ขอต้อนรับสู่โลกของนิยายยูริ เรื่องจากประสบการณ์ และทำนายดวงชะตา โดย นิ้วนาง-เดียนา-ลำดวนพยากรณ์
<<
กุมภาพันธ์ 2558
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
 
18 กุมภาพันธ์ 2558
 
 
ปรารถนารัก...อีกสักครั้ง? Believe...Again? (Yuri) ตอนที่ 9

เพลง ใช่เลย - ไท ธนาวุฒิ
https://www.youtube.com/watch?v=TFxgvRkBAGc

-๙-

‘โคลงใช่เลย’

ใจเรียมเศร้าเหว่ว้า........โหยไห้ เนิ่นนาน
มิพบพานคนไหน..........เช่นน้อง
เพียงแรกเห็นหวั่นไหว...ดุจดั่ง ต้องมนต์
อยากตะโกนกู่ก้อง........คนนี้ ใช่เลยฯ

ภาวินีมายืนช่วยเป็นลูกมือหั่นสารพัดผักที่เคาน์เตอร์ เพราะเป็นอะไรที่ง่ายไม่ต้องใช้ทักษะ แม้จะทำได้แต่เชื่องช้ามากเมื่อเทียบกับผู้ช่วยในครัวอีกสองคน ทุกคนที่ทำงานในห้องนี้ต้องใส่ชุดเอี๊ยมและสวมหมวกสีขาวไว้ เพื่อรักษามาตรฐานความสะอาด

หล่อนรู้สึกสนุกเมื่อเห็นรสริน เมธาวี กับแม่ครัวอีกคน แข่งกันหยิบโน่นหยิบนี่ง่วนอยู่หน้ากระทะของตน สายตาคมจับจ้องเชฟสาวที่ใช้มือข้างหนึ่งจับกระทะ อีกข้างจับตะหลิวขยับไปมาคล่องแคล่ว ขณะผัดข้าวผัดปูที่มีสีสันน่ารับประทานเป็นอย่างยิ่ง

“เม ปูผัดผงกระหรี่อีกสองจาน” เชฟใหญ่ออกคำสั่งหลังอ่านโพสต์-อิท ลิสต์รายการอาหารตรงหน้า

“ค่ะน้ารส” เมธาวีรับคำ เดินไปหาอุปกรณ์ที่ต้องใช้ปรุงอาหารที่เคาน์เตอร์ยาว ซึ่งมีสารพัดผักที่หั่นไว้วางอยู่พร้อมเครื่องปรุง

“พรต้มยำกุ้งหม้อใหญ่หนึ่ง และแกงจืดวุ้นเส้นสาหร่ายอีกหนึ่ง” รสรินบอกกับเชฟอีกคน

“ค่ะ” แม่ครัวอีกคนขานรับเสียงหวาน พรหรือสมพร...แม่ม่ายลูกหนึ่งวัยเกือบสี่สิบ ตัวอ้วนท้วมผิวสองสี มีลูกสาวชื่ออุ้ม ทำงานเป็นผู้ช่วยในห้องครัวนี้ด้วย

แต่เดิมพรเป็นลูกจ้างผัดอาหารจานเดียวให้กับร้านอาหารเล็กในตัวเมืองหัวหิน ซึ่งรสรินแวะไปทานที่ร้าน แล้วเกิดติดใจในรสชาติอาหาร จึงชวนมาทำงานด้วยเมื่อหกปีก่อน โดยเสนอเงินเดือนและที่พักให้ทำให้เธอได้อยู่อย่างสุขสบายมากขึ้น มีเงินเหลือเก็บทุกเดือน และส่งลูกสาวเรียนจนจบชั้นปวส.

ภาวินีมุ่งความสนใจกับการทำปูผัดผงกระหรี่เป็นอย่างยิ่ง ประกอบกับตอนนี้งานหั่นผักได้เสร็จสิ้นลงแล้ว จึงเดินไปหาเชฟสาวที่กำลังเลือกอุปกรณ์ที่จะใช้

“น้องเมขอดูวิธีทำปูผัดหน่อย...ได้ไหม?” สาวสวยขออนุญาตกับอีกคนตรงๆ เริ่มคุ้นเคยมากขึ้นหลังเที่ยวมาด้วยกันทั้งวัน

เมธาวีเหลียวมองหล่อน ฉีกยิ้มมุมปาก แล้วพูดเตือนอย่างเป็นห่วง

“ดูได้ค่ะ แต่อย่าเข้าใกล้มาก มันอาจจะกระเด็นใส่”

สาวร่างสูงไม่หวงสูตรหรือเคล็ดลับอาหาร เพราะถือว่าเรื่องแบบนี้เรียนรู้กันได้ ใครถามถ้ารู้เธอก็ตอบ ด้วยมีความคิดว่า...‘ยิ่งทำอร่อย ยิ่งควรแบ่งปัน แล้วตัวเองจะเก่งขึ้น’

หลายครั้งที่ปรุงด้วยสูตรเดียวกัน เชฟสองคนยังปรุงรสชาติออกมาไม่เหมือนกันเลย...การทำอาหารจัดเป็นศิลปะแขนงหนึ่ง ไม่ใช่ว่าจะก๊อปปี้หรือเลียนแบบกันได้ง่ายๆ

“ขอบคุณนะ” หล่อนตอบอย่างรวดเร็วด้วยท่าทางตื่นเต้น นึกสนุกที่จะได้เห็นมืออาชีพทำให้ดูต่อหน้าต่อตา

ภาวินีถูกเลี้ยงมาในครอบครัวที่มีฐานะดี วัยเด็กเอาแต่เรียนหนังสือไม่ค่อยมีโอกาสเข้าครัวนัก ประกอบกับน้าสาวคือนงรามก็ไม่ได้ถนัดในเรื่องนี้สักเท่าไหร่ หล่อนจึงทำเป็นแต่อาหารง่ายๆ ที่มีเครื่องปรุงไม่สลับซับซ้อนแบบฝรั่งเสียมากกว่าอาหารไทย

เมธาวีหยิบเครื่องปรุงใส่ถาด อันประกอบด้วย กระเทียมสับ พริกชี้ฟ้าแดง น้ำมันพริกเผา ต้นหอม หอมใหญ่ น้ำมันหอย นมสด น้ำตาลทราย น้ำปลา ปูนึ่งหนึ่งตัว และไข่ไก่หนึ่งฟอง

“นี่ทำสำหรับกี่จาน?”

ร่างบางซักอย่างสนอกสนใจ พยายามจำว่ามีส่วนประกอบอะไรบ้าง เผื่อไว้ทำทานเองตอนกลับไปกรุงเทพฯ...โดยหวังว่ามันคงทำไม่ยากเกินไป

“จานเดียวค่ะ เมถนัดทำทีละจาน กลัวรสชาติเพี้ยน” เชฟสาวตอบ

เมื่อได้เครื่องปรุงครบ ก็ขยับไปอยู่หน้าเตา เริ่มกรรมวิธีด้วยการตีไข่ใส่ชาม เติมน้ำปลา ซีอิ๊วขาว และน้ำพริกเผาจนเข้ากัน ตั้งกระทะพอร้อน นำส่วนผสมในชามลงไปผัด ใส่ผงกระหรี่ กระเทียมสับ หอมใหญ่ แล้วนำปูลงผัด เติมนมสด พอสุกหอมได้ที่ ใส่ต้นหอมแล้วปิดไฟ ตักปูผัดผงกระหรี่ที่ได้ใส่จาน แต่งหน้าด้วยพริกชี้ฟ้าแดง

...อาหารจานนี้ใช้เวลาไม่ถึงห้านาที

“เสร็จแล้วค่ะ” เมธาวียกผลงานที่เพิ่งเสร็จล่าสุดออกมาโชว์ตรงหน้าสาวสวย

“หอมน่าทานจัง” ภาวินีทำท่าทางดีใจราวกับไม่เคยเห็นอาหารชนิดนี้มาก่อนในชีวิต

“ไว้จะทำให้ทานนะคะ ถ้าคุณภาไม่กลัวปวดท้อง” เชฟสาวแกล้งพูดล้อเล่นออกมา

หล่อนเผลอแจกค้อนให้คนช่างพูดอย่างหมั่นไส้

“ฝีมืออย่างน้องเมเนี่ย ฉันไม่มีทางปวดท้องหรอก เว้นแต่จะทานอิ่มเกินจนจุก”

'จะถือว่าเป็นคำชม ได้ไหมเนี่ย?'

เธออมยิ้มในหน้ากับคำชมกลายๆ นั้น ยกจานปูผัดฯ จานแรกไปวางที่ช่องส่งอาหาร เพื่อให้พนักงานนำไปเสิร์ฟลูกค้า แล้วไปหยิบวัตถุดิบเพื่อทำปูผัดผงกระหรี่อีกจาน โดยมี ‘กองเชียร์’ ที่พยายามจำสูตรคอยยืนดูอยู่เช่นเคย

รสรินชำเลืองมองสองสาวผ่านหางตาเป็นระยะ ขณะที่ทำงานมือเป็นระวิงตลอด วันนี้มีลูกค้ามากเป็นพิเศษ ตั้งแต่เข้าครัวมาจนเกือบจะหนึ่งทุ่มในอีกไม่กี่นาที สามเชฟยังทำงานไม่ได้หยุด มีรายการอาหารอีกเกือบสิบจานที่ยังไม่ได้ทำ

เชฟใหญ่เหลือบมองนาฬิกา แล้วอดเป็นห่วงหล่อนไม่ได้ ยังไงซะภาวินีก็หลานคนโปรดของคนรัก จึงหันหน้าไปถาม

“คุณภาหิวหรือยังคะ? จะให้เจ้าเมทำอะไรให้ทานก่อนไหม หรือจะรอทานพร้อมพี่นงดี?”

“รอทานพร้อมน้านงดีกว่าค่ะ” ภาวินีตอบอย่างรวดเร็ว ไม่อยากมาเป็นภาระให้กับเหล่าเชฟที่กำลังหัวปั่น แม้จะเริ่มหิวบ้างแล้วก็ตาม

หล่อนกำลังสนุกที่ได้ดูการทำงานเบื้องหลัง ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่า เชฟจะเป็นอาชีพที่หนักเหนื่อยไม่น้อย การอยู่หน้าเตาร้อนเป็นเวลานานๆ จนเหงื่อออกเสื้อชุ่มโชกท่วมตัว แม้จะมีเครื่องปรับอากาศก็ไม่ได้ช่วยอะไรเท่าไหร่

หลังได้เห็นว่า อาหารแต่ละจานผู้ปรุงต้องทุ่มเทขนาดไหนกว่าจะทำเสร็จ ไม่ว่าอาหารนั้นจะรสเลิศหรือไม่ หล่อนก็รู้สึกนับถือคนทำอาชีพนี้มากขึ้น และคิดว่าการทานอาหารให้หมดเป็นเหมือนการให้เกียรติเชฟ...ซึ่งก็เหมือนให้เกียรติตัวเองด้วย

ในโลกใบนี้ มีคนจนคนอดยากมากมายเกือบครึ่งโลก ผู้คนจำนวนนับไม่ถ้วนที่วันทั้งวัน ข้าวสักเม็ดไม่มีจะตกลงกระเพาะ แต่คนไทยหลายต่อหลายคนกลับกินทิ้งกินขว้างอย่างไม่เสียดาย เห็นอาหารเป็นสิ่งไร้ค่า ไม่เห็นใจชาวไร่ชาวนาเอาเสียเลย

...พอคิดถึงความจริงข้อนี้แล้ว ภาวินีก็เศร้าใจและรู้สึกผิดไม่น้อย

'ต่อไปฉันจะไม่กินครึ่ง ทิ้งครึ่งอีก'

ร่างบางบอกกับตัวเองในใจ หลังเห็นคุณค่าของอาหารมากขึ้น

“เมข้าวผัดอเมริกันสองจาน” รสรินอ่านลิสต์รายการอาหารที่ต้องทำต่อ หลังเห็นเมธาวีทำปูผัดฯ จานที่สองเสร็จเรียบร้อย

“รับทราบค่ะ” เชฟสาวขานรับ เดินไปที่เคาน์เตอร์ที่มีเครื่องปรุงวางอยู่แล้วนึกบางอย่างขึ้นมาได้ จึงหันมองคนที่ยืนอยู่ข้างๆ แล้วเอ่ยถาม “คุณภารับไส้กรอกกับแฮมทอด รองท้องก่อนดีไหมคะ? เมจะได้ทอดเผื่อ”

ข้าวผัดอเมริกันมีไส้กรอกกับแฮมเป็นเครื่องเคียงอยู่แล้ว ถ้าหล่อนต้องการทาน เธอก็แค่เพิ่มจำนวนชิ้นเข้าไปทอดอีกสักหกเจ็ดชิ้น จิ้มทานกับซอสพริกหรือซอสมะเขือเทศสักนิดก็อร่อยแบบง่ายๆ หายหิวไปอีกพักใหญ่เลยทีเดียว...นับเป็นวิธีแก้ปัญหาเฉพาะหน้าที่รวดเร็วทันใจที่สุด

ร่างบางหยุดคิด ก่อนพยักหน้ารับความมีน้ำใจของอีกฝ่าย

“งั้นก็ได้”

“รอแป๊บนะคะ” เมธาวีบอก

สาวร่างสูงหยิบวัตถุดิบสำหรับปรุงข้าวผัดอเมริกันทั้งหมดออกมาใส่ถาด โดยไม่ลืมเพิ่มไส้กรอกกับแฮมเผื่อหล่อน ทอดเครื่องเคียงสองอย่างในกระทะที่มีเนยร้อนๆ ก่อน เพียงไม่ถึงสองนาทีของว่างก็ทำเสร็จพร้อมส่งกลิ่นหอมโชยมาเตะจมูก

“ส้อมช้อนกับซอสพริกซอสมะเขือฯ อยู่ที่เคาน์เตอร์ค่ะ” เชฟสาวเอ่ย ขณะส่งจานสแน็คหอมๆ เจ็ดชิ้นให้หล่อน “ระวังร้อนนะคะ”

“ขอบคุณนะ”

ร่างบางรับจาน เอื้อมมือไปหยิบ ‘อาวุธ’ และเทซอสพริกไว้ข้างไส้กรอก ก่อนเริ่มบรรเลงโดยไม่ลืมเป่าไล่ความร้อน แล้วตักเข้าปาก

“ถ้าไม่พอบอกนะคะ แขกพิเศษเพิ่มได้ไม่จำกัดค่ะ”

“แค่นี้ก็เยอะแล้วนะ ไม่รู้จะทานมื้อเย็นไหวรึเปล่า?”

หล่อนตอบ หลังจากกลืนของอร่อยลงลำคอ แอบกังวลใจกับความอร่อยที่เป็นศัตรูตัวฉกาจกับรูปร่างทรวดทรง ขืนทานเยอะแบบนี้ไม่กี่มื้อมีหวังน้ำหนักขึ้นแน่ แต่สุดท้ายก็เลือกที่จะอิ่มท้อง ก่อนคิดปลอบใจตัวเอง

'ไว้กลับไป ค่อยลดแล้วกัน'

“ทานเท่าที่ไหวนะคะ เดี๋ยวจะไม่สบาย” เมธาวีพูดยิ้มๆ กึ่งล้อเล่น อย่างอารมณ์ดี

'ขืนทานเยอะ ก็ท้องแตกน่ะสิ'

คนฟังคิดแต่ไม่ปริปากพูด แอบส่งค้อนวงโตให้คนแซวที่พูดราวกับเห็นหล่อนเป็นเด็กตัวเล็กๆ ก่อนมุ่งความสนใจไปยังของอร่อยตรงหน้าแทน ด้วยความหิวจนตาลาย จึงจิ้มทานเอาทานเอาไม่สนใจใคร

เชฟสาวอมยิ้มแล้วทำงานต่อ แต่ไม่ถึงห้านาทีต่อมา ‘คนที่บอกว่าไม่หิว’ ก็จัดการไส้กรอกกับแฮมจนหมดเกลี้ยง เธอจึงกระซิบถามว่า

“รับอีกสักจานไหมคะ?”

“ไม่พูดด้วยแล้ว ไปหาน้านงดีกว่า” ร่างบางพูดจบ ก็ก้าวยาวๆ ออกจากครัวไปด้วยใบหน้าออกแดงเรื่อ

เมธาวีหลุดขำออกมาเบาๆ กับกิริยาเขินนั้น ได้แต่ยืนมองตามแผ่นหลังบางจนลับตา แล้วหันกลับมาสนใจปรุงอาหารต่อ โดยไม่รู้เลยว่า...เธอกับหล่อนถูกจับตาอยู่

นานนับชั่วโมงที่รสรินลอบมองภาวินีกับเมธาวีเกือบตลอด เธอรู้สึกเหมือนหล่อนจะเชื่อฟัง และโอนอ่อนกับหลานสาวของตนเป็นพิเศษ แต่ยังไม่แน่ใจกับต้นสายปลายเหตุว่า...ทำไม?

'สงสัยเจ้าเมจะมีของ?'


เมื่อเลยเวลานัดไปสิบกว่านาที มีเพียงภาวินีและนงรามนั่งอยู่โต๊ะพิเศษด้านในสุดแค่สองคน ส่วนเชฟใหญ่กับเชฟสาวมัวแต่หัวทิ่มหัวตำอยู่หน้าเตาในครัว โต๊ะทุกตัวในห้องอาหารแน่นขนัดไปด้วยลูกค้า

ส่วนด้านหน้าภายในห้องอาหารมีเวทีเล็กๆ ซึ่งตอนนี้มีนักร้องสาวกำลังขับกล่อมเพลงฝรั่งประสานเสียงกับเปียโนอย่างไพเราะ ท่ามกลางแสงไฟสลัวๆ แขกหลายคนที่ร้องได้ก็ฮึมฮัมคลอไปด้วย แขกบางคนเขียนขอเพลงจากนักร้อง ทำให้บรรยากาศดูพลุกพล่านคึกคัก ต่างจากมื้อกลางวันที่เงียบกว่าลิบลับ

รสรินเป็นห่วงนงราม ที่เป็นโรคกระเพาะอันเกิดจากความเครียด และทานอาหารไม่ตรงเวลา จึงโทรศัพท์บอกให้คนรักกับภาวินีทานอาหารไปพลางๆ ก่อน ไม่ต้องหิ้วท้องรอ เพราะไม่แน่ใจว่าจะจัดการกับออเดอร์ทั้งหมดเสร็จเมื่อไหร่

ซึ่งเจ้าของรีสอร์ตก็เข้าใจเจตนาดีของเชฟใหญ่ หลังวางสายเสร็จเธอจึงพูดกับหลานสาว

“เราคงต้องทานกันสองคนแล้วล่ะ คุณรสบอกว่า กว่าจะเสร็จงานคงอีกนาน”

“งั้นเหรอคะ แขกเยอะมากเลยนะคะวันนี้” ร่างบางไม่เคยเห็นแขกแน่นร้านแบบนี้มาก่อน ส่วนใหญ่เป็นคนต่างชาติที่มาเป็นคู่ๆ หลากหลายวัย แต่ไม่ค่อยเห็นเด็กๆ สักเท่าไหร่

'ท่าทางที่นี่ฝรั่งจะชอบพักมาก'

“เพิ่งเช็คอินเมื่อกี้สามสิบกว่าคน...ห้องพักเหลือแค่สองห้องมั้ง?” ผู้เป็นน้าพูดยิ้มๆ วันนี้นับเป็นวันดีอีกวันของรีสอร์ตที่มีลูกค้าเยอะมาก แม้จะขลุกขลักบ้างตอนลงทะเบียน แต่ลูกน้องของเธอก็จัดการทุกอย่างเรียบร้อย

การมีลูกค้าแห่มาใช้บริการเยอะ แม้จะเหนื่อยหัวปั่นบ้างเป็นเรื่องปกติ แต่ก็ดีกว่ามีลูกค้าน้อย และจะรู้สึกดีมากเมื่อเห็นยอดขายกับกำไรเพิ่มขึ้นตอนสิ้นเดือน

“ดีจังเลยนะคะ” นึกยินดีกับความสำเร็จของธุรกิจของน้าสาว

“ใช่ นานๆ ทีที่จะมีแขกเยอะช่วงก่อนซีซั่น” นงรามเล่าด้วยรอยยิ้ม

ทั้งคู่ไม่ทันจะคุยอะไรต่อ อาหารที่สั่งไว้สี่อย่างถูกนำมาเสิร์ฟตามคำสั่งของรสริน บริกรหนุ่มตักข้าวหอมร้อนๆ เสร็จก็ปล่อยให้น้าหลานอยู่ตามลำพัง

'หอมน่าทานจัง'

ร่างบางคิดในใจ หลังสำรวจกับข้าวที่วางเรียงอยู่ตรงหน้า

“ทานค่ะลูก” เจ้าของรีสอร์ตเอ่ยชวน หยิบ ‘อาวุธ’ มาถือ ซึ่งภาวินีก็ทำตามอย่างไม่อิดออด น้าสาวใช้ช้อนกลางตักปูผัดผงกระหรี่คำโตใส่จานให้หลานสาว “ทานเยอะๆ นะคะ คนทำรู้เข้าจะได้ดีใจ”

“อา...ค่ะ” พึมพำตอบ นึกถึงใบหน้าคมของเมธาวีขึ้นมา จึงอดอมยิ้มในหน้าไม่ได้ หล่อนมั่นใจว่าจานนี้เป็นฝีมือของเชฟสาว

'อืม...อร่อยจัง'

สาวสวยนึกชมหลังทานหมดคำแรก อาหารจานนี้ช่างถูกอกถูกใจมากเสียเหลือเกิน

น้าสาวตักแกงเลียงแบ่งใส่ถ้วยเล็ก แล้วเลื่อนมาไว้เบื้องหน้าหล่อน

“ชามนี้คุณรสน่าจะเป็นคนปรุง”

หญิงสาวตักแกงเลียงมาใส่ช้อนเพื่อซดอย่างว่าง่าย แล้วก็ต้องทำหน้าแปลกใจ จึงยื่นมือไปตักมาซดอีกหลายคำ เพื่อให้หายสงสัย

'รสชาติกลมกล่อมมาก...มากกว่าเมื่อก่อนเสียอีก'

“ว่าไงอร่อยไหม?”

“อร่อยค่ะ” ภาวินีหลุดปากชมออกมา แล้วก้มหน้าก้มตาทานโดยไม่พูดอะไรต่อ นึกอายที่พลั้งปากชม ‘คู่ปรับ’ ออกไปจนได้

'ถ้ารสมาได้ยินคำชมจากปากยายภา คงดีใจหน้าบานสามวันไม่หุบแน่ๆ'

นงรามนึกในใจ ยิ้มมุมปากน้อยๆ เอ่ยเชิญชวนหลานสาวให้ทานต่อ

“ทานให้ครบทุกจานเลยนะ วันนี้ของโปรดภาทุกอย่างเลย”

“ทราบแล้วค่ะ” หญิงสาวตอบด้วยน้ำเสียงสดใส

ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปี ยามที่ได้อยู่ใกล้ๆ กับน้าสาว เหมือนตนเองจะลดอายุกลายเป็นเด็กตัวเล็กๆ เสียร่ำไป อีกฝ่ายก็ชอบจะตามใจ รู้ใจไปซะหมดเหมือนหยั่งกับอ่านใจหล่อนได้ ทำให้นักออกแบบสาวติดนงรามมาก...มากกว่าบิดาของตนเองด้วยซ้ำ

'รักน้านงจัง'


หลังทานอาหารเสร็จ น้าสาวบอกให้ภาวินีกลับไปที่พักก่อน ส่วนนงรามจะอยู่รอสองน้าหลาน ร่างบางรับคำอย่างว่าง่าย แล้วเดินเอ้อระเหยชมบรรยากาศยามค่ำคืนก่อนตรงไปยังเรือนสีรุ้ง โดยมีแสงไฟฟ้าส่องสว่างตลอดทางเดินที่ปูด้วยก้อนอิฐหลากสี

หล่อนแวะนั่งเล่นที่ซุ้มต้นไม้ใกล้กับทางเข้าสำนักงาน เงยหน้าชื่นชมพระจันทร์ข้างแรมที่เว้าแหว่งไปเล็กน้อยหลังผ่านคืนวันเพ็ญ ท่ามกลางดวงดาวนับหมื่นแข่งกันส่องประกายระยิบระยับกลางท้องฟ้า เป็นอะไรที่หาดูได้ยากยิ่งในเมืองกรุงที่มีแต่ควัน หมอก และแสงไฟ บดบังทัศนียภาพสวยงามเช่นนี้

สายลมพัดโชยกลิ่นน้ำทะเลมาเป็นระยะ เสียงคลื่นซัดสาดดังแผ่วต่อเนื่องไม่ขาดสาย ช่างเป็นอะไรที่โรแมนติกเสียจริงๆ เหมือนอยู่ในโลกแห่งความฝันมากกว่าความจริง

'ถ้าได้อยู่แบบนี้นานๆ ก็ดีสิ'

หญิงสาวกวาดสายตามองไปรอบๆ และเพ่งมองใต้ต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ห่างออกไปหลายสิบเมตร ที่มีเงาคนตะคุ่มยืนเป็นคู่แนบชิดบดเบียดกันอยู่ บอกรักกันด้วยภาษากายแบบไม่แคร์ใคร

พลันสะกิดใจให้คิดถึง ‘เขา’ ขึ้นมาอีกครั้ง จนเจ็บแปลบในอก เริ่มรู้ซึ้งถึงสำนวนไทยที่ว่า...‘ถลำร่องชักง่าย ถลำกายชักยาก’ ก็ตอนนี้

จนถึงวันนี้ก็ยังไม่อยากจะเชื่อว่าเขาทรยศนอกใจหล่อน แต่ภาพที่เห็นตำตาคืนนั้น ไม่จำเป็นต้องใช้คำอธิบายใดๆ อีก เห็นชัดเจนจะๆ เต็มสองตา ไม่ใช่คลิปวีดิโอตัดต่อ จะมาแย้งว่าหล่อนด่วนสรุป...คงไม่ได้

ตลอดทั้งวันที่ไปเที่ยวภาวินีฝืนทำตัวร่าเริงสดใส เพื่อจะได้ลืมเลือนคนทรยศออกจากหัวใจให้เร็วที่สุด แต่ก็ทำได้บ้างแค่บางเวลา แม้พยายามเบี่ยงเบนความสนใจไปกับสิ่งอื่นรอบตัว แต่เมื่ออยู่ตามลำพังความชอกช้ำใจก็แวะมาทักทายอีกเหมือนเช่นเคย

การรักษาแผลใจให้หายสนิทคงไม่ใช่เรื่องง่ายเลย โดยเฉพาะกับคนที่หมายมั่น เชื่อใจมาตลอดว่าจะเป็น ‘คู่ชีวิต’ มันช่างทรมานกลัดกลุ้มหัวใจแบบที่หล่อนไม่เคยประสบมาก่อนในชีวิต จนอดถามตัวเองไม่ได้ว่า

'เมื่อไหร่ฉันจะลืมเขาได้สักที?'

ขณะที่ร่างบางกำลังอินกับธรรมชาติรอบตัว ก็ถูกทำลายความสงบด้วยเสียงกรีดร้องของมือถือราคาแพงที่พกอยู่ในกระเป๋าถือ

กริ๊ง! กริ๊ง! กริ๊ง!

หญิงสาวหยิบโทรศัพท์มองชื่อคนโทร แล้วก็ต้องชะงักงันไป เมื่อเห็นชื่อบุคคลที่ตนเองไม่ปรารถนาจะคุยด้วยที่สุด

'เอาไงดีภาวินี?'

นึกถามตัวเองในใจ แต่สมองที่เฉียบคมกลับไม่ยอมคิดหาคำตอบใดๆ สายตาจ้องสมาร์ทโฟนในมือบาง ที่ยังคงส่งเสียงไม่หยุด จนกระทั่งมันหยุดร้องไปเอง เผลอระบายลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก เพราะคิดว่าเขาคง ‘หมดความอดทน’ ที่จะโทรแล้ว

...แต่หล่อนคิดผิด

ไม่ถึงนาทีมือถือก็ส่งเสียงอีกรอบ ภาวินีกำมือเรียวบางแน่นจนแทบจะบีบของในมือให้แตกเป็นเสี่ยงๆ ด้วยความเดือดดาล

'ยังจะโทรมาทำไมอีก?'

หญิงสาวพยายามไม่ให้ความสนใจกับเสียงโทรศัพท์ของอดีตคู่หมั้น ลุกเดินกลับไปยังที่พักของตนเองทันที หมดอารมณ์จะนั่งเล่นกินบรรยากาศอีกต่อไป

'คนอะไรน่ารำคาญชะมัด'

หล่อนไม่ยอมรับสาย แต่เขายังคงโทรตื้ออีกเจ็ดแปดครั้ง และในที่สุดร่างบางเป็นฝ่ายหมดความอดทนอดกลั้นก่อน จึงกดปุ่มรับสาย แล้วกรอกเสียงเกรี้ยวกราดกับอีกฝ่าย

“ต้องการอะไรจากฉันอีก คุณพีระ?”

“ผมคิดถึงคุณ เราดีกันนะ”

OoXoO



Create Date : 18 กุมภาพันธ์ 2558
Last Update : 18 กุมภาพันธ์ 2558 16:17:04 น. 0 comments
Counter : 831 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 
 

นิ้วนาง-เดียนา
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 7 คน [?]




งานเขียนทั้งหมดใน blog นี้ สงวนลิขสิทธิ์ตามกฎหมาย พระราชบัญญัติ พ.ศ.2537 ห้ามนำไปพิมพ์ เผยแพร่ หรือลอกไปกระทำการใดๆ ก็ตาม หากผู้ใดกระทำการผิด เจ้าของ blog จะเอาผิดท่านตามกฏหมาย ได้ทุกกรณี


[Add นิ้วนาง-เดียนา's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com
pantip.com pantipmarket.com pantown.com