การการลงทุนโดยตรง กับ การลงทุนผ่านกองทุนรวมมี – ข้อดี และ ข้อเสียอย่างไร

เมื่อนักลงทุนตัดสินใจที่จะลงทุน นักลงทุนมีทางเลือกว่าจะลงทุนเองโดยตรงในตลาดหรือลงทุนผ่านกองทุนรวมแล้วแต่ความเหมาะสมและความต้องการของแต่ละคน อย่างไรก็ตาม ทางเลือกในการใช้บริการการลงทุนในกองทุนรวมน่าจะเป็นทางเลือกที่เหมาะสมกว่า เนื่องจากสามารถให้ผลตอบแทนได้สูงกว่าในระยะยาว

ผู้จัดการกองทุนมีโอกาสสร้างผลตอบแทนได้สูงกว่านักลงทุนรายย่อยเพราะ

  • มีการนำปรัชญาการลงทุนที่ชัดเจนตามหลักทฤษฎีการเงินมาสร้างกลุ่มหลักทรัพย์ลงทุน (Portfolio)

  • มีความสามารถเข้าถึงข้อมูลข่าวสารต่างๆที่เชื่อถือได้ดีกว่า รวมถึง สัญญาต่างๆของบริษัท การวิเคราะห์คู่แข่งและลูกค้า

  • มีผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนคอยเฝ้าติดตามความเคลื่อนไหวของหลักทรัพย์ที่กองทุนลงทุนอยู่อย่างตลอดเวลาและเฝ้าติดตามทิศทางการเคลื่อนไหวของเศรษฐกิจที่มีผลกระทบต่อตลาด

  • ด้วยขนาดของกองทุนที่ใหญ่ทำให้มีอำนาจการต่อรองที่สูงกว่าและยังสามารถลงทุนแบบกระจายความเสี่ยงได้นอกจากนั้นยังระบบการจัดการความเสี่ยงที่ชัดเจนกว่า

  • ด้วยขนาดของกองทุนที่ใหญ่ทำให้สามารถลดต้นทุนในด้านค่าใช้จ่ายในการทำรายการต่างๆได้เช่น จ่ายค่าคอมมิชชั่นให้บริษัทหลักทรัพย์ในอัตราที่ต่ำกว่านักลงทุนรายย่อย




 

Create Date : 01 มกราคม 2558   
Last Update : 1 มกราคม 2558 17:50:40 น.   
Counter : 1128 Pageviews.  

กองทุนรวมคืออะไร

กองทุนรวม คือ เครื่องมือในการลงทุน (investment vehicle) สำหรับผู้ลงทุนรายย่อย ที่ประสงค์จะนำเงินมาลงทุนในตลาดเงินตลาดทุน แต่ติดขัดด้วยอุปสรรคหลายประการ ที่ทำให้การลงทุนด้วยตนเองไม่สามารถได้ผลลัพธ์ตามเป้าหมายที่ต้องการ เช่น

  • มีทุนทรัพย์จำนวนจำกัด ไม่สามารถกระจายการลงทุนในหลักทรัพย์ต่างประเภทได้มากพอ เพื่อลดความเสี่ยงจากการลงทุน หรือ
  • ไม่มีประสบการณ์ ความรู้ ความชำนาญในการลงทุน หรือ
  • ไม่มีเวลาจะศึกษา ค้นหา และติดตามข้อมูลเพื่อใช้ในการตัดสินใจการลงทุน

 

กองทุนรวม จึงเป็นเครื่องมือในการลงทุนที่มีประสิทธิภาพ มีการจัดการลงทุนอย่างเป็นระบบ โดยมีจุดมุ่งหมายให้การลงทุนได้รับผลตอบแทนที่ดีสุด ภายใต้กรอบความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนยอมรับได้




 

Create Date : 26 สิงหาคม 2557   
Last Update : 26 สิงหาคม 2557 13:15:52 น.   
Counter : 829 Pageviews.  

VI คืออะไร

VI (วีไอ) ย่อมาจาก “Value Investment” หรือ “การลงทุนแบบเน้นคุณค่า” นักลงทุนที่ใช้แนวทางนี้ เรียกขานกันว่า “Value Investor” หรือ “นักลงทุนแบบเน้นคุณค่า” ใช้ตัวย่อว่า “VI” เช่นกัน ดังนั้น เมื่อพูดถึง VI เราอาจหมายถึงประเภทของ “แนวทางการลงทุน” หรือประเภทของ “นักลงทุน” ก็ได้

VI แตกต่างจากการลงทุนทั่วๆ ไปอย่างไร

VI เป็นแนวทางการลงทุนที่ให้ความสำคัญกับ “คุณค่า” หรือ “มูลค่า” ของกิจการเป็นหลัก ซึ่งจะทราบได้จากการศึกษาให้เข้าใจถึง “ตัวธุรกิจ” ของบริษัทที่เราจะเข้าไปซื้อหุ้น

เช่น หากเราสนใจซื้อหุ้นบริษัท A ก็ต้องพิจารณาว่าบริษัท A ทำธุรกิจอะไร ธุรกิจของบริษัท A มีศักยภาพในการเติบโตขนาดไหน บริษัท A ทำกำไรได้ปีละเท่าไร มีเงินสดและหนี้สินมากน้อยเพียงใด ผู้บริหารของบริษัทเป็นอย่างไร ฯลฯ ก่อนจะประเมิน “มูลค่าที่แท้จริง” ออกมา

นี่คือการพิจารณา “คุณค่า” หรือ “มูลค่า” ของธุรกิจ แทนที่จะดูแค่ “ราคาหุ้น” เหมือนนักลงทุนระยะสั้นทั่วๆ ไป




 

Create Date : 18 มิถุนายน 2557   
Last Update : 18 มิถุนายน 2557 1:25:13 น.   
Counter : 892 Pageviews.  

ออมเงินในหุ้นรวยได้จริงเหรอ

รามามองย้อนกันไปในอดีตการออมเงินเป็นสิ่งที่พ่อแม่สอนเรามาว่า ถ้าเราไม่รู้จักออมเงินเราก็จะลำบาก ไม่เหลือใช้จ่ายในตอนเราไม่มีงานทำ หรือเราไม่สามารถทำงานได้ แต่ในยุคนี่้เป็นยุคที่ดอกเบี้ยเงินฝากต่ำ บวกกับอัตราเงินเฟ้อที่สูงเท่ากับหรือมากกว่าดอกเบี้ยที่เราจะได้รับจากธนาคาร นั่นก็เท่ากับว่าเงินที่เราฝากไว้กับธนาคารจะมีมูลค่าลดลงเลยๆไปในทุกๆวัน และทุกๆปี การออมในรูปแบบเงินฝากจึ่งไม่ใช่ทางออกที่ดีที่สุดในยุคปัจจุบันอีกต่อไป แล้วเราจะทำอย่างไรกับเงินที่เรามีอยู่อย่างจำกัดในยุคนี่ละ ????? ซื้อทองดี ที่ดิน คอนโด หรือประกันชีวิต….. เราลองมาดูว่าในอดีตสินทรัพย์ใดถ้าเราถือครองไว้แล้วมีมูลค่าเพิ่มขึ้นบาง

ผลตอบแทนในหุ้น ทองคำ เงินฝาก

การลงทุนในหุ้นจะให้ผลตอบแทนมากกว่าพันธบัตร เงินฝากและทองคำ แต่มีความผันผวนในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจปี 1997-2001 แต่ในการถือครองในระยะยาวแสดงให้เห็นผลตอบแทนที่ดีมาก ดังจึงเป็นที่มาของการมาชวนกันเริ่มออมเงินบางส่วนในหุ้น โด่ยการทยอยเก็บหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดี มีปันผลทุกปีโดยเงินปันผลต้องชนะดอกเบี้ยเงินฝากและอัตราเงินเฟ้อ  จากนั้นนำเงินปันผลที่ได้ลงทุนเพิ่มเข้าไปอีก ในทุกๆปี

ออมหุ้นผลตอบแทนจะเป็นอย่างไร

สมมติว่าเงินที่เราลงทุนในหุ้น หรือออมเงินในหุ้น นั้นสามารถสร้างผลตอบแทนได้ปีละ 10% ในระยะเวลา 50 ปี เราก็จะมีเงินออมในหุ้นโต เป็น 100 เท่า แต่ถ้าสร้างผลตอบแทนได้ปีละ 15% เงินก็จะโตเป็น 1000 เท่า เลยที่เดียว เป็นหลักการของดอกเบี้ยทบต้น Compound Interest




 

Create Date : 22 พฤษภาคม 2557   
Last Update : 22 พฤษภาคม 2557 0:27:49 น.   
Counter : 1158 Pageviews.  

เปรียบเทียบการลงทุนอสังหาริมทรัพย์กับการลงทุนอื่น

ช่วงช่วง กับ หลินฮุ้ย เป็นเพื่อนกัน ทั้งคู่ทำงานบริษัทเอกชน

ต่างก็เก็บเงินได้คนละ 5 แสนบาท ทั้งคู่สนใจลงทุนในอสังหาริมทรัพย์

เนื่องจากเห็นว่าดอกเบี้ยเงินฝากต่ำเตี้ยเหลือเกินราว 1%

 

ช่วงช่วง หัวอนุรักษ์ ไม่ชอบความเสี่ยง จึงตัดสินใจซื้อหน่วยลงทุนกองทุนอสังหาริมทรัพย์แห่งหนึ่ง

ซึ่งรับประกันผลตอบแทน 8 % เท่ากับว่า ช่วงช่วงได้เงินจากการลงทุนอสังหาฯนี้ 4 หมื่นบาทต่อปี หรือเดือนละ 3,333 บาท

ส่วนหลินฮุ้ย เห็นว่า มีคอนโดแห่งหนึ่งย่านสุขุมวิท ตกแต่งพร้อมอยู่ ประกาศขายในราคา 5 ล้านบาท

ดูจากทำเลที่ตั้ง และสภาพอาคารแล้ว ห้องนี้น่าจะได้ค่าเช่าอย่างน้อยเดือนละ 30,000 บาท

1 ปี เท่ากับ 360,000 บาท คิดเป็นอัตราผลตอบแทน (Yield) ราวๆ 7%

 

ช่วงช่วงได้ทักท้วงว่า Yield คอนโดแห่งนั้น ต่ำกว่า Yield ของกองทุนตั้ง 1%

อีกทั้งมีความเสี่ยง ต้องวุ่นวายเสียเวลาไปคอยดูแลเก็บค่าเช่าอีก

สู้ซื้อกองทุนนอนตีพุงกินผลประโยชน์ 8% เฉยๆดีกว่า

แต่หลินฮุ้ย ไม่คิดเช่นนั้น

 

หลินฮุ้ย เอาเงิน 5 แสนบาท ไปวางดาวน์คอนโดมูลค่า 5 ล้านบาทที่ตัวเองมั่นใจ

แล้วยื่นเรื่องกู้ธนาคารส่วนที่เหลือ 4.5 ล้านทันที โดยขอผ่อนในเวลา 20 ปี อัตราดอกเบี้ยเงินกู้อยู่ที่ 5%

ธนาคารคำนวณค่างวดที่หลินฮุ้ยต้องผ่อนคือ 29,700 บาท ซึ่งเป็นเงินที่หลินฮุ้ยสามารถกู้และผ่อนชำระได้สบาย

 

** การคำนวณวงเงินกู้และค่างวด ดูได้จาก //www.scb.co.th/th/pnb/pnb_loan_calculate.shtml

 

หลินฮุ้ยมีรายรับจากค่าเช่า 30,000 บาท แต่ค่างวดที่ต้องผ่อนธนาคาร 29,700 บาท

เท่ากับว่าหลินฮุ้ยเหลือเงินเข้ากระเป๋าเดือนละ 300 บาท ขณะที่ช่วงช่วงได้เดือนละ 3,333 บาท

 

หลินฮุ้ยฉลาดน้อยกว่าช่วงช่วง หรือไม่????

 

.

.

.

.

 

คำตอบคือ  ไม่ใช่

 

ค่างวดที่ต้องผ่อนชำระธนาคารนั้น ประกอบด้วย เงินต้น และดอกเบี้ย รวมกันอยู่

ต้นทุนที่หลินฮุ้ยต้องจ่ายจริงนั้นมีเพียงดอกเบี้ย

เพราะเงินต้นที่ผ่อนชำระแท้จริงแล้วก็คือเงินของหลินฮุ้ยนั่นเอง ไม่ใช่ธนาคาร

การคิดผลตอบแทนจึงไม่ใช่เอาค่าเช่าห้อง ลบ ค่างวด

แต่ต้องเอาค่าเช่าห้อง ลบ ดอกเบี้ยธนาคาร ในแต่ละเดือน

 

รายจ่ายดอกเบี้ยของหลินฮุ้ย คือเท่าไร?

หากคำนวณแบบหยาบที่สุด Flat rate ณ อัตราดอกเบี้ย 5% ต่อปี

เงินต้น 4.5 ล้าน เท่ากับดอกเบี้ยตกปีละ 225,000 บาท เฉลี่ยเดือนละ 18,750 บาท

เท่ากับว่า หลินฮุ้ยได้รายรับเดือนละ 30,000-18,750 เท่ากับ 11,250 บาทต่อเดือน

เมื่อเทียบกับเงินลงทุน 5 แสนบาท เท่ากับว่าหลินฮุ้ยได้ Yield ถึง 27%

 

แต่อย่าลืมว่า การผ่อนชำระสินเชื่อเคหะนั้น เป็นแบบลดต้นลดดอก ยิ่งเวลาผ่านไป เงินต้นยิ่งเยอะ ดอกเบี้ยยิ่งน้อยลง

ถ้าคำนวณอย่างละเอียด  หารเฉลี่ยดอกเบี้ยทั้ง 20 ปี จะตกเดือนละ 11,000 บาทเท่านั้น

ดังนั้น ผลตอบแทนที่แท้จริงของหลินฮุ้ยจึงเท่ากับ 30,000 – 11,000 = 19,000 บาทต่อเดือนหรือ Yield เท่ากับ 45%

เทียบกับผลตอบแทนของช่วงช่วงที่ 8% จะพบว่า หลินฮุ้ยได้ผลตอบแทนดีกว่าถึง 6 เท่า

 

แม้ญาติพี่น้องจะบ่นว่า หลินฮุ้ยไม่ได้เรื่อง ลงทุนอะไรกัน 5 แสนได้แค่เดือนละ 300 บาท

ช่วงช่วงสิ เจ๋งกว่าได้ตั้งเดือนละ 3,333 บาท หลินฮุ้ยก็ได้แต่หัวเราะหึหึ

ด้วยรู้อยู่แก่ใจว่า ผลตอบแทนที่แท้จริงของตัวเองไม่ใช่ 300 แต่เป็น 19,000 บาทต่อเดือน!

 

เมื่อเวลาผ่านไป 5 ปี ด้วยทำเลที่ดี และตามสภาพเศรษฐกิจที่เจริญขึ้น

คอนโดมิเนียมของหลินฮุ้ย ราคาแพงขึ้น 20% จาก 5 ล้านเป็น 6 ล้าน

หลินฮุ้ย ตัดสินใจขายคอนโดนั้น

 

มาดูกันว่าหลินฮุ้ยได้ผลตอบแทนเท่าไร

หลินฮุ้ย ได้เงินค่าเช่าห้อง(ที่หักดอกเบี้ยเงินกู้ออกแล้ว)เป็นเวลา 5 ปี เท่ากับ 760,000 บาท

บวกกับ กำไรจากการขายต่อ อีก 1 ล้าน รวมเป็น 1,760,000 บาท หรือเท่ากับ 250% ของเงินต้น 5 แสน!

 

ขณะที่ ช่วงช่วงได้ผลตอบแทน 8% ในเวลา 5 ปี = 200,000 บาท หรือเท่ากับ 40%

 

คนสองคน เริ่มต้นลงทุนพร้อมกันด้วยเงิน 5 แสนบาท

ผ่านไป 5 ปี ช่วงช่วงได้กำไร 2 แสน หลินฮุ้ยได้กำไร 1.76 ล้าน

ใครมีวิสัยทัศน์ในการลงทุนกว่ากัน?

 

ตอนนี้ ช่วงช่วงเริ่มยิ้มไม่ออกแล้ว เมื่อพบว่า ผลตอบแทนของตนเองแพ้หลินฮุ้ยหลุดลุ่ย

 

ในเวลาต่อมา ชูวิทย์ เพื่อนช่วงช่วงเห็นหลินฮุ้ยรวยจากการลงทุนคอนโด จึงเลียนแบบบ้าง

แต่ด้วยความที่เป็นคนรวย  ชูวิทย์ จึงเอาเงินสดของตัวเองซื้อคอนโดราคา 5 ล้านเพียวๆ

โดยคิดว่า ไม่ต้องกู้เงิน ก็ไม่ต้องเสียดอกเบี้ย  ชูวิทย์เอาห้องมาให้เช่าได้ค่าเช่าเดือนละ 30,000 เท่าหลินฮุ้ย

คิดเป็นผลตอบแทนปีละ 360,000 บาท Yield เท่ากับ 7.2%

ผ่านไป 5 ปี ได้เงินรวม 1.8 ล้านบาท หรือ 36%

 

ชูวิทย์ โดนช่วงช่วง เตะตูด  1 ป้าบ

 

เพราะว่า หากชูวิทย์เอาเงิน 5 ล้านนั่นมาซื้อกองทุนแบบช่วงช่วง

ผลตอบแทนที่ชูวิทย์ได้รับจะเป็น 40%

มากกว่าที่ไปซื้อคอนโดเงินสดตั้ง 4 % หรือ 200,000 บาท แถมไม่ต้องเหนื่อยดูแลด้วย

นับว่าชูวิทย์ลงทุนได้ห่วยที่สุดในกลุ่ม

 

สรุป

หากไม่นับเรื่อง capital gain หรือกำไรจากราคาคอนโดที่สูงขึ้น

ผลตอบแทนการลงทุนของคน 3 คน

 

ช่วงช่วง ซื้อกองทุนอสังหา ไม่เหนื่อยไม่ต้องดูแล            ได้ Yield   8 %

ชูวิทย์ ซื้อคอนโดเงินสด   ต้องคอยดูแลเก็บค่าเช่า          ได้ Yield  7 %

หลินฮุ้ย ซื้อคอนโดเงินผ่อน  ต้องคอยดูแลเก็บค่าเช่า          ได้ Yield 45  %

 

หลินฮุ้ยชนะเลิศ!!

 

- จบ -

 

นิทานข้างบน ผมยกมาเพื่อเปรียบเทียบให้เห็นประโยชน์ของ”การกู้”

จะเห็นว่า ความแตกต่างของหลินฮุ้ยกับช่วงช่วง อยู่ตรงที่หลินฮุ้ย ใช้การกู้สินเชื่อเคหะ

เพื่อขยายอัตราผลกำไรของการลงทุนของตัวเอง จากเดิม 5 แสน ขยายได้ถึง 5 ล้าน

วิธีนี้ในทางการเงินเรียกว่า “Leverage” ครับ

 

การทำ Leverage จะให้ผลตอบแทนทวีคูณหลายเท่าตัว

ตราบที่อัตราดอกเบี้ยที่เราไปกู้มา ต่ำกว่าอัตราผลตอบแทนของการลงทุน

ในที่นี้ ดอกเงินกู้คือ 5% ขณะที่รายได้คือ 7% หากกลับกัน ผลตอบแทนการลงทุนต่ำกว่าอัตราดอกเบี้ย

การทำ Leverage นอกจากจะไม่กำไรแล้วยังทำให้ขาดทุนหนักเป็นทวีคูณเช่นกันครับ

ดังนั้น หลักง่ายๆคือ การลงทุนซื้อคอนโดให้เช่า ผลตอบแทนค่าเช่าต้องมากกว่าอัตราดอกเบี้ย จึงจะคุ้มค่าการลงทุน

 

ผมเคยแนะนำไว้ใน blog ของผมว่า

ทุกคนที่มีเงินเดือนหรือรายได้ประจำที่อยากลงทุนอสังหาริมทรัพย์ ควรใช้บริการสินเชื่อเคหะ (Housing loan)

เนื่องจากเป็นสินเชื่อที่มีอัตราดอกเบี้ยต่ำที่สุดที่ธนาคารจะปล่อยได้ หรือที่เรียกว่า MLR (Minimum Loan Rate)

การซื้อคอนโดด้วยเงินสดแบบชูวิทย์ จึงไม่ใช่วิธีการที่ดีนัก

หากเราสามารถหาต้นทุนทางการเงินที่ถูกกว่าผลตอบแทนที่ได้รับ เราสมควรกู้เป็นอย่างยิ่ง

เพราะจะได้ผลตอบแทนเป็นทวีคูณ

นอกจากการกู้สินเชื่อเคหะจะเป็นการ Leverage ผลตอบแทนของเราแล้ว

เรายังได้สิทธิประโยชน์ด้านภาษีอีก

คือ เอาค่างวดผ่อนชำระคอนโดไปหักเป็นรายจ่ายเพื่อลดหย่อนภาษีปลายปีได้ถึง 100,000 บาท

 

อย่างไรก็ดี ความเสี่ยงของการลงทุนคอนโดมิเนี่ยมเป็นสิ่งที่ต้องคำนึงเสมอ

จากการคำนวณที่ผมแสดงให้ดู จะเห็นว่า มีตัวแปรสำคัญที่มีผลต่อผลตอบแทนการลงทุนได้แก่

อัตราค่าเช่า ควรคงที่และสามารถ up ขึ้นได้ตามภาวะเศรษฐกิจและภาวะเงินเฟ้อ

และ อัตราการพัก (Occupancy rate) ควรสม่ำเสมอ หาผู้เช่าได้เรื่อยๆ ห้องไม่ว่างนานเกินไป

การเลือกซื้อคอนโดในทำเลที่ดีเยี่ยม จะช่วยลดความเสี่ยงทั้งสองข้อนี้ลง

ทำให้การลงทุนเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ ครับผม

 

นี่ก็คือเหตุผลที่บางคนถึงกับยอมอดหลับอดนอนเพื่อไปยืนต่อแถวเข้าคิวจองคอนโดทำเลดี

ไปตั้งแต่ตี3 ตี4 ถึงขั้นทะเลาะตบตีด่าทอคนขายเมื่อจองไม่ได้ กลับบ้านยังมาโพสต์ด่าต่อในเน็ทอีก

ในขณะที่คอนโดบางแห่ง ขายแล้วขายอีก เซลแล้วเซลอีก ก็ไม่หมดซะที

 

ก็คอนโดทำเลเยี่ยมมันกำไรดีนี่นา..ชิมิๆๆ!!

 

จากคุณ : หมาร่าหมาหรอด  Patip.com




 

Create Date : 02 เมษายน 2557   
Last Update : 2 เมษายน 2557 0:49:45 น.   
Counter : 794 Pageviews.  

1  2  

MatsuoKung
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 3 คน [?]




[Add MatsuoKung's blog to your web]