ไม่นานพอรถบัสคันเดิมที่เรานั่งมาถึง ก็เดินทางต่อ ไต่วกวนไปตามเทือกเขาอีกประมาณ 40 กม. ก็ถึง Copacaba เส้นทางนี้มีทัศนียภาพ ของทะเลสาบ Titicaca และเทือกเขาแอนดิส ที่สวยงามมาก ๆ
ทะเลสาบ Titicaca หรือ Lago Titicaca ผืนน้ำราบเรียบ ส่องประกายเหมือนอัญมณีสีน้ำเงินเข้ม ใต้ท้องฟ้าอันสดใส ให้เราได้เห็นกัน.... เป็นทัศนียภาพที่งดงามที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศโบลีเวีย
ทะเลสาบ Titicaca ครอบคลุมพื้นที่ถึง 58,000 ตร. กม ..มีความกว้างยาวอยู่ที่ 80 x 190 กม. ส่วนที่ลึกที่สุด คือ 284 เมตร ตั้งอยู่ที่ระดับความสูงถึง 3,810 เมตร จึงเป็นทะเลสาบที่สูงที่สุดในโลก ...... พื้นที่รอบ ๆ ทะเลสาบ เป็นถิ่นฐานหลักของชาว Aymara ซึ่งยังสามารถรักษาภาษา และวัฒนธรรมที่โดดเด่นของตนเองมาหลายศตวรรษ ให้รอดพ้นทั้งจากชาวอินคา และสเปน
..ชาว Aymara ใช้พื้นที่ราบรอบ ๆ ทะเลสาบที่อุดมสมบูรณ์ เป็นพื้นที่เพาะปลูกข้าวบาร์เลย์ มันฝรั่ง ข้าวโพด ... และยังเลี้ยงสัตว์ เช่น llamas, alpacas แกะ ...อีกด้วยค่ะ
......ไม่นานก็มาถึง Copacabana รถจอดที่สำนักงานในตัวเมือง เอาของลง ...ที่นี่ เป็นจุดหมายปลายทางของหลาย ๆ คน ..แต่หลาย ๆ คนก็ยังต้องเดินทางต่อ พนักงานบอกว่ารถจะออกอีกที บ่ายโมงครึ่ง ไปเที่ยวกันก่อนก็ได้
......Copacabana เป็นหมู่บ้านเล็ก ๆ อยู่ติดกับทะเลสาบ Titicaca ทางด้านใต้ใกล้ชายแดนเปรู ... ชื่อ Copacababa มาจากภาษา Aymara คำว่า "kota kawana" หมายความว่า "view of the lake" ...มีชื่อเสียงองจากทัศนียภาพที่งดงาม และวิหารของพระแม่แห่งโคปาคาบานา (Basillica of Our Lady of Copacabana) ซึ่งมีการก่อสร้างแบบแขกมัวร์ (Moorish style) สร้างระหว่างปี 1605 - 1820
...Copacabana ยังเป็นหมู่บ้านต้นกำเนิดของ รูปปั้นพระแม่ Modonna (Virgin of Copacabana) ซึ่งสร้างโดย Francisco Tito Yupanqui ช่างปั้นสมัครเล่น ผู้สืบเชื้อสายจากชนพื้นเมือง Inca Huayna Capac และยังเป็นสมาชิกของชนพื้นเมืองอีกกลุ่ม คือ Anansayas โดยเชื่อว่าจะมีอิทธิพลต่อชนพื้นเมืองทั้ง 2 กลุ่ม ที่มักมีปัญหาขัดแย้งกัน เพราะทั้ง 2 กลุ่ม แม้จะมีความเชื่อต่างกัน แต่ก็รับเอาศาสนาคริสต์เข้ามาผสมผสานกับความเชื่อดั้งเดิมของตนเอง
...ต่อมา Virgen of Copacabana ก็ได้มาเป็นพระแม่องค์อุปถัมภ์ ผู้ปกป้องคุ้มครองประเทศโบลีเวีย และ หมู่บ้านเล็ก ๆ นี้ กลายเป็นที่แสวงบุญของชาวโบลีเวียน
มีการเฉลิมฉลอง Virgen of Copacabana ทุกปี ใน 2 วันแรกของเดือนกุมภาพันธ์... ชนพื้นเมือง และนักเต้น ทั้งจากเปรูและโบลีเวีย ร่วมกันเต้นรำแบบพื้นเมือง Aymara มีทั้งดนตรี การดื่ม และการเลี้ยง .....
..และในวันศุกร์ศักดิ์สิทธิ์ (Good Friday) ทั้งเมืองจะเต็มไปด้วยผู้แสวงบุญ และเมื่อพลบค่ำก็ร่วมจุดเทียน และเดินในขบวนแห่อย่างสงบ
(ข้อมูลจาก lonely planet ฉบับ South America on a shoestring, วิกิพีเดีย และ wikitravel : ภาพจาก google ค่ะ)
จากศูนย์กลางของเมือง ที่ Plaza 2 de Febrero มีถนน Avenida 6 de Agosto แยกไปทางหาด ซึ่งเต็มไปด้วยร้านขายของที่ระลึก ที่พัก ร้านอาหาร สำหรับนักท่องเที่ยว
บ่ายโมงครึ่งก็เปลี่ยนเป็นรถเปรู ไปอีกไม่นาน ก็มาถึงพรมแดนโบลีเวียและเปรู ที่ตรวจคนเข้าเมือง ที่ด่าน Kasani โบลีเวีย
.... ต่างคนก็ไปต่อแถว เพื่อประทับตราพาสปอร์ตข้ามไปเปรูค่ะ ต่อแถวตั้งนานก็ไม่ขยับสักที คิดว่าด่านคงเปิดบ่าย 2 โมง ก็รอกันไป บางคนก็ไปแลกเงิน Peruvian Soles กับคนรับแลกเปลี่ยนเงิน (ชาว Aymara อีกแล้ว) ..... รอกันนานเหมือนกัน ไม่ขยับเลย เจ้าหน้าที่ก็มีตั้ง 2 โต๊ะ หรือเจ้าหน้าที่ยังไม่ทำงาน เห็นมองโน่นมองนี่ไปเรื่อย .... สุดท้ายปรากฏว่าสัญญานเน๊ตไม่ดี ข้อมูลไม่มา .. ดีที่รถคันเรามาก่อน เพราะหลังจากนั้น ก็มีคนมาต่อแถวยาวเรื่อย ๆ
ผ่าน ตม. มาได้ก็เกือบ 3 โมงแล้ว รีบจ้ำอ้าวข้ามไปเปรู ผ่านประตูโค้ง เข้ามา ป้ายเปรูเด่นมาก ก็แวะถ่ายรูปก่อนค่ะ
จากนั้น ก็เดินต่อไปยังตรวจคนเข้าเมืองเปรู.. แป๊บเดียว ก็เรียบร้อย แล้วก็มารอคนอื่น ๆ ที่กำลังทะยอยมา รถบัสจาก Copacabana ไป Puno เป็นของ บ. Tranzela นั่งสบายมาก ๆ แต่ไม่ทราบว่าเป็นของบริษัททัวร์หรือเปล่า..... พอขึ้นบัสสักพัก เจ้าหน้าที่ก็เริ่มถามขายทัวร์ที่จะไปเกาะ Uros, Taquile และ Amantani ก็ไม่ได้ซื้อทัวร์อะไร เพราะเราพักที่ Puno คืนเดียว .... แต่ได้รถจาก Puno ไป Cusco ในราคาคนละ 50 Soles (ประมาณ 600.- บาท) ค่ะ
เทือกเขาแอนดิส ระหว่างทางจากชายแดนเปรูไปปูโน
ถึงปูโน ก็ 4 โมงกว่า เรียกรถตุ๊ก ๆ ไปที่พัก คนขับบอก 3 Soles (35.- บาท) ก็คิดว่าถูกนะ ไปไกลเหมือนกัน ก็เพิ่มให้เขาอีกหน่อย ความจริงค่าครองชีพที่เปรู สูงกว่าบ้านเรา แต่ค่ารถตุ๊ก ๆ แท๊กซี่ ถูกกว่าค่ะ หรือน้ำมันถูกกว่า ??!! ลองเช็คดูหน่อยซิ (ราคาน้ำมันที่ลิมาวันที่ 22 มิย. 2558 อยู่ที่ 1/4 แกลลอน (946.352946 milliliters) = S/4.52 (48.2096 บาท) ....น้ำมันเขาไม่ได้ถูกกว่าบ้านเรา.... ยิ่งเป็นราคาของปีที่แล้ว ต้องแพงกว่านี้แน่ ๆ
....เงินเปรู....เรียกเป็นทางการว่า Peruvian Nuevo Sol (PEN) แต่โดยทั่ว ๆ จะพูดว่า โซล (Sol) แต่ส่วนใหญ่จะเป็น โซลเลส (Soles) ค่ะ
พักที่ Hostal Inti - Puno เป็นครอบครัวค่ะ แล้วแบ่งเป็นที่พักนักท่องเที่ยว และห้องอาหาร เจ้าน่ารักและอัศยาศัยดีมาก แต่ก็คุยกันไม่รู้เรื่องเหมือนเดิม ต้องหาล่ามมาแปลกัน
รถรับจ้างที่ปูโน ไม่ได้ลองใช้บริการ เพราะเราเดินกันแถว ๆ นั้นเอง
เมืองปูโน เป็นเมืิองหลวงของแคว้นปูโน ตั้งอยู่ริมฝั่งทะเลสาบติติกากาด้านประเทศเปรู ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน 1668 ปัจจุบันมีอาคารสมัยอาณานิคมหลงเหลืออยู่ไม่กี่อาคาร รวมทั้งวิหารอีก 2-3 แห่งที่สร้างขึ้น สำหรับชาวสเปน และ เพื่อเป็นที่สอนศาสนาแก่ชาวพื้นเมือง
ที่ Plaza de Armas กำลังมีนิทรรศการเกี่ยวกับภาพถ่ายชนพื้นเมือง ดูชุดของผู้ชายแล้ว ช่างเหมือนชุดของชนเผ่าปากะยอ บ้านเราจริง ๆ
ส่วนชุดของผู้หญิงก็ไม่หลีกหนีไปไกลจากชุดของชนเผ่าม้งเลย
ถนนคนเดินค่ะ ทุกเมืองที่เราผ่านมา จะมีถนนคนเดินจริง ๆ ที่ไม่ให้รถผ่าน หรือผ่านบางเวลาเท่านั้น .. เดินไม่นานก็กลับ
...แม้จะผ่าน ลาปาซ ที่อยู่สูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 3,600 - 3,650 เมตร (ข้อมูลไม่ค่อยแน่นอนค่ะ) มาแล้ว แต่ที่ปูโนและทะเลสาบติติกากา อยู่สูงไปอีกหน่อย คือ 3,810 เมตร ... แต่นอนที่ปูโนคืนนั้น จำได้ว่าหนาวมาก ๆ ผ้าห่มก็ 3 ผืนเข้าไปแล้ว เสื้ออีก 3 ตัว พอเช็คอุณหภูมิคืนนั้น 1 องศาค่ะ
สมบุกสมบุกสมบันมาได้เกือบเดือนแล้ว หลังจากต้องคอยซ่อมกระเป๋ากับรองเท้ามาตลอด ตั้งแต่ 2-3 วันแรก ที่ Curitiba
...มาถึงปูโนก็ไม่ต้องซ่อมกระเป๋าแล้วค่ะ เพราะขาตั้งกับที่ลากมันหลุดมาทั้งชุดเลย ...ดูสภาพความยับเยิน ใบที่มีแถบสีม่วง ไม่มีทั้งขาตั้งและที่ลาก..ข้างบนด้านขวาที่เละ ๆ ก็เป็นรอยเย็บ... สีน้ำเงินของลุงเขา ยังดีอยู่ สว. ก็คงสภาพใกล้เคียงกับกระเป๋าแล้วเหมือนกันค่ะ
สีสันมากๆ
ภาพสุดท้ายกระเป๋ายับเยินมาก
เป็นเค้านะ คงซื้อใหม่ ไม่แบกกลับมาทิ้งที่เมืองไทยหรอก
555