|
นิยาย "Must Have คนนี้ฉันจอง" บทที่ 9
9 โห มายก๊อด...ผิวขาวสว่างอะไรขนาดนั้น ใช้ครีมอะไรล่ะนั่น? เอิงเอยถึงกับหลุดอุทานในใจ ลำคอแห้งผากไม่ต่างจากทะเลทราย หลังได้ยลแผ่นหลังของไอลดาเต็มตา ขณะที่อีกฝ่ายเปลื้องเสื้อเชิ้ตออก เผยให้เห็นบราเซียลูกไม้สีดำดูเซ็กซี่เย้ายวนอย่างบอกไม่ถูก เธอตกตะลึงอยู่อึดใจ พอตั้งสติได้ก็รีบหันหลังให้ทันที ไม่อยากเสียมารยาทกับหล่อน ถึงจะเห็นเต็มสองตาแล้วก็ตาม ตั้งสติหน่อยเอิงเอย เย็นไว้...เย็นไว้โยม ยัยน้องยกมือทาบเหนือหัวใจ หลังตื่นเต้นจนแทบจะกระโจนมาเต้นนอกอก รีบสูดหายใจลึกๆ ไม่ให้ประหม่าเสียอาการไปมากกว่านี้ เธอมองกระจกเงาสะท้อนหน้าตัวเองแดงเป็นตูดลิง บ้าเอ๊ย! แดงประจานกันชัดๆ เอิงเอยอายจนอยากจะแทรกแผ่นดินหนี หนีไปจากกล่องแคบๆ ที่มีแค่เธอกับหล่อน ไม่กล้าเปลี่ยนเสื้อ ได้แต่ยืนกระวนกระวายใจอยู่อย่างนั้น พี่ควีนโป๊อยู่ จะออกไปตอนนี้ก็ไม่ได้ รอพี่ควีนลองเสื้อก่อน ฉันค่อยเผ่นออกไป ขณะที่เธอกำลังทะเลาะกับตัวเองอยู่นั้น หล่อนสวมชุดเดรสไปซ่อนยิ้มในหน้าไป ลอบชำเลืองมองกระจกเงาเป็นระยะจึงเห็นทุกอากัปกิริยาของอีกคนที่ไปไม่เป็น ดูก็รู้ว่านี่คืออาการ ‘เกย์แพนิค’ นี่ฉันแกล้งมากไปหรือเปล่า? แม้จะนึกสงสาร แต่ความขี้แกล้งพุ่งแซงขึ้นมาแทนที่ โอกาสแบบนี้หายากจะตายไป “ช่วยอะไรหน่อยสิ” หล่อนเปรยขึ้นเบาๆ “อะ อะไรคะ?” เธอถามตะกุกตะกัก ไม่กล้าหันมามอง “รูดซิปข้างหลังขึ้นให้หน่อย ฉันรูดไม่ถนัด” อ๊าย! เอาไงดี? “เอ่อ ได้ค่ะ” เอิงเอยกลั้นใจตอบ หมุนตัวช้าๆ กลับมา เห็นหล่อนสวมชุดเดรสสีดำ มีเพียงซิปที่ยังไม่ได้รูดขึ้นเผยให้เห็นแผ่นหลังขาวเนียนวับๆ แวมๆ จนต้องกลืนน้ำลายลงคออย่างยากเย็น ผิวขาวละเอียดเชียว... ยัยน้องคิดในใจ เอื้อมสองมือขยับรูดซิปโลหะขึ้นช้าๆ ทว่าปลายนิ้วพลาดไปสัมผัสกับแผ่นหลังของหล่อนโดยไม่ได้ตั้งใจ “อุ๊ย” ไอลดาสะดุ้ง หลังสัมผัสกับปลายนิ้วเย็นของเธอ จนต้องเอียงคอมองคนเบื้องหลัง “ขอโทษค่ะ” เธอพึมพำ “...” หล่อนไม่ได้ต่อว่าอะไร “แป๊บนะคะ...โอเค เรียบร้อยค่ะ” ไอลดาหมุนตัวสำรวจชุดเดรสที่เพิ่งสวมผ่านกระจกเงา ยกยิ้มพอใจ ก่อนถามความเห็นคนข้างกาย “ชุดนี้ดูเป็นไงบ้าง?” “สวยค่ะ ดูดีมาก” “สวยแต่ชุด...ไม้แขวนไม่สวย?” หล่อนแกล้งถาม เรียวปากเคลือบลิปสติกสีเลือดนกยกขึ้น อยากให้ชมสินะ เธอรู้ทันความคิดอีกฝ่าย “ชุดสวยค่ะ ส่วนไม้แขวน...ก็พอดูได้” “หืม แค่พอดูได้?” นัยน์ตาคู่สวยฉายแววไม่พอใจออกมาแวบหนึ่ง “ตามนั้นค่ะ” เอิงเอยตอบหน้าตาเฉย ดูถูกกันเกินไปแล้ว หล่อนโน้มหน้ามาใกล้จนเกือบชิด ปลายนิ้วเรียวเสยปลายคางมนของเอิงเอยขึ้นช้าๆ พ่นลมหายใจอุ่นปะทะใบหน้าของอีกฝ่าย “ในสายตาของเธอ ไม้แขวนแบบไหนถึงจะสวย?” บอสสาวกล่าวถามเสียงแผ่วหวาน “ฉันไม่สวย...จริงเหรอ?” ยัยน้องสูดกลิ่นหอมที่ลอยมาแตะจมูก เผลอสูดเข้าไปจนรู้สึกมึนเมา...มึนเมาหล่อน เอิงเอยลืมหายใจไปชั่วขณะ ไม่คิดว่าจะโดนหล่อนรุกใส่เบอร์ใหญ่ขนาดนี้ แผ่นหลังแนบชิดกับผนังห้องลองชุด จึงไม่มีทางหลบหนี “ยะ อย่าแกล้งสิคะ” เธอไม่กล้าส่งเสียงดัง ห้องเล็กนี้ไม่ได้เก็บเสียง เกรงว่าคนนอกห้องจะได้ยิน แล้วเอาไปพูดต่อให้ไอลดาเสียหาย สำหรับเอิงเอย ชื่อเสียงของหล่อนสำคัญกว่าชื่อเสียงของตน “คงไม่ได้ เป็นความผิดที่เธอดันน่ารังแก” หล่อนแกล้งใครก็ไม่สนุกมากเท่ากับเชฟสาว แต่ไม่ชอบให้ใครมายุ่งย่ามกับเอิงเอย มีเพียงบอสสาวรังแกยัยน้องได้ วันนั้นที่ฝรั่งตาน้ำขาวกอดเธอ คิดทีไรก็ไม่สบอารมณ์ทุกครั้ง “คนขี้แกล้ง...” เธอต่อว่าเสียงอ่อน “อย่าบอกนะว่าลืมไปหมดแล้ว” นางพญาโน้มไปกระซิบข้างหูเล็ก ปลายนิ้วไล่เลาะไปประคองแก้มเนียนของยัยน้อง ยกมุมปากสวยขึ้นบางเบา พอใจที่อีกคนไม่แข็งขืนกับตน ก่อนถามย้ำอีกครั้ง “ตกลงฉันไม่สวย?” แคร์ด้วยเหรอ? เอิงเอยประหลาดใจ ไม่คิดว่าไอลดาจะจริงจังกับความเห็นของตนขนาดนี้ จึงเอียงหน้าขึ้นเพื่อสบตา โดยลืมไปสนิทว่าเราอยู่ใกล้กันขนาดไหน ทันใดนั้นเรียวปากทั้งสองคนเสียดสีกันเบาๆ เฮ้ย! เชฟสาวตะลึงเบิกตากว้างตกใจ ยกมือแตะริมฝีปากตัวเอง ไอลดาเองตกใจเช่นกัน แต่เพียงแค่แวบเดียว นัยน์ตาคู่สวยก็กลับเป็นปกติ ขยับถอยห่างเล็กน้อย พอสังเกตเห็นสองแก้มยัยน้องแดงแปร๊ด จึงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยหยอกทีเล่นทีจริง “ถ้าอยากจูบ ก็ขอกันดีๆ สิ” พูดอะไรเนี่ย ใครจะไปอยากจูบด้วย “ฉะ ฉันออกไปก่อน คุณลองชุดไปเถอะ” เธอพูดลิ้นแทบจะพลันกัน แล้วถลันออกไปจากห้องนั้น ก่อนจะหน้ามืดเป็นลมไปก่อน ทิ้งตัวนั่งเก้าอี้ว่างเพื่อสงบสติอารมณ์ที่ปั่นป่วน ยัยน้องรู้ใจตัวเองมาเนิ่นนานแล้วว่า พึงพอใจใคร เธอปรารถนาแค่ไอลดา แค่ผู้หญิงคนนี้เท่านั้น ขนาดหลับฝันก็ยังเป็นหล่อน แต่ปากหนักเกินกว่าจะยอมรับว่า...เธอชอบจูบเมื่อกี้ แม้จะเป็นแค่อุบัติเหตุก็ตาม ยามนี้จิตใจเอิงเอยราวกับท้องทะเลที่บ้าคลั่ง ยากจะระงับควบคุม ยกมือทาบทับเหนือหัวใจ ใจเย็นไว้เอิงเอย...ใจเย็นไว้ ไอลดาไม่รั้งเธอไว้ ก่อนล็อคประตูห้อง แล้วเปลี่ยนเสื้ออีกชุดสองชุด ร่างบางหันมองเงาสะท้อนของตัวเองที่เผยรอยแย้มยิ้มสดใส นานแค่ไหนแล้ว ที่หล่อนไม่ได้ยิ้มกว้างจากหัวใจเช่นนี้ เด็กน้อยนี่...แก้มเนียนนุ่ม ริมฝีปากก็นุ่มด้วย ใช้เวลาไปพอสมควร ไอลดาได้เสื้อผ้าที่ถูกใจหลายชุด แต่ในถุงนั้นไม่ได้มีแค่ชุดของตัวเอง หล่อนแอบซื้อเผื่อเอิงเอยโดยที่อีกคนไม่รู้ พอชำระค่าเสียหายเสร็จ คนพี่มองเวลาเห็นว่าเย็นแล้ว จึงเอ่ยชวนเธอไปทานอาหารญี่ปุ่นชั้นบนของห้างฯ ต่อ “ตกลงจะได้ซื้อของวันไหน?” เอิงเอยพูดประชดแก้เก้อ ยังคงขวยเขินกับจูบไม่ตั้งใจในห้องลองชุด ยัยน้องถือถุงสินค้าหลายใบให้หล่อน ทำหน้าที่เป็นเบ๊ชั้นดี “กองทัพเดินด้วยท้อง ตอนนี้ได้เวลาทานอาหารแล้ว ฉันไม่อยากพาเธอไปหาหมอ” หล่อนพูดยิ้ม เอียงหน้ามองยัยน้องเหมือนรู้อะไร หรือคุณรู้ว่าฉันเป็นโรคกระเพาะ? เอิงเอยขมวดคิ้วแวบหนึ่ง ก่อนยักไหล่ “งั้นฉันเลี้ยงมื้อนี้เอง ถือเป็นการตอบแทนค่าชุดด้วย” เธอไม่ชอบเอาเปรียบใคร ถึงหล่อนจะเป็นเจ้านายก็ตาม “ไม่มีปัญหา” ไอลดาไม่อยากทำลายบรรยากาศดีๆ จึงตอบรับ ทั้งคู่นั่งทานอาหารญี่ปุ่นในร้านที่ไอลดาบอกว่ารสชาติใช้ได้ ยัยน้องจึงสั่งมาทานตามที่หล่อนแนะนำ เธอนั่งทานเงียบๆ ไม่กล้าจะสบสายตาคนพี่สักเท่าใด ภาพเราจูบกันยังคงตามหลอกหลอนในสมอง ยากจะสะบัดหลุดในเวลาอันสั้น จะคิดถึงทำไม...ลืมๆ ไปบ้างเถอะ เชฟสาวคิดบ่นในใจ “นั่งทานกับฉันต้องเกร็งขนาดนั้นเชียวหรือ” ไอลดาสังเกตเห็นแล้วอดพูดแหย่ไม่ได้ จะรู้ดีเกินไปไหม! “ปะ เปล่าเกร็งสักหน่อย” เอิงเอยไม่คิดจะยอมรับให้เสียเชิง “ฉันแค่คิดว่าทงคัทซึนี่ มีอะไรพิเศษ ถึงได้อร่อยนัก” เป็นเหตุผลที่ข้างๆ คูๆ มากเลยนะเด็กน้อย ไอลดาไม่คิดเชื่อ หลังอาหารนี่ไม่ได้ปรุงยากอะไร อีกอย่างสาวสวยเคยเห็นคลิปที่เอิงเอยบันทึกวิธีทำทงคัทซึ ลงช่องออนไลน์เมื่อสองหรือสามปีที่แล้ว “อร่อยก็ทานเยอะๆ อย่างไรเสีย มื้อนี้เธอเป็นคนเลี้ยง” ทานเยอะก็เปลืองสิคะ เธอกลอกตาค้อนบอสสาว แล้วพูดยิ้มยียวน “ทานแค่อิ่ม กลับไปทานต่อที่พันราตรีดีกว่า ที่สำคัญฟรีด้วย” “จะงกไปไหม?” หล่อนถอนใจ “ฉันเป็นเชฟตัวเล็กๆ เป็นมนุษย์เงินเดือน ขืนไม่งกก็ไม่พอกินสิ” ฉันให้เงินเดือนน้อยไป? “งั้นมื้อนี้ฉันเลี้ยง” นางพญาสาวรีบเสนอตัว แล้วจดในใจว่ากลับไปต้องคุยกับดลพรสักหน่อย...เรื่องเงินเดือนของยัยน้อง “แค่นี้ฉันเลี้ยงคุณไหว” “ถ้าตลอดชีวิตล่ะ ไหวไหม?” หล่อนโพล่งถามออกมา หืม? เอิงเอยทำหน้าสับสน ขยับปากจะพูด แต่หล่อนก็พูดตัดหน้าก่อน “ล้อเล่นน่ะ” แต่ทำไมฉันรู้สึกว่าคุณจริงจัง เชฟสาวไม่ซักไซ้ แค่เก็บความสงสัยเอาไว้ในใจ พลันเห็นหล่อนเปิดเมนูทั้งที่อาหารในจานยังเหลือเกือบครึ่ง “ไม่อร่อยเหรอคะ?” “เปล่า ฉันจะเอาไปฝากบีมน่ะ เดี๋ยวฉันออกเอง” บอสสาวมักจะเอาของอร่อยไปฝากเพื่อนรักเสมอ “แล้วแต่คุณ” นางพญาสาวโบกมือเรียกพนักงานมารับออเดอร์ ก่อนชะงักกึกเมื่อเห็นชายหญิงคู่หนึ่งเดินควงแขนกันเข้ามาในร้าน สายตาคู่สวยหรี่ลงเล็กน้อย ก่อนลดแขนกลับลงมา วงหน้าสวยสลายยิ้มกลายเป็นเย็นชา เกิดอะไรขึ้น? เอิงเอยสังเกตความผิดปกติของเพื่อนร่วมโต๊ะ ก่อนมองตามจุดที่อีกฝ่ายมอง จำได้ทันทีว่าผู้ชายที่เข้ามาใหม่คือพอลคนรักของไอลดา พลันรู้สึกกรุ่นโกรธควันออกหู ต่อหน้าพี่ควีนทำเป็นเอาใจสารพัด ลับหลังไปควงแขนกับผู้หญิงคนอื่น...ทุเรศจริงๆ เชฟสาวหันกลับมามองไอลดา ลังเลว่าจะเอ่ยปลอบใจอย่างไรถึงจะเหมาะ พอสังเกตเห็นเรียวปากหล่อนกระตุกยิ้มแวบหนึ่ง จึงอดประหลาดใจไม่ได้ ยิ้มเยาะตัวเอง? หรือยิ้มเยาะหมอนั่น? ยัยน้องขมวดคิ้วแทบเป็นปม บอสสาวเห็นเธอทำหน้าเครียดก็ถามขึ้น “คิดอะไรเหรอ?” เธอชั่งใจเล็กน้อย “สงสัยว่าคุณยิ้มทำไม?” “ไม่มีอะไร แค่ขำ” ไอลดาตอบด้วยท่วงท่าสง่างาม วงหน้ารูปไข่ดูไร้ซึ่งความหนักอกหนักใจ “เขาเป็นแฟนคุณไม่ใช่เหรอ?” เธอถามอ้อมๆ “ใช่” หล่อนยกน้ำส้มขึ้นจิบหนึ่งอึก ก่อนวางลง ใช้ปลายนิ้วลูบแก้วน้ำไปมา “เป็นแฟนแล้วอย่างไร เมื่อก่อนเขาชอบฉันได้ วันหน้าเขาอาจจะเปลี่ยนใจไปชอบคนอื่นก็ได้...โลกนี้ไม่มีอะไรแน่นอนหรอกนะ” หา! ยัยน้องทำหน้าเหวอเหมือนฟังคนเฒ่าคนแก่พูดสัจธรรมของโลก ทั้งที่หล่อนอายุมากกว่าตนไม่กี่ปี พอตั้งสติได้ พนมสองมือยกท่วมศีรษะ “สาธุ” “กวนประสาท!” ไอลดาแหวใส่พร้อมแจกค้อนให้อย่างหมั่นไส้ เดาออกว่ายัยน้องอยากทำให้ตนอารมณ์ดี ซึ่งนับว่าวิธีนี้ได้ผลดีเยี่ยม หล่อนถอนใจเบาๆ “เช็คบิลเถอะ จะได้ไปซื้อของสดที่ซุปเปอร์ฯ ชั้นล่าง” “เจ้าค่ะคุณบอสขา” “เฮอะ” ไอลดากลอกตากับสรรพนาม ‘คุณบอสขา’ ที่ยัยน้องเรียกติดลากเสียงนิดๆ ให้ความรู้สึกพิเศษอย่างไรไม่รู้ เพราะไม่มีใครเคยเรียก “น้องคะ” เอิงเอยโบกมือเรียกพนักงาน หลังชำระค่าเสียหาย แต่ไม่ทันลุกจากโต๊ะ พอลพลันก้าวมาปรากฏตัวข้างโต๊ะฝั่งไอลดา สองสาวจึงหันไปมองแขกไม่ได้รับเชิญ “ควีนครับ จะมาทานร้านนี้ทำไมไม่ชวนพี่ล่ะครับ?” พอลกล่าวด้วยสีหน้าไม่เป็นธรรมชาตินัก รู้สึกสันหลังหวะ ไม่แน่ใจว่าหล่อนเห็นเขามากับใครหรือไม่? คงไม่เห็นหรอกใช่ไหม เขาพยายามคิดเข้าข้างตัวเอง “ควีนมาซื้อของกับน้อง เลยไม่อยากรบกวนพี่พอลค่ะ” นางพญาสาวตอบเสียงราบเรียบ ยากจะเดาว่าอยู่ในอารมณ์ไหน “น้อง?” พอลเบนสายตาไปยังเอิงเอยทันที เขาไม่คุ้นหน้าสตรีผู้นี้ โยนมาเฉย...เยี่ยม เชฟสาวบ่นในใจ ก่อนรับลูกที่หล่อนส่งมา ด้วยการฉีกยิ้มให้เขา “สวัสดีค่ะ เอิงเอยค่ะ” “เราเคยเจอกันไหมครับ?” เขาถามตรงๆ “น่าจะเคยค่ะ” เธอเลือกตอบแบบกำกวม “เหรอครับ ขอโทษครับผมจำไม่ได้” ชายหนุ่มพูดตามมารยาท ก่อนหันไปทางแฟนตัวเอง “แล้วควีนจะไปไหนต่อหรือเปล่า?” “ซื้อของที่ซุปเปอร์ค่ะ” ไอลดาพูดยิ้ม บุ้ยใบ้สายตาไปทางโต๊ะที่เขานั่ง “พี่พอลไปทานเถอะค่ะ อย่าให้คนนั้นรอนาน...มันไม่ดี” ฉึก! พอลหน้าซีดเหลือหนึ่งนิ้ว รีบพูดรัวจนลิ้นแทบจะพันกัน “พี่อธิบายได้นะครับ” “ไม่ใช่ตอนนี้ค่ะ ขอตัวก่อนนะคะ” หล่อนตัดบทเสียงเย็นเยียบ “ไปกันเถอะเอิงเอย” โห เสียงดุจัง “เอ่อ ค่ะ” เอิงเอยชำเลืองมองพอลผ่านทางหางตา จากนั้นหิ้วถุงสินค้าทั้งหมดตามสาวสวยที่เดินตัวปลิวออกไปก่อน เธอมองแผ่นหลังบอบบางของหล่อน ไม่บอกก็รู้ว่าสาวสวยกำลังขุ่นเคือง ไม่สบอารมณ์อย่างมาก ในฐานะคนรัก ชายคนนั้นกำลังดูถูกดูแคลน หลอกลวง ไม่ซื่อสัตย์กับหล่อน เธอไม่สนใจว่า พอลจะเป็นอย่างไรต่อไป เขาจะมีแฟนกี่คนก็ช่าง ...เอิงเอยสนใจแค่ความรู้สึกของไอลดาเท่านั้น ไอ้ผู้ชายเฮงซวย! ท้องฟ้าในยามโพล้เพล้อาบไปด้วยริ้วสีแดงและสีแสด สวยสดงดงามชวนหลงใหล แต่ว่าสารถีคนงามไม่มีกะจิตกะใจจะใส่ใจ มีเพียงผู้โดยสารที่เหม่อมองเงียบๆ “คืนนี้ดื่มเป็นเพื่อนฉันหน่อยสิ” ไอลดาเอ่ยชวน หลังขับรถเงียบๆ ไปเกือบสิบนาที จุดหมายปลายทางคือพันราตรีรีสอร์ต “คงไม่ได้ค่ะ พรุ่งนี้ฉันต้องทำงานกะเช้า” เอิงเอยให้ความสำคัญต่องานมาเป็นอันดับต้นๆ พี่ควีนคงรักพอลมากสินะ ดูก็รู้ว่าหึงหมอนั่น... ยัยน้องจิกเล็บเข้าที่อุ้งมือ ไม่ชอบใจกับความจริงข้อนี้ มองไม่เห็นว่าพอลมีอะไรดี ผู้ชายคนนั้นไม่คู่ควรกับบอสสาวแม้สักนิด ถึงเธอจะหงุดหงิด แต่ก็ไม่ไว้ใจให้หล่อนอยู่เพียงลำพัง หลายปีในต่างประเทศ เอิงเอยเคยเห็นเพื่อนหลายคนชีวิตพังไม่เป็นท่าเพราะอกหัก บางคนคิดฆ่าตัวตายก็มี เชฟสาวจึงอดเป็นห่วงไอลดาไม่ได้ “เอาเป็นว่า เดี๋ยวฉันทำกับแกล้มให้คุณทานดีไหม สักสามทุ่มฉันค่อยกลับห้อง” “ดี” หล่อนไม่ปฏิเสธ กระดกเร็วไปแล้ว เดี๋ยวก็เมาหัวทิ่มหรอก เอิงเอยคิดในใจ หลังมองสาวงามนั่งจิบไวน์ราวกับดื่มน้ำเปล่า ณ ห้องรับแขกชั้นล่างของบ้าน ขณะที่ยัยน้องนั่งทานกับแกล้มเป็นเพื่อน โดยเปิดซีรีย์หนังจีนโบราณดูไปแบบไม่ค่อยมีสมาธิสักเท่าใด “ช่วยหยิบขวดใหม่ ให้หน่อยสิ” บอสสาวสั่งเสียงอู้อี้ “พอเถอะ คุณดื่มเยอะไปแล้ว” เชฟสาวรีบปราม “ขออีกขวด...” หล่อนพูดลากเสียงยาว วงหน้าสวยขึ้นสีแดงระเรื่อชวนมอง สายตาพร่าลายมองไม่ถึงกับชัดนัก ลำคอเรียวระหงที่เชิดตรงเสมอเริ่มโอนเอนไปมา ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเมาแล้ว “ไม่ให้ดื่มค่ะ” ยัยน้องไม่ตามใจ แม้ไวน์จะมีประโยชน์อยู่บ้าง แต่การดื่มมากเกินไปเป็นอันตรายต่อสุขภาพ “คุณเมาแล้ว” “ฉันยังไม่เมาสักหน่อย” สาวคนพี่โบกนิ้วชี้ไปมา รอยยิ้มสวยผุดขึ้นง่ายกว่าปกติ สองตาปรือหวานเชื่อม ยิ้มซะหวานเจี๊ยบ ยังบอกไม่เมาอีก ยัยน้องส่ายหน้าอ่อนใจ ก่อนนึกอะไรขึ้นมาได้ ‘คนเมามักจะพูดความจริง’ เธอลังเลจะใช้ประโยชน์จากข้อนี้ แม้จะดูขี้โกงเกินไปหน่อยก็ตาม ถึงเรียวปากหล่อนจะนุ่มนิ่ม แต่ถ้าเป็นความลับ ไอลดาปากหนักปากแข็งจะตายไป “ขอถามอะไรหน่อยสิ?” “ว่ามา?” “คุณรักพอล มากเหรอคะ?” หล่อนหัวเราะคิกคัก ทิ้งตัวพิงโซฟาแบบไม่ระมัดระวังกิริยา ก่อนย้อนถามกลับมา “เหมือนรักเหรอ?” “แล้วไม่ใช่เหรอคะ?” ยัยน้องขมวดคิ้วแบบมึนๆ “ไม่รัก” คำตอบของหล่อนทำให้เอิงเอยโล่งอกอย่างบอกไม่ถูก แต่เธอยังคงยิงคำถามต่อไป “คุณคิดจะเลิกกับคุณพอลไหม?” “ไม่รู้สิ” ไอลดาตอบ หลังนิ่งไปหลายวินาที ก่อนกวักนิ้วเรียกเธอเข้าไปหา “มาใกล้ๆ หน่อย” “ทำไมคะ?” “มานี่” เอิงเอยอยากรู้จึงเคลื่อนตัวไปใกล้อีกฝ่าย ใกล้จนแก้มสัมผัสกับลมหายใจอุ่นๆ ไอลดายกสองแขนรั้งลำคอเธอ ดึงไปกอดจนไม่เหลือระยะห่างระหว่างเรา หล่อนแนบแก้มเข้ากับแก้มนุ่มของอีกคน จะ จะทำอะไร! เชฟสาวตัวแข็งตื่นตกใจ แต่ไม่ได้ผลักไสร่างบอบบางนั้น “ปล่อยฉันเถอะ...” เอิงเอยพูดไปใจสั่นไป สูดดมกลิ่นน้ำหอมจากกายสาวงามผสมผเสกับกลิ่นไวน์ ทำให้หล่อนดูมีเสน่ห์มากขึ้นไปเป็นเท่าตัว ทว่าไอลดาไม่สนใจฟัง กอดรัดอีกคนแน่นขึ้น “ถ้าฉันเลิกกับพี่พอล...เธอจะคบกับฉันไหม?”
*เรื่องนี้มี E-book ขายที่ Meb แล้วนะคะ
https://www.mebmarket.com/web/index.php?action=BookDetails&data=YToyOntzOjc6InVzZXJfaWQiO3M6NjoiNDkyOTk2IjtzOjc6ImJvb2tfaWQiO3M6NjoiMzk2Mzk2Ijt9
| Create Date : 11 พฤศจิกายน 2568 |
|
0 comments |
| Last Update : 11 พฤศจิกายน 2568 16:31:44 น. |
| Counter : 343 Pageviews. |
|
 |
|