Bancha
Group Blog
 
All blogs
 

เรื่องดี ดี จาก ...The B

เรื่องดี ดี จาก ...The B
มีคู่รักคู่หนึ่งนั่งรถเมล์ที่กำลังตรงไปในเมืองในหุบเขา
มีเพียงพวกเขาเท่านั้นที่ได้ลงกลาง ทาง หลังจากที่พวกเขาได้ลงแล้ว

รถเมล์ก็วิ่งต่อไป แต่เพียงไม่นานก็มีหินก่อนขนาดมหึมา
ได้ตกลงมาจากที่สูงมาก และทับรถเมล์คันนั้นพังยับเยิน
ทุกคนที่อยู่ในรถในเวลานั้นเสียชีวิต ทั้งหมด
คู่รักคู่นั้นเมื่อได้เห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ก็พูดขึ้นว่า
"ถ้าพวกเรายังอยู่ในรถคันนั้นก็ดี น่ะซิ!"

คนส่วนใหญ่น่าจะคิดว่า "ยังดีนะที่เราลงจากรถก่อน!"
แต่คู่รักคู่นี้กลับพูดสิ่งที่ต่างจากคน ส่วนใหญ่
คุณคิดว่าเพราะอะไร???


________________________________


ตอบมาก่อนนะว่าคิดว่าไง
เดี๋ยวจะเฉลยทีหลัง
















ขอเฉลยนะครับ




________________________________



ถ้าพวกเขายังคงอยู่และไม่ได้ลงจากรถ
รถเมล์คันดังกล่าวก็จะไม่ต้องหยุดรถเพื่อพวกเขา
และจะขับเลยตำแหน่งที่หินถล่มลงมา!!

ในชีวิตของพวกเรานั้น

ให้ลองมองด้วยมุมมองที่ต่างจากของตัวเองและพยายามเข้าใจและช่วยเหลือผู้
อื่นมากขึ้น อย่าได้ใช้ชีวิตอย่างขาดสติและเฉยเมย
ทำเพื่อตัวเองอีกต่อไปเลย




 

Create Date : 02 ธันวาคม 2548    
Last Update : 2 ธันวาคม 2548 5:16:20 น.
Counter : 372 Pageviews.  

พี่-น้อง -อ่านแล้วซึ้งมากๆ ครับ

พี่-น้อง

ฉันเกิดในหมู่บ้านบนภูเขาที่ห่างไกลผู้คน
แต่ละวันพ่อแม่ของฉันต้องพรวนดินในไร่ท่ามกลางแดดที่ร้อนระอุ
ฉันมีน้องชายอยู่หนึ่งคน อายุน้อยกว่าฉัน 3ปี
วันหนึ่งฉันขโมยเงินของพ่อเพื่อไปซื้อผ้าเช็ดหน้าที่เพื่อนๆ
ของฉันมีกัน

จากนั้นพ่อก็รู้เรื่อง
พ่อให้ฉันกับน้องคุกเข่าหันหน้าเข้าหากำแพง
โดยที่ในมือพ่อมีก้านไม่ไผ่อยู่หนึ่งก้าน
"ใครขโมยเงินไป" พ่อตวาด
ฉันกลัวมาก ไม่กล้าพูดอะไรออกไป น้องชายฉันก็เช่นกัน
พ่อจึงเอ่ยขึ้นว่า
"ก็ได้ ในเมื่อไม่มีคนรับสารภาพ
ก็ต้องโดนลงโทษทั้งคู่นั่นล่ะ"

พ่อชูก้านไม้ไผ่ในมือขึ้น
ทันใดนั้น น้องชายของฉันก็ลุกขึ้นคว้าข้อมือของพ่อไว้
แล้วพูดว่า
"ผมขโมยเองครับ"
ก้านไม้ไผ่ก้านนั้นได้กระหน่ำลงบนหลังของน้องของฉันอย่างต่อเนื่อง
พ่อโกรธมาก พ่อตีน้องของฉันไม่หยุด
จนพ่อหอบด้วยความเหนื่อย
พ่อนั่งลงบนเก้าอี้ และด่าว่าน้องชายของฉัน
"ของคนในบ้านแกเอง แกยังขโมยได้ต่อไปแกจะทำชั่วอะไรอีก
แกน่าจะโดนตีให้ตาย ไอ้หัวขโมย"

คืนนั้น ฉันกับแม่กอดน้องชายของฉันไว้
หลังของน้องมีแผลเต็มไปหมด
แต่เขาไม่ได้ร้องไห้แม้แต่น้อย

กลางดึกคืนนั้น ฉันนอนร้องไห้เสียงดัง และนานมาก
น้องเอามือเล็กๆ ของเขามาปิดปากฉันไว้ แล้วพูดว่า
"พี่ครับ ไม่ต้องร้องไห้นะมันผ่านไปแล้ว"
ยังไงฉันก็อดที่จะเกลียดตัวเองไม่ได้
ที่ไม่มีความกล้าจะบอกความจริงกับพ่อ

หลายปีผ่านไป
แต่เหมือนกับว่าเหตุการณ์มันเพิ่งเกิดเมื่อวานนี้เอง
ฉันไม่อาจลืมคำพูดของน้องชายตอนที่เขาปกป้องฉันได้เลย
ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 8ปี ส่วนฉันอายุ 11ปี...
เมื่อตอนที่น้องชายของฉันใกล้จบ ม.ต้น
เขาได้รับการตอบรับจากโรงเรียน
ม.ปลาย ว่าเขาสอบได้ ในขณะที่ฉันซึ่งใกล้จบ ม.ปลาย
ก็ได้รับการตอบรับจากมหาวิทยาลัยของจังหวัดเช่นกัน

คืนนั้น พ่อได้นั่งสูบบุหรี่อยู่ที่สวนหลังบ้าน
ฉันแอบได้ยินพ่อพูดว่า "ลูกเราทั้งคู่เรียนดี
เรียนดีมากนะ"

แม่ซึ่งนั่งเช็ดน้ำตาอยู่ข้างๆ พ่อ ได้พูดว่า
"แล้วเราจะส่งเสียลูกทั้งคู่ได้อย่างไร
ในเมื่อเราก็ไม่ค่อยมีเงิน"

ทันใดนั้น น้องชายของฉันได้เดินเข้าไปหาพ่อ แล้วพูดว่า
"ผมไม่ต้องการเรียนต่อผมอ่านหนังสือมามากพอแล้ว"

พ่อเหวี่ยงมือตบลงที่แก้มของน้องของฉันฉาดใหญ่
"ทำไมถึงคิดโง่ๆ อย่างนี้
ต่อให้พ่อต้องไปเป็นขอทานข้างถนน
พ่อก็จะส่งแกทั้งคู่เรียนจนจบให้ได้"

คืนนั้นทั้งคืน พ่อได้เดินไปตามบ้านต่างๆ
ทั่วทั้งหมู่บ้าน เพื่อขอยืมเงิน

ฉันค่อยๆ เอามือประคบแก้มบวมๆ ของน้องชายเบาๆ และคิดว่า
"ต้องให้น้องได้เรียนต่อ
ไม่เช่นนั้นเขาคงไม่อาจหลุดพ้นชีวิตลำบากเช่นนี้ไปได้"

แต่ในขณะเดียวกัน
ฉันก็ไม่อาจล้มเลิกความคิดอยากจะเรียนต่อไปได้
ใครจะรู้ได้ .... วันต่อมาในตอนเช้ามืด
น้องชายของฉันได้ออกจากบ้านไปพร้อมทั้งเสื้อผ้าติดตัวเพียงไม่กี่ชิ้น
และถั่วเพียงเล็กน้อยเพื่อประทังความหิว

ก่อนไปเขาได้ทิ้งข้อความไว้ใต้หมอนของฉัน
ขณะฉันกำลังหลับ
"พี่ครับ การจะเข้ามหาวิทยาลัยได้ ไม่ใช่ง่ายๆ นะ ....
ผมจะไปหางานทำ
แล้วจะส่งเงินมาให้พี่"

ฉันนั่งอยู่บนเตียง
อ่านข้อความของน้องชายด้วยน้ำตานองหน้า ....
ฉันร้องไห้จนเสียงแหบแห้งไป
ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 17ปี ส่วนฉันอายุ 20ปี ....

ด้วยเงินที่พ่อยืมมาจากคนในหมู่บ้าน

รวมกับเงินที่น้องชายของฉันได้รับเป็นค่าจ้างมาจากการทำงานเป็นกรรมกรแบกหามที

ไซท์ก่อสร้าง ....
ฉันจึงสามารถเข้าเรียนมหาวิทยาลัยได้จนถึงปี 3

วันหนึ่งขณะที่ฉันกำลังอ่านหนังสืออยู่ในห้องพัก
เพื่อนร่วมห้องของฉันได้เข้ามาบอกว่า "มีชาวบ้านมาหาเธอ
อยู่ข้างนอกแน่ะ"

ทำไมชาวบ้านถึงมาหาฉันล่ะ ???
ฉันเดินออกไปแล้วมองเห็นน้องชายของฉันยืนอยู่
ตัวของเขาเปรอะเปื้อนไปด้วยฝุ่นปูนและทรายจากงานก่อสร้าง
...
ฉันถามเขาว่า
"ทำไมไม่บอกเพื่อนพี่ไปว่าเป็นน้องชายพี่ล่ะ"

น้องชายของฉันตอบยิ้มๆ ว่า "ก็ดูผมสิ
สกปรกมอมแมมออกอย่างนี้
ขืนบอกว่าเป็นน้องพี่ เพื่อนๆ
ก้อได้หัวเราะเยาะพี่กันพอดี"

ฉันค่อยๆ เอื้อมมืออันสั่นเทาไปปัดฝุ่นให้น้อง
และพยายามพูดด้วยเสียงเครือๆในลำคอ
"พี่ไม่สนใจว่าใครจะพูดยังไง
เธอเป็นน้องของพี่ ไม่ว่าเธอจะดูเป็นอย่างไรก็ตาม"

จากนั้น น้องของฉันได้ล้วงบางอย่างออกมาจากกระเป๋ากางเกง
เป็นกิ๊บหนีบผมรูปผีเสื้อ ... เขาติดกิ๊บให้ฉัน
แล้วพูดว่า
"ผมเห็นสาวๆ ในเมืองเค้าติดกัน ผมเลยอยากให้พี่ติดบ้าง"

ฉันหมดเรี่ยวแรงลงในทันใด
ดึงน้องชายเข้ามาสวมกอดและร้องไห้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าเป็นเวลานาน
ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 20ปี ส่วนฉันอายุ 23ปี ....

วันที่ฉันพาแฟนหนุ่มของฉันมาที่บ้านเป็นครั้งแรก
ฉันสังเกตเห็นว่า
หน้าต่างบ้านที่เคยแตกไป ได้ถูกซ่อมเรียบร้อยแล้ว

เมื่อเข้าไปในบ้านก็เห็นว่าบ้านสะอาดขึ้นมาก

หลังจากที่แฟนของฉันกลับไป ฉันพูดกับแม่ว่า
"แม่ไม่ต้องเสียเงินเพื่อทำความสะอาดบ้านกับซ่อมกระจก
เพียงเพราะหนูจะพาแฟนมาที่บ้านหรอกนะคะ"

แม่ยิ้ม แล้วพูดว่า "แม่ไม่ได้จ้างหรอก
น้องชายลูกต่างหาก
วันนี้เค้าขอเลิกงานเร็วเพื่อกลับมาทำความสะอาดบ้าน
ลูกยังไม่เห็นมือน้องหรอกเหรอ
น้องโดนกระจกบาดตอนกำลังเปลี่ยนกระจกบานใหม่น่ะ"

ฉันรีบเข้าไปหาน้องที่ห้องนอนของเขา


ฉันรู้สึกเหมือนถูกเข็มนับร้อยเล่มทิ่มลงกลางใจเมื่อได้เห็นบาดแผลบนมือ

ฉันจับมือน้องเอาไว้อย่างเบามือที่สุด "เจ็บมากไหม"
ฉันถาม

"ไม่เจ็บสักหน่อย พี่ก็รู้นี่ผมทำงานก่อสร้างนะ วันๆ
มีหินตกมาใส่เท้าผมเต็มไปหมด
แต่มันก็ไม่ได้ทำให้ผมคิดเลิกทำงานหรอกนะ
และ..."

น้องชายของฉันยังพูดไม่จบประโยค แต่ก็ต้องหยุดพูด
เพราะฉันหันหน้าหนีเขา
น้ำตาไหลอาบหน้าของฉันอีกครั้ง
ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 23ปี ส่วนฉันอายุ 26ปี...

หลังจากนั้น ฉันก็ได้แต่งงานและย้ายเข้าไปอยู่ในเมือง

หลายครั้งที่สามีของฉันชักชวนให้พ่อแม่ของฉันย้ายเข้ามาอยู่ในเมืองด้วยกัน
...
แต่ท่านทั้งสองก็ปฏิเสธ

ท่านบอกว่า ท่านเคยย้ายออกจากหมู่บ้านครั้งหนึ่ง
แต่เมื่อออกไปแล้ว
ท่านไม่รู้จะทำอะไรดี
จึงได้ย้ายกลับเข้ามาใช้ชีวิตในหมู่บ้านตามเดิม

น้องชายของฉันก็ไม่เห็นด้วยกับการที่จะให้เขาและพ่อแม่ย้ายออกไป
...
เขาบอกกับฉันว่า
"พี่คอยอยู่ดูแลพ่อและแม่ของสามีพี่ทางนั้นเถอะ
ผมจะดูแลพ่อและแม่ทางนี้เอง"

สามีฉันได้ขึ้นเป็นประธานของบริษัทของครอบครัว
เราทั้งคู่อยากให้น้องชายของฉันเข้ามารับตำแหน่งผู้จัดการบริษัท
...
แต่น้องชายของฉันก็ไม่รับตำแหน่งนี้
เขาขอเข้าทำงานในตำแหน่งพนักงานธรรมดา

วันหนึ่ง น้องชายของฉันต้องปีนบันไดขึ้นไปซ่อมสายเคเบิล
และตกลงมาเพราะโดนไฟดูด
...เขาถูกรีบหามส่งโรงพยาบาล

ฉันและสามีรีบไปเยี่ยมเขาที่โรงพยาบาล
น้องชายของฉันขาหักต้องเข้าเฝือกที่ขา
... ฉันโกรธมาก จึงตวาดน้องไปว่า

"ทำไมถึงไม่ยอมรับตำแหน่งผู้จัดการ หา!!!
ถ้าเป็นผู้จัดการก็จะได้ไม่ต้องมาทำงานเสี่ยงๆ อย่างนี้
ดูตัวเองซิ
เจ็บเจียนตายอยู่แล้ว ทำไมถึงไม่ยอมฟังพี่บ้าง"

คำตอบจากปากน้องของฉันรวมถึงสีหน้าเคร่งเครียด
ยังยืนยันความคิดเดิมของเขา
"พี่ลองคิดถึงพี่เขยสิครับ พี่เขยเพิ่งจะได้เป็นประธาน
ส่วนผมมันการศึกษาต่ำ
ถ้าผมได้เป็นผู้จัดการ
คงจะมีเสียงนินทาว่าร้ายเต็มไปหมด"

น้ำตาปริ่มดวงตาของฉันรวมทั้งสามีของฉันด้วย ....
ฉันบอกกับน้องว่า
"แต่ที่เธอไม่ได้เรียนต่อก็เพราะพี่..."

"ทำไมต้องพูดถึงเรื่องที่ผ่านไปแล้วด้วยล่ะครับ"
น้องชายของฉันจับมือฉันไว้
ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 26ปี ส่วนฉันอายุ 29ปี...

เมื่อน้องชายของฉันอายุได้ 30ปี
เขาได้แต่งงานกับสาวชาวนาในหมู่บ้านเดียวกัน

ในงานแต่งงาน ประธานในงานได้ถามน้องชายของฉันว่า
"ใครคือคนที่คุณรักที่สุดในชีวิตนี้"

น้องชายของฉันตอบอย่างไม่ลังเล "พี่สาวของผมครับ" ....
และเขาก็เล่าเรื่องราวที่แม้แต่ฉันยังจำไม่ได้

"ตอนผมอยู่โรงเรียนประถม โรงเรียนอยู่อีกหมู่บ้านหนึ่ง
เราสองคนพี่น้องต้องใช้เวลาถึง 2ชม. เพื่อเดินไปเรียน
และเดินกลับบ้าน
วันหนึ่งผมทำถุงมือหายไปข้างหนึ่ง
พี่สาวผมจึงได้ให้ถุงมือของเธอข้างหนึ่ง
และเธอก็ใส่ถุงมือเพียงข้างเดียวเดินเป็นระยะทางไกล
เมื่อเรากลับถึงบ้านมือเธอบวมแดงเพราะอากาศหนาว
เธอไม่สามารถจับช้อนทานข้าวได้ด้วยซ้ำ .... นับจากวันนั้น

ผมสาบานกับตัวเอง
ว่าตลอดชีวิตของผม ผมจะดูแลพี่สาวของผมให้ดี
และจะทำดีกับเธอ"

เสียงปรบมือดังกึกก้องไปทั่ว
สายตาทุกคู่ของแขกเหรื่อหันมาจับจ้องที่ฉัน

คำพูดจากปากฉันออกมาอย่างยากลำบาก .... "ในโลกใบนี้
คนเดียวที่ฉันรู้สึกขอบคุณที่สุด คือน้องชายของฉันค่ะ"

ในวาระที่มีความสุขที่สุดเช่นนี้
น้ำตาได้รินไหลออกมาจากสองตาของฉันอีกครั้ง...

จงรัก และห่วงใยคนที่คุณรักในทุกๆ
วันในชีวิตของคุณและเขา
คุณอาจจะคิดว่าสิ่งที่คุณทำให้ใครสักคนเป็นเพียงสิ่งเล็กๆ
น้อยๆ
แต่สำหรับคนคนนั้นอาจจะมีความหมายมากอย่างคาดไม่ถึง
...ไม่ว่าเขาคนนั้นจะคือ
พ่อ แม่ พี่ น้อง ญาติ คนรัก เพื่อน
หรือแม้คนที่คุณไม่รู้จัก ก็ตามื่อน




 

Create Date : 22 พฤษภาคม 2548    
Last Update : 2 ธันวาคม 2548 5:18:02 น.
Counter : 1101 Pageviews.  

เมื่อยังหนุ่มสาว เอาชีวิตแลกเงิน แต่บั้นปลายเอาเงินแลกชีวิต

“เมื่อยังหนุ่มยังสาว เอาชีวิตแลกเงิน เมื่อถึงบั้นปลายชีวิต เอาเงินแลกชีวิต”

โดย ผู้จัดการออนไลน์ 11 พฤษภาคม 2548 13:59 น.
แหล่งที่มา //www.manager.co.th/China/ViewNews.aspx?NewsID=9480000062469

ชีวิตคนเมืองจีน11/05/05 ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา ภายในจีนมีข่าวการตายของผู้มีชื่อเสียงเกิดขึ้นหลายราย นับตั้งแต่ศิลปินจนถึงนักวิชาการ คงไม่ใช่เรื่องแปลกเพราะทุกคนต้องตาย แต่ที่น่าสังเกตก็คือคนเหล่านี้ ล้วนแต่ยังอยู่ในวัยกลางคนและไม่มีอาการทางร่างกาย ที่บ่งบอกว่า พวกเขาจะเป็นคน‘อายุสั้น’นอกจากพฤติกรรมการทำงานที่หามรุ่งหามค่ำ ใช่แล้ว… เรากำลังพูดถึง ‘การเหนื่อยตาย’

‘เหนื่อยตาย’ หมายถึงการตายที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลัน โดยมีสาเหตุจากความอ่อนเพลียของร่างกายที่สะสมติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน บางครั้งเกิดจากการทำงานหนักและความกดดันทางด้านจิตใจ เป็นผลให้โรคที่แอบแฝงอยู่ในร่างกายกำเริบอย่างรวดเร็วและเป็นอันตรายถึงชีวิต

ทั้งนี้ ศิลปินจีนนามเฉินอี้เฟย เสียชีวิตขณะอายุได้ 59 ปีเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา ก่อนหน้านั้นเมื่อเดือนมกราคม ปีที่แล้ว เจียวเหลียนเหว่ยและเกาเหวินห้วน อาจารย์ของมหาวิทยาลัยชิงหัว ก็เสียชีวิตด้วยวัย 38 ปีและ 46ปี ตามลำดับ ขณะที่การสำรวจขององค์การอนามัยโลก(ฮู) พบว่าสถิติคนที่เสียชีวิตเพราะความเหนื่อยเพิ่มมากขึ้นทุกปี

เมื่อเดือนที่ผ่านมา หนังสือพิมพ์ไชน่ายูธเดลี่และบริษัทสารสนเทศแห่งสถานีโทรทัศน์กลางของรัฐฯ ได้ทำการสำรวจชาวจีนจำนวน 1,218 คน พบว่า คนที่ทำงานไม่ถึง 8 ชั่วโมง มีเพียง 34.4% ขณะเดียวกัน คนที่ทำงานมากกว่า 8 ชั่วโมงมีมากถึง 65.5% โดยในจำนวนนี้ คนที่ทำงาน 10 ชั่วโมงทุกวัน มีมากกว่า 20%

คุณหลิว พนักงานของสำนักงานบัญชีอันหย่ง เป็นตัวอย่างของคนบ้างานได้ดีคนหนึ่ง ช่วงก่อนตรุษจีนเธอต้องออกไปทำงานนอกสถานที่ติดต่อกันนาน 1 เดือน โดยทุกวันทำงานถึงตี 2 และคืนก่อนวันสิ้นปีตามปฏิทินจันทรคติ ยังทำงานจนถึงเช้า วันสิ้นปีกลับถึงปักกิ่งก็กลับไปทำงานต่อที่สำนักงานอีก

“ตอนนั้นแค่ฉันปิดตาก็เห็นเป็นตารางเอ็กซ์เซล คนที่บ้านและเพื่อนกังวลกันไปหมด ห่วงว่าฉันจะเป็นอะไรไป ”
ผลการสำรวจยังบ่งบอกว่า 82% ของผู้ที่ทำงาน 15 ชั่วโมงต่อวันขึ้นไป มีสาเหตุจากความต้องการ ‘ค่าตอบแทนที่เพียงพอ’ และความคิดลักษณะนี้เป็นสิ่งปกติ โดยเฉพาะในคนที่มีอายุระหว่าง 20-40 ปี

คุณจาง มีอาชีพเป็นคนขับรถแท๊กซี่ ทำงานตั้งแต่ 7 โมงเช้าจนถึง 4 ทุ่ม หรือราว 15 ชั่วโมงทุกวัน โดยมีรายได้ราว 2,000 หยวน ( ราว 10,000 บาท ) ต่อเดือน คุณจางบอกว่า “พวกเราไม่มีหลักประกันยามเจ็บไข้ ตอนนี้อาจจะลำบากหน่อย แต่ยังมีแรงก็ต้องทำงานเก็บเงินเผื่อไว้ใช้ยามเจ็บป่วย”

“หาสตางค์ได้น้อยกว่าแฟน เป็นสิ่งที่น่าละอายมาก”คุณจัว คนทำงานด้านสื่อรายหนึ่งกล่าว

เพื่อทำเงินให้ได้มากกว่าภรรยา นอกจากงานประจำแล้ว จัวยังรับจ๊อบที่สำนักพิมพ์อื่นอีก และนอกจากความกดดันด้านจิตใจแล้ว การไปถึงเป้าหมายในชีวิตก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งเหตุผล ที่จัวนำมาเพิ่มความกดดันให้กับชีวิต

แน่นอน ชีวิตในอุดมคติของผมคือ มีทั้งความสุข ความสบาย และเงินทอง แล้วแค่ไหนถึงจะเรียกว่า ‘พอ’ ตามมาตรฐานของผมแล้ว อย่างน้อย ครอบครัว ตลอดจนลูกๆไม่ต้องมีความกังวลเรื่องการศึกษา และขอให้มีบั้นปลายชีวิตที่สุขสบายก็พอใจแล้ว แต่ตอนนี้ผมยังห่างไกลจากเป้าหมายนี้อีกมาก ”

“แม้ว่าในสายตาของคนอื่น งานที่อยู่กับตัวเลขทั้งวันดูจะเป็นงานเหี่ยวเฉา แต่ฉันกลับพบความเพลิดเพลินและความรู้สึกภูมิใจในความสำเร็จจากการวิเคราะห์ตัวเลขเหล่านี้” หลิว เสริม

ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไร การทำงานจนหัวปั่นเช่นนี้ เรียกได้ว่าเป็นการทำงานที่ ‘เบิกชีวิต’ล่วงหน้า หรืออย่างที่หลิวพูดว่า “เมื่อยังหนุ่มยังสาว เอาชีวิตแลกเงิน เมื่อถึงบั้นปลายชีวิต เอาเงินแลกชีวิต” แต่คนที่ยังเป็นวัยรุ่นหนุ่มสาวมักจะไม่ได้คิดถึงจุดนี้

จากผลสำรวจเผยให้เห็นอย่างชัดเจนว่า 75.1% ของคนหนุ่มสาว หรือแม้แต่คนที่ใช้แรงงานปางตาย รู้และเข้าใจถึงการทำงานอย่างไม่คิดชีวิต แต่มีเพียง 18% เท่านั้นที่ตระหนักว่า ภยันตรายต่อสุขภาพเหล่านี้ ทั้งที่มันเป็นสิ่งที่สามารถหลบหลีกเลี่ยงได้





 

Create Date : 16 พฤษภาคม 2548    
Last Update : 16 พฤษภาคม 2548 17:37:04 น.
Counter : 571 Pageviews.  

ไม่สำคัญว่า ... คุณ?????


ไม่สำคัญว่า ... คุณขับรถยี่ห้ออะไร ? สำคัญว่า... คุณเคยให้คนที่ไม่มีรถ
" นั่ง " มาด้วยกี่ครั้ง

ไม่สำคัญว่า ... คุณทำงานล่วงเวลามากขนาดไหน ? สำคัญว่า ... คุณให้ "เวลา"
แก่ครอบครัว และคนที่รักมากแค่ไหน

ไม่สำคัญว่า ... คุณมีเสื้อผ้าทันสมัยกี่ชุดในตู้ ? สำคัญว่า
...คุณเคยให้เสื้อผ้าแก่คนที่ " ขาดแคลน " ใส่กี่ชุด

ไม่สำคัญว่า ... คุณมีฐานะอะไรในสังคม ? สำคัญว่า ... คุณ " วางตัว "
ในระดับไหน

ไม่สำคัญว่า ... คุณมีทรัพย์มากเท่าไหร่ ? สำคัญว่า ... สิ่งที่คุณมี
มันมี "อำนาจ " ชี้ขาดชีวิตคุณแค่ไหน

ไม่สำคัญว่า ... เงินเดือนสูงสุดของคุณเท่าไร ? สำคัญว่า ... คุณต้องสละ "
อุดมการณ์ " เพื่อได้มันมาหรือไม่

ไม่สำคัญว่า ... คุณได้เลื่อนขั้นกี่ขั้นแล้ว ? สำคัญว่า ... คุณเคย
"สนับสนุน" ใครให้ได้เลื่อนขั้นบ้างไม่สำคัญว่า ...

คุณมีตำแหน่งการงานอะไร ? สำคัญว่า ... คุณทำงานสุด "
ความสามารถ " หรือไม่

ไม่สำคัญว่า ... คุณมีเพื่อนกี่คน ? สำคัญว่า ... คุณเป็น " เพื่อนแท้ "
กับใครบ้าง

ไม่สำคัญว่า ... คุณเรียกร้องและปกป้องสิทธิของตัวเองอย่างไร? สำคัญว่า
...คุณทำอะไรเพื่อ " ช่วยและปกป้อง " สิทธิคนอื่น

ไม่สำคัญว่า ... สิ่งที่คุณทำสอดคล้องกับคำพูดของคุณกี่ครั้ง
? สำคัญว่า ... มีกี่ครั้งที่คำพูดของคุณ " ไม่สอดคล้อง "
กับการกระทำ



สำคัญที่สุด ไม่ว่าคุณจะเคยทำสิ่งเลวร้าย มามากมาย แค่ไหน "มันไม่สำคัญ"
หากคุณเตรียมใจ ที่จะนับหนึ่งใหม่ และก้าวเดินอย่างกล้าหาญ
อีกครั้ง ...




 

Create Date : 06 กุมภาพันธ์ 2548    
Last Update : 6 กุมภาพันธ์ 2548 9:34:32 น.
Counter : 377 Pageviews.  

คำคม (คมจริงนะ เลือดซิบๆๆเลย)


Be strong enough to face the word each day.
จง... เข้มแข็งพอที่จะเผชิญหน้ากับความจริง
Be weak enough to know you cannot do everything alone.
จง... อ่อนแอพอที่จะรับรู้ว่าลำพังเรานั้นทำอะไรไม่ได้ทุกอย่าง
Be generous to those who need your help.
จง... ฟุ่มเฟือยน้ำใจ เมื่อมีใครต้องการความช่วยเหลือ
Be frugal with what you need yourself.
จง... ประหยัดสิ่งที่จำเป็นไว้
ฺBe wise enough to know that you do not know everything.
จง... จงฉลาดพอที่จะรู้ว่าเราไม่ได้รู้ทุกสิ่ง
Be foolish enough to believe in miracles.
จง... โง่พอที่จะเชื่อในปาฎิหาริย์
Be willing to share your joys.
จง... เต็มใจจะแบ่งปันความสุขของตัวเอง
Be willing to share the sorrows of others.
จง... เต็มใจที่จะแบ่งรับความทุกข์ของผู้อื่น
Be a leader when you see a path of others have missed.
จง... เป็นผู้นำหากทางที่ผู้อื่นทิ้งไว้ให้นั้นเลือนลาง
Be a follower when you are shrouded in the midst of uncertainly.
จง... เป็นผู้ตามหากตกอยู่ในวงล้อมแห่งความไม่แน่นอน
Be the first to congratulate an opponent who succeeds.
จง... เป็นคนแรกที่แสดงความยินดีต่อความสำเร็จของคู่แข่ง
Be the last to criticize a colleaque who fails.
จง... เป็นคนสุดท้ายที่จะวิจารณ์ความผิดพลาดของเพื่อน ฺ
Be sure where you next step will fall, so that you will not stumble.
จง... มองเพียงแค่ก้าวถัดไปเพราะมันจะทำให้เราไม่ล้ม
Be sure of your final destination, in case you are going to the wring way.
จง... มองไปยังจุดหมายปลายทางให้แน่ใจ ว่าไม่ได้กำลังเดินผิดทาง
Be loving to those who love you.
จง... รักคนที่รักคุณ
Be loving to those who do not love you, and they may change.
จง... รักคนที่ไม่รักคุณแล้วสักวันหนึ่ง ...เค้าอาจจะเปลี่ยนใจ
Above all, be yourself.
แต่เหนือสิ่งอื่นใด จงเป็นตัวของตัวเอง





 

Create Date : 06 กุมภาพันธ์ 2548    
Last Update : 6 กุมภาพันธ์ 2548 9:25:07 น.
Counter : 531 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  

rajasit
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 5 คน [?]




Friends' blogs
[Add rajasit's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.