ไม่ว่าหลังสงครามถอดถอนของชนชั้นการเมือง จะออกหัว ออกก้อย หรือเศรษฐกิจชนชั้นพ่อค้า-เจ้าสัว และปากท้องคนรากหญ้า จะสดใส หรือซึมเซา สะเก็ดการเมือง-ปัญหาเศรษฐกิจ คงตีโพยตีพายไม่เลือกหน้า ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลทหารที่มีอำนาจเต็มมือ หรือรัฐบาลนักเลือกตั้งอาชีพ
"ประชาชาติธุรกิจ" สนทนากับ ร.อ.น.พ.ยงยุทธ มัยลาภ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี คนถือไมค์เป็นกระบอกเสียง-โฆษกหน้าหอ รัฐบาลทหาร มาแล้วสองคำรบ ถึงแผนรุก-รับ สถานการณ์อันแหลมคมนับจากนี้ เมื่อเขานิยามบท ที่ถูกวางไว้ว่า เปรียบเหมือน "กันชน"
- ที่ผ่านมาได้รับความไว้วางใจให้มารับหน้าที่เป็นโฆษกรัฐบาล ทั้งรัฐบาลสมัย พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ และรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ เพราะอะไร
ผู้นำทั้งสองท่านคงจะมีความเชื่อมั่นว่า ผมจะช่วยชี้แจง ทำความเข้าใจกับประชาชนได้ และในช่วงที่ผ่านมาก็ได้ทำงานกับสื่อมาระดับหนึ่ง ในฐานะผู้นำเสนอข่าวสาร สมัยท่าน พล.อ.สุรยุทธ์ ผมก็ไม่ได้รู้จักท่านเป็นการส่วนตัว ท่านคงได้เห็นผมทำงานในบทบาทสื่อ เห็นเราใช้ภาษาไทยและภาษาอังกฤษได้
ตอนนั้นก็ไม่ได้คาดคิดเหมือนกัน ซึ่งได้มีโอกาสช่วยเรื่องที่เชื่อมโยงกับด้านความมั่นคงมาระยะหนึ่งก่อนที่จะมีรัฐบาล ในเรื่องการแปลและการแถลงข่าวต่าง ๆ แต่ก็ไม่ได้คิดว่าจะให้มาทำหน้าที่เป็นโฆษกรัฐบาลด้วย รอบนี้ก็เหมือนกัน ก็มีความรู้สึกตื่นเต้นที่ต้องเข้ามาทำหน้าที่อีกครั้งหนึ่ง
อย่างไรก็ตาม คิดว่าสถานการณ์ในช่วงของทั้งสองรัฐบาลก็เปลี่ยนไป อย่างน้อยเรื่องของการสื่อสารผ่านโซเชียลมีเดีย ปัจจุบันมีความก้าวหน้ามาก ซึ่งบ้างครั้งก็ไม่เห็นตัวตนของผู้ส่งข่าวสาร จึงลำบากในการชี้แจง
นอกจากนี้สื่อโซเชียลมีเดียบางครั้งก็มาเป็นกระแส มาแล้วก็ไป อยู่ไม่นาน บางครั้งต้องรีบชี้แจง บางครั้งยังไม่ได้ชี้แจงเลยมันก็ไปแล้ว การทำหน้าที่ในครั้งก่อนกับครั้งนี้จึงค่อนข้างต่างกันชัดเจน สถานการณ์ทางการเมืองก็ไม่ค่อยเหมือนกัน ตัวละครสมัยนี้มันก็มากขึ้นกว่าเดิมด้วย
จึงเป็นความท้าทาย ขณะเดียวกันก็เป็นความกรุณาของผู้นำทั้งสองท่านที่ให้มาทำหน้าที่ตรงนี้ แต่ก็หนักใจเหมือนกัน เพราะเราเหมือนเป็นกันชน สมัย 7 ปีที่แล้วก็เหมือนกัน
- ได้มาเป็นโฆษกของรัฐบาลที่มาจากการรัฐประหารทั้งสองครั้ง คิดว่ามีคุณสมบัติอะไรที่ทำให้เป็นโฆษกคู่บุญของคณะปฏิวัติ
ผู้นำแต่ละท่านคงมีเหตุผลของท่าน ผมคงตอบแทนท่านไม่ได้ แต่อาจเป็นเพราะได้เห็นข้อดีและข้อเสียแต่ละรัฐบาลที่ผ่านมา และทราบดีกับปัญหาที่เกิดขึ้นว่า ในจังหวะที่สถานการณ์ยังไม่เข้าสู่ภาวะปกตินัก เป็นสถานการณ์ที่ต้องใช้การชี้แจงและทำให้แต่ละฝ่ายสบายใจที่จะรับฟัง
ซึ่งผมคิดว่าเป็นสิ่งที่สำคัญ ก็อาจจะเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้คนที่มาจากคนนอก อาจจะมีบทบาทช่วยเหลือในส่วนนี้ได้ ประกอบกับเราเคยผ่านประสบการณ์มาและคลุกคลีอยู่กับสื่อด้วย ท่านนายกฯจึงให้มาช่วยงานในตรงนี้ เพราะเห็นว่าน่าจะเป็นประโยชน์
- การทำงานกับนายกฯทหารสองคนที่มีบุคลิกแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงทำงานยากหรือไม่
มีทั้งยากและง่ายไม่เหมือนกัน ของท่านนายกฯสุรยุทธ์จะมีลักษณะพูดน้อย แต่ท่านก็พยายามบอกกับผมว่า สิ่งที่ต้องไปชี้แจงแทนท่านคืออะไร และท่านจะมีแนวคิดลักษณะต้องการสื่อสารกับประชาชนตลอดเวลาเหมือนกัน เช่นเดียวกับท่านนายกฯประยุทธ์ ซึ่งสมัยนายกฯสุรยุทธ์ ก็มีรายการทางโทรทัศน์วันเสาร์
และท่านก็จะเป็นผู้ให้สัมภาษณ์เองในแง่มุมต่าง ๆ ในครั้งนั้นเราก็จัดเป็นเรื่อง ๆ สังเกตจากช่วงนั้น ๆ มีอะไร เราก็จะเน้นย้ำเรื่องนั้นมากขึ้น เนื่องจากท่านพูดไม่เยอะ ดังนั้นฝ่ายผู้ถามก็จะมีบทบาทค่อนข้างเยอะเพื่อให้ท่านได้ชี้แจง
สำหรับท่านนายกฯประยุทธ์จะแตกต่างกัน เพราะท่านจะพูดเองเลย ดังนั้นเราจึงต้องเก็บประเด็นต่าง ๆ ที่ท่านพูดถึง และอยากสื่อสารกับประชาชน แต่ยังไม่ได้ลงในรายละเอียด เราก็จะไปจับเรื่องนั้นมาลงรายละเอียดในส่วนต่าง ๆ ที่ทีมโฆษกรัฐบาลเกี่ยวข้องร่วมกับโฆษกกระทรวงรับลูกต่อไป เพื่อให้เจ้ากระทรวงช่วยชี้แจงเพิ่มเติมด้วย
ในยุคนี้จะมีบทบาทแตกต่างจากรัฐบาลชุดก่อน ๆ ไม่ใช่เพียงแค่การบริหารราชการแผ่นดิน แต่ยังมีบทบาทการปฏิรูปและสร้างการปรองดอง ซึ่งแตกต่างจากรัฐบาลเฉพาะกาลสมัยท่านนายกฯสุรยุทธ์ เพราะว่าเรื่องของการสมานฉันท์ ตอนนั้นยังมี คมช.แยกต่างหากอยู่
แต่ว่ามาถึงรัฐบาลนี้ บทบาทหน้าที่มันไปด้วยกันหมด และท่านนายกฯประยุทธ์เป็นหัวจักรสำคัญ จึงมีหลายสิ่งที่ท่านต้องรีบทำและรีบดำเนินการ ซึ่งท่านก็อยากจะชี้แจงกับประชาชนในสิ่งที่ท่านอยากจะทำ หลายอย่างไม่ได้มีการดำเนินการในรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง หลายอย่างก็ทำไม่ได้
เพราะฉะนั้น ท่านจึงอยากขับเคลื่อนสิ่งที่สำคัญให้เกิดขึ้นทันที ปานกลาง และสิ่งที่จะต้องส่งต่อให้รัฐบาลต่อไปด้วย ท่านจึงจำเป็นต้องชี้แจงพอสมควร แต่ก็เห็นใจท่าน เพราะการชี้แจงทำให้ท่านเหนื่อยเหมือนกัน เพราะมีหลายประเด็นที่ต้องชี้แจง
- สไตล์ของท่านนายกฯสุรยุทธ์ ช้า ๆ เนิบ ๆ ขณะที่นายกฯประยุทธ์พูดเร็ว และพร้อมตอบโต้ทุกเรื่อง การทำงานกับสไตล์ผู้นำแต่ละท่านคนไหนยากง่ายกว่ากันในฐานะที่เป็นกันชน
(หัวเราะ) เออ...ผมคิดว่าเมื่อ 7 ปีที่แล้ว อาจจะต้องพูดคุยกับท่านนายกฯบ่อยครั้ง คือต้องเข้าถึงเพื่อถามเพิ่มเติม รวมทั้งถามผู้ที่เกี่ยวข้องกับนโยบายนั้น ๆ มันมีเรื่องที่เราต้องตามเพิ่มพอสมควร เพราะท่านจะพูดในภาพรวมและมีเวทีที่พูดกับสื่อไม่บ่อยครั้งมาก
ซึ่งบทบาทของทีมโฆษกในขณะนั้นต้องมีความใกล้ชิดกับผู้นำค่อนข้างมาก เพื่อที่จะให้ได้คำตอบ
พอมายุคสมัยนี้ ท่านค่อนข้างที่จะอธิบายเยอะอยู่แล้ว ทำให้การพูดคุยกับท่านก็ไม่ได้เยอะเหมือนสมัยก่อน การทำงานก็จะเป็นอีกแบบหนึ่ง คือเวลาที่ใช้ไป ก็จะใช้เวลาร่วมประชุมกับท่าน เพื่อที่จะไปเก็บรายละเอียดเพิ่มเติม
ซึ่งอาจจะมีการพูดคุยกับท่านบ้าง แต่อาจจะไม่ต้องมากนัก เพราะข้อมูลที่ท่านให้เป็นแนวทางค่อนข้างสมบูรณ์พออยู่แล้ว เพียงแต่เราต้องเพิ่มเติมลงไปในรายละเอียดให้มากขึ้นเพื่อเสริมให้ท่าน
- จะสื่อสารอย่างไรให้ประชาชนเข้าใจหัวอกทหารที่ต้องเข้ามาควบคุมอำนาจ
เพราะมีความจำเป็นและทหารจะใช้เวลาไม่นานมาก เพื่อให้ประเทศต้องเดินหน้าและจัดระเบียบบางอย่าง เพราะที่ผ่านมาไม่ได้ทำ รวมทั้งเวทีต่างประเทศด้วย ซึ่งเป็นสิ่งที่จำเป็น เพราะไทยเรายืนอยู่คนเดียวบนโลกไม่ได้
ในช่วงนี้จึงจำเป็นต้องชี้แจงกับภายนอกประเทศค่อนข้างเยอะ เช่น เรื่องการแก้ปัญหาการค้ามนุษย์ และโรดแมปของรัฐบาล หลายเรื่องไม่จำเป็นต้องอธิบายกับต่างประเทศมากนักแล้ว เช่น เหตุผลความจำเป็นของการที่ คสช.ต้องเข้ามา
ผมคิดว่าต่างประเทศเข้าใจดีพอสมควร แต่ว่าการเดินหน้าตามโรดแมปของเราเป็นอย่างไร และการปฏิรูปเป็นอย่างไร ผมคิดว่าตรงนั้นเขาสนใจมากและอยากจะรู้ความเป็นไป เพราะเขาอยากจะเห็นเรากลับสู่ระบบที่มีการเลือกตั้ง
- วาระที่จะไปชี้แจงต่างประเทศจัดลำดับความเร่งด่วนเรื่องใดเป็นอันดับแรก
ช่วงที่ผ่านมาเวทีที่ช่วยทำให้เรามีโอกาสได้พูดได้คุยมากคือ เวทีที่ท่านนายกฯได้มีโอกาสไปร่วมประชุมพหุภาคีต่าง ๆ เป็นเวทีที่แสดงให้เห็นว่าเรากลับมามีบทบาทในเวทีต่างประเทศอีกครั้งหนึ่ง
ถึงแม้ท่านนายกฯจะได้แสดงสุนทรพจน์เพียงสั้น ๆ แต่ก็สามารถทำให้เห็นแนวทางของไทยในการมีส่วนร่วมกับต่างประเทศ ตรงนั้นทำให้ต่างประเทศยอมรับในบทบาทของรัฐบาล และทำให้เขาทราบว่าเรากำลังทำอะไรอยู่
นอกจากนี้ท่านนายกฯยังให้สัมภาษณ์สื่อต่างประเทศ เช่น จีน โดยเผยแพร่ผ่านช่องทางของกระทรวงการต่างประเทศเพิ่มไปอีก ผมจึงคิดว่าตรงนั้นเป็นเวทีที่เราใช้ประโยชน์ได้ดี
- ปัญหาปากท้องของประชาชนไม่ดี การเบิกจ่ายงบประมาณไม่เข้าเป้า ทำให้ประชาชนไม่กล้าจับจ่ายใช้สอย เป็นเพราะมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจไม่ได้ผล หรือเป็นเพราะกลยุทธ์การประชาสัมพันธ์ไม่ดี
ผมคิดว่าทั้งสองอย่าง
- สถานการณ์ทางการเมืองหลังการถอดถอนนักการเมืองรัฐบาลที่ผ่านมาและรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ที่กำลังร่างขึ้นจะมีผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของทั้งประชาชนและนักลงทุน ทีมโฆษกเตรียมรับมืออย่างไร
ผมคิดว่าเรื่องนั้นเป็นกระบวนการของฝ่ายนิติบัญญัติ แต่หากมันเกิดเป็นกระแสขึ้นมา ก็เป็นเรื่องของส่วนที่เกี่ยวข้องจะต้องชี้แจงกันต่อไปก่อน ซึ่งผลกระทบที่อาจจะตามมา รัฐบาลก็ต้องเตรียมรับมือตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
อย่างน้อยต้องพยายามสร้างกลไกในการสร้างความเข้าใจ สร้างความเชื่อมั่นของประชาชนโดยเร็วที่สุด เพื่อไม่ให้มีการหยิบยกเรื่องใดนำไปขยายผล
เพราะแน่นอนว่าเมื่อเกิดอะไรขึ้นมา ก็ต้องกระทบกับรัฐบาลอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ถึงแม้จะไม่ใช่เป็นเรื่องของรัฐบาลก็ตาม
- รัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ถูกวิจารณ์ว่า รัฐประหารแล้วเสียของ รัฐบาลปัจจุบันก็ไม่ต้องการให้เสียของอีก ในฐานะโฆษกที่ทำหน้าที่หนังหน้าไฟ เป็นเหมือนกันชน จะมีวิธีการช่วยทำอย่างไรไม่ให้การรัฐประหารครั้งนี้เสียของ
คำว่าเสียของหรือไม่ มันต้องดูที่ผลลัพธ์ของงานที่เกิดขึ้น แต่ละรัฐบาลก็จะมีผลลัพธ์ของตัวเอง บางผลลัพธ์ประชาชนก็อาจจะไม่ชื่นชอบ บางอันอาจจะเป็นผลลัพธ์ที่ดี
จึงเป็นหน้าที่ของโฆษก ที่จะต้องไฮไลต์ในส่วนที่เป็นบวกให้ชัดเจนของผลงานที่ทำไป แต่บางอย่างอาจจะยังไม่สำเร็จ ก็ต้องฝากให้รัฐบาลต่อไป จึงต้องดูผลงานสุดท้าย
- ถ้าเกิดรัฐประหารอีกรอบ และทหารชวนมาเป็นโฆษกอีกรอบจะมาทำอีกหรือไม่
รอบหน้าไม่เอาแล้ว
(ที่มา:ประชาชาติธุรกิจ ฉบับ 26-28 ม.ค.2558)
ขอบคุณ มติชนออนไลน์
ประชาชาติธุรกิจ
อาทิตยวารสิริสวัสดิ์ค่ะ