The Big Short (2015)

ใครที่เรียนหรือสนใจด้านการเงินอยู่แล้วยังไงก็เชียร์ว่าต้องดู หนังหยิบเอาเรื่องกลุ่มคนที่ตักตวงผลประโยชน์จากวิกฤตการณ์แฮมเบอร์เกอร์ (วิกฤตเศรษฐกิจในสหรัฐฯ ครั้งรุนแรงที่สุด) มาย่อยเป็นหนังให้เข้าใจง่ายและเต็มไปด้วยความหรรษาในการเล่าเรื่องกลุ่มคนที่เอาชนะระบบการเงินโดยอาศัยการทำนายอนาคตจากข้อมูล insight ของแท้ที่ไม่ใช่ข้อมูลจากสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือที่เต็มไปด้วยผลประโยชน์ทับซ้อน แม้ว่าการเอาชนะครั้งนี้จะทำให้พวกเขาร่ำรวยขึ้นเป็นกอบเป็นกำแต่ผู้แพ้ตัวจริงกลับกลายเป็นประชาชนทั่วไปที่ตกเป็นเหยื่อของระบบการเงิน (แนะนำให้หาสารคดี Inside Job มาดูเพื่อเพิ่มความเข้มข้น)
.
หนังเล่าถึงนักลงทุน 3 กลุ่มที่เห็นช่องทางทำเงินจากการล่มสลายของตลาดอสังหาริมทรัพย์โดยการซื้อชอร์ต (คือการเก็งกำไรจากราคาหุ้นที่จะตกลงในอนาคต โดยการยืมหุ้นที่เราไม่ได้เป็นเจ้าของมาขายก่อน ซึ่งจะมีเบี้ยค่ายืมรายปีด้วย) พวกเขาทั้ง 3 มั่นใจว่าการปล่อยกู้อสังหาจะต้องเกิดฟองสบู่แตกอย่างแน่นอนทั้ง ๆ ที่มันคือธุรกิจที่กำลังรุ่งเรืองขั้นสุด จึงเกิดเป็นดีล win-win ที่ธนาคารก็คิดว่าได้เงินฟรีเพราะยังไงหุ้นก็ไม่ร่วง ในขณะที่พวกเขามั่นใจว่ายังไงก็ร่วงจึงทุ่มหมดหน้าตัก
.
บทหนังฉลาดมากในการทำให้คนทั่วไปเห็นภาพกว้าง ๆ ของวิกฤตการณ์แฮมเบอร์เกอร์ว่าเกิดจากปัญหาตรงไหนทำไมถึงล้มครืนครั้งใหญ่อันนำไปสู่การตั้งคำถามต่อธนาคารและสถาบันจัดอันดับที่ส่อเค้าว่าจะมีการฉ้อฉลใช้กลโกงทางการเงิน ลำดับการเล่าเรื่องผ่านการทำนายหุ้นและการหาข้อมูลมายืนยันน้ำหนักการลงทุนเป็นช่วงที่เล่าได้ย่อยง่ายอย่างเพลิดเพลิน (คือเทียบกับตอนเราดูสารคดี Inside Job แล้วคงต้องชมว่า Big Short มันง่ายกว่าเยอะจริง ๆ)
.
การที่หนังได้ผกก.สายคอเมดี้อย่าง 'อดัม แม็คเคย์' (Anchorman, Step Brothers, The Other Guys) มาทำหนังเนื้อหาหนัก ๆ จึงได้เห็นการรับส่งมุกตลอดจนลูกเล่นการหันมาพูดคุยกับคนดูโดยตรงและอารมณ์ขันผ่านแอ็คติ้งของนักแสดงอยู่ตลอดทั้งเรื่อง ซึ่งช่วยให้หนังดูไม่ซีเรียสจนเกินไป โดยนักแสดงอย่าง ไรอัน กอสลิ่ง และ สตีฟ คาเรลล์ ถือเป็นตัวสร้างสีสันชั้นดีให้แก่หนังเลย
.
เตือนก่อนว่าหนังต้องใช้ความเข้าใจเรื่องการลงทุนพื้นฐานอยู่บ้าง ยิ่งถ้าเรียน/สนใจ/ทำงานด้านนี้อยู่แล้วจะยิ่งดูสนุกมากขึ้นหลายเท่า หรือถ้าไม่รู้เลยแต่อยากดูก็ควรกลับมานั่งหาข้อมูลต่อเพื่อจะได้เข้าใจหนังได้มากขึ้น

Director: Adam McKay
book: Michael Lewis
screenplay: Adam McKay, Charles Randolph

Genre: biography, drama
8/10




 

Create Date : 08 มกราคม 2559   
Last Update : 8 มกราคม 2559 16:20:24 น.   
Counter : 1158 Pageviews.  

จักรกลอัจฉริยะ

Buy Cheap Computer A.I. Artificial Intelligence (หรือ Artificial Intelligence: A.I. หรือ A.I.) เป็นภาพยนตร์ไซไฟ ที่กำกับโดยสตีเวน สปีลเบิร์ก ออกฉายในปี พ.ศ. 2544 ในประเทศไทยใช้ชื่อว่า "จักรกลอัจฉริยะ"


ภาพยนตร์เรื่องนี้ แต่เดิมเป็นโครงการของสแตนลีย์ คูบริก ผู้กำกับภาพยนตร์ชาวอังกฤษ โดยได้รับการสนับสนุนทางการเงินจากวอร์เนอร์ บราเทอร์ส มีที่มาจากเรื่องสั้นในชุด "หัวใจหุ่นยนต์" ชื่อ Super-Toys Last All Summer Long (ไทย: ของเล่นวิเศษอยู่ได้ตลอดฤดูร้อน) ของไบรอัน อัลดิส นักเขียนชาวอังกฤษ ที่ตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อเดือนธันวาคม ค.ศ. 1969  คูบริกได้ซื้อลิขสิทธิ์การสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้จากอัลดิส และว่าจ้างให้อัลดิสขยายเรื่องออกเป็นเรื่องยาว และเขียนบทสำหรับสร้างภาพยนตร์ ในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1982

อัลดิสเขียนบทร่วมกับคูบริกอยู่เป็นเวลา 8 ปี จนถึงปี ค.ศ. 1990 แต่เกิดขัดแย้ง และแยกทางกัน คูบริกว่าจ้างนักเขียนชื่อ เอียน วัตสัน มาเขียนบทแทน เปลี่ยนชื่อเรื่องเป็น "A.I." และดำเนินโครงการต่อไป โดยแนวคิดบางส่วนในเรื่อง เช่น บทบาทของ Blue Fairy (นางฟ้าสีน้ำเงิน) คูบริกได้แรงบันดาลใจมาจากนิทานเรื่องพิน็อกคิโอ แต่แล้วเขาก็เสียชีวิตเมื่อปี ค.ศ. 1999 ก่อนจะเริ่มการถ่ายทำ

หลังจากคูบริกเสียชีวิต อัลดิสได้เขียนเรื่องสั้นตอนใหม่ในชุด "หัวใจหุ่นยนต์" คือเรื่อง Super-Toys When Winter Comes (ไทย: ของเล่นวิเศษเมื่อฤดูหนาวมาเยือน) และ Super-Toys in Other Seasons (ไทย: ของเล่นวิเศษในฤดูอื่นๆ) และนำไปเสนอให้กับแจน ฮาร์แลน ผู้อำนวยการสร้าง ซึ่งเป็นพี่ของภรรยาคูบริก

สตีเวน สปีลเบิร์ก ได้เข้ามารับช่วงต่อจากสแตนลีย์ คูบริก และได้เขียนบทภาพยนตร์ต่อ โดยใช้โครงเรื่องจากเรื่องสั้นทั้งสามเรื่องของอัลดิส โดยคงชื่อภาพยนตร์ว่า A.I. ตามความตั้งใจเดิมของคูบริก

ภาพยนตร์เริ่มถ่ายทำเมื่อ ค.ศ. 2000 แล้วเสร็จออกฉายเมื่อ ค.ศ. 2001




 

Create Date : 29 ตุลาคม 2557   
Last Update : 29 ตุลาคม 2557 17:53:35 น.   
Counter : 859 Pageviews.  

10 หนังดีแนะนำให้ดู

10 หนังดีแนะนำให้ดูนี้เป็นความชอบส่วนตัวของบล็อกเกอร์คนนี้ครับ จริง ๆ แล้วมีมากกว่านี้เอาเป็นว่าแล้วจะหามาฝากอีกเรื่อย ๆ อย่าลืมติดตามนะครับ และขอเชิญมาร่วมแบ่งบันความคิดเห็นและความรู้สึกดี ๆ ร่วมกันตลอดไป ( ", )

PATCH ADAMS: สร้างมาจากเรื่องจริงของคุณหมอ ฮันเตอร์ อตัม ซึ่งครังหนึ่งเคยประสบปัญหาชีวิตแล้วก็สมัครใจเข้าไปอยู่ในสถาบันโรคจิตในฐานะผู้ป่วย แล้วเขาก็ค้นพบเป้าหมายของชีวิตของเขาภายหลังจากการที่ได้ช่วยเพื่อน ๆ ของเขาในโรงพยาบาลบ้า สิ่งนี้จึงเป็นแรงบันดาลใจให้เขาออกจากโรงพยาบาลบ้า และสาบานว่าจะเป็นคุณหมอเพื่อรักษาผู้คนด้วยวิธีของเขาให้ได้ แต่ทว่าวิธีของเขาดูเหมือนว่าจะไม่ค่อยเป็นที่ยอมรับในวงการแพทย์ทั่วไปในตอนนั้น มาชมเรื่องราวที่คุณจะไม่มีวันลืมจากชีวิตจริงของคุณหมอ ฮันเตอร์ อดัม ใน Patch Adams

 

I am Sam: เมื่อความรักคือทุกสิ่งที่คุณต้องการ เรื่องราวประทับใจของแซม ดอว์สัน พ่อซึ่งมีปัญหาทางสมองของเด็กหญิงที่ชื่อ ลูซี่ เขาเลี้ยงดูเธอจากความช่วยเหลือของกลุ่มเพื่อนที่ไม่ธรรมดาของเขา และเมื่อลูซี่อายุได้เจ็บขวบ ซึ่งพัฒนาการทางปัญญากำลังก้าวล้ำหน้าผู้เป็นบิดาความสัมพันธ์ของทั้งสองก็ถูกคุกคามจากการเข้ามาแทรกแซงของนักสังคมสงเคราะห์ที่ต้องการดูแลลูซี่ แทน เมื่อต้องเผชิญกับคดีที่มองไม่เห็นทางชนะ แซมปฎิญาณว่าจะต้องต่อสู้กับกระบวนการทางกฎหมายให้ถึงที่สุด มาเป็นเป็นกำลังใจให้พ่อลูกคู่นี้ได้ใน I am Sam แล้วคุณจะรู้ว่า ความรักคือทุกสิ่งที่คุณต้องการ

 

A BEAUTIFUL MIND: จากเรื่องจริงของอัจฉริยะทางคณิตศาสตร์ จอร์น ฟอร์บส์ แนช จูเนียร ที่รักษาอาการจิตของเค้าเองด้วยคณิตศาสตร์  เค้าได้ปฎิเสธทฤษฎีของอดัม สมิธ ผู้เป็นบิดาของเศรษฐศาสตร์สมัยใหม่โดยสิ้นเชิง และในปี 1994 เขาได้รับรางวัลโนเบล หลังจากนั้นเขาได้สร้างทฤษฎีขึ้นมาใหม่ซึ่งเรียงว่าทฤษฎีสมดุลระบบ ซึ่งต่อมากลายเป็นความคิดที่มีอิทธิพลมากที่สุดในทศวรรษที่ 20 และได้เป็นรากฐานของเศรษฐศาสตร์แผนใหม่ ทั้งหมดนี้ติดตามดูได้ใน A beautiful mind

 

THE GREEN MILE: เป็นเวลาหลายปีที่ พอล เอดจ์คอมป์ ได้ทำงานเป็นหัวหน้าผู้คุมนักโทษประหารที่ cold mountain penitentiary  งานของเค้าคือการดูแลนักโทษประหารที่รอเดินผ่านทางที่เรียกว่า กรีนไมล์ เส้นทางสีเขียวที่นักโทษใช้เป็นทางเดินจากกรงขังไปสู่ก้าวอี้ไฟฟ้า ในบรรดานักโทษหลายต่อหลายคนเขาไม่เคยผูกพันกันนักโทษคนใดเท่ากับ จอร์น ค็อฟฟี่ นักโทษผิวดำร่างยักษ์ที่ต้องคดีฆาตกรรมเด็กหญิงสองคน แต่พฤติกรรมของเขากับตรงกันข้ามกับสิ่งที่ใคร ๆ เห็น เขารักความสงบ อ่อนโยน และกลัวความมืด นอกจากนี้จอร์น ยังมีพลังวิเศษเหนือธรรมชาติ สิ่งเหล่านี้ก่อความสงสัยในใจของ เอดจ์คอมป์ว่า ค็อฟฟี่สังหารเด็กหญิงทั้งสองคนหรือไม่ ติดตามดูได้ใน The greeen mile

 

CAST AWAY: หลังจากเกิดอุบัติเหตุทางเครื่องบิน ชัค โนแลนด์ วิศวกรระบบของบริษัทรับส่งพัสดุด่วน FedEx ถูกทิ้งอย่างโดดเดี่ยวบนเกาะร้างที่ไกลออกไป ห่างไกลจากความสะดวกสบายในชีวิตประจำวันเขาจะทำอย่างไรเพื่อตอบสนองความต้องการพื้นฐานเพื่อการอยู่รอด มาดูการแก้ปัญหาของนักแก้ปัญหาชั้นเยี่ยมในภาพยนต์เรื่องนี้ เป็นเวลา 4 ปี ที่เขาต้องติดอยู่บนเกาะ เขาใช้ชีวิตอย่างไร ใน Cast away

 

THE TERMINAL: เรื่องราวของ วิคเตอร์ นาวอร์สกี้ ชาวยุโรปตะวันออกที่เดินทางมายังนิวยอร์กซิตี้ในขณะที่บ้านเกิดของเขาเกิดเหตุรุนแรงกระทันหัน ระหว่างที่เขาบินลัดฟ้ามายังอเมริกา ทำให้วิคเตอร์ต้องติดแหงกอยู่ที่สนามบินนานาชาติ จอห์น เอฟ เคนเนดี้ พร้อมกับพาสปอร์ตที่ไร้สังกัด และไม่ได้รับอนุญาติให้เข้าประเทศอเมริกา วิคเตอร์ต้องใช้ชีวิตทั้งกลางวันกลางคืนอยู่ในอาคารผู้โดยสารจนกว่าสงครามที่บ้านเกิดของเขาจะสิ้นสุดลง ซึ่งกินระยะเวลาอันยาวนาน เชิญพิสูจน์เรื่องราวอันสุดแสนประทับใจได้ใน ภาพยนต์เรื่องนี้ The terminal

 

THE HOLIDAY: เรื่องราวของความรักอันสุดแสนโรแมนติก ของคู่รัก  คู่ซึ่งก่อเกิดมาจากความรักความเข้าใจ ท่ามกลางความสับสนของหัวใจ ภาพยนต์เรื่องนี้จะทำให้คุณรู้ว่าความรักมีค่าแค่ไหน และควรถนอมมันไว้ให้ดีที่สุดอย่างไร แล้วคุณจะต้องหลั่งน้ำตาให้กับ The holiday

 

FREQUENCY: ถ้าคุณมีโอกาศย้อนอดีตเพื่อแก้ไขความผิดพลาดหนึ่งอย่างในชีวิต มันจะเป็นยังไง สำหรับจอห์น ซิลลิแวน ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันที่ 12 ตุลาคมปี 1969 เมื่อบิดาของเขาซึ่งเป็นนักผจญเพลิงผู้กล้าหาญต้องเสียชีวิตในระหว่างปฎิบัติหน้าที่ คงเป็นเหตุการณ์เดียวที่เขาจะเลือกมาแก้ไข ภาพยนต์เรื่องนี้ผสมผสานระหว่างนิยายวิทยาศาสตร์ เรื่องราวลี้ลับ ความสัมพันธ์ในครอบครัว ไปจนถึงความลับในมิติเวลาที่น่าฉงน เชิญพิสูจน์ได้ใน Frequency

 

NOTHING HILL: ภาพยนต์ความรักที่สุดแสนโรแมนติก ตลกเบาสมอง ที่ใคร ๆ ก็รู้จัก เอามาให้ลองชมกันดูอีกทีครับ เรื่องนี้มีเพลงเพราะ ๆ อยู่หลายเพลงเลยทีเดียว สำหรับใครที่พลาดไป ลองหามาชมดูนะครับ

 

คุณยายผมดีที่สุดในโลก: ปิดท้ายด้วยหนังเกาหลีดี ๆ แนะนำให้ดูครับ แล้วคุณจะรักคุณยายอีกร้อยเท่าพันทวี เป็นหนังที่ดำเนินเรื่องได้ดีมาก ๆ พร้อมภาพและฉากชนบทของประเทศเกาหลีที่งดงาม ป.ล. วันนี้คุณคิดถึงคุณยายแล้วหรือยัง?

ชาติหน้านายแบบ: ครับเป็นหนังไทยอีกเรื่องหนึ่งที่ควรพลาด ตอนนี้ยังไม่มีกำหนดแน่นอนที่จะเปิดกล้อง ต้องรอให้พระเอกหุ่นดีและหน้าตาดีกว่านี้ก่อน นางเอกก็ดูเหมือนจะหายากเอาการ แต่คาดว่าจะเป็นหนังที่ทำให้ผู้ชมหลับสบาย รายได้ถล่มทลายกระเป๋าผู้สร้างอย่างชนิดที่ว่าหมดตัวกันเลยทีเดียว




 

Create Date : 19 กรกฎาคม 2557   
Last Update : 19 กรกฎาคม 2557 21:17:46 น.   
Counter : 1086 Pageviews.  

เหตุผลที่ควรดูหนังพร้อมแฟน

เห็นในไทม์ไลน์พูดเรื่องเดียวกันมานานเป็นอาทิตย์แล้วเกี่ยวกับภาพยนตร์ ไม่ “พี่มากฯ” ก็ “คู่กรรม” รู้สึกอึดอัดใจนิดหน่อยเพราะยังไม่ได้ดู ที่จริงแล้วยังไม่เห็นโปสเตอร์ของจริงจากทั้งสองเรื่องนี้เลยมากกว่า เนื่องจากแทบจะไม่ได้โผล่ไปย่างกรายแถวๆ ที่มีโรงฯ เลยอะนะ นับๆ แล้วก็โคตรนานที่ไม่ได้เข้าโรงหนังเลย นี่นั่งนึกอยู่ว่าล่าสุดที่ไปดูมาคือเรื่องอะไร…จำไม่ได้แล้วอะ

ที่จริงก็มีจังหวะที่จะได้ไปดูอยู่บ้างแหละ แต่สุดท้ายก็ไม่มีบุญวาสนาพอ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเวลาเราไม่ตรงกัน เราที่ว่าคือผมกับแฟนนั่นแหละครับ (ที่จริงเธอก็ชวนๆ ไปดู แต่บางวันก็เหนื่อยเกินจะกลับบ้านดึกดื่น ก็เลยอด ไรงี้) ครั้นจะไปดูคนเดียวมันก็รู้สึกว่าเป็นบาปเล็กน้อย ซึ่งที่จริงมันก็ไม่บาปอะไรนี่หว่า แต่ทำไมเราต้องรู้สึก วันนี้ก็เลยมานั่งนึกๆ พบว่า “สาเหตุที่เราต้องไปดูหนังพร้อมแฟน” มันน่าจะมีประมาณนี้ แต่ก่อนอื่นเริ่มจาก ทำไมเราต้องดูหนังก่อนดีกว่า

นอกจากจะเพื่อความบันเทิงส่วนตัวแล้ว การดูหนังนั้นเป็นการเสริมสถานะทางสังคม และสร้างภูมิต้านทานไปด้วยพร้อมๆ กัน ที่ว่าเสริมก็คือ กูจะได้ไม่ตกยุค ใครพูดอะไรก็สนุกด้วยได้ เออออไปด้วยได้ หรือพอเวลามีบทวิจารณ์จากกูรูก็จะได้อ่านและวิเคราะห์ตามไปได้ด้วย คือแค่ยก Quote มาแล้วเติมความเห็นไปนิดหน่อยแม่งก็โคตรเท่แล้วอะ คิดดู กูนี่ทันสมัยแถมยังมีความคิดอีกด้วยนะโว้ย ฯลฯ นอกจากนั้นการไปดูหนังก็ยังเป็นอาวุธเอาไว้แกล้งเพื่อนได้ด้วยนะ แกล้งสปอยล์แม่ง หยอกเย้าให้มันโมโหอย่างบันเทิงเริงใจ แต่ในขณะเดียวกันก็ยังเป็นโล่ป้องกันการสปอยล์จากคนอื่นด้วย ประมาณว่าไปเช็กชื่อมาแล้ว มึงไม่มีสิทธิที่จะมารังแกกูแต่อย่างใด วะฮ่าฮ่า อะไรทำนองนั้น

และที่จริงการดูหนังสักเรื่องมันก็โคตรจะง่าย ง่ายกว่าเติมตังค์โทรศัพท์มือถืออีกล่ะมั้ง แต่กระนั้นเราก็ยังต้องรอไปดูกับแฟน เพราะอะไร?​

เพราะเราไม่รู้อนาคตไงครับ ถึงแม้เราจะขอวีซ่าไปดูคนเดียวได้โดยมีสนธิสัญญาว่าห้ามงอนนะเธอ อย่าหาว่าทิ้งนะมึง เราก็ไม่รู้ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร เผื่อว่าวันดีคืนดีบิ๊กซีนีม่ามันจะเอาฉายตอนที่กำลังอยู่ด้วยกันพอดี มันก็กดดันนะครับ

กดดันที่ 1 : คันปากอยากจะเล่าว่าแม่งสนุกยังไง ไม่สนุกยังไง แถมไม่ว่าทางไหนแม่งก็บัดซบทั้งขึ้นทั้งล่อง ถ้ามันเกิดสนุกขึ้นมา ไปเล่า นอกจากจะโดนตบปากว่าสปอยล์แล้วก็ยังอาจมีสงครามเย็นย่อยๆ เกิดขึ้น “ใช่สิ มึงหนีกูไปดูมานี่ จำได้นะอีห่า ให้กูทำงานงกๆๆ ส่วนมึงไปนั่งตากแอร์รัวๆ สองชั่วโมง สัด” “เออ ก็ตัวเองดูแล้วนี่ งั้นเราเปลี่ยนดีกว่า ขี้เกียจดูแล้ว”​ (อ้าว…) “สนุกมากมะ?” (นั่น…) เป็นต้น

กดดันที่ 2 : ถ้าเกิดหนังแม่งไม่สนุก เราก็อดที่จะด่าไม่ได้พอถึงฉากที่ตรึงใจว่าไอ้ห่าเอ๊ย เสียดายเงิน (แต่กระนั้นส่วนใหญ่ก็ต้องบอกว่ามันไม่ค่อยสนุก เพราะความเสี่ยงที่จะโดนงอนมันน้อยกว่ามาก เนื่องจากเธอจะมัวแต่อยากสมน้ำหน้า ฮ่า​ๆ) และถึงแม้จะไม่ออกอาการอะไร แต่การจะปล่อยปะละเลยนั้นมันก็ผิดมหันต์​ ครั้นจะก้มหน้าเล่นมือถือ เปิดคอมเฟซบุ๊ก แม่งก็ทำไม่ได้ เพราะจะถูกด่าซ้ำซากว่า​​ “โหย นี่ตอนไปดูก็หนีไปดูคนเดียว นี่ยังจะมาปล่อยให้เราดูคนเดียวอีกเหรอ วตฟ.”​ (ปิดคอม)

และถึงแม้การดูหนังจะมีผลดีอย่างที่เล่าไปตอนบนๆ ว่าเสริมสถานะทางสังคม สุดท้ายแล้วถ้าไปดูมาคนเดียว เราก็ไม่สามารถสังสรรค์กับเพื่อนในโลกออนไลน์ได้หรอกครับ ยิ่งกับทอปปิกที่เข้มข้นและต้องใช้การสนทนาอย่างลึกซึ้งแล้วละก็ยิ่งหมดหวัง เพราะถ้าเกิดเธอดันมาอ่านเจอก็อาจเป็นชนวนทำให้เกิดดราม่าได้ในที่สุด ทางที่ดีควรจะไปดูพร้อมๆ กันนี่แหละ

ที่สำคัญที่สุด ไปดูกับแฟนก็เพราะเผื่อว่าเธอจะเลี้ยง เดี๋ยวนี้หนังเรื่องนึงตั๋วแม่งยังกะค่ากระสวยอวกาศ ถ้าสามารถหลอกให้ไปเลี้ยงได้นี่ก็จะประหยัดด้วยแถมยังได้อัพสถานะความคูลความชิกในตัวเองด้วยนะ ยอดคุ้มเลยอะ (สุดท้ายกูก็ไปเลี้ยงข้าวอยู่ดี แพงกว่าด้วย /ทรุด)

บางคนอาจมีทางแก้ปัญหาด้วยการ “ดูสองรอบ” ซึ่งส่วนตัวแล้วผมคิดว่าเป็นทางที่ใช้ได้ไม่ค่อยจริงหรอกครับ ความเสี่ยงมันเยอะเกินไป เกิดแม่งไม่สนุกขึ้นมา ส่วนตัวก็ไม่อยากจะดูซ้ำอยู่แล้ว แถมพอบอกให้เธอไม่ต้องดู แล้วบิ๊กซีนีม่าแม่งเอามาฉายหรือไปนั่งหน้าร้านข้าวมันไก่ที่ติดกับร้านเช่าดีวีดีแล้วแม่งมีโปสเตอร์แปะอยู่ ก็อาจจะมีการพูดคุยถึงหนังเรื่องดังกล่าว และทุกอย่างจะย้อนกลับไปที่ กดดันที่ 2  นั่นเอง ซวยกูอีก แล้วส่วนใหญ่เรา (เอ่อ หรือไม่ก็ผมคนเดียว) ไม่ชอบดูอะไรสองรอบในเวลาติดๆ กัน น้อยครั้งมากที่จะดูหนังซ้ำรอบ เพราะคิดว่ามันแพงเกินไป และส่วนใหญ่มันไม่สนุกสนานอะไรขนาดนั้น ทิ้งมันไว้นานๆ ก่อนแล้วค่อยกลับมาดูอาจจะดีกว่า ดังนั้นทางนี้ไม่ใช่ทางออก

อืม…ก็เป็นเหตุผลที่เราควรไปดูหนังกับแฟนอะเนอะ นั่นแหละ สำหรับผม เพราะเวลาไม่ค่อยตรงกัน (โดยเฉพาะช่วงนี้) ก็เลยทำให้ยังไม่ได้ดูอะไรสักกะเรื่องนึง ทั้งพี่มาก พี่ไม่มาก คู่กรรม คู่แบ ฯลฯ

แต่ไม่เป็นไร ยังไงเราก็ไม่รู้อนาคตอยู่ดี เผื่อว่าวันหนึ่งบิ๊กซีนีม่ามันจะเอามาฉายใหม่ ไว้ค่อยนั่งดูพร้อมกันตอนนั้นหนังอาจจะสนุกกว่าเดิมก็ได้




 

Create Date : 19 มิถุนายน 2557   
Last Update : 19 มิถุนายน 2557 19:15:57 น.   
Counter : 981 Pageviews.  

วิจารณ์หนัง : The secret life of walter mitty ภาพถ่ายที่หายไป

แม้ว่าทุกช่วงขึ้นปีใหม่จะมีคำพูดว่าให้ทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างของปีที่แล้วไว้กับปีเก่า แล้วเตรียมตัวรับสิ่งใหม่ๆในปีใหม่ แต่ปีที่ผ่านมามีอย่างหนึ่งที่ผมไม่สามารถทิ้งมันไว้ในปีเก่าได้ นั้นคือ The secret life of walter mitty ภาพยนตร์เรื่องสุดท้ายที่ได้ดูในปี2013ของผม

หนังเรื่องนี้ไม่ได้อยู่ในกระแสมากเท่าไหร่ พล็อตเรื่องไม่น่าดึงดูด เบน สตีลเลอร์ ถูกวาดภาพว่าเป็นนักแสดงตลก เมื่อมาทำหนังทั้งในฐานะนักแสดงนำและผู้กำกับจึงมีแรงจูงใจต่อแฟนหนังไม่มากนัก ซํ้าตัวอย่างของมันก็ดูคลุมเครือลึกลับจนยากจะคาดเดาว่าหนังจะออกมาแนวไหน

The secret life of walter mitty เล่าเรื่องของ วอลเตอร์ มิตตี้(เบน สตีลเลอร์) บรรณาธิการภาพของนิตยสารแนวท่องเที่ยวชื่อ L.I.F.E ที่มีนิสัยชอบเหม่อลอย ฝันกลางวันถึงสิ่งที่ตัวเองอยากทำ นอกจากการคัดกรองภาพที่เป็นงาน ความสามารถอย่างเดียวของเขาคือการเล่นสเก็ตบอร์ด วอลเตอร์ แอบชอบ เชอรีล (คริสเต็น วิกก์) สาวแผนกธุรการแต่ไม่กล้าบอก ชีวิตของเขาแสนน่าเบื่อ จมจ่อมกับความฝันเพ้อเจ้อ อุทิศตนเองให้กับการดูแลแม่และน้องสาว

เขาได้พูดคุยกับ เชอรีล เนื่องจากนิตยสาร L.I.F.E ถูกเทคโอเวอร์ ผู้บริหารชุดใหม่จะปลดพนักงานจำนวนหนึ่ง พร้อมปรับมาทำเว็บไซต์แทน L.I.F.E เดินทางมาถึงฉบับสุดท้าย ฌอน โอคอนเนอร์ ช่างภาพชื่อดังส่งภาพที่จะใช้ขึ้นหน้าปกมาที่บริษัท ทว่า ภาพที่25ซึ่ง โอคอนเนอร์ ยํ้าว่าต้องใช้เป็นภาพขึ้นหน้าปกสุดท้ายหายไป วอลเตอร์ ขอความช่วยหรือจาก เชอรีล และเธอให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี แต่ โอคอนเนอร์ ไม่พกมือถือ สิ่งที่เขาทำได้คือ ต้องออกเดินทางไปยังที่ต่างๆเพื่อถามหาภาพที่25กับช่างภาพจอมพเนจร

บทของหนังเรียบง่ายแต่ลึกซึ้งมาก มีเนื้อหาที่ต้องอาศัยการตีความ บอกเล่าสภาพชีวิตของมนุษย์เงินเดือนในสมัยนี้ได้อย่างดี คือหลงลืมความฝันในวัยหนุ่ม บ้างเก็บมันลงในลิ้นชัก บ้างก็โยนลงถังขยะที่ไหนสักแห่ง ก้มหน้าก้มตามุ่งหน้าสู่ออฟฟิศในแต่ละเช้าอย่างไร้จิตวิญญาณ พอเงยหน้ามาอีกทีก็ถึงวันเกษียณแล้ว เพียงแต่ในหนังมีจุดพลิกผันคือการล่มสลายขององค์กร จุดนี้ร่วมสมัยในแง่ของการมองย้อนไปถึงผลกระทบของเทคโนโลยีกับชีวิตคน การเปลี่ยนผ่านจากยุคฟิล์มสู่ดิจิตอล จากหน้ากระดาษสู่หน้าเว็บไซต์ คล้ายกับเป็นบทบันทึกเล็กๆถึงสิ่งที่คลาสสิกกับสิ่งที่ทันสมัย

การถ่ายทอดภาพในหนังสวยงามมาก โดยเฉพาะภาพธรรมชาตินี่น้องๆเนชั่นจีโอกราฟฟิคเลย ไม่คิดว่าจะมีหนังเรื่องไหนทำภาพได้ดีกว่า Gravity ก็มีเรื่องนี้แหละที่เป็นตัวแทนหนังภาพสวยในโลก (Gravity สวยนอกโลก) ส่วนเพลงประกอบโดดเด่นมากโดยเฉพาะเพลง Space Oddity กับ Step Out ที่ปลุกเร้าสองขาให้กระโดดออกไปแตะขอบฟ้าจริงๆ

ด้านการแสดงหนังเรื่องนี้ถือเป็นการท็อปฟอร์มของ เบน สตีลเลอร์ จริงๆ ตลกหน้าตาย เข้มแบบไม่เก๊ก ถ่ายทอดอารมณ์ได้ลึกซึ้ง ตัวละคร มิตตี้ มีพัฒนาการขึ้นเรื่อยๆ จากตอนแรกตามหาภาพถ่าย ช่วงท้ายของการเดินทางเขาพบว่าสิ่งที่หายไปจากชีวิตเขาไม่ใช่ภาพถ่ายใบที่25 แต่เป็นภาพชีวิตที่ผ่านมาของเขา การเสียชีวิตของพ่อทำให้เขาต้องเลิกเล่นสเก็ตบอร์ด ออกมาทำงานหาเลี้ยงครอบครัว รับผิดชอบกับความจริงจนลืมความฝันในการออกเดินทางและใช้ชีวิตเพื่อตัวเองไป

ฌอน เพนน์ ในบท โอคอนเนอร์ เป็นตัวละครที่คมคายมาก หลายคนชอบประโยค "ความงามที่แท้จริงนั้น ไม่เรียกร้องความสนใจ" ของเขาในเรื่อง แต่ผมกลับชอบฉากที่เขาพูดว่า "ภาพบางภาพผมก็ไม่ถ่ายมัน อยากแค่นั่งมองเฉยๆ เพียงเพื่อยืนยันและรับรู้ความรู้สึกว่า ครั้งหนึ่ง เราได้เคยมาอยู่ในสถานที่นั้น ตรงนั้น ในเวลานั้น มากกว่า" คำพูดนี้ตอกหน้าสังคมโซเชี่ยลเน็ตเวิร์คในปัจจุบันที่ผู้คนมัวแต่ถ่ายรูปทุกอย่างในชีวิตจนลืมชื่นชมความงามของสิ่งที่อยู่ตรงหน้าได้อย่างเจ็บแสบ เป็นช็อตที่ผมจุกอก นํ้าตาเกือบไหล

คริสเต็น วิกก์ กับการแสดงเป็น เชอรีล แม้บทจะไม่หวือหวาเหมือนหนุ่มๆแต่เธอก็เป็นตัวละครที่เติมเต็มความสมบูรณ์ของหนัง โดยเฉพาะความโรแมนติกเล็กๆในช่วงท้าย อ้อ ฉากที่เธอเล่นกีตาร์ส่ง มิตตี้ ขึ้นบินนั่นทรงพลังที่สุดแล้ว The secret life of walter mitty ไม่ใช่หนังของทุกเพศทุกวัย ช่วงกลางดำเนินเรื่อง ค่อนข้างช้า มีฉากไม่สมเหตุสมผลบ้าง อารมณ์ของหนังบางช่วงไปไม่สุด คนที่ไม่ชอบหนังแนวนี้จะเบื่อและไม่อิน

กระนั้น คนที่ชอบจะมีอะไรให้คิดตามตลอดเวลาและสามารถเสียนํ้าตาได้ไม่ยาก แถมพอดูจบยังมีความรู้สึกว่าเปลวไฟในตัวที่ใกล้ดับมอดลุกโชนขึ้นอีกครั้ง รวมถึงสร้างแรงบันดาลใจในการออกเดินทางตามฝันของคนหนุ่มสาวได้อย่างดี นอกจาก เรือเล็กควรออกจากฝั่งแล้ว เรือเล็กยังควรออกจากฝั่งให้เร็วที่สุด ดังวลีที่ว่า ถ้าไม่ทำเดี๋ยวนี้ ก็ไม่ต้องทำเลย

สำหรับคนที่ยังไม่ได้ดู ภาพยนตร์เรื่องนี้คือของขวัญปีใหม่ที่คุณควรมอบให้ตนเอง มันเป็นหนังที่เปลี่ยนชีวิตได้ หลังออกจากโรงคุณจะพบว่าการเขียนโปรไฟล์ส่วนตัวเป็นเรื่องสนุก มีสิ่งที่น่าใส่ลงไปมากกว่า ความสามารถพิเศษ โครงการที่เคยอบรม โปรเจกต์ที่ผ่านมา ทำงานอะไรได้ดี ขอบคุณหนังและการแสดงอันยอดเยี่ยมของ เบน สติลเลอร์ ขอปิดท้ายด้วยคำขวัญของนิตยสาร L.I.F.E ที่ว่า

To see things thousands of miles away, things hidden behind walls and within rooms, things dangerous to come to...to draw closer...to see and be amazed เพื่อไม่ให้ใจความผิดเพี้ยน ขออนุญาตไม่แปลนะครับ

คะแนน 8.5/10




 

Create Date : 29 เมษายน 2557   
Last Update : 29 เมษายน 2557 17:00:00 น.   
Counter : 919 Pageviews.  

1  2  

MatsuoKung
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 3 คน [?]




[Add MatsuoKung's blog to your web]