มิถุนายน 2557

2
3
5
6
7
9
10
12
13
14
16
17
18
20
21
23
24
25
26
27
28
29
 
 
30 มิถุนายน 2557
เนรมิตอักษรา 7

บทที่ 7

อันธพาลแห่งโลกนิยาย


วราลีรื้อค้นห้องนอนจนข้าวของกระจัดกระจายเพื่อหาโทรศัพท์เครื่องกระจ้อยร่อยที่หายไปสองวันแล้วอยากติดต่อใครก็จนปัญญา เมื่อเบอร์โทรของทุกคนที่รู้จักถูกบันทึกไว้ในโทรศัพท์เครื่องนั้นทั้งหมดมีเพียงเบอร์ของคนสำคัญไม่กี่คนที่เธอสามารถจดจำหมายเลขทั้งสิบหลักได้ขึ้นใจ


ตั้งแต่ตื่นนอนวราลีคิดไว้ว่าจะโทรติดต่อหัวหน้าเกี่ยวกับเรื่องขาดงานและสอบถามถึงการปิดปรับปรุงร้านชั่วคราว ทว่ากลับหาโทรศัพท์ไม่พบ


เธอทิ้งตัวบนเตียงนอนอย่างหมดแรงไหนจะเหน็ดเหนื่อยกับการรื้อค้นโทรศัพท์แทบพลิกแผ่นดินแล้วยังต้องเก็บข้าวของเหล่านั้นเข้าที่ตามเดิมคงเหนื่อยเพิ่มเป็นสองเท่า


นักเขียนสาวเอนกายไปด้านหลังพร้อมนำสองมือยันพื้นเตียงไว้ใบหน้ารูปไข่แหงนมองเพดานห้องพร้อมกรอกตาอย่างซังกะตาย พ่นลมหายใจหนักหน่วงก่อนทิ้งกายนอนแผ่หลาบนเตียงของเธอ


จู่ๆ ดวงตาทรงเสน่ห์สีถ่านซึ่งแฝงไว้ด้วยความจริงจังก็ผ่านเข้ามาในความคิดทำให้นึกถึงเรื่องเมื่อคืนนี้...


นิ้วเรียวยกแตะริมฝีปากเบาๆ ยังจำได้ถึงความอบอุ่นจากรอยจูบที่เรียกความหวั่นไหวกลับมาจนใจเต้นแรงอีกครั้ง วราลีได้แต่คิดทบทวน หากกันดิศไม่เลือนสลายไปเสียก่อน เธอเองก็ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้างคิดได้อย่างนั้นจึงเขกศีรษะตัวเอง โทษฐานเผลอไผลไปกับอารมณ์ชั่ววูบ


วราลีดึงตัวเองลุกขึ้นพร้อมสลัดความคิดทั้งหลายทิ้งร่างผอมบางขยับลงจากเตียงนอนและเดินไปเปิดหน้าต่างห้องเพื่อรับแสงสว่างยามเช้าที่ค่อนไปทางสายโด่งเธอชำเลืองมองนาฬิกาข้างฝาผนัง นึกเอะใจ เหตุใดกันดิศยังไม่ปรากฏตัว ทั้งที่ปาเข้าไปเกือบเก้าโมงแล้ว


แสงแดดจ้าส่องผ่านช่องหน้าต่างเต็มที่เมื่อรวบผ้าม่านผูกไว้ด้านข้างวราลีหันกลับพร้อมไล่สายตาสำรวจรอบห้องอีกครั้ง เผื่อมีจุดใดที่หลงลืมและผ่านหูผ่านตาไม่เห็นโทรศัพท์มือถือที่หายไปอย่างไร้ร่องรอย


แต่แล้วก็หยุดค้นหาชั่วคราวเมื่อนึกถึงชายวัยกลางคนที่อยู่ภายในบ้านหลังนี้


‘พ่ออาจรู้ว่าโทรศัพท์อยู่ไหน’ คิดได้ดังนั้น นักเขียนสาวก็ทิ้งทุกอย่างไว้และเดินออกจากห้องทันที


ประตูบานหนาถูกดึงเปิดแต่ยังไม่ทันได้ก้าวไปไหน ร่างผอมบางกลับถูกผลักจนเซถอยกลับมายืนในห้องอีกครั้งด้วยสัญชาตญาณป้องกันตัว วราลีรีบปัดมือที่จงใจผลักเธอออกอย่างอัตโนมัติ


“เธอทำอะไรพี่กัน! เขาถึงหายตัวไปแบบนี้หรือเธอลบเขาออกจากต้นฉบับเหมือนที่ทำกับฉันเมื่อวานนี้ หะ!”ศีตลาขึงตาดุดันราวกับข่มขู่ให้ผู้สร้างหล่อนเกรงกลัว แต่เปล่าเลย ทุกความเกรี้ยวกราดของนางเอกสาวยิ่งสร้างความเดือดดาลให้กับวราลีเมื่ออารมณ์หงุดหงิดค้างคาด้วยเหตุที่ว่ายังหาโทรศัพท์ไม่พบ


“อีกหน่อยคงต้องเผานิยายทิ้งจะได้ไม่เห็นเธอโผล่มาโวยวายใส่กันแบบนี้” วราลีจ้องมองศีตลาอย่างท้าทาย ทำให้นางเอกสาวนิ่งไปเล็กน้อยแววตาสั่นระริกส่อแววเลิ่กลั่กราวกับหล่อนตกเป็นลูกไก่ในกำมือเมื่อนักเขียนเป็นผู้กำหนดปลายปากกา


ศีตลากะพริบตาปริบๆเริ่มยืนไม่เป็นสุข มือไม้ยกลูบไล้ผมของตนแก้เก้อ และทำอึกอักแก้ตัว “ถะถ้าเผานิยายทิ้ง เธอก็ไม่มีผลงานทำเงิน ทำชื่อเสียง”ศีตลากล่าวด้วยท่าทางลนลานเล็กน้อย


“ไม่เห็นต้องกลัว ในเมื่อมีเรื่องใหม่ให้เขียนเยอะแยะ”วราลีสวนทันทีและจ้องมองคู่สนทนาอย่างไม่ละสายตา


“งั้นเธอ ก็ไม่ได้เจอพี่กันอีก” นางเอกสาวรีบโต้เถียงเมื่อหล่อนอยากเป็นผู้ชนะทว่ากระแสอำมหิตแผ่ซ่านจากแววตาและน้ำเสียงของวราลี ทำให้ศีตลาเริ่มเสียวสันหลังชอบกล


“ไม่เห็นต้องแคร์ ฉันไม่สนใจเขาอยู่แล้ว”วราลีตีหน้านิ่งพูดไปตามคิด แม้รู้ดีว่าที่เอ่ยออกไปนั้นเพียงแค่ประชดประชันตัวละครที่กำลังอวดดีกับเธอ


ทว่าใครบางคนที่ยืนพิงขอบหน้าต่างห้องกลับได้ยินทุกคำชัดเจน...


“พี่กัน...” ศีตลาเอ่ยเรียกก่อนวิ่งถลาเข้าหาเจ้าของชื่อและทุกการกระทำของหล่อนกับชื่อที่ดึงดูดความสนใจทำให้วราลียืนตัวชา ใจหายวูบกะทันหันเขาคงได้ยินในสิ่งที่เธอบอกกล่าวเมื่อครู่นี้


ศีตลากอดแขนพระเอกของหล่อนขณะชำเลืองมองนักเขียนสาวด้วยหางตาพร้อมเหยียดยิ้มสมใจอยากเยาะเย้ยถากถางแต่ต้องเก็บอาการไว้เพื่อทำคะแนน


วราลีค่อยๆ หันกลับมามองตัวละครทั้งสองเมื่อรู้ว่ากันดิศปรากฏตัวแว้บหนึ่งที่เห็นกระแสความเจ็บปวดจากนัยน์ตาสีถ่านคู่นั้น ก่อนแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชาจนหัวใจของเธอปวดหนึบ


“พี่กันหายไปไหนมาคะ ปล่อยให้ศีตามหาทั้งคืน”ไม่ว่าจะเป็นโลกของนิยายหรือความจริง กันดิศก็ทำเฉยเมยกับหญิงสาวที่พยายามตีตัวออกห่างคล้ายหลบหน้าหลบตา


“เมา ปวดหัว อยากอยู่คนเดียว”กล่าวจบ กันดิศก็ปัดมือของศีตลาออก และเดินสวนวราลีที่ยืนนิ่งคล้ายรู้สึกผิดอยู่ในใจโดยไม่มองเธอสักนิดราวกับไม่เคยรู้จักกันมาก่อน


‘เขาโกรธงั้นเหรอ


วราลีถามตัวเองเมื่อจับกระแสความเย็นชาได้จากแววตาทรงเสน่ห์คู่นั้นก่อนเรียกรั้งเขาไว้ “เดี๋ยวก่อน”


กันดิศหยุดฝีเท้ากับที่รวมทั้งศีตลาที่จ้องมองทั้งสองด้วยความอยากรู้อยากเห็นว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง


“ช่วยพานางเอกของนายออกไปด้วย”วราลีพูดทั้งที่ไม่ได้หันไปมองกันดิศ มีเพียงเขาที่เอี้ยวใบหน้าคมคายมองยังศีตลา


“เจ้าของบ้านเขาไล่แล้ว ยังจะยืนเฉยอยู่ทำไม”แววตาเย็นเยียบกับน้ำเสียงเฉยชาหันบอกนางเอกสาว ให้ทำตามความต้องการของเธอ ทว่าอาการนิ่งเฉยของกันดิศไม่สามารถจับความรู้สึกได้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่


ศีตลายอมทำตามแต่โดยดีหล่อนส่งค้อนให้วราลีก่อนสาวเท้ารวดเร็วตามหลังชายหนุ่มออกจากห้องนอน เจ้าของสถานที่ได้แต่ระบายลมหายใจตัดความรู้สึกหวิวโหวงภายในอกทิ้ง เธอพยายามบอกตัวเอง ‘เป็นอย่างนี้ก็ดีแล้ว’ความเย็นชาจะเป็นเกราะคล้ายกำแพงกักกั้นไม่ให้พระเอกในนิยายเข้ามามีบทบาทต่อจิตใจมากไปกว่าเดิม


คู่รักในนิยายก้าวเดินจนเกือบถึงประตูทางออกแต่ต้องหยุดยืนกับที่เมื่อถูกเอ่ยทักจากชายวัยกลางคน


“ศาส! เอ็งจะไปไหน แล้วผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร” กัมพลชี้ไปทางศีตลาอย่างคับข้องใจเหตุใดจึงมีหญิงสาวหน้าตาสะสวย หุ่นดีระดับนางแบบมาเดินอยู่ในบ้านของตนความใคร่รู้ทำให้เขาไล่สายตามองหล่อนตั้งแต่ศีรษะจรดเท้าหากให้เทียบความสวยและรูปร่างกับ ‘กุ้งแห้ง’ ลูกสาวของเขา กัมพลยอมรับอย่างเต็มใจเลยว่า วราลีชิดซ้ายโดยไม่ต้องคิดไตร่ตรอง

กันดิศชำเลืองมองศีตลาเล็กน้อยก่อนเดินเข้าหาเจ้าของสถานที่โดยอธิบายให้กัมพลรับฟังว่าเขากับศีตลาเป็นพี่น้องกัน แม้ประโยคเหล่านั้นจะทำให้หล่อนไม่พอใจมากเพียงใดก็ต้องเก็บความเดือดดาลไว้รอเวลาต่อว่านักเขียนสาวที่ปล่อยให้บุพการีของเธอเข้าใจผิดคิดไปเองว่ากันดิศคือแฟนหนุ่มของเธอ


ศีตลากำลังแง่งอนพระเอกหนุ่มที่ป่าวประกาศว่าหล่อนเป็นเพียงน้องสาวทั้งที่ตามบทบาทในนิยายหล่อนคือคนรักของเขา จึงพานโกรธกัมพลอีกคนที่รีบตื่นนอนมาเจอและวุ่นวายกับกันดิศระหว่างหล่อนกำลังติดตามเขาออกจากบ้าน ทั้งที่ได้โอกาสทำคะแนน เมื่อเห็นว่ากันดิศกับวราลีกำลังมีปัญหาบางอย่างเกิดขึ้น


แต่ทว่า...ต่อให้โกรธและแง่งอนเพียงใดศีตลายังวางตัวและสร้างภาพเป็นนางเอกอยู่วันยันค่ำ


“พี่กันคะ ศีออกไปรอข้างนอกนะคะ”ชายทั้งสองหันมองหญิงสาวที่กำลังตีหน้าซึม หวังได้รับความเห็นใจจากพระเอกหนุ่ม ซึ่งหล่อนอยากให้เขาตามง้อแทบขาดใจ


“อืม” แต่สิ่งที่ได้รับกลับเป็นคำตอบเสียงห้วนแววตาไร้ความรู้สึกเอ็นดูอย่างที่ศีตลาเคยได้รับเมื่อนานมาแล้ว หล่อนนึกอยากโวยวายอย่างคนเอาแต่ใจเสียตรงนั้นเพื่อให้เขาสนใจบ้างแต่ก็ต้องเก็บอาการกรุ่นโกรธด้วยการกำมือแน่น ระงับโทสะที่กำลังปะทุ


นางเอกในนิยายหันมองกัมพลที่จ้องหล่อนตาไม่กะพริบนึกต่อว่าในใจ ‘ไอ้เฒ่าหัวงู’ พร้อมทิ้งหางตาเขียวปั้ดให้กัมพลเห็นว่าหล่อนไม่อยากญาติดีด้วยสักนิด ศีตลากระแทกเท้าเดินออกจากบ้านไปอย่างรวดเร็วโดยทุกการกระทำนั้นต้องระวังไม่ให้กันดิศเห็นเป็นอันขาด ในสายตาของพระเอกหนุ่ม หล่อนต้องแสนดีไร้ริษยา ห่างจากบทนางร้าย เนื่องจากภาพพจน์ของหล่อนคือนางเอกของนิยาย


กันดิศยืนเจรจากับกัมพลพักใหญ่จนวราลีเก็บข้าวของเรียบร้อยเธอจึงเดินออกจากห้องส่วนตัวชายสองคนภายในบ้านหันมองเธอเป็นตาเดียว วราลีกับกันดิศสบตากันชั่วครู่ก่อนเขาจะเบือนหน้าหนีไปทางอื่น


“จะออกไปทำงานทั้งชุดอย่างนี้รึกุ้งแห้ง” กัมพลทักเมื่อเห็นลูกสาวใส่เสื้อยืดกางเกงยีนส์ตามสไตล์โปรด ไม่ใช่ชุดฟอร์มทำงานอย่างที่ควรเป็น


“ตอนนี้หนูอยู่ในช่วงตกงานเพราะร้านปิดปรับปรุงชั่วคราวว่าแต่พ่อเห็นมือถือของหนูบ้างหรือเปล่า หาจนบ้านจะพังอยู่แล้วก็ไม่เจอ”


“ไม่เห็น ของใช้ส่วนตัวทำไมไม่รู้จักเก็บรักษาให้ดี”กัมพลตักเตือน “แล้วทำไมไม่ทักทายศาสเขาบ้าง เห็นมารอตั้งแต่เมื่อวานโกรธอะไรกันรึ แกถึงทำไม่สนใจเขา” กัมพลกล่าวเชิงถามแต่ทุกคำของเขาทำให้วราลีสะบัดสายตาไปทางกันดิศทันที


ตั้งแต่ออกจากบ้านเมื่อวานนี้พระเอกในนิยายคงแอบอ้างเป็นศาสวัตรตามที่พ่อของเธอเข้าใจเช่นนั้นเนื่องจากหน้าตาละม้ายคล้ายกันอย่างกับแกะ เพียงเปลี่ยนบุคลิกและท่าทางให้นิ่งเฉยเล็กน้อยก็จับพิรุธไม่ได้ว่ากันดิศคือศาสวัตรตัวปลอม


วราลีฉีกยิ้มและกัดฟันกรอดขณะจ้องกันดิศตาเขม็งก่อนเดินเข้าไปใกล้เขา “ไม่ได้โกรธอะไรสักหน่อย หนูกับพี่ศาสรักกันจะตายไม่งั้นเขาคงไม่ดูแลพ่อด้วยการซื้อเหล้าให้กินจนเมาแอ๋อย่างนั้น”นักเขียนสาวกระทบกระเทียบด้วยน้ำเสียงต่อว่าในที


“กรี๊ด! พี่กัน ช่วยศีด้วยยย” เสียงกรีดร้องของนางเอกในนิยายดังจากนอกบ้าน ทำให้ทุกคนมองหน้ากันเลิ่กลั่กกันดิศวิ่งออกไปเป็นคนแรก และวราลีกับกัมพลวิ่งตามไปติดๆนึกสงสัยว่าหล่อนเป็นอะไรจึงส่งเสียงดังเช่นนั้น


=====


รถกระบะป้ายแดงจอดติดเครื่องยนต์อยู่หน้าบ้านของนักเขียนสาวถัดไปทางด้านหน้าของรถคันดังกล่าว ศีตลาพยายามดิ้นรนเอาตัวรอดจากการจับกุมของชายผู้หนึ่งหล่อนทั้งดึงทั้งสะบัดแขนของตัวเองให้พ้นจากการจับกุมนั้น


“แกจะทำอะไร ไอ้หัวไม้กวาด!” กันดิศตวาดพร้อมกระชากชายแปลกหน้าที่แต่งตัวประหลาดอย่างแรง จนศีตลาหลุดพ้นจากการหน่วงเหนี่ยวหล่อนวิ่งมาหลบที่ด้านหลังของกันดิศอย่างรวดเร็ว


ชายหนุ่มสวมเสื้อเชิ้ตสีเขียวสว่างแต่งแต้มด้วยลายดอกสีเหลืองทั้งตัว กระดุมติดครบทุกเม็ดจนถึงคอ ปกเสื้อตั้งแขนพับทบ ชายเสื้อใส่ในกางเกงยีนส์ทรงเดฟตึงเป๊ะ และที่เกือบรับไม่ได้คือเขาสวมรองเท้าแตะหูหนีบชายผู้นั้นถอดแว่นตากันแดดเผยให้เห็นรูปหน้ายาว ผมด้านหน้าใส่เยลปัดตั้งมองกันดิศอย่างเอาเรื่อง


“พี่กันช่วยศีด้วย!”น้ำเสียงใสสั่นเครือหลบอยู่ด้านหลัง แววตาของหล่อนหวาดกลัว


ชายหนุ่มในชุดเสื้อลายดอกสาวเท้ามายืนประจันหน้ากับกันดิศและจ้องมองอย่างสู้สายตาวราลีกับกัมพลได้แต่ยืนมองทั้งสองด้วยใจลุ้นระทึก เกรงจะเกิดศึกชิงนางขึ้นยังหน้าบ้านของตน


“ใครไม่เกี่ยวอย่าสอด! นักเลงบ้านนอกอย่างข้าจะฉุดนางเอกในดวงใจกลับไป” เสียงทุ้มต่ำหัวเราะในลำคอแต่ทุกคำไม่ได้ทำให้กันดิศหวั่นเกรง เขายังคงจ้องมองชายผู้นั้นตาเขม็ง


“อย่ามายุ่งกับฉันนะ!” ศีตลาหยุดคำ ‘ไอ้บ้านนอก’ ไว้ในลำคอ ไม่อยากทำให้ตนเองเสียภาพลักษณ์นางเอกในนิยาย


จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น วราลีรู้สึกคุ้นชินกับชายแปลกหน้าผู้นี้ทำให้ลำดับเรื่องราวที่กำลังเผชิญ บรรยากาศคล้ายกับฉากในนิยายของเธอ หนึ่งในตัวละครนามว่า‘สมภพ’เป็นหนุ่มบ้านนอกที่เข้ามาเรียนต่อในกรุงเทพฯ และตกหลุมรักศีตลาอย่างรวดเร็ว จึงทำทุกอย่างเพื่อเอาชนะใจของนางเอกสาว


ต่อมาสมภพได้รู้ว่ามีชายหนุ่มหลายคนมาติดพันศีตลาเขาจึงตัดสินใจบุ่มบ่ามฉุดหญิงสาวกลับต่างจังหวัดด้วยกัน จนเกิดการต่อสู้กับกันดิศเพื่อแย่งชิงนางเอก


ทว่า...การแต่งกายของสมภพทำให้นักเขียนสาวเกือบหลุดหัวเราะออกมาดังๆ‘นี่เหรอ...หนุ่มบ้านนอกตามสไตล์ของเธอ’ วราลีได้แต่ต่อว่าตนเองในใจ ‘ไร้รสนิยมสิ้นดี’ เพราะความคิดเชยๆ กอปรกับจินตนาการห่วยแตกอย่างที่มาวินเคยกล่าวไว้ ทำให้ตัวละครของเธอกลายเป็นดาวตลกไปโดยปริยาย


วราลีชำเลืองมองกัมพลที่ยืนอ้าปากค้างมองสมภพที มองกันดิศที งุนงงต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างไม่ตั้งตัวโดยพ่อของเธอไม่เคยรับรู้ถึงเรื่องอัศจรรย์ที่มีตัวละครโลดแล่นออกจากนิยายอย่างนี้


ระหว่างวราลีกำลังชั่งใจคิดว่าควรวิ่งกลับไปหยิบต้นฉบับเพื่อแก้ไขเรื่องราวให้ยุติลงก่อนจะเกิดศึกชิงนางสมภพเหล่มองเธออย่างรู้ทัน


“จะไปไหนน้องสาว”หนุ่มบ้านนอกละสายตาท้าทายจากกันดิศ หันมาสนทนากับวราลีแทน “ไม่ต้องไปไหนนะจ๊ะ พี่ภพไม่อยากถูกตัดตอนถึงจะได้รับบทเป็นนักเลงบ้านนอก แต่พี่ภพก็อยากเป็นอันธพาลครองเมืองหลวงเหมือนกัน”สมภพกล่าว


“หยุดพล่ามซะที!”กันดิศตัดบท เมื่อเห็นวราลียืนนิ่งคล้ายทำตัวไม่ถูกว่าควรจัดการอย่างไร


“ไม่มีใครเคยสอนมารยาทหรือไง คนอื่นกำลังคุยกันอย่าสอดแทรกอย่างนี้” สมภพเน้นหนักตรงคำว่า ‘สอด’ หรี่ตามองกันดิศพลางเหยียดยิ้ม


“อย่ามาพูดจาหยาบคายกับพี่กันแบบนี้นะ!” ศีตลาเอ่ยปากอย่างกล้าๆ กลัวๆ หลบอยู่ด้านหลังพระเอกหนุ่มไม่ห่าง แม้อยากต่อว่าสมภพเพียงใดหล่อนก็ได้แค่ก่นด่าในใจเท่านั้น


กันดิศเบนความสนใจไปยังหญิงสาวด้านหลังและพูด“คุณไปรู้จักไอ้หัวไม้กวาดนี่ได้ไง แค่มาวินตามจีบคนเดียวไม่พอหรือไง” น้ำเสียงแหบห้าวกล่าวอย่างหงุดหงิด


“พี่กันก็ถามนักเขียนของพี่สิคะ ทำไมถึงสร้างเรื่องราวให้อิรุงตุงนังแบบนี้ศีไม่ชอบสักนิดที่มีนายบ้านนอกคนนี้มาตามตื้อ” ศีตลากล่าวเสียงอ่อนแต่สายตาเหยียดมองวราลีราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ


กันดิศมองนักเขียนสาวที่ยักไหล่และเบ้ปากไม่รู้ไม่ชี้แม้แต่เธอเองยังไม่คิดว่าเรื่องราวในนิยายจะออกมาวุ่นวายเช่นนี้ รวมถึงการแต่งกายของตัวละครก็มีผลอย่างมากเมื่อได้เห็นของจริงเธอจึงคิดได้ว่า การบรรยายถึงคุณลักษณะของตัวละคร แม้จะเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่คงขาดไม่ได้เลยเพราะการเรียบเรียงตัวอักษรให้สื่อออกมาเป็นภาพ มีความจำเป็นอย่างมากที่จะทำให้ผู้อ่านมองเห็นสิ่งเหล่านั้นชัดเจนและหากมีโอกาสเธอคงต้องแก้ไขให้สมภพดูดีกว่านี้ สมกับฐานะหนุ่มเศรษฐีบ้านนอกตามที่ตั้งใจไว้


“พวกนายจะหยุดเถียงกันได้หรือยัง”วราลีรีบตัดปัญหาเมื่อทุกสายตาเพ็งเล็งมายังเธอ สัมผัสได้ถึงกระแสความคาดคั้นจนรู้สึกกดดันรวมทั้งสายตาจากพ่อของเธอด้วยเช่นกัน “เอาเป็นว่า ฉันจะปล่อยให้พวกนายตกลงกันว่าจะยุติศึกชิงนางยังไงฉันมีธุระต้องทำ คงอยู่ตัดสินไม่ได้” กล่าวจบวราลีก็หมุนตัวกลับและคว้าแขนของพ่อให้เดินตามอย่างงุนงง


วราลีหาทางหนีเอาตัวรอด ไม่อยากตกอยู่ในเหตุการณ์ที่อาจถูกตัวละครต่อว่าจนเสียกำลังใจเหมือนครั้งที่เจอตัวประกอบมาวิน เธอรู้สึกเหนื่อยหน่ายและท้อใจระหว่างพากัมพลเดินเข้าบ้านหวังว่ากันดิศคงจัดการเรื่องราวที่เกิดขึ้นได้ตามบทบาทที่วางไว้แม้ต้องเกิดการชกต่อยกันก็ตาม


“พวกนั้นเขาทำอะไรกันรึกำลังถ่ายละครอยู่หรือไง” กัมพลถาม


                “หนูก็อยากให้เป็นแค่การถ่ายหนังถ่ายละครเหมือนกัน” นักเขียนสาวลอบถอนใจอยากหาที่ปลดปล่อยความกังวลเมื่อมันแวะเวียนมาทักทายขณะนี้



=====

บรรยากาศมืดมัวยามเย็นก่อนพระอาทิตย์ตกดินวราลีเดินทอดน่องไปตามถนนริมฟุตปาธ คิดอะไรเรื่อยเปื่อยถึงเรื่องของศาสวัตรและกันดิศปนเปตั้งแต่กลางวันหลังจากปล่อยให้ตัวละครยุติปัญหาชิงนางเอกเธอก็ออกจากบ้านมาเดินเตร็ดเตร่อยู่ที่ห้างสรรพสินค้าจนลืมเวลาพอนึกได้ก็ปาเข้าไปเกือบห้าโมงเย็นแล้ว จึงเดินออกมานั่งเล่นปล่อยใจให้สบายไปกับบรรยากาศในสวนสาธารณะบริเวณใกล้เคียงจนใกล้มืดเต็มที


วราลีเดินไปเรื่อยๆ อย่างใจลอย รู้ตัวอีกทีก็มาหยุดยืนอยู่หน้าคอนโดสูงตระหง่านซึ่งเป็นที่พักของศาสวัตรจนนึกได้ว่าเมื่อเช้านี้ระหว่างค้นหาโทรศัพท์มือถือเกิดเจอกุญแจห้องพักของแฟนหนุ่มวราลีล้วงหยิบกระเป๋าสตางค์ขึ้นมาเปิดและหยิบคีย์การ์ดขึ้นมาถือไว้เธอหันซ้ายแลขวามองดูรถบนท้องถนนจนเห็นว่าปลอดโปร่งจึงข้ามฝั่งและมุ่งหน้าเข้าคอนโดหวังว่าศาสวัตรคงอยู่ในคอนนี้แห่งนี้


ขณะอยู่ในลิฟต์เธอก็คิดไปต่างๆนานาถึงหญิงสาวในรถที่เห็นเมื่อวานนี้ ‘เป็นใคร’ คำถามวนเวียนซ้ำๆ จนมาหยุดยืนอยู่หน้าห้องของเขาวราลีเคาะประตูและรอให้มันเปิดออก แต่ทุกอย่างกลับนิ่งเงียบจึงตัดสินใจเสียบคีย์การ์ดและเปิดประตูเข้าด้านในอย่างถือวิสาสะ


ภายในห้องมืดสนิทศาสวัตรยังไม่กลับมา ด้วยความคุ้นชินที่เคยมาบ่อยครั้ง วราลีจึงรู้ทุกซอกมุมภายในห้องนี้ว่ามีอะไรอยู่ตรงไหนบ้างเธอเอื้อมกดสวิตซ์ไฟจนติดสว่างทั่วห้อง และเดินสำรวจรอบบริเวณภายในห้องนั้นยังคงสะอาดสะอ้านเรียบร้อยตามนิสัยของศาสวัตรที่เป็นคนรักษาความสะอาดข้าวของทุกอย่างจัดเก็บอย่างเป็นระเบียบ หากให้เทียบกับห้องของเธอคงไม่ได้เศษเสี้ยวความเรียบร้อยและน่าอยู่เช่นนี้


ตู้กระจกติดกำแพงใกล้กับโซฟาหนังสีน้ำตาลเข้มมีกรอบรูปวางเรียงราย หนึ่งในนั้นเป็นรูปคู่ระหว่างเธอกับเขาวราลีหยิบกรอบรูปขึ้นมองใกล้ๆ และเผลอยิ้มออกมาเมื่อเห็นภาพศาสวัตรโอบไหล่เธอไว้โดยอีกมือชูสองนิ้วบนศีรษะของเธอรอยยิ้มละมุนของเขาทำให้นึกถึงเรื่องราวที่เพิ่งพบกันครั้งแรกโดยบังเอิญเพราะนิยายเล่มหนึ่ง


วันนั้นวราลีเดินเข้าร้านหนังสือชั้นนำภายในห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งเธอตรงไปยังส่วนของแผงหนังสือที่เป็นนวนิยายทั้งหมด ไล่สายตาหาหนังสือน่าอ่านสิ่งแรกที่มองหาคงไม่พ้นปกหนังสือสวยงามดึงดูดให้หยิบขึ้นมาอ่านคำโปรยทั้งด้านหน้าและด้านหลังทว่าหนังสือที่เหลือเพียงเล่มเดียวถูกจับพร้อมกันกับชายหนุ่มอีกคนโดยต่างฝ่ายไม่ยอมปล่อยมือ เกรงจะต้องเสียสละหนังสือให้อีกฝ่ายไป


‘เล่มนี้เป็นเล่มสุดท้ายของร้านค่ะ’ พนักงานกล่าวยิ้มๆแต่ในรอยยิ้มนั้นแฝงไว้ด้วยความเกรงใจ เมื่อเธอพาชายหนุ่มอีกคนให้มาหาหนังสือเล่มนี้


วราลีจำได้ดีว่าวันนั้นเธอเกือบใจอ่อนยอมปล่อยมือให้กับความหล่อเหลาของศาสวัตรดวงตาทรงเสน่ห์ที่จ้องมองมานิ่งๆ ทำให้ใจเต้นแรงชอบกล แต่เมื่อเขาเอ่ยพูดจา สติสตังก็กลับมาจนต้องยื้อแย่งนิยายเพียงเล่มเดียวไว้ในครอบครอง


‘ช่วยปล่อยหนังสือด้วยครับ ผมตามหามันก่อนที่คุณจะหยิบอย่างนี้’ ได้ยินเพียงเท่านั้นจากที่กำลังเคลิ้มฝันถึงพระเอกในนิยายก็ต้องหยุดความคิดในทันทีน้ำเสียงไม่เป็นมิตรทำให้เธอรีบกระชากหนังสือเล่มนั้นมาเป็นของตัวเองไม่ยอมเป็นฝ่ายเสียสละให้กับสุภาพบุรุษมาดนิ่ง


‘ฉันหยิบมันก่อน คุณไม่มีสิทธิ์แย่งมันไปจากฉัน’ ทั้งสองถกเถียงกันอยู่พักใหญ่จนในที่สุดศาสวัตรก็ยกมือเป็นฝ่ายยอมแพ้แต่ด้วยเหตุผลของเขาที่ต้องการนิยายเล่มนี้เพื่อนำไปให้แม่ที่กำลังนอนป่วยอยู่ในโรงพยาบาลอ่านทำให้วราลีตัดสินใจเดินตามหาเขาเมื่อชำระเงินเรียบร้อยด้วยความรู้สึกผิดลึกๆที่แย่งความสุขของคนป่วยไป


เมื่อตามหาเขาจนเจอเธอจึงมอบหนังสือเล่มนั้นให้ฟรีๆ โดยศาสวัตรขอเลี้ยงข้าวเป็นการตอบแทน ตรงนั้นเองจึงเป็นจุดเริ่มต้นของความรักระหว่างเธอกับเขา


เสียงก๊อกแก๊กตรงประตูทางเข้าทำให้วราลีหันขวับเธอวางกรอบรูปด้วยความรู้สึกลนลานเมื่อคิดได้ว่าเจ้าของห้องคงกลับมาแล้วใจหนึ่งก็อยากเซอร์ไพรส์แกล้งให้ศาสวัตรตกใจเล่นแต่อีกใจก็ไม่อยากให้เขาคิดว่าเธอล่วงล้ำพื้นที่ส่วนตัวโดยไม่บอกกล่าวเสียก่อนวราลีหันซ้ายหันขวาหาที่ซ่อน โต๊ะวางของใกล้ๆ มีผ้าคลุมสีขาวปิดบังใต้โต๊ะโปร่งโล่งเธอจึงรีบมุดเข้าไปหลบอยู่ในนั้นอย่างรวดเร็ว


ศาสวัตรก้าวเข้าห้องด้วยความลังเลและประหลาดใจเขานิ่งคิดขณะค่อยๆ ปิดประตู จำได้ว่าก่อนออกจากห้องก็ตรวจตราเรียบร้อยแล้วเหตุใดไฟฟ้าภายในห้องยังเปิดสว่างอยู่ ชายหนุ่มได้แต่คลางแคลงใจ แต่ก็ยอมปัดความสงสัยทิ้งและคิดว่าคงเพราะความสะเพร่าของตนจึงลืมปิดไฟก่อนออกเดินทางเมื่อวานนี้


แต่เมื่อเดินมาที่ชั้นวางของเขาก็นึกเอะใจอีกครั้ง เมื่อกรอบรูปที่เคยวางไว้เป็นระเบียบถูกเปลี่ยนที่ศาสวัตรฉวยกรอบรูปคู่ระหว่างเขากับวราลีขึ้นมอง แว้บหนึ่งที่เห็นเงาสะท้อนจากในกระจกทำให้เขารีบหันขวับด้านหลังรู้สึกว่าไม่ได้อยู่เพียงลำพังภายในห้องนี้


วราลีที่แอบมองแฟนหนุ่มจากรอยต่อผ้าคลุมใต้โต๊ะยกมือปิดปากเมื่อคิดได้ว่าทำผิดพลาดอย่างลืมตัว เผลอเปิดไฟทิ้งไว้และวางของผิดจากตำแหน่งเดิมจนเริ่มตื่นกลัวเกรงว่าศาสวัตรจะจับได้ว่าเธอหลบอยู่ภายในห้องนี้ ขณะคิดลังเลสองจิตสองใจจะออกจากมุมที่หลบซ่อนเสียงเพลงจากโทรศัพท์มือถือก็ดังทำลายความเงียบ


“ว่าไงตา”น้ำเสียงทุ้มทำให้วราลีชะงักกับที่และนิ่งฟังการสนทนาของเขาเมื่อได้ยินชื่อที่ไม่คุ้นชินเสียเลย“โรงแรมไหน เดี๋ยวพี่ไปหา” คำพูดกระตุกจิตใจจนชาไปทั้งเรือนร่างทำให้นึกถึงหญิงสาวที่นั่งอยู่หน้ารถของเขาเมื่อวานนี้


จากที่เคยตื่นตัวเตรียมออกมาเซอร์ไพรส์กลับกลายเป็นทิ้งตัวนั่งอย่างหมดเรี่ยวแรง ความสว่างภายในห้องกลับมามืดสนิทอีกครั้งเขากำลังออกไปหาใครสักคนที่ชื่อ ‘ตา’ และสถานที่นัดหมายคือ ‘โรงแรม’ หรือศาสวัตรกำลังนอกใจเธอแล้วจริงๆ จึงไม่เคยติดต่อหรือแวะไปหาเธอในช่วงสองสามวันมานี้วราลีได้แต่นิ่งคิดจนสับสนและรวดร้าวจิตใจ



To be continued...




Create Date : 30 มิถุนายน 2557
Last Update : 30 มิถุนายน 2557 22:22:32 น.
Counter : 695 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

มาโซคิส
Location :
กรุงเทพฯ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 16 คน [?]



เ ร า ต่ า ง กั น แ ส น ไ ก ล

Blood A_Blood Type Series
เรียบง่าย อยู่บนเหตุและผล สันติ ยุติธรรม

ถ้าในฝันนั้น.. ฉันได้มีเธอ.. ขอนอนหลับไม่ตื่นได้ไหม..
เ ว ล า คิ ด ถึ ง ใ ค ร บ า ง ค น ม า ก ๆ อ ย า ก ดึ ง เ ค้ า อ อ ก ม า จ า ก โ ล ก แ ห่ ง ค ว า ม ฝั น แ ล้ ว ก อ ด ซ ะ !! ใ ห้ ห า ย คิ ด ถึ ง





หากวันใด อ่อนแอ ท้อแท้ ผิดหวัง ให้ลองย้อนนึกถึงวันที่เคยตะเกียกตะกาย . .



ถ้าคนๆ หนึ่ง มีอิทธิพลมากพอที่จะทำให้เรายิ้มออกมาได้โดยไม่ตั้งใจ.. มานก็ไม่แปลกเลยที่เขาสามารถทำให้เราน้ำตาไหลได้โดยไม่รู้ตัว..

Online Now




New Comments