เมื่อคืนวานเหมือนจะเป็นครั้งแรกในชีวิตตัวเองมั้ง
ที่เปียกฝนได้มะล่อกมะแล่กมากมาย
ทั้งๆ ที่ตอนแรกคิดว่า คงกลับถึงบ้านเร็วกว่าทุกวัน
แค่เพียงลงรถตู้ ฝนก็เทกระหน่ำลงอย่างรวดเร็ว
และลมพายุแรงๆ ก็พัดโหมซ้ำตามมา
ยืนมองทั้งสายฝนและสายลม
พร้อมเพื่อนร่วมชะตากรรมอีกจำนวนหนึ่ง
นานเกือบชั่วโมง...ก็ไม่เห็นแววว่าจะซาลง
ทั้งลมและฝน ยืนจนล้าทั้งขาและใจ
เลยมองไปที่ต้นไม้ต้นหนึ่ง
ปกติวันอากาศดีๆ จะมีนกชนิดหนึ่ง
คุยกันเซ็งแซ่หนวกหูเป็นที่สุด
เคยถามใครบางคนว่า
นกอะไร
ต้นไม้อะไร
ได้คำตอบมาแล้ว
แต่จำไม่ได้สักอย่างเลย
รู้แต่ว่า
นกพวกนี้...ช่างคุยเก่งกันจริงๆ
แต่วันที่ฝนและลมถาโถมต้นไม้ต้นนั้น
เมื่อมองเพ่งดีๆ จะเห็นเงาดำๆ เป็นจุดๆ
ไหวเอนไปพร้อมกิ้งไม้ที่ต้องลมแรง
พยายามสังเกตว่าใช่นกหรือเปล่า
เพราะไม่คิดว่า
พวกมันจะยังเกาะกิ่งไม้อยู่ได้
ปริมาณน้ำฝนและความแรงของลม
ที่พัดต้นไม้โยกไปมา
กิ่งไม้ไหวเอนโอนตลอดเวลา
นานกว่าชั่วโมง
นกจะยังเกาะอยู่ได้ยังไงกัน
นกยังเกาะอยู่ได้จริงๆ
ท่ามกลางสายฝนและสายลม
ที่พัดกระหน่ำพร้อมๆ กัน
อย่างไม่ขาดสาย
คนเรายังคิดหลบ
แต่นกกลับเกาะกิ่งไม้จังก้า
ท้ารับลมและฝนเสียแบบนั้น
ยืนมองแล้วคิดอะไรได้มากมาย
เก่งจัง...เจ้านกน้อย
เมื่อฝนเริ่มซา จึงเริ่มได้ยินเสียงนกคุยกัน
และสังเกตุเห็นว่า
ถัดจากต้นไม้สูงๆ จะมีต้นไม้ที่เตี้ยกว่าใกล้ๆ
และกิ่งใบเป็นพุ่มหนากว่า
เหมาะแก่การกำบังลมฝน
นกน้อยอีกหลายตัว ค่อยๆ บินจากต้นไม้เตี้ย
ไปยังต้นไม้สูงที่นกผู้กล้าไม่กี่ตัว
ยืนท้าอาจหาญต่อสู้กับพายุฝนฟ้า
ยังไม่หวาดหวั่นเกรงกลัว
มองนกแล้วก็คิด
มันยืนเกาะกิ่งไม้บางๆ
ต้านลมต้านฝนที่พัดกระหน่ำ
และไม่คิดจะบินหนี
เทียบกับคนเราบางคน
ที่เจอปัญหาไม่เท่าไหร่
ก็ผละหนีไม่คิดแก้
ใจคน...สู้ใจนกกระจิดริ๊ด
ไม่ได้เลยจริงๆ
อืม...นั่นสินะ
ปัญหาต่างๆ มีไว้แก้
ไม่ใช่มีไว้หนี
และตอนนี้
กำลังแก้ปัญหา
ที่คาราคาซังมานาน
ให้มันไม่เป็นปัญหา
อีกต่อไป.
เขาเรียกใจเสาะค่ะ