"ปนัดดา" โพสต์เฟซบุ๊กรำลึกถึงบุพการี ระบุโชคดีเกิดเป็นคนไทยอยู่ใต้ร่มพระบารมี
เมื่อวันที่ 28 กันยายน ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีและปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก "Panadda Diskul" ระบุว่า "บ่ายวันอาทิตย์เช่นนี้ กระผมคุยทบทวนความทรงจำกับครอบครัวถึงพระเดชพระคุณของบุพการีชน เพราะหากไม่มีท่านเราคงไม่มีวันนี้ ข้าพเจ้าจำได้ว่าวันหนึ่งนานมาแล้ว พ่อสนทนากับแม่ว่า มีเอกชนหลายรายเขาอยากได้ที่ดินอันเป็นที่ตั้งของวังวรดิศปัจจุบัน ไปทำเป็นศูนย์กลางทางการพาณิชย์หรือศูนย์การค้า เพราะอยู่ไม่ไกลเลยจากโบ๊เบ๊ (คลองมหานาค) โดยเตรียมตอบแทนเป็นเงินมากมายสำหรับเวลานั้น อีกรายหนึ่งเป็นสถานทูตต่างประเทศ อยากได้วังซึ่งเคยเป็นที่ประทับของสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ องค์พระบิดาแห่งประวัติศาสตร์และโบราณคดี ไปเป็นที่ทำการสถานทูต ถึงขนาดไปเตรียมสั่งทำเสาธงชาติเสียก่อนแล้ว ส่วนอีกรายต้องการจะซื้อสิ่งของเครื่องใช้ส่วนพระองค์ และหนังสือพระนิพนธ์ทุกเล่มของสมเด็จฯ กลับไปไว้ยังหอสมุดแห่งชาติในประเทศของตน ข้าพเจ้าจำได้ว่า พ่อพูดกับแม่ว่า เขาเหล่านั้นประมาทครอบครัวคนไทยของเรามาก ได้ยินเขาแอบพูดคุยกันว่า ยังไงก็ต้องขาย เงินมากมายถึงเพียงนี้ มีหรือจะไม่อยากได้ พ่อแม่เล่าให้ข้าพเจ้าฟังเสมือนกับจะสอนให้รู้ดีรู้ชั่ว เงินทองความร่ำรวยต่างจากคุณงามความดีและเกียรติยศ ที่จะสถิตอยู่กับแผ่นดิน เกิดมาเป็นคนต้องไม่โลภ และต้องมีความอ่อนน้อมถ่อมตนมีสัมมาคารวะ ผู้คนเขาถึงจะมีเมตตากรุณาแก่เรา ไม่ใช่เที่ยวไปอวดรู้อวดเบ่ง คนติดต่อซื้อทรัพย์สินเหล่านี้จากพ่อ ในฐานะที่พ่อเป็นหลานชายใหญ่ผู้รับมรดกตามพระพินัยกรรม หารู้ไม่ว่า คุณย่าของข้าพเจ้าผู้มีเชื้อสายจีน มีฐานะร่ำรวยทางครอบครัวมาแต่บรรพบุรุษ ท่านเทิดทูนในหลวงยิ่งชีวิต สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงฯ เสด็จไปทรงขอหมั้นให้กับท่านปู่ของข้าพเจ้าด้วยพระองค์เองถึงในสำเพ็ง ในสมัยที่ประเทศสยามยังเป็นยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์ คุณย่าท่านทั้งสวยและสง่างามเล่าว่า ผู้คนในสำเพ็งแตกตื่นดีใจ ว่าเจ้านายไทยไม่ถือพระองค์ คุณย่าของข้าพเจ้านี้เองที่ได้มีส่วนสำคัญรักษามรดกของแผ่นดินสยาม ให้เป็นแหล่งเรียนรู้ทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมแก่ลูกหลานเยาวชนและประชาชน ที่กลายเป็น "พิพิธภัณฑ์และหอสมุดสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ" ถนนหลานหลวง เขตป้อมปราบศัตรูพ่ายตราบจนปัจจุบัน คุณย่าพูดกับพ่อว่า "รู้จักเราน้อยไป เพราะเพียงแค่คิดก็ผิดแล้ว ความดีกับความชั่วจึงเกิดขึ้นจากการกระทำของตัวเราล้วนๆ โทษใครอื่นไม่ได้เลย" เมื่อพ่อต้องเดินทางไปปฏิบัติหน้าที่ราชการทางการทูต ณ กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. เป็นเวลา 3 ปี พ่อกับแม่เล่าให้ข้าพเจ้าฟังว่า คุณย่าท่านทั้งดีใจและเสียใจ ท่านบอกอเมริกาไกลเหลือเกิน ท่านชราภาพมากแล้ว จะคอยเฝ้าดูแลที่วังวรดิศนี้ไว้ให้เป็นอย่างดี ท่านเมตตาเรียกข้าพเจ้าว่า พระถังซัมจั๋ง เพราะเมื่อเด็กๆ ข้าพเจ้าอ้วนมากและชอบถือตาลปัตรสวดมนต์ให้คุณย่าฟังทุกเย็น คุณย่ารักเมตตาข้าพเจ้าอย่างสุดพรรณนา ครอบครัวของพ่อ เดินทางถึงสหรัฐอเมริกาได้ไม่นาน ก็ได้รับจดหมายฉบับแรกจากคุณย่า ท่านให้คนอื่นเขียนแทนให้เพราะสายตาไม่ดีแล้ว แต่ท่านลงนามเอง มีข้อความปรากฏว่า "คิดถึงเหลือเกิน ยังทำใจไม่ได้ คิดถึงเจ้าตัวน้อยพระถังซัมจั๋งใจจะขาด" พ่อเล่าให้ข้าพเจ้าฟัง หลังจากนั้นเพียงไม่นาน พ่อก็ได้รับวิทยุโทรเลขแจ้งว่าคุณย่าได้จากไปแล้วอย่างสงบ พ่อไม่ได้เดินทางกลับมาจัดพิธีบำเพ็ญกุศลศพ จนกระทั่งจบภาระหน้าที่ราชการ เพราะสมัยนั้นเดินทางยากลำบากมาก แต่ได้รับประทานพระเมตตาจากหม่อมเจ้าจงจิตรถนอม ดิศกุล พระธิดาในสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงเป็นพระธุระให้กับพ่อ ตราบทุกวันนี้ ข้าพเจ้าไม่เคยลืม "คำสอนชีวิตของบุพการี" ที่จะมุ่งมั่นปฏิบัติตราบจนวาระสุดท้ายแห่งชีวิต นั่นคือ ความจงรักภักดีเหนือสิ่งอื่นใดทั้งปวง ถือเป็นสัตยาธิษฐานของข้าพเจ้า ที่ชีวิตหนึ่งนี้ได้เกิดมาเป็นคนไทยใต้ร่มพระบารมี ขอบคุณ มติชนออนไลน์ สิริสวัสดิ์จันทรวารค่ะ
Create Date : 29 กันยายน 2557 |
Last Update : 29 กันยายน 2557 10:22:50 น. |
|
0 comments
|
Counter : 1310 Pageviews. |
|
|