ขอต้อนรับสู่โลกของนิยายยูริ เรื่องจากประสบการณ์ และทำนายดวงชะตา โดย นิ้วนาง-เดียนา-ลำดวนพยากรณ์
 
มกราคม 2558
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
25262728293031
 
26 มกราคม 2558
 
 
ปรารถนารัก...อีกสักครั้ง? Believe...Again? (Yuri) ตอนที่ 3

-๓-

เที่ยงเศษ รถโฟล์คตู้สีขาวป้ายทะเบียนกรุงเทพฯ เลี้ยวเข้าไปจอดสงบนิ่งหน้าสำนักงาน ‘ปานสรวง โฮม รีสอร์ต’ คนขับดับเครื่องรีบลงจากรถวิ่งวนไปเปิดประตูให้ผู้โดยสารอย่างรู้หน้าที่

หล่อนสวมแว่นกันแดดสีเข้มแบรนด์ดัง ดูเฉี่ยวเปรี้ยวกว่าเดิม ทั้งที่แดดก็ไม่ได้แรงอะไรนักหนา แต่เจตนาสวมเพื่อปกปิดรอยช้ำที่บริเวณขอบตาทั้งสองข้างต่างหาก

หญิงสาวเผลอน้ำตาซึมขณะนั่งอยู่ในรถหลายครั้ง ในใจยังคงอาลัยอาวรณ์ถึงอดีตคู่หมั้นไม่น้อย มองอะไรหัวใจก็พานจะเวียนวนกลับไปคิดถึงเขาร่ำไป...หัวใจไม่รักดีเอาเสียเลย

“ทานข้าวด้วยกันก่อนนะคะอาพงษ์ พักให้หายเหนื่อยแล้วค่อยขับกลับ” ร่างบางกล่าวกับคนสนิทของบิดาด้วยน้ำเสียงจริงใจห่วงใย ก่อนขยับลงจากรถไปยืนที่พื้นดิน

“ครับคุณหนู” เขารับคำ คว้ากระเป๋าเดินทางสองใบโตของหล่อน เดินลากตามไปยังตัวสำนักงานตรงหน้า

หญิงสาวหยุดอยู่หน้าอาคารไม่ทันจะก้าวเข้าไป ประตูกระจกบานใหญ่ก็ถูกผลักออกมาก่อนโดยนงรามซึ่งรออยู่ก่อนสักพักแล้ว ภาวินีแทบจะโผเข้ากอดอย่างคุ้นชินเหมือนตอนเป็นเด็กๆ หอมแก้มญาติผู้ใหญ่แรงๆ ทั้งซ้ายขวา

“สวัสดีค่ะน้านง ภาคิดถึงน้านงจังเลยค่ะ” หล่อนออดอ้อนแบบที่ใช้อยู่บ่อยๆ ซุกไซ้วงหน้าคลอเคลียที่ข้างแก้ม เหมือนลูกแมวขี้อ้อนตัวโตๆ

นงรามยิ้มกว้าง ยกแขนสวมกอดและลูบหลังของหล่อนเบาๆ อย่างรักใคร่เอ็นดู เมื่อยืนเทียบกันร่างบางจะสูงกว่าเกือบสิบเซนติเมตร แต่ยังคงเป็นเด็กตัวน้อยในความคิดของเธอ

“มาถึงก็ปากหวานเลยนะคะเนี่ย”

“ภาคิดถึงน้านงจริงๆ นะคะ ไม่ได้ปากหวานสักหน่อย” หล่อนพูดกระเง้ากระงอด ผละออกจากอ้อมกอดของน้าสาว ถอดแว่นกันแดดที่สวมออกเก็บใส่กระเป๋าสะพาย

เจ้าของรีสอร์ตได้แต่หัวเราะเบาๆ อย่างพอใจในลำคอ ไม่ต่อล้อต่อเถียงด้วย รู้ว่าเถียงยังไงก็ไม่มีทางชนะ สายตาสังเกตเห็นขอบตาช้ำๆ ที่ซ่อนอยู่ใต้เมคอัพหนากว่าปกติ

'โถ หลานน้า'

น้าสาวนึกสงสารหลานสาวจับใจ แต่เลือกที่จะไม่เอ่ยปากอะไร ไว้อยู่ตามลำพังค่อยคุยจะเหมาะกว่า

“จ๊ะ น้าเชื่อทุกคำของภาเลยค่ะ เดินทางเป็นไงบ้าง เหนื่อยไหม?”

“ขึ้นรถได้ ภาก็หลับตลอดทาง จะเหนื่อยได้ยังไงคะ” ตอบพร้อมทำหน้าทะเล้น แบบที่คนทั่วไปยากจะได้เห็น

นงรามส่ายหน้ากับความขี้เล่นของคนตรงหน้า ที่ไม่ลดน้อยถอยลงไปเท่าไร แต่ทำไมจะดูไม่ออกว่า อีกฝ่ายพยายามเก็บซ่อนความเจ็บปวดรวดร้าวเอาไว้ใต้หน้ากาก...เลี้ยงเองมากับมือ เรื่องแค่นี้ไม่รู้ได้อย่างไร

“ที่นี่เปลี่ยนไปเยอะนะคะ ภาไม่ได้มาสองปีกว่า จำแทบไม่ได้เลย” หล่อนพูดขึ้นอย่างชื่นชม ครั้งสุดท้ายที่มาที่นี่เป็นช่วงก่อนเปิดร้าน Artemis หลังจากนั้นภาวินีก็ยุ่งกับงาน จนไม่มีโอกาสแวะมาที่นี่อีก ได้แต่โทรศัพท์มาคุยกับน้าสาวบ้างเท่านั้น

ร่างบางสอดส่ายนัยน์ตาคู่สวยมองไปรอบๆ ดูเหมือนกิจการที่นี่จะขยายตัวรวดเร็วมาก เท่าที่ประเมินคร่าวๆ มีเรือนพักตั้งอยู่เรียงกันมากกว่าสามสิบหลัง โดยรอบมีต้นไม้ใหญ่ปลูกเรียงรายทำให้บรรยากาศเย็นไม่ร้อนอบอ้าว ให้ร่มเงาร่มรื่นและโรแมนติก มีแขกหลายคนเดินผ่านไปมา ส่วนใหญ่มาเป็นคู่เดินคล้องแขนสนิทสนมชวนอิจฉาตาร้อน

“ก็ปรับปรุงไป ขยายไปเรื่อยๆ น้าเน้นโตช้าแต่มั่นคง” น้าสาวเล่า

นงรามกู้แค่ตอนลงทุนครั้งแรก หลังจากมีกำไรก็ใช้เงินสดโปะใช้หนี้มากขึ้น มากขึ้น จนตอนนี้ปานสรวง โฮม รีสอร์ตมีหนี้สินเท่ากับศูนย์ ตั้งใจไว้ว่าถึงจะขยายกิจการต่อไม่กู้เงินมาลงทุนอีก มีเงินเท่าไหร่ทำเท่านั้นแบบสบายๆ ด้วยถือคติที่ว่า ‘ความไม่มีหนี้ เป็นลาภอันประเสริฐ’

แล้วบรรยากาศแห่งความสุขก็หมดลง เมื่อภาวินีเห็นหน้า ‘คู่ปรับเก่า’...รสริน ออกมาจากสำนักงาน

หล่อนทำหน้านิ่ง ยกมือไหว้อีกคนในฐานะที่อาวุโสกว่า ไม่อยู่ในอารมณ์จะปะทะกับใครตอนนี้...สงบศึกชั่วคราว

“สวัสดีค่ะคุณรส”

เชฟใหญ่รับไหว้ และทักทายตอบ

“สวัสดีค่ะคุณภา"

“ไม่เจอกันนานสบายดีหรือเปล่าคะ? หล่อนเริ่มเปิดประเด็นสนทนาแบบคลาสสิกสุดๆ นึกอะไรไม่ออกก็พูดแบบนี้ทุกที...ดูดีมีสกุลรุนชาติ

“สบายดีค่ะ คุณภาคงจะสบายดีเช่นกันนะคะ” รสรินถามกลับตามธรรมเนียม

หล่อนชะงักหน้าเสียเล็กน้อยในเสี้ยววินาที ก่อนปั้นหน้านิ่งตามเดิม จะให้ตอบว่าเศร้าหรือทุกข์ก็ดูจะเสียหน้าเกินไป จึงตอบไปอย่างไว้เชิงไป

“ก็สุกๆ ดิบๆ ค่ะ...ตามประสา”

คำตอบของภาวินี ทำให้นงรามปรายตามองไปยังคนรัก เป็นเชิงเตือนว่า ‘กรุณาระวังคำพูดหน่อย’

“เหรอคะ” รสรินพึมพำ รู้ว่าตนพูดผิดหูหล่อนเข้าให้เสียแล้ว ยิ้มจืดๆ เมื่อสบตากับคนรัก สายตาของนงรามทำเอาเธอเสียวไส้ใจหาย

'ซวยแล้วฉัน'

ก่อนที่บรรยากาศโดยรอบจะเข้าสู่ภาวะ ‘พายุฤดูร้อน’ นงรามรีบเปิดประเด็นสนทนาใหม่

“ไปทานกลางวันกันดีกว่า เที่ยงจะครึ่งแล้ว”

“ค่ะ / ดีค่ะ” สองคนที่เหลือรับปากในเวลาไล่เลี่ยกัน

เจ้าของรีสอร์ตหันไปบอกพนักงานให้เอากระเป๋าเดินทางใบโตของหล่อนไปเก็บในออฟฟิศ และไม่ลืมจะชวนนายพงษ์ไปทานอาหารด้วย แล้วทั้งหมดยกขบวนไปห้องอาหารที่ตั้งอยู่ตึกถัดไป ห่างไม่ถึงยี่สิบเมตร โดยสองน้าหลานควงแขนกันไป ไม่มีใครสนใจเชฟใหญ่ที่เดินรั้งท้ายเลยสักนิด

'ฉันจะได้เป็นหมาหัวเน่าก็คราวนี้...เฮ้อ'

รสรินนึกในใจอย่างปลงๆ

ทั้งสามนั่งรออาหารอยู่ที่โต๊ะที่อยู่ด้านตำแหน่งเป็นส่วนตัว โดยนายพงษ์แยกไปนั่งอีกด้าน ในร้านมีคนนั่งอยู่ห้าโต๊ะ ส่วนใหญ่เป็นคนต่างชาติ หลังสั่งอาหารแล้วก็เริ่มสนทนาต่อ

“คุณรสไม่ต้องทำครัวเองแล้วเหรอคะ?”

ภาวินีหันไปถามน้าสาวด้วยความสงสัย เพราะคราวก่อนที่มารสรินจะลงมือทำอาหารเองตลอด ซึ่งรสชาติอร่อยมากชนิดที่เชฟดังๆ บางร้านในเมืองกรุงยังสู้ไม่ได้

แต่หล่อนไม่เคยเอ่ยปากชมคนทำเลยสักครั้ง ให้ทานก็ทานนะ...มีของอร่อยตรงหน้าไม่ทานก็โง่สิ

“ในครัวตอนนี้มี ‘น้องเม’ มาช่วย คุณรสเลยไม่ต้องเหนื่อยมากเท่าเมื่อก่อน” นงรามตอบ รู้ดีว่าสองคนนี้ไม่ค่อยคุยกันตรงๆ ประมาณว่าต้องมีคนกลางเป็นล่าม เพื่อป้องกันสงครามที่อาจปะทุขึ้นได้ภายในไม่กี่นาที

“น้องเม?” หล่อนทวนคำด้วยความสงสัย

“เมธาวีเป็นหลานสาวของคุณรสน่ะ เคยมาฝึกงานที่นี่ช่วงปิดเทอมแล้วติดใจ พอเรียนจบก็มาสมัครทำงาน น้าเห็นว่าฝีมือดีก็เลยรับไว้ ทำที่นี่เกือบสองปีได้แล้วล่ะ”

“เหรอคะ?” ภาวินีรับทราบ ไม่ได้สนใจติดใจกับคนที่ชื่อ ‘เมธาวี’ อะไรนั่น เว้นแต่สงสัยอยู่ข้อเดียว…เพิ่งเรียนจบไม่นาน จะทำอาหารอร่อยสักแค่ไหนเชียว

รสรินยกแก้วน้ำเปล่าขึ้นจิบ เหลือบมองไปทางหล่อนอย่างรู้ทัน แต่ทำเป็นเฉยๆ นึกสงสารและแอบเสียวสันหลังแทนหลานสาว

'งานเข้าแน่ ไอ้เมเอ๋ย'

ถ้าภาวินีจ้องจะเล่นงานหรือจับผิดใคร ยากที่จะหลุดรอดสายตาคู่คมกริบ ที่ละเอียดประหนึ่งเครื่องสแกนชั้นดีไปได้ ประมาณว่า ‘ทำอะไรก็ไม่ถูก...หล่อนติติงได้ทุกเรื่อง’

“ช่วงนี้แขกเยอะไหมคะน้านง?” หล่อนหาเรื่องคุย ผสมความสนใจใคร่รู้

“เข้าพัก 70% ก่อนเข้าไฮซีซั่น น้าถือว่าโอเคมากนะ”

ปกติช่วงหน้าฝนลูกค้าไม่ถึงกับเยอะนัก แต่ปีนี้มีแขกเกินครึ่งของจำนวนเรือนพัก นงรามถือว่าอยู่ระดับน่าพอใจแล้ว

ผู้มาใช้บริการที่นี่มีทั้งคนไทยและต่างชาติสัดส่วนพอๆ กัน ลูกค้าส่วนใหญ่จะมาฮันนีมูน และกลุ่มชาวสีม่วง จองพักกันทีละหลายวัน หรืออยู่ยาวเป็นเดือนก็มี

‘ปานสรวง โฮม รีสอร์ต’ เน้นบริการแบบเป็นกันเอง เอาใจใส่ลูกค้าประหนึ่งญาติมิตร จึงไม่เน้นการโฆษณามาก เพราะลูกค้าที่ประทับใจจะไปบอกต่อกัน เป็นผลดีกับธุรกิจในระยะยาวมากกว่าการทุ่มเงินประชาสัมพันธ์

...เน้นคุณภาพ ไม่เน้นการสร้างภาพ

“แบบนี้ภาจะมาขออยู่กับน้านงสักเดือนจะได้ไหมเนี่ย?” หล่อนอ้อนเสียงอ่อยๆ ทำตัวประดุจลูกแมวตัวน้อยน่ารัก

“หนูอยากจะอยู่ที่นี่นานแค่ไหนก็ได้ หลานทั้งคนน้าเลี้ยงไหว” นงรามตอบอย่างอ่อนโยน สำหรับเธออีกคนเป็นเหมือนลูกในไส้มากกว่าหลาน

“จริงนะคะ?” ร่างบางถามย้ำ พลางยิ้มอย่างยินดี

“จริงสิคะ น้าเคยหลอกหนูเหรอ” ผู้เป็นน้ารับคำหนักแน่น

รสรินนึกขัดหูขัดตาอย่างที่สุด แต่ไม่กล้าแสดงความไม่พอใจอะไรออกมา ด้วยเกรงใจคนรัก ได้แต่คำรามในใจ

'อ๊าย! หมั่นไส้เฟ้ย'

เชฟใหญ่รู้ดีว่านงรามมักจะแพ้ทางลูกอ้อนของภาวินี คิดๆ ไปแล้วคนที่มีภูมิคุ้มกันอีกฝ่ายดี คงจะมีแต่เธอคนเดียว ไม่เห็นใครเห็นข้อเสียของสาวสวยสักคน คนส่วนใหญ่พากันตามใจเจ้าหล่อนจนเหลิง ฝ่าเท้าแทบจะไม่สัมผัสดินอยู่แล้ว

สนทนาได้ไม่กี่คำ บริกรก็นำอาหารหน้าตาสวยหอมน่ารับประทานออกมาวางตรงหน้าจนครบตามสั่ง ทั้งสามเริ่มทานสนองความต้องการของกระเพาะ แล้วจู่ๆ นงรามก็นึกอะไรขึ้นมาได้ จึงหันไปบอกกับพนักงานหนุ่ม ที่ยืนเหม่อมองร่างบางที่กำลังตักทานอาหารแบบไม่กระพริบตา

“เชิญน้องเมมาพบหน่อยสิ บอกว่าน้าอยากแนะนำใครให้รู้จัก”

“คะ ครับ” ชายหนุ่มรีบรับคำอย่างเงอะงะเคอะเขิน แล้วเดินหายไปด้านหลังสักครู่ เพื่อทำตามสั่ง

เมื่อคนที่ถูกเรียกพบปรากฏตัวขึ้น นงรามผายมือไปยังหลานสาวของตนที่นั่งอยู่เพื่อแนะนำตัว

“น้องเมจ๊ะ นี่หลานสาวคนสวยของน้า ชื่อภาวินี เรียกพี่ภาก็แล้วกันนะ” เจ้าของรีสอร์ตหันไปสบตากับหล่อน “ภาคะ นี่แม่ครัวคนเก่งของที่นี่ น้องเมค่ะ”

ภาวินีละความสนใจจากอาหารตรงหน้า ซึ่งเอร็ดอร่อยไม่ต่างจากที่รสรินเคยทำให้ทานเมื่อนานมาแล้ว น่าจะปรุงด้วยสูตรเดียวกัน เงยหน้าขึ้นสบตากับ ‘น้องเม’

เชฟสาวรีบยกมือไหว้อย่างอ่อนน้อม เพราะเห็นว่าอีกฝ่ายน่าจะอายุอานามมากกว่าตน

“สะ สวัสดีค่ะ”

หล่อนยกมือรับไหว้ตามมารยาท เพราะคนตรงหน้าเป็นหลานสาวของคู่ปรับ จึงปั้นหน้าขรึมกว่าปกติ นัยน์ตาคมลอบสำรวจอีกฝ่าย

ภาวินียอมรับว่าสะดุดตากับหญิงสาวอ่อนวัยตรงหน้าไม่น้อย เค้าโครงคมเข้ม จมูกโด่งเป็นสัน นัยน์ตาหวาน ที่ตอนนี้สวมหมวกสูงของเหล่ากุ๊ก มีเหงื่อซึมรอบไรผมสีเข้ม คาดว่าคงรีบออกมาหลังนงรามให้คนไปตาม

'หน้าคล้ายน้าเลยนะนั่น...สงสัยจะพิมพ์นิยม'

เมธาวีรู้สึกว่า การเคลื่อนไหวทุกอย่างรอบตัวเหมือนจะช้าลง จนแทบหยุดนิ่งไปชั่วขณะ แทบลืมเลือนทุกสิ่งเมื่อสบตากับวงหน้างดงามปานหลุดออกมาจากภาพวาดของภาวินี

...เธอลืมที่จะหายใจไปหลายวินาทีเลยทีเดียว

'ผู้หญิงคนนี้ สวยกว่าในรูปถ่ายเสียอีก...ตาคมชะมัด'

เชฟสาวเคยรู้สึกแบบนี้กับใครคนหนึ่งเมื่อนานมาแล้ว และนี่ไม่ใช่แค่อาการสะดุดตาธรรมดา แต่เข้าไปกระตุกบีบรัดหัวใจให้หวั่นไหวโดยไม่มีเหตุผล ถึงกับเหม่อจ้องหล่อนอย่างลืมตัว

“น้องเม...น้องเม” นงรามเอ่ยเรียกชื่อเชฟสาวหลายหน แต่อีกฝ่ายเหม่อมองหลานของเธอนานจนผิดสังเกต จนสุดท้ายจึงเอื้อมมือไปแตะแขนของเมธาวีเบาๆ

“น้องเม”

“คะ?” สาวร่างสูงหันมองเจ้าของรีสอร์ตด้วยใบหน้าสับสน เต็มไปด้วยเครื่องหมายคำถามตัวโต

“น้าจะถามว่า เย็นนี้ทุกอย่างพร้อมไหมคะ?”

“เอ่อ อาหารพร้อมค่ะ แต่แค้มป์ไฟขาดของนิดหน่อย เมให้ ‘ป้อง’ ออกไปซื้อแล้วค่ะ สำรองเผื่อคราวหน้าเลย” เชฟสาวตอบ

‘ป้อง’ ที่เมธาวีเอ่ยถึงคือ ปริตต์ เพื่อนชายที่รู้จักตั้งแต่เรียนมหา’ลัย ทำงานเป็นไกด์บริษัทนำเที่ยวในเมือง ซึ่งจะแวะเวียนมาหาเธออยู่บ่อยๆ

นอกจากหน้าที่เชฟ เมธาวียังมีส่วนร่วมในบางกิจกรรมของรีสอร์ตด้วย เพราะความเป็นคนละเอียดรอบคอบ ทำงานไม่ขาดตกบกพร่องจึงเป็นที่ไว้วางใจของนงรามและรสรินมาก

“ดีมากค่ะ” เจ้าของรีสอร์ตเอ่ยชมอย่างพอใจ

“อาหารเป็นอย่างไรบ้างคะ?” เชฟสาวเอ่ยถามกับนงราม ไม่กล้าถามกับ ‘แขก’ เกรงจะโดนเกลียดขี้หน้าแบบที่ได้ยินคำขู่จากรสริน

“อร่อยไหมคะภา?” ผู้เป็นน้าหันไปถามหลานสาว

“ก็ดีค่ะ” คนสวยตอบแบบกำกวม ทั้งที่หล่อนทานมื้อนี้เยอะกว่าปกติ แต่คิดไปว่าอาจเป็นเพราะได้ทานของโปรด เลยทานได้มากต่างหาก...ไม่เกี่ยวกับอร่อยหรือไม่อร่อยสักหน่อย

'ฝีมือก็งั้นๆ...แค่พอทานได้'

ภาวินีไม่เคยหลุดปากชมทุกอย่างที่ ‘เกี่ยวข้อง’ กับรสริน ซึ่งตอนนี้เมธาวีก็ถูกนับรวมเข้าไปด้วยแล้ว โดยเชฟสาวไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่า ตนเองได้รับเกียรติขึ้น ‘บัญชีดำ’ ไปเรียบร้อยแล้ว

แม้จะไม่ใช่คำชมแบบตรงๆ แต่เมธาวีกลับรู้สึกพอใจจนหลุดอมยิ้มที่มุมปาก พลันนึกขึ้นมาได้ถึงกิจกรรมแค้มป์ไฟที่จะจัดช่วงหัวค่ำ ซึ่งจะเน้นการปิ้งย่างของทะเลเป็นหลัก ไม่มั่นใจนักว่าจะอร่อยถูกปาก ‘เจ้าหญิง’ หรือเปล่า?

“มื้อเย็นนี้ น้านงจะให้เมทำอะไรเพิ่มอีกหรือเปล่าคะ?”

“เอาอะไรดีล่ะ?” นงรามนึกไม่ออก จึงหันไปมองคนรักเป็นเชิงถาม

“เพิ่มข้าวผัดกุ้งอีกสักถาดแล้วกัน...คุณภาน่าจะชอบ” รสรินว่าเสียงเรียบ ชายตามองไปยังร่างบางที่ยังคงให้ความสนใจกับอาหารตรงหน้ามากเกินปกติ หล่อนทานจนเกือบหมดจานจึงหยุด แล้วดื่มน้ำ

'อร่อยล่ะสิท่า'

เชฟใหญ่เดาจากภาษากาย รู้ดีว่าเจ้าหล่อนปากหนักเหลือเกิน หากหวังให้ภาวินีเอ่ยปากชมสักครึ่งคำ...คาดว่าคงต้องรอสักสามชาติตอนค่ำๆ

นงรามพยักหน้า เห็นด้วยกับความเห็นของคนรัก

“ก็ดีนะ ของโปรดภาเลย”

“ยังไงก็ได้ค่ะ” ภาวินีตอบแล้วยิ้มน้อยๆ รู้สึกดีขึ้นเมื่อได้รับการเอาอกเอาใจเป็นพิเศษ อย่างน้อยน้านงก็ใส่ใจหล่อนเสมอ ไม่ใจร้ายเหมือนใครคนนั้น...คิดแล้วก็อดเจ็บแปลบในอกไม่ได้

“เป็นอันว่าเย็นนี้ เพิ่มข้าวผัดกุ้งหนึ่งถาด” เจ้าของรีสอร์ตหันไปสรุปกับเมธาวี

“ได้ค่ะ” เชฟสาวรับคำ และสังเกตเห็นว่าหล่อนรวบช้อนส้อม จึงถามขึ้นว่า “คุณภาจะรับของหวานต่อไหมคะ?”

ร่างบางเหลียวมองคนถาม ก่อนปฏิเสธเสียงเรียบ

“ไม่ค่ะ อิ่มแล้ว”

รสรินลอบสังเกตการแสดงออกของหล่อนเกือบตลอด อดนึกแปลกใจไม่น้อย ทุกอย่างที่เห็นผิดจากที่คาดไว้ลิบลับ ภาวินีไม่ได้เกเรเจ้าแง่แสนงอนเหมือนก่อน ดูสงบเสงี่ยมเรียบร้อย ค่อนไปทางสุขุม เป็นผู้ใหญ่กว่าเดิมอย่างไม่น่าเชื่อ

'แปลกจังมาคราวนี้องค์ไม่ลง…หรือการอกหักจะทำให้คนเปลี่ยนไปได้จริงๆ?'

เชฟใหญ่แอบตั้งคำถามในใจ

แต่ที่รสรินรู้สึกว่าแปลกไปอีกอย่างคือ เมธาวีดูจะเอาใจใส่กับ ‘แขก’ มาก มากจนสัมผัสว่า ‘ผิดปกติ’…แต่แบบไหน บอกไม่ได้


เมื่ออิ่มหนำสำราญแล้ว นงรามพาภาวินีไปยังเรือนสีรุ้ง เรือนพักที่ดีที่สุดของ ปานสรวง โฮม รีสอร์ตซึ่งจัดไว้สำหรับแขกพิเศษเท่านั้น บ้านพักตากอากาศแบบสวีท ที่มีห้องนอนเตียงคู่ขนาดใหญ่ หนึ่งห้องรับแขก หนึ่งห้องครัว และหนึ่งห้องน้ำที่มีอ่างน้ำวนกุชชี่ พร้อมเครื่องอำนวยความสะดวกสารพัด จัดเป็นเรือนพักที่หรูหรา สะดวกสบายน่าพักมาก

“สวยจังนะคะ ภาชอบมาก” หล่อนพูดอย่างร่าเริง หลังสำรวจครบทุกห้อง ทรุดตัวลงนั่งบนเตียงเคียงข้างผู้เป็นน้า

“ชอบก็ดีแล้วค่ะ เดี๋ยวภาอาบน้ำอาบท่าให้สบายใจ แล้วจะนอนเล่นหรือไปเดินเล่นริมชายหาดก็ได้ นึกว่าที่นี่เป็นบ้านของตัวเองก็แล้วกัน”

หล่อนไม่ตอบ เอนตัวลงนอนหนุนตักของน้าสาว หลับตาลงอย่างเหนื่อยอ่อน

“ภาไม่สบายหรือเปล่าลูก?” นงรามถามไถ่อย่างเป็นห่วง ที่อีกคนเปลี่ยนท่าทีจากร่าเริงเป็นเหงาหงอยกะทันหัน

น้ำเสียงอ่อนโยนของน้าสาวทำให้หล่อนน้ำตาซึม และแสดงความอ่อนแอออกมา ซุกหน้าเข้าที่ท้องน้อยของอีกฝ่าย ก่อนพึมพำความในใจที่รวดร้าวออกมา

“พี...เขาไม่รักภาแล้ว” หล่อนสะอื้นแผ่วเบา แต่ดังพอที่ญาติผู้ใหญ่จะได้ยิน หญิงสาวหายใจลึกๆ ก่อนพูดต่อ “ภาเลยขอถอนหมั้น...กับเขา”

ยามกะทันหันนงราม นึกคำพูดไม่ออก ได้แต่ยกมือขึ้นลูบศีรษะได้รูปของหล่อนเบาๆ อย่างอ่อนโยนทะนุถนอม เป็นนาทีก่อนจะพูดปลอบอย่างอ่อนโยนนุ่มนวล

“ไม่เป็นไรลูก ปล่อยเขาไป แต่ขอให้ภารู้ไว้ว่า น้านงรักภานะคะ...รักมากด้วย”

“น้านง...” ภาวินีร้องไห้ดังขึ้น และตัวสั่นเทา สภาพตอนนี้แทบไม่ต่างจากลูกนกปีกหักที่กำลังตื่นกลัว ลนลาน ซุกซ่อนอยู่ใต้ปีกของมารดาที่กางปีกโอบอุ้มอยู่

“น้าอยู่นี่ลูก...”

นงรามกระซิบอ่อนโยน กอดร่างบางแน่นแนบอก ปล่อยให้หล่อนระบายความเสียใจออกมาอย่างเต็มที่ ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะแสร้งทำเป็นเข้มแข็ง ได้แต่หวังว่าเวลาจะช่วยเยียวยารักษาแผลใจครั้งนี้ให้หายโดยเร็ว...เธออยากได้หลานสาวคนเดิมกลับมา

เธอได้แต่คิดแบบปลงๆ รู้ดีว่าบางเรื่องก็ฝืนใจกันไม่ได้

ชีวิตก็แบบนี้ สุขบ้างทุกข์บ้าง ทำอะไรไม่ได้มาก นอกจากทำใจให้เข้มแข็ง แล้วทำให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้


“ยายคุณภาเป็นยังไงบ้าง?” รสรินถามหลานสาวตัวเอง หลังจากสองน้าหลานลุกจากโต๊ะอาหารไปแล้วและไม่มีแขกเข้ามาเพิ่ม จึงทำให้เชฟทั้งคู่มีเวลาพักหายใจ

เมธาวีทรุดตัวลงนั่งเก้าอี้ว่าง ตัวที่หล่อนนั่งเมื่อสักครู่

“เมไม่เห็นคุณภา เป็นเหมือนที่น้ารสบอกเลยสักนิด”

“ยังไง?” คนฟังขมวดคิ้วเข้าหากันอย่างสงสัย

“ไม่เหมือนแม่มด...เหมือนเจ้าหญิงมากกว่า” ร่างสูงพูดตามที่รู้สึก

รสรินหัวเราะเสียงต่ำในลำคอ

“คอยดูกันต่อไป ฉันไม่ค่อยมั่นใจว่า หล่อนจะเป็นเจ้าหญิงได้นานนัก”

“เธออาจจะเปลี่ยนนิสัยก็ได้นี่คะ” เมธาวีแก้ตัวแทน

แม้จะเจอร่างบางแค่ไม่กี่นาที เธอสัมผัสความรู้สึกที่ล้อมรอบภาวินี มีทั้งความเหงาและความเศร้าเหมือนเพิ่งผ่านเรื่องร้ายๆ มาสดๆ ร้อนๆ

“คงงั้น...ได้ข่าวว่าเพิ่งมีปัญหากับคู่หมั้น อาจจะเลิกกันด้วย” รสรินเล่าตามที่รู้จากนงราม แล้วเปลี่ยนเรื่องคุยเมื่อเห็นลูกค้ากลุ่มใหญ่กำลังผ่านประตูทางเข้าห้องอาหาร “ไปทำงานกันดีกว่า แขกมาแล้ว” พูดจบก็ลุกตรงไปยังห้องครัวอย่างรวดเร็ว

เมธาวีนิ่งอึ้งไปเมื่อได้ยินข้อมูลใหม่ เธอรู้อยู่แล้วว่าภาวินีมีคู่หมั้น...แต่เพิ่งหมั้นกันไปไม่ใช่เหรอ? ร่างสูงแทบจะจำได้ทุกเรื่องที่เกี่ยวข้องกับนักออกแบบสาว แม้จะไม่เคยเจอกันมาก่อนเลยก็ตาม

ผู้หญิงที่มีรูปร่างหน้าตา ความรู้ ฐานะที่เพียบพร้อมอย่างภาวินี หาไม่ได้ง่ายๆ เลย หากเจ้าหล่อนกระดิกนิ้ว ขี้คร้านจะมีคนมาสิโรราบให้เลือกเป็นร้อย

หล่อนมี sex appeal มีเสน่ห์ดึงดูดมาก มากซะจนทำให้คนอย่างเธอรู้สึกได้นี่...ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ

แต่อะไรกันที่ทำให้ผู้ชายคนนั้นทิ้งหล่อน? ทิ้งผู้หญิงที่ดีเพียบพร้อมขนาดนี้...เจอคนที่ดีกว่า?

คำถามมากมายผุดขึ้นในหัว แล้วก็มีคำตอบที่ทำให้เมธาวีเผลอยิ้มกว้างออกมา ขณะก้าวเท้าเข้าไปในห้องครัวเพื่อทำหน้าที่ของตัวเอง

'สงสัยหมอนั่นคงกินยาผิด ไม่บ้า...ก็คงเพี้ยน หุหุ'

OoXoO



Create Date : 26 มกราคม 2558
Last Update : 26 มกราคม 2558 17:41:22 น. 0 comments
Counter : 859 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 
 

นิ้วนาง-เดียนา
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 7 คน [?]




งานเขียนทั้งหมดใน blog นี้ สงวนลิขสิทธิ์ตามกฎหมาย พระราชบัญญัติ พ.ศ.2537 ห้ามนำไปพิมพ์ เผยแพร่ หรือลอกไปกระทำการใดๆ ก็ตาม หากผู้ใดกระทำการผิด เจ้าของ blog จะเอาผิดท่านตามกฏหมาย ได้ทุกกรณี


[Add นิ้วนาง-เดียนา's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com
pantip.com pantipmarket.com pantown.com