่งชาติออสเตรียที่ชื่อว่า Railjet พาเรามาถึงซาลส์บวร์กตรงเวลา สถานีรถไฟซาลส์บวร์ก (Salzburg Hauptbahnhof) ในวันนี้กำลังซ่อมแซมทั่วทั้งสถานี ทำให้เรามองเห็นแล้วผิดหวังนิดหน่อย เพราะมันทำให้การอ่านแผนที่เทียบกับของจริงผิดเพี้ยนไปพอควร ขณะที่เรากำลังหาทางออกจากสถานี เราก็พบกับเรื่องประหลาดใจแต่เป็นเรื่องที่ดีใจมากๆ นั่นคือเพื่อนของเราเดินทางจากมาเมือง Kassel ในเยอรมัน มาเซอร์ไพรส์รอเราอยู่ที่สถานีรถไฟซาลส์บวร์กพร้อมบอกว่ามาเพื่อบริการพาเราเที่ยวในซาลส์บวร์ก เพื่อนคนนี้รู้แผนการเดินทางของเราล่วงหน้าเนื่องจากเราเคยปรึกษาเรื่องทริปนี้นิดหน่อย ก็รู้สึกตะหงิดๆอยู่นิดนึงตอนที่เขาถามย้ำว่าเราจะมาซาลส์บวร์กวันนั้นวันนี้ใช่มั้ย ยังตอบอีเมลไปเลยว่าถามทำไม จะมาเจอกันเหรอ แต่ไม่นึกเลยว่าเขาจะเอาจริง 55+


อัตราความเร็วในการวิ่ง (ณ บางเวลา) ของรถไฟ Railjet


ที่พักของเราในซาลส์บวร์กคือ Pension (ภาษาเยอรมันอ่านว่าพังสิโอน) Adlerhof //www.gosalzburg.com/ เราเลือกที่นี่เพราะเห็นว่าเป็นที่พักที่อยู่ใกล้สถานีรถไฟ จะได้ไม่ต้องแบกกระเป๋าไกล ห้องพักจากที่เห็นในเว็บไซต์ก็น่ารักดี แต่ละห้องหน้าตาไม่เหมือนกันซะทีเดียว ตกแต่งแบบยุโรปออกเก่าๆหน่อย มี wifi ให้เล่นฟรีทั่วทั้งพังสิโอน ห้องน้ำก็มีในตัว อาหารเช้าก็มี แน่นอนว่าราคาย่อมแพงกว่า 2 เมืองในเชคที่ผ่านมาแน่ๆ แต่ถ้าเทียบกับพังสิโอนหรือโรงแรมหลายๆที่ที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกในระดับใกล้เคียงกันในซาลส์บวร์กเองแล้ว ที่นี่ถือได้ว่าราคาไม่แพงเลย โดยเฉพาะข้อได้เปรียบเรื่องใกล้สถานีรถไฟเนี่ย ก็ทำให้เราตัดสินใจได้ไม่ยาก วิธีการจองที่พักที่ Adlerhof ทำได้หลายวิธี ทั้งอีเมลสอบถามและจองห้องพักผ่านเว็บไซต์โดยตรง หรือจองผ่านเว็บ www.agoda.co.th ก็จะได้ราคาถูกกว่านิดหนึ่ง แต่ทั้งสองวิธีนี้เราไม่ต้องจ่ายเงินค่ามัดจำล่วงหน้า ให้มาจ่ายตอนมาเช็คอินเลย


จากสถานีรถไฟไป Adlerhof เราสามารถเลือกเดินจากถนนด้านซ้ายมือ (เมื่อหันหน้าออกจากสถานีรถไฟ) จะมีป้ายรถเมล์ใหญ่ๆ ที่ Sudtiroler platz ให้เลี้ยวขวาเดินตรงตามถนน Ferdinand Porche Strasse และเลี้ยวขวาอีกที่ที่ถนน Elisabethstrasse หรือจะเดินจากถนน Kairserschutzenstrasse ด้านขวามือของสถานี แล้วเลี้ยวซ้ายเข้าถนน Elisabethstrasse



Pension Adlerhof

ก่อนนอนคืนนี้ เราซื้อเคบับ Kebab แฮมเบอร์เกอร์สัญชาติตุรกี ที่ร้าน Doner Kebab ใกล้ๆที่พัก เป็นครั้งแรกที่เราได้กินเคบับหน้าตาและรสชาติแบบนี้ อร่อยมากๆๆๆ ชอบมากๆๆๆ ขนมปังด้านนอกเอาไปปิ้งไฟอีกครั้งก่อนเสิร์ฟให้ลูกค้า ทำให้ขนมปังมีลักษณะกรอบๆ เนื้อไก่หรือเนื้อแกะที่เป็นไส้ก็แล่เป็นชิ้นที่ไม่บางและไม่หนาเกินไป ให้รสชาติเฉพาะตัว เติมด้วยผักกะหล่ำสดหั่นฝอย โรยด้วยพริกผงสีแดงเพิ่มสีสันและรสชาติให้ถูกลิ้นคนไทยอย่างเรา


Doner Kebab




 

Create Date : 17 ธันวาคม 2553   
Last Update : 21 มีนาคม 2554 12:58:02 น.   
Counter : 4528 Pageviews.  


Original Bohemia (3)

Czech-Austria-Hungary (3)

วันที่ 3: Cesky Krumlov


เช้าวันที่สาม เราเช็คเอ้าท์จากโฮสเทลตั้งแต่ 6 โมงยังไม่ครึ่ง เพราะรถบัสของ Student Agency ที่เราซื้อตั๋วไว้จะออกจากปรากตั้งแต่ 7 โมงเช้า แถมยังต้องไปขึ้นที่สถานีรถบัส Na Knizeci ไม่ใช่ Florenc แบบเมื่อวานด้วย สถานีรถบัส Na Knizeci ตั้งอยู่ที่หน้าทางออกสถานีเมโทร Andel เราซื้อตั๋ว limited ticket 18 CZK นั่งเมโทรสาย B สีเหลืองไป 3 สถานีก็ถึงสถานี Andel (ที่พักที่ Prague Square Hostel นี่สะดวกสบายที่สุดจริงๆ อันนี้ต้องปรบมือให้ดังๆ) พอลงจากรถไฟใต้ดิน ทางออกจากสถานีจะมี 2 ฝั่ง ให้ออกทางออกที่ป้ายที่เขียนว่า Bus และมีรูปรถบัส พอขึ้นมาจากทางออกก็จะเจอลานจอดรถใหญ่ๆซึ่งเป็นทั้งป้ายรถเมล์และป้ายรถบัส ค่อยๆหาแพลตฟอร์มตามที่ได้มาจากการซื้อตั๋ว สำหรับรถบัสจาก Student Agency จะอยู่ที่แพลตฟอร์ม 1 ผู้คนที่จะไปเชสกี้ ครุมลอฟในวันนี้เยอะมากมายเอาการเหมือนกัน ถึงแม้ว่ารอบรถจะเช้ามาก แต่ก็มีคนต่อคิวขึ้นรถกันตรึมเลย แถมยังมีอีกหลายคนที่ไม่ได้ซื้อตั๋วล่วงหน้าไว้ กะมาหาที่นั่งกันดาบหน้าที่หน้าป้ายนี้เลยก็มี



จอบอกอุณหภูมิที่แสดงที่รถบัสวันนี้ทำเอาเราจิตตกตลอดทางไปเชสกี้ ครุมลอฟ เพราะหน้าจอมันโชว์ว่าอากาศภายนอก 0 องศา ณ เวลา 7.33 น. แถมระหว่างทางหมอกก็ลงหนามากๆจนรู้สึกได้ว่าคุณคนขับรถแกขับช้ากว่าปกติ ซวยละ!! เชสกี้ ครุมลอฟวันนี้จะเป็นไงเนี่ย มาจนวันที่ 3 แล้วอากาศยังต้องให้ลุ้นอยู่อีกเหรอ ทำไมดวงตกอย่างงี้ >_< … แต่สุดท้ายความจิตตกก็ค่อยๆหายไปเมื่อเวลาผ่านไปมากขึ้น แสงแดดเริ่มแผ่ปกคลุมท้องฟ้าเรื่อยๆ เมฆขาวเริ่มเลือนหายไปจนทำให้ท้องฟ้าเป็นสีฟ้าจัดเมื่อเราถึงจุดหมายปลายทาง


รถบัสมาถึงเชสกี้ ครุมลอฟตอนประมาณ 9.55 น. โดยเริ่มจอดแวะส่งผู้โดยสารตั้งแต่เข้าเมือง Cesky Budejovice สุดท้ายเหลือผู้โดยสารลงที่ครุมลอฟประมาณ 5 คน เมื่อลงจากรถบัสจะมองเห็นแผนที่เมืองครุมลอฟอันใหญ่มาก ให้กลับหลังหันแล้วเดินไปตามทางไปเรื่อยๆจนเจอถนนใหญ่ตัดผ่านและทางม้าลาย ข้ามทางม้าลายไปก็จะเริ่มเข้าสู่เขตใจกลางเมืองเชสกี้ ครุมลอฟแล้ว ถึงแม้ระยะทางจากป้ายรถบัสที่เราลงถึงจัตุรัสสโวร์โนสติ (Svornosti square; Namesti Svornosti) หรือจัตุรัสใจกลางเมืองครุมลอฟจะใกล้ๆไม่ถึง 1 กม. แต่การที่ต้องลากกระเป๋าใบใหญ่บนถนนแบบโบราณที่เป็นก้อนหินกลมๆนูนๆ ตะปุ่มตะป่ำ ก็ทำเอาท้อใจไปเหมือนกัน กลัวว่ากระเป๋าที่รักจะมีอันต้องจากไปก่อนเวลาอันควร เราจึงเดินด้วยสปีดต่ำสุด ค่อยๆลากกระเป๋าไปเรื่อยๆ สักพักเห็นท่าไม่ดีก็หันมาช่วยกันหอบกระเป๋าแทน พอทางเริ่มพอทนได้ก็ค่อยกลับไปลากกระเป๋าใหม่ เป็นอย่างงี้ไปเรื่อยๆจนถึงโฮสเทล


ที่พักของเราในเชสกี้ ครุมลอฟคือ Traveller’s Hostel //www.travellers.cz/en/hostel-apartments-cesky-krumlov.php ตัวโฮสเทลตั้งอยู่ที่ถนน Soukenicka ให้เดินจากจัตุรัสสโวร์โนสติไปทางถนน Panska จนสุดทางก็จะเจอ เราเลือกห้องพักแบบ private apartment พักสูงสุดได้ 4 คนในราคาคนละ 23.7 EUR ซึ่งถือว่าไม่แพงเลย เมื่อเทียบกับอีกหลายๆโฮสเทลในสิ่งอำนวยความสะดวกที่เหมือนกัน เพราะ private apartment ในที่นี้เป็นห้องที่เหมือนอพาร์ตเมนท์ เป็นห้องเล่นระดับ 2 ชั้น มี 2 เตียงเดี่ยว 1 เตียงคู่ มี 2 ห้องน้ำ 1 ห้องอาบน้ำ มีบริเวณทำครัว มีจานชามพร้อมอุปกรณ์ทำครัวครบครัน มีโต๊ะและโซฟาให้นั่งพักผ่อน แต่ทว่า... กว่าที่เราจะได้ชื่นชมห้องพักสุดสวย การเดินทางมาถึงและหา Traveller’s Hostel ให้เจอก็ช่างลำบาก (เพราะเรื่องกระเป๋านั่นละ) และพอเจอแล้วสภาพหน้าทางเข้าโฮสเทลและทางเดินไปหน้ารีเซฟชั่นก็ทำเอาเรา (ที่เป็นคนเลือกที่พักที่นี่หลังจากเปรียบเทียบราคาและความคุ้มค่าจากอินเตอร์เน็ต) หน้าซีด หายใจไม่ออกอยู่ 5 วิ งั้นขอเล่ายาวๆหน่อยละกันนะคะ ความรู้สึกและสัมผัสมันยังติดอยู่ในใจจนถึงตอนนี้ เริ่มจากสภาพหน้าโฮสเทลนี้เข้าขั้นโทรมมากถึงมากที่สุด โฮสเทลที่เปิดเป็นผับอยู่ด้านหน้า ประตูไม้ใหญ่ๆ เก่าๆ กำๆ เปิดเข้าไปข้างในเดินผ่านบริเวณที่เป็นผับเท่านั้น กลิ่นความชื้นก็เตะจมูกเข้าจังเบ้อเร่อ ตอนที่เราไปถึงผับยังไม่เปิด เขาก็เลยไม่เปิดไฟ มืดตึ๊ดตื๋อ กว่าจะงมทางจนเจอประตูอีกบานที่เปิดไปเจอบันไดเพื่อให้เดินขึ้นไปเจอห้องที่คุณรีเซฟชั่นอยู่เนี่ย ก็เล่นเอาเกือบท้อเหมือนกัน ระหว่างที่กำลังงมๆงงๆอยู่ตอนนั้น เราก็ด่าตัวเองในใจตลอดว่าชั้นไม่น่างกอยากได้ที่พักถูกเลย รู้งี้เลือกไปนอนอีกที่หนึ่งที่หามาแล้วเหมือนกันดีกว่า สุดท้ายยังมีความโชคดีอยู่บ้างที่รูปถ่ายของห้องพักที่ Traveller’s Hostel ที่เราเห็นจากอินเตอร์เน็ตก็ไม่ได้เป็นรูปที่หลอกเรา เพราะห้องพักที่เราเลือกก็สวย สะอาดและดีเกินราคา


สรุปแล้ว สำหรับที่พักในครุมลอฟนะคะ ถ้าใครยอมเลือกที่จะนอนที่ Traveller’s Hostel แนะนำให้เลือกห้อง private apartment แบบที่เราเลือกนี่ล่ะค่ะ อย่าไปเลือกห้องแบบ dorm หรือ double room ปกตินะคะ เพราะเท่าที่ลองสแกนด้วยตาคร่าวๆแล้ว ไม่เวิร์คค่ะ ดูโทรมๆ ให้ยอมจ่ายแพงหน่อยแล้วไปนอนที่ Svambersky Dum ดีกว่าค่ะ เป็นที่ที่เราไปกินอาหารค่ำกันในคืนนี้ เขาเปิดร้านอาหารอยู่ชั้นล่าง และแบ่งห้องให้พักอยู่ชั้นบน ของจริงดูดีเหมือนในเว็บไซต์ทุกประการ //www.svamberskydum.cz/?&lang=en&mode=normal

หลังจากจัดแจงเรื่องที่พักเรียบร้อยแล้ว (แต่ยังไม่ได้เช็คอินนะคะ เพราะยังไม่ถึงเวลา) เราก็เดินออกมาสัมผัสกับเมืองเล็กๆน่ารักๆดุจเทพนิยาย ถึงแม้อากาศวันนี้หนาวเหน็บยิ่งกว่าสองวันที่ผ่านมา แต่ท้องฟ้ากลับแสนจะเป็นใจให้เรารู้สึกแข็งแรง แข็งแกร่งที่จะเดินชมเมืองท่ามกลางอุณหภูมิที่เข้าใกล้จุดเยือกแข็ง เราเดินตามแผนที่ ออกจากโฮสเทลให้เดินย้อนกลับมาตรงจัตุรัสสโวร์โนสติ พอถึงหัวมุมที่จะเจอจัตุรัส ให้มองทางซ้ายจะเห็นสะพานเล็กๆข้ามแม่น้ำวัลตาวาและเห็นหอคอยปราสาทครุมลอฟตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้า เดินข้ามสะพานไป เลี้ยวขวา เดินเลียบตามทางไปเรื่อยๆก็จะเจอประตูทางเข้าปราสาทครุมลอฟสีแดงที่เรียกว่า Red Gate อยู่ทางซ้ายมือ จริงๆมีทางลัดอยู่ทางหนึ่งด้วย ก่อนที่จะถึง Red Gate ประมาณ 100 เมตร จะมีร้านขายขนม funnel cake (ขนมรูปกรวยชิ้นยักษ์ โรยน้ำตาลโดยรอบ) อยู่ทางซ้ายมือ ข้างๆร้านขายขนมจะมีบันไดทางลัดขึ้นไปโผล่ที่ปราสาทครุมลอฟบริเวณหน้า 2nd courtyard




ถ้ามาทางปกติ เมื่อเดินผ่าน Red Gate (1st courtyard) เข้าไปจนเจอทางเข้าอีกชั้นหนึ่ง (2nd courtyard) สองข้างของทางเข้าคือบ่อหมี สัตว์เลี้ยงที่คนมีฐานะในสมัยก่อนนิยมเลี้ยงกันมาก และตอนนี้ที่บ่อหมีนี่ก็มีคุณหมีจริงๆอยู่ด้วย เห็นแล้วสงสารจับใจ ว่าจะไม่มองแล้วเชียว แต่ก็อดไม่ได้ คุณหมีคงเหงาน่าดูที่ต้องทนอยู่ในที่อุดอู้แคบๆแบบนี้ เดินผ่านทางเข้าไปด้ายซ้ายมือก็คือหอคอยปราสาทปราก ตึกถัดไปที่อยู่ทางซ้ายมือคืออาคารขายตั๋วเข้าชมปราสาท เราเลือกซื้อตั๋วแบบ Krumlov Castle No. I guided tour ราคาคนละ 240 CZK (การเข้าห้องต่างๆภายในปราสาทครุมลอฟต้องมีไกด์พาชมเท่านั้น) น่าเสียดายอย่างที่สุดที่ตอนที่เราไป โรงละครของปราสาท (Castle theatre) ไม่เปิดให้เข้าชมเพราะติดถ่ายทำภาพยนตร์อยู่ ฮือๆๆๆ เป็นไฮไลท์ที่เราคาดหวังไว้เลยนะนั่น




ซื้อตั๋วเสร็จแล้วให้เดินตรงเข้าไปภายในปราสาท ทัวร์จะเริ่มขึ้นที่ 3rd courtyard ทุกเวลา .00 น. พอเราได้เข้าไปใน 3rd courtyard เราก็ทึ่งกับภาพวาด Fresco (เฟรสโก้) หรือภาพวาดปูนเปียกจำนวนมากรอบผนังทั้งสี่ด้านของปราสาท ภาพวาดแบบเฟรสโก้เป็นศิลปะการวาดภาพที่น่าทึ่งไม่น้อย เนื่องจากเป็นการวาดภาพขณะที่ปูนที่ฉาบผนังยังเปียกๆอยู่ ศิลปินจะต้องอาศัยทั้งความชำนาญและความรวดเร็วในการวาดภาพให้เสร็จก่อนที่ปูนจะแห้งลง ผลงานที่สำเร็จบนผนังปูนนี้จะทำให้สีสันของภาพวาดยังคงอยู่ตราบนานเท่านาน ไม่เลือนหายหรือซีดจางลงไปตามกาลเวลา


ระหว่างรอเข้าชมทัวร์ภายในห้องด้านในของปราสาทครุมลอฟ เราก็เลยเดินไปที่ 4th courtyard ข้ามสะพาน Three-tiered bridge ไปยังโรงละครที่ 5th courtyard ด้านข้างจะมีจุดชมวิว ที่ขอบรั้วจะมีช่องที่ถูกเจาะให้โค้งเป็นช่องเว้นระยะเท่าๆกัน เราสามารถมองลอดช่องนี้เห็นวิวของมุมคุมลอฟรวมทั้งเห็นหอคอยปราสาทได้ มองแล้วน่ารักมากๆ ยิ่งมองยิ่งรู้สึกว่าเมืองนี้เหมือนไม่ใช่เมืองจริงๆ แต่เป็นเมืองตุ๊กตา เมืองในฝัน (ได้เห็นรูปถ่ายที่ถ่ายลอดช่องโค้งนี้ไปในวันที่ครุมลอฟถูกปกคลุมด้วยหิมะจนกลายเป็น white Krumlov รู้สึกเหมือนกำลังมองที่ทับกระดาษที่เป็นทำด้วยแก้วโค้งๆแล้วพอเขย่าแล้วก็มีหิมะตกลงมาเลย สวยมากๆ)








เดินเลยจากโรงละครออกผ่านประตูใหญ่ไปก็จะเป็นเนินที่สามารถเดินขึ้นไปสู่สวนของปราสาทครุมลอฟได้ (Castle garden) สวนของปราสาทในฤดูนี้ถึงแม้จะไม่ใช่ช่วงที่สวยที่สุด เพราะไม่มีต้นไม้ผลิดอกออกใบ มีแต่ใบไม้สีส้มสีแดงกำลังร่วงหล่นลงพื้นดิน แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ความสวยงามของบริเวณโดยรอบสวนนี้ลดลงเท่าไหร่เลย อากาศดีดี ฟ้าใสๆ เดินได้เพลินๆ






เดินย้อนกลับมาทางเดิม ผ่านโรงละครจนถึง 3rd courtyard เพื่อรอคุณไกด์พาทัวร์ คุณไกด์เริ่มเอากุญแจพวงเบ้อเริ่มไขประตูหนึ่งที่อยู่ภายใน 3rd courtyard แล้วพาเราไปนั่งที่ห้องสวดมนต์ (Chapel) ภายในปราสาทเพื่อเริ่มเล่าประวัติของปราสาทครุมลอฟให้ฟัง

(ข้อมูลจากจากคุณไกด์ หนังสือตะวันหยุดตกที่ยุโรปตะวันออก หนังสือรักน้องต้องไปเช็ก และหนังสือ Cesky Krumlov, an enchanting town in the heart of Europe ซื้อที่ร้านขายของที่ระลึกที่ปราสาทครุมลอฟ)

ครุมลอฟ หรือชื่อเรียกในภาษาโบฮีเมียนว่าเชสกี้ เป็นชื่อตำแหน่งสมาชิกในตระกูลไวเทค (Vitek) ซึ่งเป็นเชื้อสายของชนชั้นสูงชาวเชคและเป็นเจ้าของปราสาทครุมลอฟ ต่อมาในปีค.ศ. 1302 เมื่อสมาชิกในตระกูลไวเทคที่อยู่ในตำแหน่งครุมลอฟเสียชีวิตลง ทรัพย์สินของเขาจึงตกเป็นของญาติคือท่านลอร์ดแห่งโรเซนแบร์ก (The Lords of Rosenberg) ครุมลอฟจึงกลายเป็นที่พำนักสำหรับตระกูลโรเซนแบร์กนับแต่นั้นมา ตลอดช่วงศตวรรษที่ 17 ตระกูลโรเซนแบร์กเป็นตระกูลชนชั้นสูงที่มีอำนาจและบทบาทที่สุดในโบฮีเมีย สมาชิกในตระกูลรุ่นสู่รุ่นได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งสูงสุดในแคว้นโบฮีเมียเสมอมา สัญลักษณ์ของตระกูลโรเซนแบร์กเป็นดอกกุหลาบสีแดงห้ากลีบ ตามจำนวนลูกชาย 5 คน นอกจากนี้ตระกูลโรเซนแบร์กยังนิยมเลี้ยงหมีใหญ่สีน้ำตาลไว้เป็นสัตว์เลี้ยง แต่บางทีก็ถลกหนังหมีไว้เป็นของตกแต่งปราสาท เนื่องจากตระกูลโรเซนแบร์กสืบสายมาจากตระกูลเก่าในอิตาลีชื่อ Orsini ซึ่งคำว่า Orsa แปลว่าหมีตัวเมีย คนในตระกูลอยากให้สืบประวัติได้จึงเลี้ยงหมีเป็นสัญลักษณ์

ปราสาทครุมลอฟเริ่มก่อสร้างเมื่อประมาณปี 1300 จนถึงช่วงต้นของศตวรรษที่ 14 และอยู่ในการครอบครองของตระกูลโรเซนแบร์กจวบจนทายาทผู้ชายคนสุดท้ายของตระกูลคือ Peter Volk เขาได้ขายที่ดินรวมทั้งเมืองเชสกี้ ครุมลอฟให้กับจักรพรรดิและกษัตริย์แห่งโบฮีเมีย Rudolf ที่ 2 แห่ง Habsburg ในปี 1601 ต่อมาในปี 1622 จักรพรรดิ Ferdinand ที่ 2 แห่ง Habsburg ได้ยกเมืองเชสกี้ ครุมลอฟให้เป็นของขวัญแด่ Johann Ulrich แห่งตระกูล Eggenberg เชสกี้ ครุมลอฟจึงเป็นที่พำนักของตระกูล Eggenberg ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาจนถึงปี 1719

จวบจนเมื่อหลานชายของ Johann Ulrich และภรรยาของเขา (Marie Ernestine) ผู้ซึ่งครอบครองเชสกี้ ครุมลอฟได้เสียชีวิตลง เชสกี้ ครุมลอฟจึงตกเป็นของหลานชายของ Marie Ernestine ชื่อ Adam Franz แห่ง Schwarzenberg ซึ่งเป็นผู้สืบทอดมรดก จึงทำให้ตระกูล Schwarzenberg ย้ายมาจากเยอรมันเพื่อพำนักอยู่ในแคว้นโบฮีเมียอย่างถาวร

อย่างไรก็ตาม เมื่อสิ้นสุดศตวรรษที่ 18 จนถึงครึ่งแรกของศตวรรษที่ 19 การเมืองการปกครองได้เปลี่ยนแปลงไปมาก มีการบังคับใช้กฏหมายที่ไม่เป็นธรรมหลายอย่าง รวมถึงการเริ่มต้นของระบบอุตสาหกรรม ส่งผลให้เกิดการลดจำนวนของอาคารที่มีคุณค่าทางศิลปะจำนวนมาก เช่น Jesuit College (โรงเรียนสอนศาสนา) ได้ถูกดัดแปลงเป็นโรงทหาร โรงเรียนคอนแวนต์และโบสถ์หลายแห่งถูกปิดลงและสร้างเป็นโรงเรือนให้เช่าแทน

ภายหลังปี 1850 เชสกี้ ครุมลอฟ กลายเป็นศูนย์กลางการบริหารการปกครอง ศูนย์กลางทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรมในเขตเมืองที่ถูกสร้างขึ้นมาใหม่ และเมื่อครั้งสงครามโลกครั้งที่ 2 สงบลง เชสกี้ ครุมลอฟเป็นเมืองที่รอดพ้นจากการทำลายล้างจากภัยสงคราม ปราสาทและหอคอยปราสาทครุมลอฟ ตลอดจนทรัพย์สินอื่นๆของตระกูล Schwarzenberg ก็ตกเป็นของรัฐบาล

ปี 1992 เชสกี้ ครุมลอฟได้รับการขึ้นทะเบียนจากองค์การยูเนสโกให้เป็นมรดกโลก นับแต่นั้นเมืองเชสกี้ ครุมลอฟก็เป็นที่รู้จักของนักท่องเที่ยวเป็นต้นมา


คุณไกด์พาเราชมห้องต่างๆภายในปราสาท น่าเสียดายที่ไม่สามารถถ่ายรูปได้ หนึ่งในห้องที่ได้ชมคือ Eggenberg hall ห้องเก็บรถม้าสีทองอร่าม อีกห้องคือ Masquerade hall ซึ่งเป็นห้องที่เป็นผลงานชิ้นเอกของศิลปะแบบ Rococo ในเชสกี้ ครุมลอฟ ศิลปะการตกแต่งภายในห้องต่างๆมีหลากหลายยุคหลายสมัย ทั้งบารอค เรเนสซองส์และร็อกโคโค่

ทัวร์ภายในปราสาทครุมลอฟใช้เวลาประมาณ 45 นาที เราออกจาก 3rd courtyard เดินย้อนกลับไปทาง 2nd courtyard เพื่อขึ้นหอคอยปราสาทครุมลอฟ ค่าเข้าชมคนละ 50 CZK หอคอยปราสาทแห่งนี้ ภายนอกตกแต่งด้วยภาพวาดแบบเฟรสโก้ทั้งหอ สีส้มอิฐตัดกับโดมสีเขียวเป็นลักษณะอันโดดเด่นและเป็นเอกลักษณ์อย่างมาก เมื่อเดินขึ้นบันไดวนไปจนถึงจุดชมวิวซึ่งอยู่ประมาณกลางๆค่อนไปทางยอดหอคอย แต่ไม่ใช่บนยอดหอคอยจริงๆ เราจะสามารถมองเห็นเชสกี้ ครุมลอฟได้ทั้งเมือง เมืองตุ๊กตา เมืองแห่งเทพนิยายที่กลายเป็นจริงอยู่ใกล้เพียงสัมผัสแค่นี้เอง ซึ้งงงง สวยยยย ประทับใจจริงจังงงงงง






ออกจากบริเวณปราสาทครุมลอฟ เราเดินเล่นในเมืองอีกสักพัก (ก็เมืองเค้าเล็กนิดเดียวนี่นา) ก็กลับไปที่โฮสเทลเพื่อเช็คอิน จากนั้นก็กลับออกมาเดินเล่นในเมืองต่อ เดินไปที่จัตุรัสสโวร์โนสติ เดินชม Town hall และบ้านสีสันน่ารักๆที่เรียงรายอยู่รอบๆจัตุรัส (ฝั่งหนึ่งจะเป็น information center ของเมือง) ปัจจุบันบ้านเหล่านี้กลายเป็นโรงแรมบ้าง ธนาคารบ้าง ร้านอาหารจีนก็มี จากนั้นเราเดินย้อนกลับไปตรงทางที่เราเดินมาจากป้ายจอดรถบัส ทางขวามือจะเจอโบสถ์เซนต์วีตุส (St. Vitus Church, ชื่อนี้อีกแล้ว) เข้าชมฟรี ออกจากโบสถ์ก็เดินเล่นๆไปเรื่อยๆ รอบเมืองจนกลับไปเดินรอบๆปราสาทครุมลอฟอีกครั้ง ยิ่งเดินมากก็ยิ่งกดชัตเตอร์ไม่ยั้ง ถึงแม้จะถ่ายจากมุมเดิม คนเดิม แต่ก็ได้บรรยากาศไม่เหมือนเดิม น่าจดจำไปซะทุกช็อต



มื้อเย็นวันนี้เราจะกินอาหารดีดีมีราคาซักมื้อ (มื้อก่อนๆก็ไม่ได้ขี้ริ้วขี้เหร่น๊า แค่ไม่หรูเริ่ดแบบมื้อนี้ก็แค่นี้เอง) เราวางแผนจะกินมื้อเย็นที่ร้านนี้ตั้งแต่ก่อนมาถึงครุมลอฟซะอีก Svambersky Dum เป็นร้านอาหารเชคที่มีชื่อเสียงร้านหนึ่งในเชสกี้ ครุมลอฟ ดูจากจำนวนคนเข้าร้านตั้งแต่หัววันจนหัวค่ำแล้วก็รู้ได้ว่าร้านนี้เขาฮอตฮิตใช้ได้เลย เนื่องจากร้านอาหารในครุมลอฟมีเยอะมากๆ แข่งกันผุดขึ้นเป็นดอกเห็ด แทบทุกบ้านในครุมลอฟไม่กลายเป็นโรงแรม โฮสเทล ก็กลายเป็นร้านอาหาร บางที่ (ส่วนใหญ่ด้วย) เป็นทั้งที่พักและร้านอาหารซะด้วยซ้ำ เพราะฉะนั้นอัตราการแข่งขันต้องสูงมากแน่ๆ ร้านที่ได้รับความนิยมที่นั่งเต็มทุกโต๊ะก็ต้องเป็นร้านที่มีชื่อเสียงไม่มากก็น้อย ร้าน Svambersky Dum อยู่บนถนน Soukenicka เส้นหลังจัตุรัสสโวร์โนสติ และเป็นถนนเส้นเดียวกับ Traveller’s Hostel เราเลือกสั่งสลัดผัก 1 จาน สเต็กเนื้อซอสผลไม้อะไรซักอย่าง 1 จาน และพาสต้าที่มีเส้นเหมือนครองแครง 1 จาน ทั้งหมดกินคู่กับไวน์ขาว (เอ่อ!! ได้ข่าวว่าเนื้อวัวนี่เขาให้กินคู่กับไวน์แดงไม่ใช่รึ) รสชาติอร่อยอยู่ ถึงแม้ว่าพาสต้าครองแครงจะทำเราอิ่มอืดเนื่องจากแป้งมันแน่นมากๆ (จำได้ว่าตอนอ่านเมนูมันเขียนว่าเป็นเส้นฟูซิลี่นี่นา ไหงกลายเป็นครองแครงแบบนี้ !!?@#?!) ส่วนบริการก็ดี คุณบริกรยิ้มแย้มยินดีบริการตลอด มื้อนี้หมดค่าอาหารไป 2 คน 400 CZK กินอิ่ม นอนหลับ แถมได้ยินเสียงกีต้าร์และเพลงอะคูสติกขับกล่อมจากผับข้างๆเกือบทั้งคืน ไม่ถึงกับหนวกหูนะคะ เพราะยังไงความเหนื่อยล้าตลอดวันก็ทำให้เราหลับสนิทตลอดคืนอยู่ดี





วันนี้ไม่ได้เช็คอีเมล์และเล่นอินเตอร์เน็ตที่ไหนเลย ทำให้เราพลาดข่าวสำคัญที่ส่งผลต่อแผนการเดินทางในวันพรุ่งนี้อย่างจัง แต่ถึงแม้จะได้เช็คเมล์ก่อน ได้รู้ข่าวก่อน มันก็คงไม่สามารถทำให้เราแก้ไขหรือเปลี่ยนแปลงอะไรได้ซักเท่าไหร่อยู่ดี... ไว้ติดตามต่อตอนหน้าค่ะ




 

Create Date : 15 ธันวาคม 2553   
Last Update : 17 ธันวาคม 2553 20:07:57 น.   
Counter : 3849 Pageviews.  


Original Bohemia (2)

Czech-Austria-Hungary (2)

วันที่ 2: Karlovy Vary – Praha


เริ่มต้นวันใหม่หลังจากนอนหลับยาวอย่างเต็มอิ่ม เช้าวันนี้เราตื่นนอนและออกจากโฮสเทลกันเช้ามาก เพราะเรามีโปรแกรมจะออกไปเที่ยวนอกปรากที่เมือง Karlovy Vary (คาร์โลวี วารี) ซักครึ่งวันแล้วค่อยกลับมาเก็บตกบรรยากาศในปรากอีกครั้งในช่วงบ่าย

คาร์โลวี วารีเป็นเมืองพักตากอากาศ เมืองนี้ขึ้นชื่อในเรื่องของสปาและการดื่มน้ำแร่ซึ่งตลอดทั่วทั้งเมืองจะมีน้ำพุร้อนซึ่งมีแร่ธาตุสูงให้รองดื่มกันทั่วไป นอกจากนี้ตึกรามบ้านช่องในเมืองคาร์โลวี วารียังเต็มไปด้วยรูปลักษณ์และสีสันที่น่ารักสดใสน่าเดินทอดน่อง สมกับที่เป็นเมืองพักผ่อนเป็นที่สุด

การเดินทางจากปรากมายังคาร์โลวี วารีนั้นสามารถเลือกได้ทั้งรถบัสและรถไฟ แต่ถ้าเดินทางด้วยรถบัสจะรวดเร็วกว่ารถไฟพอสมควร เราจึงเลือกเดินทางโดยรถบัสของ Student Agency บริษัทขนส่งสาธารณะชื่อดังแห่งหนึ่งในยุโรป //jizdenky.studentagency.cz/ จริงๆแล้วมีบริษัทรถบัสหลายบริษัทที่ให้บริการ ซึ่งก่อนอื่นเราสามารถตรวจสอบเวลาเดินทางได้ที่เว็บไซต์นี้ //jizdnirady.idnes.cz/vlakyautobusy/spojeni/ ในเว็บไซต์จะแสดงเวลาเดินรถตลอดวันที่เราเลือกรวมทั้งบริษัทเดินรถที่รับผิดชอบเดินรถในเวลานั้นๆด้วย รู้สึกว่าตอนนี้ทุกบริษัทจะสามารถให้เราซื้อตั๋วผ่านเว็บนี้ได้เลย แต่เราเลือก Student Agency เพราะว่าได้เข้าไปหน้าเว็บของ Student Agency แล้วรู้สึกว่าหน้าเว็บสวยดี รูปรถบัสที่เห็นก็ดูใหม่ สะอาดมาก และระบบการซื้อตั๋วผ่านเว็บก็ทำได้ดี สามารถตรวจสอบจำนวนที่นั่งคงเหลือและสามารถเลือกที่นั่งได้ด้วย เราจึงซื้อตั๋วไปคาร์โลวี วารี รอบ 7.30 น. ปริ๊นท์ตั๋วมาเก็บไว้ตั้งแต่ที่เมืองไทย ราคาคนละ 5.1 EUR ต่อเที่ยว โดยต้องไปขึ้นรถที่สถานี Florenc ซึ่งเป็นทั้งเมโทรและสถานีรถบัสด้วยในที่เดียวกัน

เราออกจากโฮสเทล ขึ้นเมโทร B สายสีเหลือง (ส้ม) จากสถานี Mustek ไปอีก 2 สถานีเท่านั้นก็ถึงสถานี Florenc เดินขึ้นจากเมโทรก็จะเห็นบริเวณขายตั๋วรถบัสและลานจอดรถบัสอยู่ด้านนอก อากาศวันนี้หนาวแสบไส้กว่าเมื่อวานซะอีก ยังโชคดีที่เราอัดเสื้อผ้ามาเต็มเหนี่ยว มองจากหน้ารถบัสที่มีจอแสดงอุณหภูมิภายนอกวัดได้ 6 องศาตอนเวลาประมาณ 8 โมงเช้า ฮือๆๆ พอไปถึงคาร์โลวี วารี ชั้นจะรอดมั้ยเนี่ย บนรถโดยสารจอง Student Agency จะมีบัสโฮสเตสใจดีพูดอังกฤษได้คอยบริการเราอยู่ตลอดทาง ทั้งบริการเครื่องดื่มพวกชา กาแฟ โกโก้ฟรี อยากอ่านหนังสือพิมพ์ก็มีให้อ่าน (เฉพาะภาษาเชคอะนะ) อยากดูหนังก็มีฉายให้ดู รอบที่ไปคาร์โลวี วารีนี่จำได้ว่าเป็นหนังของสองสาวฝาแฝดสุดดังของอเมริกา แมรี่เคทและแอชลี่ โอลเซ่น สนุกดีเหมือนกัน

รถบัสใช้เวลา 2 ชม. 15 นาทีก็พาเราไปถึงสถานีรถบัส (และรถไฟ อยู่ที่เดียวกัน) ที่คาร์โลวี วารี อากาศยังคงหนาวเหน็บและขะมุกขมัวได้อีก ลงจากรถบัสมองไปรอบๆสถานีก็ทำเราเหวอมากๆ เพราะรอบๆสถานีดูไม่เหมือนว่าจะมีน้ำแร่หรืออาคารสีพาสเทลตามที่เราได้อ่านมาเลยนี่นา แผนที่ที่โหลดเก็บมาก็กิ๊กก๊อกซะเหลือเกิน ระหว่างที่เรากำลังคิดว่าจะหาทางไปยังไง เราก็เลยซื้อแซนวิชกับขนมขบเคี้ยวนิดหน่อยที่ร้านค้าบนสถานีรถบัส แล้วค่อยออกเดินทางตามแผนที่กัน


จากสถานีรถบัสให้เดินข้ามถนนเดินเข้าไปฝั่งที่มีบ้านเรือนเยอะๆ เดินตรงขึ้นไปพอเจอถนนขวางก็ให้เลี้ยวซ้ายแล้วเดินตรงขึ้นไปเรื่อยๆ ก็จะเริ่มเจออาคารรูปทรงสมัยเก่าสีสันสดใส หวานๆแบบสีพาสเทลอยู่สองข้างทาง เดินตามทางไปเรื่อยๆ เมื่อเจอสี่แยกให้ชิดขวา เดินลงเนินหน่อยๆ ระหว่างทางนี้จะเริ่มมีร้านค้าสองข้างทาง ให้เดินตามทางไปเรื่อยๆ จนเจอแม่น้ำ Tepla ค่อยเลี้ยวขวา ทีนี้ก็จะเริ่มเจออาคารสีสวยๆเยอะมากขึ้นเรื่อยๆ จากจุดนี้เราก็เริ่มเดินตรงอย่างเดียวโดยไม่ต้องอาศัยแผนที่เลยก็ได้ (คุณผู้อ่านจะเข้าใจมั้ยเนี่ย ถ้าไม่เวิร์คล่ะก็ ให้ยื่นแผนที่กิ๊กก๊อกที่เรามีให้คนแถวนั้นดูเลยละกัน แล้วก็ชี้ๆๆที่ที่เราอยากไป คนแถวนี้ใจดี อาจพูดอังกฤษไม่ได้แต่ภาษามือไม่เป็นสองรองใคร)


อย่างที่บอกไปแล้วว่า คาร์โลวี วารีเป็นเมืองสปาและน้ำแร่ เราจะพบก๊อกน้ำแร่อยู่เรื่อยๆ พร้อมกับซุ้มขายแก้วที่ใช้ดื่มน้ำแร่อยู่เต็มไปหมด แก้วดื่มน้ำแร่ไม่ใช่แก้วน้ำรูปทรงปกติแบบที่เราใช้ดื่มน้ำกันทั่วไป แต่เป็นแก้วพอร์ซเลนลายสวยที่หูจับจะมีปลายเปิดเหมือนหลอด ให้เราจิบน้ำแร่ผ่านปลายเปิดนี้ เนื่องจากน้ำแร่จริงๆนั้นชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าคือน้ำแร่ เพราะฉะนั้นแร่ธาตุสารพัดชนิดย่อมมีอยู่มากมายมากกว่าน้ำดื่มทั่วไปที่เราดื่มกันในชีวิตประจำวัน รสชาติของน้ำแร่จึงย่อมไม่เหมือนกับน้ำดื่มทั่วไปเช่นกัน จะให้ดื่มเอิ๊กๆ รวดเดียวแบบน้ำดื่มทั่วไปคงไม่ไหว นั่นคือน้ำแร่นั้นเค็มๆ เปรี้ยวๆ แปร่งๆเหมือนน้ำกรองที่ผ่านไส้กรองที่ตันแล้วยังไงยังงั้น คิดๆอยู่ว่านี่ชั้นดื่มแล้วจะเป็นบาดทะยักมั้ยเนี่ย ทำไมมันเหมือนรสสนิมได้ขนาดนี้ แต่ถึงรสชาติจะแย่ได้โล่ แต่ผู้คนที่มาที่นี่ทุกคนก็มาเพื่อจิบน้ำแร่รสเฝื่อนๆ พร้อมกับเดินเล่นเย็นๆใจ มองวิวสองข้างทางด้วยความเพลิดเพลิน แค่นี้ก็เหมือนช่วยยืดอายุตัวเองให้ยาวนานขึ้นได้อีกหลายปี










เราผ่าน Mlynska Kolonada (Mill Colonnade) ระเบียงที่มีเสาต่อกันเป็นแถว ภายในทางเดินมีก๊อกน้ำพุร้อนอุณหภูมิต่างๆกันอยู่หลายที่ เดินตรงไปเรื่อยๆ เรายังเจอ Sadova Kolonada (Park Colonnade) ระเบียงไม้ลวดลายฉลุหวานๆสไตล์วิคตอเรียที่มีสวนเล็กๆอยู่ข้างๆ แต่สถานที่ที่เป็นที่นิยมในการดื่มน้ำแร่ที่สุดคงอยู่ที่ Trzni Kolonada (Thermal Spring Colonnade) ที่อยู่ตรงกันข้ามกับ Church of St. Mary Magdalene ที่ Thermal Spring Colonnade นี้มีสายน้ำพุร้อนอยู่หลายสายมาก สายหนึ่งที่คิดว่าเป็นสายที่ใหญ่ที่สุดตั้งอยู่ใจกลางอาคาร ซึ่งเขาสร้างห้องล้อมรอบครอบไว้ สายน้ำพุร้อนนี้พุ่งจากพื้นสูงขึ้นไปซะเกือบติดเพดาน ในขณะที่ห้องด้านนอกก็มีสายน้ำพุร้อนที่อุณหภูมิต่างๆกันตั้งแต่ 50-70 องศา อยู่อีก 4 สาย







ว่ากันว่าการจะดื่มน้ำแร่ที่มีรสเฝื่อนให้คล่องคอขึ้น จะต้องกินคู่กับขนมเวเฟอร์แผ่นกลมใหญ่ยักษ์เหมือนจานข้าว เราก็เลยลองซื้อมาลิ้มลองซะ 1 แผ่นราคา 7 CZK ที่ร้านภายใน Thermal Spring Colonnade รสชาติอร่อยกว่าที่คิดมากเพราะว่ามันมีรสต่างๆให้เลือกซื้อ เราเลือกรสวานิลลาซึ่งเป็นรสดั้งเดิม ภายในเวเฟอร์ก็จะมีครีมวานิลลาบางๆสอดไส้อยู่ ทำให้เวเฟอร์มีรสชาติหวานนิดๆ อร่อยดี



อากาศวันนี้หลังจากที่บ่นอุบอยู่คนเดียวตั้งแต่เช้าว่าสงสัยวันนี้คงซวยเหมือนเมื่อวาน แต่พอเดินเล่นไปเรื่อยๆ ก็เริ่มเห็นแดดมากขึ้น เมฆเริ่มหายมากขึ้น แต่เดี๋ยวแดดก็หุบ เมฆก็โผล่ มาๆหายๆ ทำเอาใจตุ๊มๆต่อมๆอยู่หลายรอบว่ามันจะเอาไงกันแน่ แต่สุดท้ายก็ไม่มีฝน ดีใจจริงๆ

เดินต่อไปเรื่อยๆ เราก็พบอีกเป้าหมายหนึ่งในการมาเยือนคาร์โลวี วารีในครั้งนี้ นั่นก็คือโรงแรม Grand Hotel Pupp โรงแรมสุดหรูที่เป็นสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง James Bond 007 ตอน Casino Royale นั่นเอง (แต่คุณบอนด์ภาคนี้เราแอบไม่ปลื้มอย่างแรง คุณลุงท่านแก่มาก แถมไม่เท่เอาซะเลย >_<)



หลังจากเดินเพลิดเพลินเข้าออกตามสปาและสายน้ำแร่ตามที่ต่างๆ เราก็ได้เวลาต้องบอกลาเมืองสีหวานเมืองนี้ซะแล้ว คาร์โลวี วารีเป็นเมืองที่น่ารักเมืองหนึ่ง เหมาะสำหรับคนที่อยากมาพักผ่อน ชีวิตไม่รีบร้อนและไม่ต้องการแสงสีสังเคราะห์ จะมีก็แต่แสงแดดจากธรรมชาติ สีอาคารหวานๆชวนหลงใหล แค่นี้ก็เพียงพอที่จะเติมความสุขให้กับชีวิตแล้ว

รถบัสรอบขากลับของเราออกจากคาร์โลวี วารีเวลาบ่ายโมงตรง ถึงปรากตอน 15.15 น. เรายังคงมีภารกิจเก็บเกี่ยวสถานที่ท่องเที่ยวในปรากอยู่อีก 2-3 ที่ ที่แรกก็คือ St. Nicholas Cathedral ที่อยู่ที่ Lesser town (คนละที่กับที่อยู่ที่ Old town square ที่บอกไปแล้วเมื่อวาน) พอถึงสถานีรถบัส Florenc เราก็ต้องไปซื้อตั๋วรถแบบ limited ticket คนละ 18 CZK นั่งจากเมโทร Florenc สาย B สีเหลืองไปลงสถานี Mustek จากนั้นเปลี่ยนเป็นสาย A สีแดงไปลงที่สถานี Malostranska สถานีเดิมกับที่เราลงเพื่อต่อรถรางไปปราสาทปรากนั่นเอง หรือจะเลือกนั่งเมโทรสาย C สีแดงจาก Florenc ไปลงที่สถานี Museum จากนั้นเปลี่ยนเป็นสาย A สีแดงไปลงที่ Malostranska ก็ได้ ทั้ง 2 แบบใช้เวลาเดินทางประมาณ 10 กว่านาทีเท่ากัน

ออกจากสถานี Malostranska พอเจอป้ายรถรางเหมือนเมื่อวาน ไม่ต้องข้ามถนนเพื่อขึ้นรถรางนะคะ ก่อนอื่นให้แหงนหน้ามองรอบๆตัวก่อนนะคะว่าพอมองเห็นโบสถ์เซนต์นิโคลาสมั้ย เพราะว่าตามแผนที่ที่ปริ้นท์มาจากกูเกิ้ลมันจะงงๆเล็กน้อย สวนทางกับความเป็นจริงตรงบริเวณที่เรายืนอยู่ คิดว่าน่าจะเกิดจากว่าเราเลือกออกทางออกเมโทร exit ไหน เพราะฉะนั้นถ้ารู้สึกว่าทิศทางเริ่มไม่เป็นไปตามพี่กูเกิ้ล ก็ให้แหงนหน้ามองหาเป้าหมายที่เราจะไปคือโบสถ์เซนต์นิโคลาสแทน แล้วค่อยๆดูชื่อถนนตามแผนที่ไป ใช้เวลาเดินจาก Malostranska ประมาณ 10 กว่านาทีก็ถึงโบสถ์แล้ว โบสถ์เซนต์นิโคลาสที่ Lesser town นี้เป็นโบสถ์ศิลปะแบบบารอค สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 18 หลังจากสร้างโบสถ์แรกที่เขตเมืองเก่าแล้ว 2 ปี เข้าชมภายในเสียค่าเข้าคนละ 70 CZK ภายในโบสถ์ตกแต่งอย่างสวยงาม มีทั้งงานแกะสลัก รูปปั้น ภาพวาดสีน้ำ ผนัง เพดานที่ตกแต่งได้อย่างวิจิตรบรรจง สามารถเดินขึ้นบันไดวนที่อยู่ข้างๆขึ้นไปชมงามสวยงามของประติมากรรมและจิตรกรรมเหล่านี้ได้อย่างใกล้ชิดขึ้น โบสถ์เซนต์นิโคลาสเปิดทุกวันเดือนมี.ค. - ต.ค. 10.00 - 17.00 น. พ.ย. - ก.พ. 10.00 - 16.00 น.






ออกจากโบสถ์เซนต์นิโคลาส เราเดินย้อนขึ้นมาทางสะพานชาร์ลส์ (Charles bridge) จะเจอ Lesser town bridge tower ค่าขึ้น tower คนละ 70 CZK เดินขึ้นบันไดไปเรื่อยๆ ที่นี่เราได้เจอคุณคนเป่าแตรคนเดียวกับที่ Old town hall อีกแล้วด้วย ซึ่งคุณคนเป่าแตรก็จำเราได้ด้วยเหมือนกัน 55+ ทางการเชคนี่เค้าใช้คุ้มจริงๆ วันนี้เข้าเวรเป่าแตรที่หอนี้ พรุ่งนี้เข้าเวรไปเป่าอีกหอหนึ่ง วิวจากบน Lesser town bridge tower เป็นอีกมุมมองหนึ่งที่สวยงามไม่แพ้มุมจาก Old town hall ที่เราขึ้นเมื่อวาน ต่างกันที่บนหอ Lesser town เราจะสามารถมองเห็นสะพานชาร์ลส์อยู่เบื้องหน้า มองเห็นแม่น้ำวัลตาวา (Valtava) พาดผ่าน มองเห็นผู้คนคราคร่ำบนสะพานชาร์ลส์กำลังเดินเลือกซื้อของฝาก เลือกชมดนตรีจากนักดนตรีนักแสดงอิสระอย่างเพลิดเพลิน ข้อแนะนำ: หอคอยสะพานฝั่ง Lesser town เหมาะแก่การขึ้นชมในยามบ่าย เปิดทุกวันช่วงเดือนเม.ย. - ต.ค. 10.00 - 18.00 น.ในขณะที่หอคอยสะพานฝั่งเมืองเก่า (Old town bridge tower) เหมาะแก่การขึ้นชมในยามเช้า


ออกจาก Lesser town bridge tower ก็จะพบสะพานชาร์ลส์อยู่ตรงหน้าเลย สะพานชาร์ลส์เป็นสะพานข้ามแม่น้ำวัลตาวาระหว่างฝั่ง Old town กับ Lesser town มีอายุกว่า 600 ปี ผ่านร้อนผ่านหนาวจากสงครามและเหตุการณ์ต่างๆมากมาย สองข้างทางของสะพานชาร์ลส์เต็มไปด้วยรูปปั้นจำลองนักบุญและบุคคลสำคัญทางศาสนาต่างๆ 30 รูป มีจุดประสงค์เพื่อให้คริสตศาสนิกชนหวนกลับไปทำพิธีมิสซา (ข้อมูลจาก Top 10 ปราก) นักบุญคนหนึ่งที่เป็นหนึ่งในตำนานของสะพานชาร์ลส์คือเซนต์จอห์น เนปอมุก (St. John Nepomuk) กล่าวกันว่าเซนต์จอห์น เนปอมุกเป็นนักบวชที่มีคุณค่าควรแก่การสรรเสริญยิ่งแห่งวงการสงฆ์ในขณะนั้น เซนต์จอห์น เนปอมุกถูกทรมานจนเสียชีวิตโทษฐานโน้มน้าวให้คณะสงฆ์จัดการเลือกตั้งเจ้าคณะสงฆ์รูปใหม่โดยไม่ได้รับความเห็นชอบและถูกพระเจ้าเวนเซสลัสที่ 4 สั่งให้โยนร่างท่านจากสะพานชาร์ลส์ลงน้ำ (ข้อมูลจาก //www.prague.net/st-john-nepomuk) บริเวณที่เซนต์จอห์น เนปอมุกถูกโยนลงน้ำคือบริเวณที่มีรูปปั้นรูปกางเขนตั้งอยู่ประมาณกลางๆสะพาน มีความเชื่อกันว่าหากใครได้ลูบรูปแกะสลักนูนต่ำที่ใต้รูปปั้นเซนต์จอห์น เนปอมุก จะได้คำอธิษฐานเป็นจริง 1 ข้อ จึงไม่น่าแปลกใจว่ารูปแกะสลักนูนต่ำรูปขวามือที่เป็นรูปจำลองขณะที่เซนต์จอห์น เนปอมุกถูกโยนลงแม่น้ำกับรูปซ้ายมือที่เป็นรูปหมาน้อยจึงถูกมือของนักท่องเที่ยวนับไม่ถ้วนช่วยกันขัดถูจนเงาวับ แล้วอย่างนี้มีรึที่เราจะไม่ลองขอสัมผัสกับเขาบ้าง ตอนจะถ่ายรูปต้องต่อคิว หามุมกันอยู่พักใหญ่เลยทีเดียว



รูปปั้นเซนต์จอห์น เนปอมุก



ประวัติ (ปรัมปรา) เกี่ยวกับสะพานชาร์ลส์ตามที่เราได้อ่านจากผนังห้องนอนที่โฮสเทลกล่าวไว้ว่า
“สะพานชาร์ลส์นั้นเป็นสะพานที่คอยป้องกันปรากจากน้ำท่วมใหญ่หลายครั้งหลายครา แต่ตำนานจริงๆของสะพานชาร์ลส์ได้เกิดขึ้นเมื่อนักบวชเซนต์จอห์นแห่งเนปอมุก ได้ถูกโยนทิ้งลงจากสะพานนี้ จึงเกิดอาถรรพ์ทำให้ส่วนโค้งส่วนหนึ่งของสะพานที่สร้างเท่าไหร่ก็พังลงมาทุกครั้งไป ไม่มีใครสามารถสร้างให้สำเร็จได้ ต่อมาเมื่อมีช่างคนหนึ่งตัดสินใจที่จะซ่อมแซมสะพานนี้ เขาได้พยายามทุกวิถีทางแต่ก็ยังไม่ประสบผลสำเร็จ จนกระทั่งมีปีศาจตนหนึ่งปรากฏกายขึ้นพร้อมยื่นข้อเสนอที่จะช่วยนายช่างคนนี้ แต่มีข้อแลกเปลี่ยนเป็นชีวิตของคนคนแรกที่เดินข้ามผ่านสะพานหลังจากที่สะพานชาร์ลส์นี้ซ่อมแซมสำเร็จเสร็จสมบูรณ์ นายช่างก็ตอบตกลง แต่ในใจก็ไม่อยากให้ผู้บริสุทธิ์จะต้องตกเป็นเหยื่อของข้อตกลงในครั้งนี้ เขาจึงได้คิดแผนการบางอย่างเพื่อหลอกปีศาจตนนั้น

ต่อมาไม่นาน ปีศาจก็ได้รักษาคำพูดที่ให้ไว้ งานซ่อมแซมสะพารชาร์ลส์เป็นไปด้วยความเรียบร้อย ลุล่วงไปด้วยดี ก่อนที่จะถึงวันเปิดสะพานเฉลิมฉลองอย่างเป็นทางการ ไม่มีใครได้รับอนุญาตให้เหยียบย่างบนสะพานนี้ นายช่างได้ซ่อนไก่ไว้ที่หอคอยสะพานฝั่งด้านเมืองเก่า เพื่อให้ไก่ตัวนั้นเป็นสิ่งมีชีวิตตัวแรกที่เดินข้ามสะพานชาร์ลส์ในเช้าวันรุ่งขึ้นเพื่อหลอกต้มปีศาจตนนั้น แต่ปีศาจตนนั้นกลับฉลาดยิ่งกว่า ปีศาจได้ปลอมตัวเป็นผู้ช่วยนายช่าง แล้วอาศัยช่วงเวลาที่นายช่างออกจากบ้านจากฝั่ง Lesser town แต่เช้ามืด ปีศาจแกล้งทำเป็นวิ่งกระหืดหระหอบมาหาภรรยาของนายช่างแล้วบอกว่าให้ภรรยานายช่างรีบวิ่งไปที่สะพานเพราะนายช่างเกิดอุบัติเหตุอยู่ที่อีกฝั่งหนึ่ง พอภรรยานายช่างไปถึงหอคอยสะพานฝั่ง Lesser town ยามประจำการก็รู้จักภรรยานายช่าง จึงปล่อยให้ภรรยานายช่างวิ่งข้ามสะพานไป

เมื่อนายช่างที่ยืนอยู่ที่ฝั่งเมืองเก่ามองเห็นภรรยากำลังวิ่งข้ามสะพานมา โลหิตในร่างกายของเขาเย็นเฉียบ เขาตระหนักได้ทันทีว่าปีศาจนั้นเป็นผู้ชนะ และได้พรากชีวิตบุคคลที่เป็นที่รักที่สุดของเขาไป อะไรก็ตามที่ได้ถูกกำหนดไว้แล้วไม่สามารถแก้ไขให้เปลี่ยนแปลงได้ คืนต่อมาภรรยาของนายช่างก็ได้เสียชีวิตลงพร้อมด้วยลูกน้อยในครรภ์ของเธอ เรื่องราวที่เล่าขานยังคงเป็นตำนานต่อมาว่าวิญญาณของเด็กน้อยยังคงวนเวียนอยู่ที่สะพานชาร์ลส์ในยามค่ำคืน ผู้คนที่สัญจรบนสะพานคนเดียวมักได้ยินเสียงจามของเด็กในขณะที่เขากำลังรีบข้ามสะพาน จวบจนชาวบ้านคนหนึ่งที่ได้ยินเสียงจามของเด็กน้อย ชายผู้นั้นก็ได้กล่าวไปว่า “ขอพระเจ้าอวยพระพรแด่ท่าน” ทันใดนั้นก็มีเสียงเล็กๆโดยที่ไม่ปรากฏให้เห็นตัวตอบกลับมาว่า “พระองค์ได้อวยพระพรให้แล้ว” จากนั้นมา วิญญาณน้อยๆก็ถูกปลดปล่อยให้เป็นอิสระและโบยบินสู่สรวงสวรรค์”



เย็นวันนั้นเราข้ามสะพานชาร์ลส์กลับมาหาอาหารเย็นที่ฝั่งเมืองเก่า เนื่องจากว่าตอนที่เราไปนั้น ลานกว้างที่จัตุรัสเมืองเก่ากำลังจัดงาน spice and cheese festival พอดี ภายในงานมีขายอาหารพื้นเมืองง่ายๆอยู่หลายร้าน เราก็เลยซื้อฮอทด็อกและซุปกะหล่ำปลีเป็นมื้อเย็นซะเลย ซุปกะหล่ำปลีร้อนๆ ให้ความอบอุ่นร่างกายในยามหนาวเหน็บแบบนี้ได้เป็นอย่างดี



ตกดึก เรากลับออกมาที่สะพานชาร์ลส์อีกครั้งหนึ่งเพื่อชื่นชมความงามในยามค่ำคืนของสะพานชาร์ลส์ที่สามารถมองไกลเห็นปราสาทปรากที่เปิดไฟส่องสว่างทั่วไปหมด เป็นบรรยากาศที่สุดแสนจะโรแมนซ์ ถึงแม้ว่าจะหวิวๆเพราะกลัวความมืดอยู่ก็ตาม



พรุ่งนี้เราจะอำลาปรากแต่เช้ามืดกว่าวันนี้เสียอีก เพื่อมุ่งสู่เมืองตุ๊กตาในฝันอีกหนึ่งเมืองของเชค.... เชสกี้ ครุมลอฟ เมืองที่ความประทับใจของเราจะไม่มีวันจืดจาง




 

Create Date : 13 ธันวาคม 2553   
Last Update : 17 ธันวาคม 2553 9:27:25 น.   
Counter : 3442 Pageviews.  


1  2  3  

katiekat
 
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 8 คน [?]




ต้องการสอบถามข้อมูลการเดินทางทริปต่างๆที่แคทไปแล้ว ให้ติดต่อผ่านอีเมล์ chayadak@hotmail.com หรือ chayadak@yahoo.com นะคะ เพราะว่าหลายคนทิ้งไว้ในกล่องข้อความของ bloggang แต่แคทไม่ค่อยได้เปิดเลย ทำให้พอมาเปิดอีกที เวลาผ่านไปเกือบปี (แป่ววว!! เค้าจะรอหล่อนตอบมั้ยเนี่ย เค้าไม่โบยบินไปถึงไหนต่อไหนแล้วรึ)... ยินดีและเต็มใจตอบทุกคำถามที่พอจะช่วยได้ค่ะ
New Comments
[Add katiekat's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com