วันรุ่งขึ้นรถไฟออกเวลา 8.15 น. นักท่องเที่ยวมากมาย มาจากหลาย ๆ ที่ พอออกจากสถานีจะมีเจ้าหน้าที่ประจำโบกี้ อธิบายเป็นภาษาโปรตุเกสได้อย่างน่าตื่นเต้น จนเราก็ตื่นเต้นตาม ทั้งที่ไม่รู้เรื่อง พี่โปรตุเกสบรรยายเหมือนกำลังพากษ์มวย หรือการแข่งเรือชิงถ้วยพระราชทานบ้านเรา ...จากการเดา คงบอกว่าเรากำลังนั่งรถไฟสายประวัติศาสตร์ ผ่านพื้นที่อนุรักษ์ อุโมงค์ .. เป็นที่น่าสนใจมาก แต่ไม่รู้เรื่องเหมือนเดิม รถไฟออกแล้ว ผ่านสถานที่ต่าง ๆ
แล้วก็ค่อย ๆเคลื่อนมุ่งหน้าสู่ Morreste
รถไฟสายนี้ใช้หัวรถจักร์ไอน้ำ
โบกี้สีแดงตู้แรกนั่น โค้กเป็นสปอนเซอร์แน่ ๆ เลย
ตลอดเวลาพี่โปรตุเกสก็บรรยายเป็นระยะ ๆ แบบเสียงไม่ตกเลย......ถึงนั่นแล้วนะ ถึงนี่แล้วนะ แต่ละคนก็โผล่หน้าออกมาถ่ายรูปกันได้รูปรถไฟเลี้ยวไป - เลี้ยวมา กับหน้าคนที่นั่งหรือโผล่มาถ่ายรูปข้าง ๆ เรา แล้วรถไฟก็ค่อย ๆ เคลื่อนสูงขึ้น บรรยากาศ 2 ข้างทางเริ่มเปลี่ยนค่ะ
สักพักเสียงก็เปลี่ยนเป็นตื่นเต้นยังกับกำลังพากษ์มวยชิงแชมป์โลก (ลุงบอก) ไมค์ ไทสัน (นักมวยรุ่นหลังกว่านี้ไม่รู้จักแล้ว)กำลังชนะน๊อคคู่ต่อสู้ .... ทุกคนตื่นเต้น เฮไปอีกด้านของรถไฟกดชัตเตอร์กันไม่ยั้ง ....ได้รูปธารน้ำตกมาแค่นี้ รถไฟจะผ่านไปแว๊บเดียว ...เสียงน้ำตกซู่ซ่า ก็ไม่ได้ยิน เสียงรถกับคนพากษ์ดังกว่า...แล้วกลับมานั่งที่เดิมของใครของมัน
ทิวทัศน์สองข้างทาง เขียวชอุ่มจริง ๆ สมกับคำกล่าวที่ว่า "ผ่านป่าฝนที่สมบูรณ์ที่สุดทางชายฝั่งแอตแลนติคของบราซิล"
รถไฟเค้าน่านั่งเนอะ แต่ละโบกี้ ก็ไม่เหมือนกันด้วย colorful city จริง ๆ
จากนั้น ก็รอเจ้าหน้าที่ว่าจะชี้ให้ดูอะไรที่มันน่าตื่นเต้นอีกแต่ที่ใจจดจ่อ ก็คือ ตอนรถไฟแล่นเลียบไปตามทางโค้งของหุบเขา อย่างที่เห็นในเว็บ สวยมาก ๆ ที่ดึงดูดเราให้มาเมืองนี้เพื่อที่จะนั่งรถไฟสายนี้โดยเฉพาะ
ถึงกับนั่งเครื่องบินจาก Rio ชั่วโมงกว่า (ถ้ามารถก็นอนมาทั้งคืน) มาแวะที่ Curitiba ติดต่อเจ้าหน้าที่เป็นเดือน ยกเลิกบัตรเครดิตไป 1 ใบ นอนไม่หลับซะหลายคืน แล้วก็มาจ่ายค่ารถไฟชั้นถูกสุด 1,340 บาท แต่พี่โปรตุเกสก็ไม่เห็นว่าอะไรอีก เงียบไปเยอะเลยสงสัยหมดสภาพแล้ว
ลืมนึกไปว่า ...นั่งอยู่ในรถไฟ จะตื่นเต้นอย่างไร ไม่ใช่รถไฟเหาะสักหน่อย ถ้าอยากตื่นเต้น เห็นภาพชัดเจน ได้ถ่ายรูปด้วยตัวเอง แบบที่เห็นในรูปข้างต้น ก็ต้องอยู่นอกรถไฟต่างหาก
บรรยากาศแบบนี้ รถไฟก็พาเราไปเรื่อย ๆ ช่วงนี้เป็นช่วงที่ได้ภาพรถไฟและบรรยากาศที่น่าจะสวยที่สุด เฉพาะช่วง Curitiba - Morreste ค่ะ
แล้วก็ผ่านสถานีเล็กๆ Marumbi สักพักก็มาถึง Morreste อย่างเงียบ ๆ
สุดทางที่ Morreste
บรรยากาศที่ Morreste เงียบจริง ๆ ทั้งสถานีรถไฟและเมือง
เดินไปรอบ ๆ มีถนน 2 3 สาย เงียบเหมือนที่เห็นในรูป นักท่องเที่ยวที่มารถไฟขบวนเดียวกัน แป๊บเดียวหายไปไหนไม่รู้ เจอกันอีกทีตอนรอรถกลับ ถ้าใครจะต่อไป Paranagua ก็มีรถบัสไปถึงค่ะ
เดิมรถไฟสายนี้จะไปถึง Paranagua ทุกวัน แต่ตอนหลังมีเฉพาะวันอาทิตย์วันเดียว .... Paranagua แปลว่า Great Round Sea ในภาษา Tupi มีความสำคัญในฐานะเป็นเมืองท่า เป็นเมืองในมลรัฐ Parana เช่นเเดียวกับ Curitiba
Paranagua หากใครอยากไปให้ถึง บรรยากาศดูโรแมนติคดี
เที่ยวกลับเราไม่ได้กลับรถไฟเพราะจะเจอค่ารถไฟอีกคนละ 1,000.- กว่าบาทกลับรถบัสดีกว่า ค่ารถ R$ 15.50 ประมาณ250.- บาท/คน ตอนรอรถอยู่ ลุงไปห้องน้ำ สักพักกลับมาบอกว่าไม่รู้จะเข้าห้องไหนดี หน้าห้องน้ำเขียนว่า "ele" กับ "ela" ไม่มีรูปประกอบ ก็ช่วยกันเดาว่าน่าจะเป็น "ela" นะเพราะคำที่ลงท้ายด้วยสระ อา ๆๆ ...ดูจะเป็นผู้หญิงกว่า ดังนั้น "ele"ก็ต้องเป็นห้องน้ำชาย
จริง ๆ ด้วย ....เพราะตอนหลังมีคนเข้าไปห้องน้ำให้เห็นน่ะ กลับมาหาคำแปล "ele = it" ..."ela = she" ตลอดการเดินทางครั้งนี้ จะค่อนข้างปวดหัวกับคำ ที่เขียนหน้าห้องน้ำ เพราะมีหลายคำมาก และส่วนใหญ่ไม่มีรูปประกอบว่า ชายหรือหญิง
ไว้ค่อยๆ เล่าค่ะ ว่าแต่แห่งเขียนกันว่าไงบ้าง
รถบัสใช้เวลา1 1/2 ชั่วโมง กลับมาถึง Curitiba ก็เย็นพอดี ..จบวันนี้ค่ะ สำหรับรถไฟสาย Curitiba - Paranagua หรือรถไฟสายมิรู้ลืม
ขอบคุณข้อมูลจากLonely Planet ฉบับ South America และภาพจาก internet ค่ะ
หรือว่าเป็นเฉพาะเครื่องเค้าก็ไม่รู้