KatieKat... Let's share your thought
 
ญี่ปุ่นจัง 日本さん (day 4/5)

เดือน 5 วันที่ 29

ตั้งแต่ส่งหมอนาไปพิสูจน์ความกล้าในการอาบน้ำออนเซ็นเมื่อคืน ฉันก็ให้สัญญากับตัวเองว่า เอาล่ะ (เอาก็เอาวะ) ลองดูสักครั้ง ข้ามผ่านความอายไปให้ได้ เพื่อเข้าถึงวิถีชีวิตแบบที่คนญี่ปุ่นเขาทำกัน ถ้าไม่ลองดูครั้งนี้แล้วคงหาโอกาสได้ยากหรือไม่มีโอกาสอีกเลย ฉันก็เลยตื่นนอนตั้งแต่ก่อนตี 5 พอได้เวลาตี 5 เป๊ง ซึ่งเป็นเวลาที่ออนเซ็นเปิด ฉันก็ลงไปอาบน้ำเลย ด้วยความหวังที่ว่าคงไม่มีใครตื่นแต่เช้าขนาดนี้เพื่อมาอาบน้ำ จะได้ไม่เจอใครหรืออย่างน้อยก็เจอแต่คนต่างชาติ ไม่ใช่คนไทยก็ยังดี จะได้ไม่เขินเท่าไหร่ ... ห้องอาบน้ำรวมหรือโอะฟุโระ (แปลว่า อ่างอาบน้ำ) หรือออนเซ็น (แปลว่า น้ำพุร้อน) นั้นจะแบ่งแยกไว้สำหรับหญิงและชาย โดยสัญลักษณ์ของห้องผู้หญิงจะมีผ้าหรือป้ายสีแดงหรือสีชมพู ในขณะที่ห้องผู้ชายจะแสดงด้วยสีฟ้าหรือสีน้ำเงิน ซึ่งเป็นสีที่ทั่วโลกนิยมใช้บ่งบอกเพศอยู่แล้ว ขั้นแรกก่อนเข้าออนเซ็นก็จะต้องสวมชุดยุคาตะทับด้วยฮะโอะริ พร้อมด้วยนำผ้าขนหนู 2 ผืน (ผืนใหญ่และผืนเล็ก) และเครื่องประทินโฉมส่วนตัวไปด้วย ภายในออนเซ็นจะแบ่งออกเป็น 2 ส่วนคือ ส่วนด้านนอกซึ่งเป็นส่วนแห้ง สำหรับถอดและเปลี่ยนเสื้อผ้า กับส่วนด้านในซึ่งเป็นส่วนเปียก สำหรับอาบน้ำและแช่น้ำพุร้อน เมื่อเข้าไปถึงส่วนด้านนอกแล้ว ก็ให้เก็บข้าวของไว้ในตะกร้าที่มีให้ เขาจะแบ่งเป็นล็อกๆ บางที่ก็จะมีช่องเหมือนล็อกเกอร์ มีกุญแจให้ด้วย ในขณะที่บางที่ก็ไม่มี ที่โรงแรม Mifujien นี้เป็นแบบหลัง ซึ่งเป็นแค่ตะกร้าหวายวางแบ่งกันเป็นช่องๆเท่านั้น แต่เรื่องของหายคงวางใจได้ว่าไม่มีแน่นอน เมื่อวางของแล้ว ก็จัดแจงถอดเสื้อผ้า หยิบแค่ผ้าขนหนูผืนเล็กไปด้วย ปิดๆไว้หน่อยกันโป๊ (จริงๆประโยชน์มันไม่ใช่อยู่ตรงนี้หรอกนะ อันนี้มันแค่เป็น by product) เดินเข้าห้องอาบน้ำ ซึ่งจะแบ่งเป็นช่องๆ กั้นไว้ให้อาบน้ำถูสบู่ สระผมก่อนลงแช่ในโอะฟุโระ ในแต่ละช่องจะมีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกขั้นพื้นฐานเหมือนกันก็คือ ฝักบัวปรับระดับและอุณหภูมิน้ำได้ สบู่เหลว แชมพูและเก้าอี้เล็กๆสำหรับนั่งอาบ เมื่ออาบเสร็จแล้วก็ถึงเวลาที่จะลงไปแช่ในโอะฟุโระเสียที ลืมบอกไปว่าตอนที่ฉันเข้าไปนั้น มีคุณป้าโอบ้าซัง 1 คนแช่โอะฟุโระอยู่แล้ว พอฉันกำลังอาบน้ำเสร็จ ป้าแกก็ลุกจากโอะฟุโระเดินโทงๆกลับไปห้องส่วนด้านนอก ทีนี้เลยเหลือฉันคนเดียวในห้องเลย อิอิ!! เสร็จเรา อ่างออนเซ็นที่โรงแรมนี้มี 2 อ่าง แบบหนึ่งเป็นอ่าง 4 เหลี่ยม หน้าตาเหมือนสระว่ายน้ำเด็กอนุบาล อีกอ่างหนึ่งเป็นอ่างกลมๆรีๆ ขอบอ่างทำด้วยก้อนหินกลมๆ ดูธรรมชาติกว่าอ่างแรก ห้องนี้สามารถมองออกไปเห็นวิวทิวทัศน์ด้านนอกได้อย่างชัดเจน เนื่องจากด้านหนึ่งเป็นแนวกระจกใสทั้งหมด สามารถเปิดกระจกออกไปสัมผัสกับอากาศบริสุทธิ์ด้านนอกได้ด้วย ฉันเลือกลงไปแช่ออนเซ็นอ่างที่สอง ก้าวแรกที่แหย่เท้าลงไป ก็รู้สึกว่าร้อนๆนิดหน่อยพอรับได้ แต่พอเดินลงไปจุ่มทั้งตัวเท่านั้น ก็รู้สึกว่าเหมือนกำลังจะสุกเลย ตัวงี้แดงเชียว แต่สักพักก็เริ่มปรับสภาพได้เลยรู้สึกอุ่นๆ ร้อนนิดๆเท่านั้น สบายตัวดีเหมือนกัน ฉันมองออกไปนอกกระจก แสงสว่างเริ่มชัดเจนขึ้นแต่หมอกก็ยังมีอยู่ นั่งคิดว่าถ้าอากาศดีๆ มองจากมุมนี้ก็คงจะได้เห็นภูเขาไฟฟูจิแน่ๆเลย ฉันแช่น้ำประมาณ 15 นาทีเห็นจะได้ ระหว่างนั้นก็มีคนญี่ปุ่นเดินเข้ามาอาบน้ำด้วย ฉันเลยตัดสินใจขึ้นเลยดีกว่า แล้วกลับมาห้องด้านนอก (จริงๆแล้วต้องล้างตัวอีกครั้งก่อนจะดีกว่า) เช็ดตัวด้วยผ้าขนหนูผืนใหญ่ สวมยุคาตะ แล้วก็เป่าผมด้วยไดร์เป่าผมที่ทางโรงแรมมีไว้ให้ (ที่โรงแรมจะมีไดร์เป่าผม หวีและ cotton bud เตรียมไว้ให้) ก่อนกลับขึ้นห้องพัก... เสร็จสิ้นภารกิจก็รู้สึกว่าได้ประสบการณ์อีกแบบหนึ่งที่น่าสนใจดี แต่จะให้ทำอีกในทุกที่ที่ๆได้ไปก็คงจะไม่โหยหาขนาดนั้น ถามว่าอาบแล้วรู้สึกสดชื่น กระปรี้กระเปร่า สบายตัวอย่างไม่เห็นรู้สึกมาก่อนก็ต้องตอบว่าไม่ถึงขนาดนั้น เพราะจริงๆฉันก็ยังขจัดความอายไปได้ไม่หมดซะทีเดียว คิดว่าถ้าไม่รู้สึกว่าอายแล้ว แล้วได้แช่น้ำกับครอบครัว เพื่อนฝูง นั่งเม้าท์เรื่องอะไรต่อมิอะไรก็น่าจะสนุกกว่านี้แน่ๆ
อาหารเช้าแบบเบนโตะเซ็ต

7 โมงเช้า หลายคนออกไปเดินเล่นหน้าโรงแรม วันนี้หมอกลงพอสมควรเลยมองไม่เห็นภูเขาไฟฟูจิที่อยู่หน้าหลังทะเลสาบ เรารับประทานอาหารเช้าที่ห้องเดิมกับอาหารเย็นเมื่อคืน จากนั้นก็รวบรวมพลออกเดินทางกันต่อตอนประมาณ 8 โมงกว่าๆ เพื่อมุ่งหน้าสู่มหานครโตเกียว ระหว่างทางผ่านจังหวัดยามะนาชิ (Yamanashi) คุณไกด์ทั้ง 2 ก็เพิ่มโปรแกรมให้เรากะทันหัน โดยให้แวะที่สวนเชอรี่ที่คนญี่ปุ่นปลูกไว้มากมายเรียงรายระหว่างทางในเมืองนี้ ซึ่งส่วนใหญ่เขาก็เปิดให้นักท่องเที่ยวเที่ยวชมได้ ค่าเข้าชมประมาณคนละ 5,000 เยน เก็บกินผลไม้ได้ไม่อั้นภายในเวลาที่กำหนด (โดยปกติ 30 นาที) แต่เฉพาะภายในสวนเท่านั้นนะ ห้ามนำออกไปนอกสวนเด็ดขาด สวนที่คณะเราเข้าไปชมนั้นปลูกผลไม้มากมาย ทั้งเชอรี่ พีช องุ่น แอปเปิ้ล แต่ช่วงนี้เป็นช่วงที่เชอรี่กำลังเริ่มสุก คุณเจ้าของสวนบอกว่าเรามาเร็วไป 3 วัน แต่ก็พอมีบางส่วนที่สุกแล้ว เก็บกินได้บ้างแม้จะไม่งอมนัก ดูเหมือนว่าจะมีทัวร์ไทยมาเที่ยวที่นี่พอสมควร หรือไม่คุณเจ้าของสวนก็สนใจภาษาไทยเป็นพิเศษ แกเลยพูดภาษาไทยได้หลายคำเลย ทั้งสวัสดี ขอบคุณ สวย อร่อย ฯลฯ แกพูดภาษาอังกฤษใช้ได้เลยด้วยนะ แกสอนวิธีเด็ดเชอรี่จากต้นเสร็จก็หยิบเชอรี่ที่เพิ่งสาธิตวิธีเด็ดให้ฉันเลย เขิน!! วิธีเด็ดเชอรี่จากต้นที่ถูกต้องคือ เด็ดลูกให้หลุดจากขั้วโดยทิ้งก้านให้ติดต้นไว้ เพื่อให้ก้านนี้สามารถเจริญเติบโตได้ต่อไป ยกเว้นบางทีที่ทั้งลูกและก้านเชอรี่จะหลุดจากต้นเอง อันนี้ก็เก็บกินจากพื้นได้เลย เชอรี่ที่กินวันนี้ยังมีสีออกแดงๆไม่เต็มลูกดีนัก รสชาติของอาจจะยังไม่หวานนักเนื่องจากลูกยังไม่งอมดีเหมือนที่คุณเจ้าของสวนว่าไว้ แต่ก็นับว่าใช้ได้ ไม่จืดเหมือนที่ส่งมาถึงเมืองไทยทั้งๆที่สีเชอรี่ก็ม่วงจัดจนนึกว่าจะเน่าอยู่แล้ว นอกจากเชอรี่แล้ว เจ้าของสวนยังให้เราได้ลองชิมองุ่นไร้เมล็ดอีกด้วย ซึ่งทุกคนที่ได้ลิ้มรสแล้วลงความเห็นเป็นเสียงเดียวกันว่า “อร่อยมากที่สุดตั้งแต่เคยกินมาเลย” ฉันก็ว่าอย่างนั้น อยากซื้อกลับไปกินบ้างแต่คุณเจ้าของสวนบอกว่าคงไม่ได้ เนื่องจากไม่ได้มีเยอะ กล่องที่ให้ชิมนี้เขาเพาะเลี้ยงขึ้นพิเศษในห้องแอร์ ให้มันออกผลก่อนฤดูจริง
คุณเจ้าของสวนทั้ง 3 กับองุ่นสุดอร่อย

หลังออกจากสวนเชอรี่สักพักใหญ่ เราก็เข้าสู่โตเกียวจริงๆเสียที เราแวะกินข้าวกลางวันที่ย่านกินซ่าซึ่งเป็นย่านธุรกิจของญี่ปุ่น อาหารกลางวันมื้อนี้เป็นบุฟเฟ่ต์แนวปิ้งย่าง รสชาติอาหารก็พอใช้ได้ คุณเต๋อกับคุณโต้เตรียมน้ำจิ้มแจ่วและน้ำจิ้มซีฟู้ดสูตรพี่ไทยให้ไว้ด้วยเหมือนเคยเผื่อใครต้องการ ย่านกินซ่านี้เป็นพื้นที่ของพระจักรพรรดิญี่ปุ่น คิดดูสิว่าจะเก็บรายได้มากมายมหาศาลแค่ไหน คุณโต้บอกว่าเคยมีมหาเศรษฐีคนหนึ่งมาถามซื้อที่ในกินซ่าว่า ถ้าเขามีเงินอยู่เท่านี้ (จำไม่ได้ว่าคุณโต้บอกว่าเท่าไหร่) จะซื้อที่ที่กินซ่าได้แค่ไหน คนขายบอกว่าจำนวนเงินเท่านี้สามารถเลือกซื้อเกาะไหนก็ได้ทั้งเกาะที่แอฟริกาใต้ แต่ซื้อพื้นที่ในกินซ่าได้แค่ ... เสื่อ (จำตัวเลขไม่ได้อีกแล้ว แต่น้อยมาก ไม่น่าเกิน 10) ซึ่ง 1 เสื่อในที่นี้หมายถึงขนาด 1 เสื่อทะทามิ (Tatami) เป็นเสื่อทีู่ปูนอนของญี่ปุ่น ใช้บอกขนาดพื้นที่ต่างๆ โดย 1 เสื่อมีขนาดเท่ากับความกว้าง 90 ซม. ยาว 180 ซม.

สถานที่สำคัญที่ต้องไปเมื่อเดินทางมาถึงโตเกียวก็คือวัดอาซะกุซ่า เปรียบเสมือนถ้าไปกรุงเทพก็ต้องไปไหว้สักการะศาลหลักเมืองหรือวัดพระแก้วเพื่อความเป็นสิริมงคล มีคุณหมอคนหนึ่งที่ร่วมทริปไปด้วยบอกว่า เหตุผลที่มาในครั้งนี้มีอย่างเดียวเท่านั้นคือมาแก้บนที่วัดอาซะกุซ่านี้ เนื่องจากประมาณ 2-3 ปีที่แล้วเขาได้มีโอกาสมาญี่ปุ่นแล้วก็มาบนขอลูกไว้ พอกลับเมืองไทยไม่นาน ภรรยาคุณหมอคนนี้ก็ตั้งท้องเลย คราวนี้ก็เลยต้องมาแก้บน ตามตำนานที่เล่าขานต่อกันมาเชื่อว่ามีพี่น้องชาวประมงคู่หนึ่งพบพระพุทธรูปทองคำขณะที่กำลังทำประมง ทั้งคู่จึงนำมาบูชา ต่อมามีพระธุดงค์ผ่านมา ชาวประมง 2 คนนี้ก็เอาพระพุทธรูปมาให้พระธุดงค์รูปนั้น เมื่อพระธุดงค์เห็นก็ทราบได้ว่าเป็นเจ้าแม่กวนอิมทองคำ ก็บอกกับชาวประมงว่าจะบูชาคนเดียวไม่ได้ ต้องให้ประชาชนคนอื่นได้ร่วมบูชาด้วย โดยต้องสร้างที่ประดิษฐานให้เจ้าแม่กวนอิม แต่เนื่องจาก 2 คนนี้ไม่มีเงิน เขาจึงไปบอกหัวหน้าหมู่บ้าน เมื่อความทราบถึงโชกุน โชกุนจึงให้สร้างวัดอาซะกุซ่านี้ขึ้นเพื่อประดิษฐานเจ้าแม่กวนอิมทองคำดังกล่าว

ด้านหน้าวัดอาซะกุซ่ามีโคมไฟขนาดยักษ์ ให้นักท่องเที่ยวและผู้ศรัทธาได้จุดธูปบูชาเจ้าแม่กวนอิม มีความเชื่อที่ว่าหากเอาควันธูปมาลูบตัวจะสามารถรักษาโรคภัยไข้เจ็บได้ หลังจากไหว้พระแล้ว ด้านนอกวัดจะมีร้านรวงขนาบ 2 ฝั่ง ขายของฝาก ของกินทุกอย่าง ฉันได้แมวกวักเจ็ดเซียนมาจากที่นี่ด้วย คุณไกด์บอกว่าวิธีเลือกแมวกวักหรือเนโกะ (neko แปลว่าแมว) ที่ดีนั้น นอกจากจะต้องเลือกแมวกวักที่ทำจากเซรามิกเนื้อดี ลักษณะงานประณีตแล้ว ยังต้องเลือกตัวที่มีเซียนทั้ง 7 ประทับอยู่ด้วยคือที่หัว 3 องค์ แขน 2 องค์ และขา 3 องค์รวม 7 องค์ สำหรับตำนานของแมวกวักนั้นมีอยู่หลายตำนาน แต่ตำนานหนึ่งว่ากันว่านานมาแล้วมีร้านขายของอยู่ 2 ร้านติดกัน ร้านหนึ่งเจ้าของร้านเลี้ยวแมวไว้ มันก็นั่งอยู่หน้าร้าน คนเดินผ่านไปผ่านมาก็เห็นเจ้าแมวเหมียวนี่ ก็เกิดความเอ็นดู เข้าไปลูบหัวเล่นกับมันแล้วก็ซื้อของในร้านไปด้วย ทำให้ของของร้านนี้ขายดีกว่าร้านข้างๆ จึงทำให้เจ้าของคิดว่าแมวตัวนี้เป็นแมวนำโชค ก็เลยเกิดความเชื่อนี้ขึ้นมา บ้างก็ว่ามีคนๆหนึ่ง เลี้ยงแมวไว้และรักแมวมาก เมื่อเกิดขัดสนยากจนจนตัวเองไม่มีจะกิน แมวก็ไม่มีจะกิน เขาเลยต้องไปร้องขอให้ผู้มีฐานะคนหนึ่งรับเลี้ยวแมวของเขาไว้ เพราะกลัวว่าแมวจะอดตาย ในขณะที่เขายอมอดตายไม่มีจะกิน ผู้มีฐานะคนนั้น (รู้สึกว่าจะเป็นข้าราชการหรือขุนนางคนหนึ่งในสมัยนั้น) รู้สึกซาบซึ้งมาก จึงให้เงินทุนมาก้อนหนึ่งเพื่อลงทุนทำมาหากิน เจ้าของแมวคนนั้นก็นำเงินไปลงทุน กิจการเจริญรุ่งเรืองดี ก็เลยเกิดความเชื่อที่ว่าแมวเป็นผู้นำโชคมาให้
โคมไฟขนาดยักษ์หน้าวัดอาซะกุซ่า

เราอำลาวัดอาซะกุซ่าตอนประมาณบ่าย 3 โมง 45 เพื่อเดินทางต่อไปยังย่านชินจูกุ แหล่งบันเทิง ย่านธุรกิจและแหล่งช้อปปิ้งแหล่งใหญ่แห่งหนึ่งของโตเกียว เปรียบเทียบแล้วก็คล้ายๆกับสยามสแควร์บ้านเรานั่นเอง คุณไกด์ทั้งสองทิ้งลูกทัวร์ให้เพลิดเพลินกับการละลายเงินเยนในกระเป๋าถึงเกือบ 3 ชั่วโมง ที่ชินจูกุนี้เป็นแหล่งรวมวัยรุ่นและเป็นแหล่งรวมข้าวของเครื่องใช้สารพัดชนิดตั้งแต่ เสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า เครื่องสำอาง เครื่องใช้ไฟฟ้า อุปกรณ์คอมพิวเตอร์และ accessories อื่นๆอีกมากมาย สนนราคาก็มีตั้งแต่แพงกว่าบ้านเรา ไม่ต่างกัน หรือถูกกว่าบ้านเรามากก็มี ซึ่งในแต่ละร้านราคาก็จะไม่ต่างกันเท่าไร ซื้อร้านไหนก็ได้ คุณเต๋อกับคุณโต้บอกว่าถ้าจะดูพวกเครื่องใช้ไฟฟ้า อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ ให้เข้าไปที่ร้านซากุระยะ (Sakuraya) หรือร้านบิก คาเมร่า (Bic Camera) หรือร้านโยโดบาชิ (Yodobashi Camera) ถ้าจะซื้อเครื่องสำอาง อุปกรณ์ประทินโฉมต่างๆ ให้ไปดูที่ร้านมิตซึโมโตะ คิโยชิ (Mitsumoto Kiyoshi) ถ้าอยากดูของในห้างสรรพสินค้าไฮโซแบบพารากอน ก็เข้าไปดูได้ที่อิเซตัน (เจ้าของเดียวกับอิเซตัน ราชประสงค์บ้านเรา) หรือมารุอิ (Marui 0101) แต่เนื่องจากว่าฉันไม่มีเป้าหมายในการซื้อของอะไรพวกนี้เลย 3 ชั่วโมงของฉันก็เลยเป็นการเดินทอดน่องเสียมากกว่า เข้าร้านนั้นออกร้านโน้นแบบที่คุณเต๋อแนะนำให้ไป เครื่องใช้ไฟฟ้าหรืออุปกรณ์อิเล็คทรอนิคส์ถ้าจะซื้อต้องตรวจสอบดีดีว่ารองรับเมนูภาษาอังกฤษมั๊ย ไม่ใช่ว่ามีแต่ภาษาญี่ปุ่น เอาไปใช้เมืองไทยก็ยุ่งเลย หรือว่าระบบไฟที่ใช้เป็นแบบไหน ใช้กับบ้านเราได้หรือเปล่า หลายๆร้านเช่น Bic Camera พนักงานจะพูดภาษาอังกฤษได้ค่อนข้างดี เนื่องจากมีลูกค้าต่างชาติเข้ามาอยู่เป็นประจำ ก็ทำให้สะดวกสบายในการสอบถามข้อมูลมากขึ้น ถึงจะเดินไปเดินมาอย่างไร้จุดหมาย สุดท้ายฉันก็ได้ซื้อของจนได้ เพราะว่าเดินผ่านร้านขายของ Sanrio ก็เลยได้ซื้อที่ห้อยมือถือรูป Hello Kitty อีกหลายอันเลย เนื่องจากอย่างที่บอกว่าแต่ละร้านแบบไม่ซ้ำกันเลย ร้านนี้ก็เหมือนกัน มีแบบที่เคยเห็นที่ร้านในเมืองอื่นแล้วอยู่แค่แบบหรือ 2 แบบเท่านั้น ที่เหลือก็เป็นแบบที่ยังไม่เคยเห็น น่ารักมากๆ ยั่วน้ำลายเล่นได้ตลอด
บรรยากาศวุ่นๆในย่านชินจูกุ

หลังจากให้เวลาจับจ่ายใช้สอยอย่างสบายอารมณ์แล้ว ชาวคณะนัดเจอกันตอนทุ่ม 45 ที่หน้าร้าน ABC Mart ซึ่งเป็นร้านขายรองเท้าร้านใหญ่แห่งหนึ่งเปิดตลอด 24 ชั่วโมง หลายคนได้กล้องดิจิตอล คุณจุ่น District Manager ได้กล้องวีดิโอดิจิตอลกลับมาตามออเดอร์ของน้องชายที่เมืองไทย แต่ส่วนใหญ่จะไม่ได้อะไรติดไม้ติดมือมาซะมากกว่า เพราะตั้งแต่หนึ่งทุ่ม หลายคนก็มานั่งรอที่ร้านขายกาแฟ หรือนั่งบนที่นั่งพักข้างๆร้าน ABC Mart กันแล้ว เนื่องจากเหตุผลเดียวกันคือเมื่อยเพราะไม่รู้จะซื้ออะไร ... วันนี้เราไปกินอาหารค่ำที่ร้าน Kani อะไรซักอย่าง อยู่บนชั้น 8 ของอาคารสำนักงานแห่งหนึ่ง ที่ร้านนี้จะเน้นอาหารที่เป็นปู ปู ปู แล้วก็ปู บรรยากาศในร้านถูกตกแต่งให้เป็นสมัยญี่ปุ่นโบราณ (น่าจะสมัยเอโดะ) เมนูที่เรารับประทานกันมื้อนี้ก็เป็นปูทั้งหมด โดยทางร้านจะเสิร์ฟปูที่นึ่งหรือต้มแล้วมาให้ แต่ถ้าเราอยากทำให้เป็นปูย่างก็นำขึ้นเตาย่างซึ่งเขาเตรียมไว้ให้ได้ นอกจากนั้นก็มีมันปู สีเขียวๆ มีสลัดปู ตบท้ายด้วยข้าวผัดมันปูและแตงเมลอนเป็นของหวาน สำหรับปูที่ให้กินนี้ ที่ร้านก็จะมีน้ำจิ้มไว้ให้เหมือนกัน ลักษณะคล้ายซีอิ๊วเสียมากกว่า แต่เนื่องจากเวลาคนไทยกินปูก็ต้องกินคู่กับน้ำจิ้มซีฟู้ด คุณไกด์ คุณกุกและคุณจุ่นจึงเตรียมน้ำจิ้มซีฟู้ดไว้ให้เรียบร้อย ใครใคร่จิ้มอันไหนก็จิ้มได้เลย

ตั้งแต่ก่อนเดินทางไปวัดอาซะกุซ่าแล้ว คุณเต๋อได้ขออนุญาตเพิ่มโปรแกรมหลังจากรับประทานอาหารค่ำวันนี้ แกบอกว่าหลังจากที่พวกเราได้เห็นโลกที่สวยงาม มุมมองที่สวยงามของญี่ปุ่นตลอดทริปการเดินทางที่ผ่านมา ซึ่งถือว่าเป็นโลกสีขาว คราวนี้ทีมงานของพาทุกๆท่านก้าวข้ามผ่านโลกสีขาวไปสู่โลกสีเทาของญี่ปุ่นบ้าง นั่นก็คือหลังรับประทานอาหารค่ำ จะมีการพาไปดูการแสดงโชว์แบบ Striptease (อันนี้ฉันเปรียบเทียบเอาเอง ตามที่คุณเต๋ออธิบาย) ผู้หญิงที่แสดงโชว์นี้จะเป็นระดับนางเอกหนัง AV ทั้งนั้น (หนังโป๊ในญี่ปุ่น) ไม่ใช่โนเนมทั่วๆไป ในคลับนี้จะไม่มีการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ผู้ชมที่เป็นแฟนคลับของนักแสดงคนไหน ก็สามารถเตรียมของขวัญเอาไว้ให้หน้าเวทีได้เลย บางคนให้ของใช้หรือเครื่องครัวประเภทกระทะ หม้อหุงข้าวก็มี ขำดี!! คุณเต๋อก็เลยถามว่าใครอยากจะไปชมบ้าง ถ้าคนที่ไม่ไป หลังกินข้าว เขาก็จะพากลับโรงแรมก่อน ปรากฏว่าก็มี 3 คนเท่านั้นที่ไม่ไป ก็คือคุณพี่คนท้อง หมอนาแล้วก็ฉัน ซึ่งจริงๆแล้วฉันก็อยากไปดูนะ มันก็ไม่ได้เสียหายอะไร ไปดูเพื่อให้รู้เท่านั้น แต่หมอนาไม่ไปฉันก็เลยไม่ไปก็ได้ ดังนั้นหลังจากที่เรากินอาหารกันเรียบร้อยแล้ว ฉันก็กลับโรงแรมเลย โรงแรมที่เราพักกันในคืนนี้ชื่อว่าโตเกียวโดม (Tokyo Dome Hotel) เป็นโรงแรมที่มีนักท่องเที่ยวชาวไทยมาพักกันมากพอสมควร ทัวร์มาลงที่นี่เยอะ เนื่องจากว่าเป็นโรงแรมระดับ 4 ดาว ใจกลางเมือง สร้างขึ้นเพื่อรองรับโตเกียวโดม ซึ่งเป็นสถานที่สำหรับจัดการแข่งขันกีฬาสำคัญๆ รวมถึงคอนเสิร์ตใหญ่ๆระดับอินเตอร์มาแล้วหลายต่อหลายงาน ซึ่งเมื่อได้เข้าไปพักแล้วก็รู้สึกว่าดีสมคำร่ำลือ สะอาด ทันสมัย อุปกรณ์อำนวยความสะดวกพร้อม โรงแรมมีทั้งหมด 43 ชั้น ฉันพักอยู่ที่ชั้น 9 ห้อง 928

(... ยังมีต่อ つづく...)


Create Date : 09 พฤศจิกายน 2551
Last Update : 13 ธันวาคม 2551 12:43:59 น. 0 comments
Counter : 863 Pageviews.  
 
Name
Opinion
*ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก

katiekat
 
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 8 คน [?]




ต้องการสอบถามข้อมูลการเดินทางทริปต่างๆที่แคทไปแล้ว ให้ติดต่อผ่านอีเมล์ chayadak@hotmail.com หรือ chayadak@yahoo.com นะคะ เพราะว่าหลายคนทิ้งไว้ในกล่องข้อความของ bloggang แต่แคทไม่ค่อยได้เปิดเลย ทำให้พอมาเปิดอีกที เวลาผ่านไปเกือบปี (แป่ววว!! เค้าจะรอหล่อนตอบมั้ยเนี่ย เค้าไม่โบยบินไปถึงไหนต่อไหนแล้วรึ)... ยินดีและเต็มใจตอบทุกคำถามที่พอจะช่วยได้ค่ะ
New Comments
[Add katiekat's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com