KatieKat... Let's share your thought
 
ญี่ปุ่นจัง 日本さん (day 5/5)

เดือน 5 วันที่ 30

วันสุดท้ายของการเดินทาง เราทุกคนตื่นแต่เช้าเหมือนเดิม รับประทานอาหารเช้าของโรงแรม เลยพบว่าคนไทยที่มาพักในโรงแรมนี้เยอะจริงๆ นั่งกินข้าวไปก็ได้ยินแต่ภาษาไทย เรา check-out ออกจากโรงแรมตอน 8 โมงครึ่ง ตรงไปยังเมืองนาริตะซึ่งเป็นที่ตั้งของสนามบินนาริตะ สนามบินที่เราจะขึ้นเครื่องกลับกรุงเทพฯ ระหว่างทางเราแวะช้อปปิ้งส่งท้ายที่ห้างอิออน (Aeon) ซึ่งเป็นห้างที่แอร์โฮสเตสและนักบินมักจะมาเดินกันที่นี่ เนื่องจากใกล้กับสนามบิน ที่นี่ ฉันได้กินเครปที่ร้าน Rainbowhat เหมือนกับที่ขายที่กรุงเทพนั่นแหละ เป็นเครปนุ่มๆ ข้างในสอดไส้รสต่างๆตามต้องการ ไม่ว่าจะเป็นครีม ช็อกโกแลต กล้วยหอม สตรอเบอรี่ ไอศกรีมหรือถั่วแดงบด ที่ห้างอิออนนี้ยังมีร้าน 100 เยน ร้านซึ่งขายของตั้งแต่ไม้จิ้มฟันยันเรือรบ ส่วนใหญ่จะราคาอยู่ที่ 100 เยนรวม vat อีก 5% เป็น 105 เยน แล้วก็มีร้านขายรองเท้าหลายๆยี่ห้อ หนึ่งในนั้นคือยี่ห้อ Onitsuka Tiger รองเท้าที่มีชื่อเสียงที่สุดในญี่ปุ่นยี่ห้อหนึ่ง คุณเต๋อกับคุณโต้เล่าให้ฟังถึงประวัติของรองเท้ายี่ห้อนี้ว่า นักธุรกิจชาวญี่ปุ่นคนหนึ่งเกิดหลงรักรูปแบบและดีไซน์ของรองเท้าสไตล์ sports wear ยี่ห้อ Asics ของสหรัฐอเมริกามาก จึงทำการติดต่อธุรกิจ ขอ re-brand และ rename เปลี่ยนชื่อเป็น Onitsuka Tiger เพื่อขายที่ญี่ปุ่น แล้วก็ขายได้ดีมาก ได้รับความนิยมสูง ตอนนี้โด่งดังไปทั่วโลกเลย แต่ในญี่ปุ่นจริงๆกลับหาไม่ได้ง่ายนัก มีเพียงไม่กี่ shop แต่ละร้านก็มีแบบ มีรุ่นที่ไม่เหมือนกัน (** หมายเหตุ แต่จากที่อ่านใน website ของ Ontisuka Tiger และ Asics เองมันไม่ใช่อย่างนี้ เท่าที่อ่านเขาจะบอกว่า ยี่ห้อ Onitsuka Tiger มีมาตั้งแต่เมื่อปี 1949 โดยเริ่มต้นจากการผลิตรองเท้าสำหรับใส่เล่นบาสเกตบอล ในปี 1977 Onitsuka Tiger ถึง merge รวมเข้ากับบริษัท GTO ผู้ผลิตชุดกีฬาและตาข่ายสำหรับกีฬาต่างๆและบริษัท Jelenk ผู้ผลิตเสื้อผ้าไหมพรม (Knit wear) แล้วเปลี่ยนชื่อเป็น Asics ซึ่งมาจากประโยคภาษาละตินที่ว่า Anima Sana In Corpore Sano แปลเป็นภาษาอังกฤษว่า a sound mind in a sound body **) หมอนามองหารองเท้า Onitsuka Tiger ไว้ใส่เองสักคู่ แต่ก็ไม่ได้ที่ถูกใจและขนาดที่พอดี คนที่กลับได้คือฉันเอง แต่เป็นยี่ห้อ Asics น่ารักดี เป็นรองเท้ากีฬาแบบเปิดส้น สีขาวลายเส้นสีม่วงกับชมพู

นอกจากรองเท้าแล้ว เรายังได้แวะร้านมูจิ (Muji) ซึ่งแปลว่า ”ไม่มียี่ห้อ” เป็นร้านขายของหลายๆแบบ เช่น ผ้าห่ม ผ้าปูที่นอน หมอน ของตกแต่งบ้าน รวมไปถึงเครื่องเขียน ของใช้ส่วนตัวต่างๆ เน้นสีขาวและสี earth tone สินค้าจะไม่มีชื่อยี่ห้ออยู่ที่ตัวผลิตภัณฑ์เลย จึงเป็นที่มาของยี่ห้อ Muji ฉันได้ร่มมา 1 คันตามที่ตั้งใจไว้แต่แรก เพื่อใช้แทนร่มคันเก่าที่กำลังจะเจ๊ง ซึ่งร่มคันเก่านี้มีคนซื้อให้จากญี่ปุ่นเหมือนกัน พอใช้แล้วก็รู้สึกประทับใจมาก มันทั้งอดทั้งทนลมฟ้าอากาศได้เป็นอย่างดี ผ่านมรสุมที่อังกฤษมานับครั้งไม่ถ้วน ใช้มานานมากกว่า 7 ปี ถึงเพิ่งจะเริ่มเจ๊ง ก็เลยประทับใจมาก กะว่ามาญี่ปุ่นคราวนี้ต้องซื้อร่มกลับไปให้ได้ ของอีกอย่างที่ได้จากร้าน Muji ก็คือเครื่องเล่นแผ่น CD แบบติดผนัง เก๋มั่กๆ แต่ต้องกลับไปซื้อตัวแปลงไฟจาก 110 volts เป็น 220 volts ที่เมืองไทยเอง (อันนี้คุณเต๋อ recommend ให้ซื้อเจ้าเครื่องนี้ แกบอกว่าแกซื้อไปใช้แล้ว ติดอยู่ในห้องน้ำ เก๋ดี ดูดีมีสไตล์)

12.15 น. เราออกจากห้างอิออนเพื่อไปยังร้านอาหารกลางวัน มื้อสุดท้ายในญี่ปุ่นวันนี้เราไปที่ร้าน Shabu Shabu Baikinggu แปลว่าบุฟเฟ่ต์ชาบูชาบู อยู่บนชั้น 2 ของ Hanamasa discount supermarket ระหว่างทางผ่านจะไปสนามบินนาริตะ อาหารก็เหมือนตามชื่อคือเป็นบุฟเฟ่ต์ชาบูชาบูหรือจิ้มจุ่มสไตล์ญี่ปุ่นนั่นเอง อร่อยดี เนื้อที่นี่จะสไลด์เป็นชิ้นบางมากๆ พอจุ่มน้ำร้อนปุ๊บมันก็เรียกว่าแทบจะสุกทันทีเลย นอกจากจะมีเนื้อนานาชนิดให้เลือกรับประทาน ยังมีอาหารอื่นๆอีกเช่น ซูชิ เกี๊ยวซ่า ขนมจีบ สลัด ไอศกรีม ที่ข้างๆร้านอาหารมีร้านขายของมือสองร้านหนึ่งชื่อว่า B-style แบ่งเป็น 2 ชั้น ชั้นล่างชื่อว่า B-Kids ขายของมือสองสำหรับเด็ก ตั้งแต่เสื้อผ้า ของเล่น รถเข็น เครื่องใช้สำหรับเด็ก ชาวคณะหลายคนซื้อของกลับไปให้ลูกที่บ้านเยอะเลย ทั้งรถเข็น โต๊ะเขียนหนังสือที่ทำจากไม้อย่างดี ราคาแค่ไม่กี่ร้อยเยน ส่วนชั้นบนจะเป็นของมือสองสำหรับผู้ใหญ่ ส่วนมากจะเป็นเสื้อผ้าซะเยอะ

สุดท้ายเราออกจากร้านอาหาร เดินทางสู่สนามบินนาริตะจริงๆเสียที ถึงสนามบินตอนเกือบบ่าย 3 โมง ฉันถูกตรวจรื้อของที่ถือขึ้นเครื่องด้วย เพราะเนื่องจากระเบียบใหม่ของทางสนามบินทั่วโลกเกี่ยวกับการพกพาของเหลวขึ้นบนเครื่องบิน แต่รู้สึกที่ญี่ปุ่นจะเริ่มใช้ก่อน เมืองไทยจะเริ่มใช้ 1 มิถุนายน ซึ่งก็คือวันพรุ่งนี้ ฉันก็ลืมไปเสียสนิทว่าในเป้ที่หิ้วขึ้นเครื่องมีของเหลวเต็มไปหมด ทั้งน้ำเกลือ น้ำยาล้างคอนแทคเลนส์ ครีมกันแดด (เพิ่งซื้อที่ห้างอิออน) มาสคาร่า อายไลเนอร์ โลชั่นทาหน้า โชคดีที่พนักงานที่ตรวจเป็นผู้ชาย เด็กๆหน่อย ฉันก็เลยพูดญี่ปุ่นใส่เขาเป็นคำๆ เขาก็ไม่โกรธอะไรเท่าไร ออกจะสุภาพมากๆด้วยซ้ำ แต่ผู้หญิงที่ดูเหมือนหัวหน้าเขา หันมาถามว่า เครื่องจะออกกี่โมง พอรู้ว่าอีกไม่นานเครื่องจะออก ก็เลยหยิบถุงซิปของทางสนามบิน มาใส่ของเหลวทั้งหมดนั้นแล้วหันมาดุฉันว่า คราวหน้าต้องหาถุงมาใส่เองนะ คราวนี้เขาจะยอมให้ใช้ถุงของเขาก่อน !! เหงื่อตกไปเหมือนกัน แต่ก็ไม่มีอะไร ** ระเบียบเรื่องของเหลวที่ว่านี้กำหนดว่า ผู้โดยสารสามารถครอบครองวัตถุที่เป็นของเหลวขึ้นเครื่องบินที่ปริมาตรเกินไม่เกิน 100 mL ต่อ 1 ภาชนะบรรจุ และต้องใส่ถุงใสซึ่งเป็นถุงซิปขนาดบรรจุรวมไม่เกิน 1 Litre โดยของเหลวที่ว่านี้รวมถึงมาสคาร่า เครื่องสำอางแบบครีม แต่ยกเว้นน้ำยาล้างคอนแทคเลนส์ ซึ่งถือว่าเป็นยา ** ... เที่ยวบินของสายการบินไทย เที่ยวบินที่ TG 677 ออกจากสนามบินนาริตะเวลาบ่าย 4 โมง 55 นาที พาเรากลับสู่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิเวลาประมาณ 3 ทุ่มครึ่ง นับเป็นการเดินทางไปญี่ปุ่นที่น่าประทับใจมากมาก ก่อนขึ้นเครื่องยังได้เห็นตู้ vending machine ขายไอศกรีมฮาเก้น-ดาซส์ด้วย แนว...จนหยดสุดท้ายจริงๆ
Vending machine

じゃ またね… แล้วเจอกัน


Create Date : 09 พฤศจิกายน 2551
Last Update : 13 ธันวาคม 2551 12:44:55 น. 0 comments
Counter : 2015 Pageviews.  
 
Name
Opinion
*ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก

katiekat
 
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 8 คน [?]




ต้องการสอบถามข้อมูลการเดินทางทริปต่างๆที่แคทไปแล้ว ให้ติดต่อผ่านอีเมล์ chayadak@hotmail.com หรือ chayadak@yahoo.com นะคะ เพราะว่าหลายคนทิ้งไว้ในกล่องข้อความของ bloggang แต่แคทไม่ค่อยได้เปิดเลย ทำให้พอมาเปิดอีกที เวลาผ่านไปเกือบปี (แป่ววว!! เค้าจะรอหล่อนตอบมั้ยเนี่ย เค้าไม่โบยบินไปถึงไหนต่อไหนแล้วรึ)... ยินดีและเต็มใจตอบทุกคำถามที่พอจะช่วยได้ค่ะ
New Comments
[Add katiekat's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com