มิถุนายน 2557

2
3
5
6
7
9
10
12
13
14
16
17
18
20
21
23
24
25
26
27
28
29
 
 
19 มิถุนายน 2557
เนรมิตอักษรา 5



บทที่ 5

ขอบเขตของเวลา


วราลีหย่อนกายบนเก้าอี้ตรงโต๊ะเขียนหนังสือหลังจากอาบน้ำอยู่ในชุดลำลองเตรียมพักผ่อน เธอครุ่นคิดถึงการหายไปอย่างไร้ร่องรอยของพระเอกหนุ่มราวกับเขาล่องหนได้


แต่เพราะกันดิศหายไปการแก้ตัวกับพ่อของเธอจึงสิ้นสุด พร้อมเก็บความคับข้องใจไว้ ขณะถูกตักเตือนในเรื่องกลับบ้านดึกกัมพลลืมช่วงเวลาที่ได้พบเจอกันดิศหมดสิ้น วราลีจึงรอดอย่างหวุดหวิดไม่ต้องแก้ตัวน้ำขุ่นๆ จนผิดศีล กลายเป็นบาปหนักหากต้องโกหกพ่อของตัวเอง


ปลายหางตาเหลือบเห็นลูกแก้วแวววาวเปล่งแสงดึงดูดความสนใจให้หยิบของสิ่งนั้นขึ้นมามองใกล้ๆ หรืออำนาจลึกลับจากลูกแก้วนี้จะอ่อนแรงกันดิศจึงถูกแก้วนาครากลืนหายไป วราลีใช้เวลาสำรวจและจดจ้องลูกแก้วนั้นพักใหญ่ เมื่อไม่เห็นสิ่งแปลกปลอมใดจึงวางของล้ำค่าลงในกล่องตามเดิม


ต้นฉบับนิยายถูกพลิกหน้ากระดาษพร้อมทวนบทบาทที่ได้เจอวันนี้รวมถึงความต้องการของตัวละคร วราลีลงมือแก้ไขสิ่งต่างๆ โดยหวังว่าความเปลี่ยนแปลงจะถูกใจตัวละครเหล่านั้นไม่มีใครตำหนิเธอได้อีก


พลันฉุกคิดถึงคำพูดของมาวิน‘เรื่องราวในงานเขียนควรมีการนำเสนอเงื่อนงำ ปรุงแต่งจุดมุ่งหมาย และเพิ่มที่มาที่ไปให้มากขึ้น’ นักเขียนสาวจึงลงมือแก้ไขผลงานตั้งแต่เริ่มแรกอีกครั้งสิ่งที่ได้เผชิญเมื่อสัมผัสผ่านสายตากับความรู้สึก ภาพและเสียงทำให้ได้ข้อมูลในการบรรยายเพิ่มขึ้นทั้งสถานที่และตัวละครถูกเพิ่มเติมรายละเอียดตามที่ต้องการ


วราลีระบายยิ้มอย่างพึงใจระหว่างขีดเขียนเพื่อแก้ไขผลงานเธอรู้สึกเพลิดเพลินและสนุกสนานไปกับการเติมแต่งตัวอักษร แต่เมื่อนึกถึงใครบางคน ความกระตือรือร้นที่เคยมีต้องหยุดชะงักลงเธอวางปากกาด้วยท่าทางครุ่นคิด เหตุใดกันดิศจึงหายไปโดยไม่บอกลาสักคำ และการที่เขาอยู่เคียงคู่กับมอเตอร์ไซค์คันใหญ่โตไม่มีทางจะหายตัวไปแบบเงียบเชียบอย่างแน่นอน


หรืองานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกรา...เรื่องราวในนิยายที่เดินทางผ่านตัวอักษรจึงมีกำหนดเวลาให้พบเจอ คิดได้ดังนั้น จิตใจก็วูบไหวหรือหลังจากนี้อาจไม่ได้เจอกับความอัศจรรย์เหล่านั้นอีกแล้ว


วราลีเกิดสำนึกผิดเมื่อคิดได้ว่าเคยพูดจาไม่ดีกับกันดิศไว้ก่อนจากกันยังตั้งแง่โกรธเคืองเขาอีกด้วย นักเขียนสาวระบายลมหายใจอย่างนึกเสียดาย หากเป็นไปได้อยากย้อนเวลากลับไปเมื่อวานอีกครั้ง


ความหดหู่ก่อเกิดจนไม่มีกะใจจะแก้ไขงานต่อเธอลุกจากเก้าอี้และก้าวขึ้นเตียงนอน อยากหลับใหล เผื่อความรู้สึกเวิ้งว้างในจิตใจจะเลือนสลายเมื่อตื่นขึ้นมาเริ่มต้นชีวิตใหม่ในวันพรุ่งนี้



=====                



‘คิดถึง...’ เสียงละมุนแผ่วเบา ปลุกความรู้สึกให้คนนอนหลับค่อยๆฟื้นคืนสติ หลุดจากห้วงนิทรา


ภวังค์สะลืมสะลือนำพาความคุ้นเคยผ่านท่วงทำนองเพลงที่ได้ยินบ่อยครั้งเสียงดนตรีลอยล่องแทรกผ่านอากาศ กลบเสียงแผ่วที่เอ่ยคำหวานเมื่อครู่นี้ แพขนตาหนากะพริบถี่ก่อนจะปรับความชัดเจนมองเพดานสีขาวภายในห้องวราลีเงี่ยหูฟังเสียงกีตาร์ที่ได้ยิน อยากรู้ว่าดังจากทิศทางใด แล้ว ‘ใคร’ เป็นผู้แต่งแต้มความสุนทรีนั่งเล่นกีตาร์แต่เช้าตรู่

สายตาพร่ามัวชำเลืองมองไปทางบานหน้าต่างแสงรำไรโรยตัวทะลุผ้าม่านจนสว่างขึ้นเรื่อยๆ ทว่าเสียงที่ตั้งใจฟังเมื่อครู่กลับเงียบกริบไปแล้วร่างผอมบางขยับเคลื่อนไหว ยืดแขนขาบิดกาย และหันไปด้านข้าง...


“ว้าย!”วราลีร้องเสียงหลงพร้อมดึงตัวเองลุกขึ้นและกระโจนลงจากเตียงอย่างรวดเร็ว แผ่นหลังบางเบียดกับตู้เสื้อผ้าด้วยจิตใจสั่นระรัวจ้องมองชายหนุ่มที่นอนยิ้มเผล่อยู่บนเตียงของเธอ


“ไงคิดถึงฉันเหรอ” กันดิศพลิกกายนอนตะแคง นำมือเท้าศีรษะมองวราลีอย่างย่ามใจนึกอยากมาก็มา นึกอยากไปก็ไป ไม่ใส่ใจเจ้าของห้องจะต้อนรับตนเองหรือไม่


หญิงสาวพ่นลมหายใจหนักและปัดความตกใจทิ้งคำถามที่เกิดขึ้นมากมายเมื่อคืนนี้ผุดพรายในความคิดอีกครั้ง เมื่อกันดิศปรากฏตัว แต่การพบเจอกับเขาทำให้โล่งใจอย่างประหลาดที่สำคัญไม่ต้องเสี่ยงเป็นตากุ้งยิง เมื่อพระเอกในนิยายสวมเสื้อผ้าเรียบร้อยทั้งท่อนบนและท่อนล่าง


“นายหายไปไหนมา”วราลียกมือรวบผมทัดใบหู ไกล่เกลี่ยความสลวยไปด้านหลังไม่ให้ปกปิดใบหน้าใสไร้การแต่งแต้มใดเธอหลุบตาลงต่ำเมื่อรู้ตัวว่ายังไม่ได้ตอบคำถามก่อนหน้านี้ ‘คิดถึงฉันเหรอ’ ออกไป


“เงื่อนไขของเวลา”กันดิศตอบ


“เงื่อนไข?”หรือจะเป็นอย่างที่คิดไว้ เรื่องราวระหว่างโลกตัวอักษรจำเป็นต้องมีกฎเกณฑ์ซึ่งเธอไม่อาจล่วงรู้เงื่อนไขเหล่านั้นแววตาประหลาดใจมองทางกันดิศที่ขยับลุกขึ้นจากเตียงนอน และเดินมาหยุดยืนเบื้องหน้า


“เวลาของฉันจะหมดลงตอนเที่ยงคืนของทุกวันแล้วจะกลับมาหาเธอได้อีกครั้งในตอนเช้า” คำอธิบายของกันดิศทำให้วราลีนึกคิดตาม


ท่าทางรีบร้อนของกันดิศเมื่อวานนี้ตั้งแต่เขานำพาเธอไปหาศีตลา ศึกษาและเรียนรู้เรื่องฉากกับสถานที่ ทำความรู้จักกับมาวินและส่งเธอยังหน้าบ้านจนหายตัวในที่สุด ทุกอย่างล้วนเกิดจากเงื่อนไขของเวลา แม้จะรู้สึกมึนงงอยู่บ้างแต่ยังดีกว่ากันดิศจากไปและไม่กลับมาหาเธออีก


วราลีชำเลืองมองนาฬิกาที่ติดข้างฝาผนัง“นายจะอยู่ในโลกนี้ได้ตอนหกโมงเช้า แล้วจะหายตัวไปตอนเที่ยงคืน ฉันเข้าใจถูกต้องหรือเปล่าและจะเป็นแบบนี้ทุกคืนไหม” วราลีมองคนตัวสูงกว่าอย่างถามไถ่คงไม่เฉพาะเขาที่เลือนสลายไป แม้แต่รถมอเตอร์ไซค์และหมวกกันน็อกที่เธอสวมใส่ก็หายไปด้วยเช่นกันนักเขียนสาวไม่ทันเอะใจ มัวแต่คิดหาเหตุผลว่าทำไมกันดิศจึงหายไป และจะกลับมาอีกไหมเพียงเท่านั้น


“อืมตามนั้น” กันดิศตอบพร้อมจ้องมองวราลีนิ่งๆ ทว่าในนัยน์ตาสีถ่านคู่นั้นกลับมีประกายหวาดหวั่นเกิดความรู้สึก ‘กลัว’ ว่าสักวันเขาอาจไม่ได้กลับยังโลกแห่งนี้อีก


ร่างบอบบางขยับกายเคลื่อนไหวไม่อยากให้ความเงียบยึดครองพื้นที่ แต่เมื่อขยับหนี กันดิศก็ขยับตามราวกับกลั่นแกล้งขวางทางและจับความรู้สึกของเธอ


“เธอยังไม่ได้ตอบคำถามของฉัน”น้ำเสียงราบเรียบแต่แฝงไว้ซึ่งความจริงจังจนคนถูกถามอึกอัก พยายามหาทางหลบเลี่ยงจากคำถามคาดคั้นนั้น


“ทำไมฉันต้องคิดถึงตัวละครที่เข้ามาปั่นป่วนในชีวิตฉันด้วยไหนจะเรียกร้องให้แก้โน่นนี่นั่นในต้นฉบับ และยังแกล้งให้ฉันกลัวจนเกือบช็อกตาย เดี๋ยวจะมีอะไรออกจากนิยายมาทำให้ปวดหัวอีกหรือเปล่าก็ไม่รู้”วราลีเสมองทางอื่น ไม่ใส่ใจกันดิศที่ยักไหล่ทำไม่รู้ไม่ชี้กับประโยคพูดจาของเธอ


“จะกลัวอะไรในเมื่อเธอคุมชะตาชีวิตของพวกฉันเอาไว้ แล้วอีกอย่าง นิยายของเธอก็แค่แนวรักหวานแหววไม่ใช่นิยายสยองขวัญหรือแฟนตาซีหลุดโลก ที่มีตัวประหลาด ปีศาจ ฆาตกรโรคจิตซะหน่อย”


วราลีรู้สึกขนพองไปทั้งตัวเมื่อได้ยินเช่นนั้นยังนับว่าโชคดีแค่ไหนที่นิยายของเธอเป็นแค่แนวรักโรแมนติกไม่ใช่อย่างที่กันดิศยกตัวอย่างไว้ หากเป็นเช่นนั้นจริง คงได้เผาผลงานทิ้งก่อนที่ตัวประหลาดทั้งหลายจะออกมาเดินเพ่นพ่านในโลกชีวิตจริง


‘‘กุ้งแห้งเสียงเรียกชื่อทำให้ชายหญิงทั้งสองมองไปทางประตูห้องอย่างพร้อมเพรียงเมื่อจำได้ว่าเป็นเสียงของพ่อ วราลีจึงหันกลับมามองกันดิศอีกครั้งอย่างกระตือรือร้นและดึงให้เขาหาที่หลบซ่อนในเมื่อพ่อของเธอยังไม่รับรู้ถึงการมีตัวตนของพระเอกในนิยาย เธอก็อยากให้พ่อเข้าใจอย่างนั้นต่อไป


“จ้ะพ่อ!หนูกำลังจะออกไป” วราลีกระวีกระวาดเปิดหน้าต่างห้องให้กันดิศปีนออกไปหลบอยู่ด้านนอกสักพัก


“เฮ้!จะทำอะไรฉัน” เสียงห้าวร้องถาม


“หลบตรงนี้ก่อนเดี๋ยวฉันกลับมา”


“นี่เธอจะบ้าหรือไงให้ฉันยืนตากแดดถ้าความร้อนทำฉันหลอมละลาย เธอจะรับผิดชอบยังไง” กันดิศบ่นอุบระหว่างปีนออกไปตามคำสั่งแม้วราลีจะลังเลอยู่บ้าง แต่วิธีนี้คงดีที่สุดในเวลากระชั้นชิดอย่างนี้


“เถอะน่ารับแดดตอนเช้าได้วิตามิน ขนาดฉันยังทนทานกับแสงแดดได้ ผิวหนังของนายคงไม่บอบบางไปกว่าฉันหรอกนะ”กล่าวจบ วราลีก็ปิดหน้าต่างมิดชิดและเดินไปเปิดประตู


“มีเพื่อนมาหารออยู่หน้าบ้าน” กัมพลพูดด้วยท่าทางงัวเงีย เพราะเขาเองก็ถูก ‘เพื่อน’ ของลูกสาวปลุกให้ตื่นจากหลับใหลเมื่อส่งข่าวเรียบร้อย กัมพลจึงเดินกลับไปนอนต่อในมุมของเขา


วราลีนึกเอะใจ‘เพื่อนมาหา’ ตามคำบอกกล่าวของพ่อหรือจะเป็นนิสาแวะเวียนมาเยือน แต่จะเป็นไปได้อย่างไร ในเมื่อเพื่อนสนิทของเธอเดินทางไปต่างประเทศและยังไม่ถึงกำหนดกลับด้วยซ้ำ สีหน้าหวานส่อแววประหลาดใจชำเลืองมองพ่อของเธอที่กำลังทิ้งตัวลงบนฟูกที่นอนไม่อยากเซ้าซี้กวนใจ แต่คงไม่ปล่อยให้ความสงสัยคาใจ วราลีจึงเดินไปหน้าบ้านเพื่อดูให้รู้ว่าใครมาหาเธอ


“นึกว่าจะปล่อยให้คอยเป็นชั่วโมงยืนจนน่องเกือบจะโป่งหมดแล้ว”น้ำเสียงหวานประชดประชันพร้อมผลักประตูมุ้งลวดเดินเข้าด้านใน ปล่อยให้เจ้าของบ้านนิ่งค้างราวกับถูกคำสาปเกิดคำถามผุดพราย


‘ศีตลามาได้อย่างไรและมาด้วยสาเหตุใด หรือหล่อนต้องการแก้ไขต้นฉบับเพิ่มเติม’วราลีพยายามหาคำตอบ เมื่อดึงสติกลับมาได้เธอจึงหันหาศีตลาที่เดินลิ่วเข้าห้องส่วนตัวอย่างถือวิสาสะ


ปิดประตูมุ้งลวดถูกปิดสนิทนักเขียนสาวเหลือบมองกัมพลอย่างหวาดระแวง เกรงว่าเขาอาจสงสัยในความแปลกหน้าของหญิงสาวผู้มาเยือนทว่าพ่อยังนอนหันหลังไม่ใส่ใจโลก เธอจึงหายใจทั่วท้องก่อนก้าวเข้าห้องเพื่อซักถามเหตุผลกับผู้มาเยือน


วราลีจ้องมองตัวละครสาวนั่งเชิดหน้าชูคอราวกับนางพญาบนเตียงนอนของเธอชุดนักศึกษารัดรูปมองเห็นทรวดทรงองค์เอว เนินอกอวบอิ่มเมื่อมองผ่านรอยต่อของเสื้อระหว่างกระดุมที่เผยอออกจนแทบปริ


“เธอรู้จักบ้านฉันได้ไง”วราลีตั้งคำถามเมื่อละสายตาจากหุ่นอวบอิ่มอย่างนึกขวยเขิน ในเมื่อการแก้ไขต้นฉบับได้ผลจริงตามที่หล่อนต้องการก็ไม่น่ามีปัญหาใดให้ศีตลาเดินทางมาถึงที่นี่ หรือเหตุผลสำคัญกว่านั้นคือ ‘กันดิศ’น้ำเสียงหนักแน่นที่เคยป่าวประกาศสะท้อนดังในใจ‘ฉันจะไม่ยอมให้เธอแย่งกันดิศไป ฉันจะทวงผู้ชายของฉันคืน’


“ก็ไม่เห็นยาก ในเมื่อต้นฉบับที่ฉันเป็นนางเอกอยู่ที่นี่ทำไมฉันจะมาไม่ถูก” ศีตลายกมือกอดอกเชิดหน้า ปลายหางตามองนักเขียนสาวอย่างไม่เป็นมิตรใจจริงหล่อนก็อยากเอ่ยขอบใจที่วราลีเปลี่ยนแปลงต้นฉบับจนได้ในสิ่งที่ต้องการทว่าช่างยากเย็นเหลือเกินเมื่อความหยิ่งผยองค้ำคอ ศีตลาขยับกายปัดไรผม เน้นให้เห็นเนินอกและสัดส่วนที่เปลี่ยนแปลง


“เธอจะมาขอบใจที่ฉันแก้ไขต้นฉบับให้เหรอ”วราลีถาม


“ก็ส่วนหนึ่งแต่แค่นิดเดียวนะ เรื่องพวกนั้นมันไม่ได้เป็นสาระสำคัญสำหรับฉันเท่าไร”ศีตลายังคงเชิดหน้าและ ปลายหางตามองผู้สร้างหล่อนอย่างอวดดี “แต่ที่สำคัญ ฉันมาหาพี่กันตอนนี้เขาอยู่ไหน?” นางเอกสาวกวาดตามองไปรอบๆ ก่อนจะขยับลุกขึ้นเพื่อสำรวจทุกซอกมุมของห้องนี้หล่อนเปิดตู้เสื้อผ้า ส่องดูในห้องน้ำ ก้มมองใต้เตียง พยายามตามหาพระเอกในนิยาย


“เธอคิดว่าฉันซ่อนเขาไว้งั้นเหรอเราสองคนไม่ได้เป็นชู้กันนะ ไม่จำเป็นที่กันดิศต้องหลบซ่อนขนาดนั้น” วราลีลอบถอนใจและต้องเม้มปากหนักเมื่อนึกขึ้นได้ เขาซ่อนตัวอยู่จริง แต่เพื่อหลบให้พ้นจากพ่อของเธอ


“ถ้าเธอไม่ได้ซ่อนเขาไว้แล้วตอนนี้พี่กันอยู่ไหน” ศีตลากล่าวเสียงขุ่น ส่งสายตาเขียวปั้ดมองวราลีอย่างขัดใจ


“งั้นก็หาเขาให้เจอแล้วกันถ้าคิดว่าเขาอยู่ในนี้” นักเขียนสาวปัดความรำคาญ ไม่อยากใส่ใจใครหน้าไหนเธอคว้าผ้าขนหนูเตรียมตัวอาบน้ำ ปล่อยให้พระนางในนิยายตามหากันเอง


ทว่ายังไม่ทันได้เข้าห้องน้ำสมใจศีตลาก็คว้าแขนและกำบีบไว้แน่นจนวราลีต้องสะบัดออกอย่างแรง ทว่านางเอกสาวยังตามเหนี่ยวรั้งไม่เลิก


“ฉันจะไม่ปล่อยเธอไปไหนจนกว่าจะเจอพี่กันของฉัน”ศีตลาขึงตาดุระหว่างกำบีบข้อมือของวราลีที่พยายามขืนแรง


“ปล่อยฉันนะ”นักเขียนสาวข่มใจสงบสติอารมณ์ และยื้อแขนตัวเองกลับมา


“ไม่ปล่อย!”ศีตลายิ้มเยาะพร้อมลอยหน้าลอยตากวนประสาท “อยากให้ปล่อยก็เอาพี่กันคืนมาสิ”


ระหว่างสองสาวกำลังยื้อยุดกันนั้นพระเอกหนุ่มเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด จึงตัดสินใจยุติปัญหาที่อาจตามมาในไม่ช้าหากศีตลาไม่ได้ในสิ่งที่ต้องการ หล่อนคงวีนและเหวี่ยงใส่วราลีไม่เลิก


“เธอมาทำอะไรที่นี่”เสียงแหบห้าวส่งผลให้หญิงสาวทั้งสองผละห่างจากกันโดยอัตโนมัติศีตลาอึกอักและปรับสีหน้าเป็นยิ้มแย้ม สาวเท้าเข้าหาพระเอกในนิยาย


“พี่กันไปยืนทำอะไรตรงนั้นคะไม่ร้อนหรือไง แดดข้างนอกแรงออกค่ะ” ศีตลาถือวิสาสะเปิดมุ้งลวดหน้าต่างและโปรยยิ้มหวานเคลือบน้ำตาลให้กับชายหนุ่มที่ตีหน้านิ่งมองหล่อนอย่างต้องการคำตอบในสิ่งที่ถามไปเมื่อครู่นี้ “เข้ามาก่อนค่ะ ศีอยากคุยด้วยศีคิดถึงพี่กันมากนะคะ”


บทคู่รักถามไถ่ระหว่างกันทำให้วราลีถึงกับพ่นลมหายใจเหนื่อยหน่ายอย่างนี้นี่เอง ‘การเล่นละครตบตา’ เธอส่ายศีรษะระหว่างเปิดตู้เสื้อผ้าหยิบของใช้ส่วนตัวและเดินเข้าห้องน้ำเพื่อทำภารกิจปล่อยให้พระนางในนิยายได้พูดคุยตามประสาคนรักต่อไป



===== 



เวลาผ่านไปครึ่งชั่วโมงวราลีเดินออกจากห้องน้ำด้วยความสบายตัว พร้อมเพรียงในชุดเสื้อยืดสีฟ้าอ่อนกางเกงยีนส์ทะมัดทะแมงผมสลวยถูกปล่อยสยายและเสยลวกๆ เดินมาหยุดตรงหน้าโต๊ะเครื่องแป้งความเงียบวังเวงทำให้ฉุกคิด ‘พระนางในนิยายหายไปไหน’


นักเขียนสาวหยิบหวีแปรงขึ้นสางผมดวงตาคมเข้มมองผ่านกระจกสะท้อนเงาหาตัวละครของเธอ หรือสองคู่รักจะกลับดินแดนแห่งตัวอักษรไปแล้วเธอคิดในแง่ดี แต่เมื่อความคิดส่วนร้ายมีมากกว่า หัวใจเกิดกระตุกวูบเมื่อนึกถึงความลับที่อาจรั่วไหลหากพระนางในนิยายเกิดซุกซนเดินออกจากห้องและเจอพ่อของเธอ คิดได้ดังนั้น นักเขียนสาวจึงวางมือจากทุกสิ่งและสาวเท้าเดินออกจากห้องอย่างรวดเร็ว


ร่างผอมบางหันซ้ายแลขวามองหาใครสักคนในบ้านหลังนี้ ทว่าปราศจาก ‘ใคร’ ที่กำลังตามหารวมถึงพ่อของเธอด้วย แต่แล้ววราลีก็ระบายลมหายใจอย่างโล่งอกเมื่อเห็นกันดิศและศีตลายืนห่างจากประตูรั้วหน้าบ้านของเธอเล็กน้อย พระเอกหนุ่มยืนหันหลังพิงรถสีแดงกอดอกมองต่ำ รับฟังในสิ่งที่นางเอกสาวกำลังพูดจาคงปรับความเข้าใจเกี่ยวกับปัญหาบางอย่าง ทั้งสองคู่รักไม่ได้กลับโลกนิยายอย่างที่เข้าใจ


จะมีก็แต่พ่อของเธอที่หายไปวราลีกวาดตามองทางอื่น เห็นหลังของชายวัยกลางคนกำลังเดินไปทางหน้าปากซอย เขาคงหากาแฟดื่มเฉกเช่นทุกวันวราลีคิดก่อนหมุนตัวกลับเข้าบ้านอีกครั้ง


กระเป๋าสตางค์สีดำใบเหมาะมือถูกหยิบใส่กระเป๋ากางเกงด้านหลังเธอคว้าต้นฉบับนิยายกับดินสอสีถือไว้แนบอก เดินออกจากห้องพร้อมงับประตูปิดไว้


“ออกไปทำงานรึ”


“อ้าวพ่อ! ทำไมกลับมาไวจังเมื่อกี้เห็นเดินไปหน้าปากซอยไม่ใช่เหรอ” วราลีมองตามพ่อของเธอที่เดินสวนเข้ามาในบ้านและทรุดกายนั่งกองกับพื้นอย่างอ่อนแรงกัมพลนั่งพิงกำแพงพร้อมชันเข่าและนำมือกุมขมับ สีหน้าไม่สู้ดี “มีอะไรหรือเปล่าจ๊ะทำไมดูเครียดๆ หรือไม่สบาย”


“ปวดหัว คล้ายจะเป็นลมเลยกลับมานั่งพัก”


“เป็นอะไรมากไหม”วราลีมองพ่อของเธอด้วยแววตาห่วงใยระหว่างยอบกายนั่งลงด้านข้าง เธอยกมืออังหน้าผากวัดอุณหภูมิในร่างทว่าปกติ ร่างกายของเขาไม่ร้อนจนปรอทแตกและไม่เย็นเยือกอย่างน้ำแข็งขั้วโลก แต่ลูกสาวกลับกังวลในอาการน่าเป็นห่วงนั้นแม้กัมพลจะชอบดื่มสุราเป็นชีวิตจิตใจ แต่ไม่เคยสักครั้งที่เขาจะล้มป่วยหรือมีอาการเช่นนี้มาก่อน


“หากได้กินเหล้าสักหน่อยคงหาย”กัมพลกล่าวพร้อมส่งสายตาเว้าวอนให้ลูกสาว


ความห่วงใยที่มีก่อนหน้านี้ถูกทำลายสิ้นวราลีมองพ่อของเธอตาเขม็ง รู้สึกฉุนเฉียวอย่างกะทันหัน


“ที่แท้ก็ไม่มีเงินกินเหล้าไม่ต้องตีหน้าเศร้านะพ่อ หนูไม่ให้เด็ดขาด” กล่าวจบ เธอก็หยิบข้าวของที่วางกองกับพื้นลุกขึ้นด้วยอารมณ์ขัดใจ


“แกไม่สงสารพ่อเหรอกุ้งแห้งมันเปรี้ยวปาก ครั่นเนื้อครั่นตัวไปหมด”


วราลีพ่นลมหายใจพร้อมกรอกสายตาขึ้นสูง‘เหนื่อยหน่าย’ กี่ครั้งกี่หนที่กัมพลทำให้เธอยอมใจอ่อน และเมื่อแข็งข้อเขาก็ประท้วงด้วยการค้นหาเงินที่เธอซุกซ่อนไว้ในห้องนอน นำไปซื้อสุราจนหมดเกลี้ยง หลังจากนี้ต่อให้ถูกกล่าวหาว่าใจร้ายใจดำ คงต้องยอมให้เป็นอย่างนั้นเพื่อสุขภาพของพ่อและเงินทองที่ต้องเก็บหอมรอมริบเพื่อใช้จ่ายในครอบครัว


“หนูขอโทษที่อกตัญญู”วราลีสาวเท้าออกจากบ้านอย่างรวดเร็ว ไม่ใจอ่อนให้กัมพลนำเงินไปซื้อความมัวเมาในฤทธิ์สุรา


เมื่อเดินพ้นขอบเขตบ้านหางตาก็เห็นตัวละครของเธอยืนเคียงข้างกระหนุงกระหนิง เกิดรู้สึกหมั่นไส้ขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุเธอจึงยกต้นฉบับขึ้นและเขียนตัวอักษรลงไป


-ศีตลา...เธอจงไปให้พ้นหน้าฉันเดี๋ยวนี้- เขียนจบวราลีก็เหล่มองทั้งคู่ก่อนปั้นปึงเดินจากไป ไม่ใส่ใจหรือรอชมผลงานว่านางเอกสาวจะหายไปจากสายตาอย่างที่เขียนในต้นฉบับหรือไม่สองเท้าก้าวฉับๆ ให้พ้นจากภาพขัดหูขัดตา


“พี่กันคิดถึงศีบ้างหรือเปล่า” กันดิศมองตามหลังหญิงสาวอีกคนที่เดินปั้นหน้าบึ้งตึงไม่ทราบว่านักเขียนสาวของเขาไปกินรังแตนที่ใดมา ในเมื่อเขากับศีตลาก็ไม่อยู่ขวางหูขวางตาเสียหน่อย


เพียงไม่นานความผิดปกติก็เกิดขึ้น“พี่กานนน ศะ ศี ถามมม ทำมายยย ม่ายยย ตอบบบ” เสียงใสยืดยาวราวกับเทปหมดอายุกันดิศหันมองศีตลาที่เคยกอดแขนเขาไว้ ร่างกายของหล่อนค่อยๆ เลือนสลาย ล่องลอยหายไปกับสายลม


พระเอกหนุ่มหลุดขำและมองทางวราลีอีกครั้งเธอคงทำบางอย่างกับต้นฉบับ ศีตลาจึงเลือนสลายอย่างนี้



===== 



รถโดยสารจอดสนิทยังป้ายรถประจำทางร่างบอบบางก้าวลงจากรถและเดินต่อยังทางเขาคอนโดหรูหราวราลีมองตึกสูงตระหง่านกว่ายี่สิบชั้น พลางนึกในใจ ตั้งแต่ได้เจอเรื่องอัศจรรย์ในนิยายเธอก็ลืมคนรักไปเสียสนิทแม้บางจังหวะอาจเห็นกันดิศเป็นศาสวัตรอยู่บ้างจนความคุ้นเคยซึมซับผ่านความรู้สึกอย่างง่ายดาย


แต่ขณะนี้เธอว้าเหว่จึงนึกถึงศาสวัตรขึ้นมา...


วราลีหยิบกระเป๋าสตางค์ขึ้นค้นหาคีย์การ์ดที่ศาสวัตรเคยให้ถือครองไว้เผื่อวันใดเธออยากมาหาเขาที่คอนโดแห่งนี้จะได้สะดวก ทว่าค้นหาเท่าไรกลับไม่เจอคีย์การ์ดนั้นวราลีได้แต่ภาวนาขอให้ศาสวัตรพักอยู่ภายในคอนโดวันนี้


ลิฟต์เคลื่อนที่จากโถงล็อบบี้สู่ชั้นบนของคอนโดสูงแสงไฟสีส้มสว่างไล่เลขชั้นจนหยุดนิ่งยังปลายทาง ร่างบางก้าวออกจากลิฟต์และเดินต่อยังห้องของศาสวัตรทันทีพลันฉุกคิดได้เมื่อค้นหาบางอย่างไม่พบ ช่วงนี้สมองเลอะเลือนหรืออย่างไร จึงหลงลืมโทรศัพท์มือถือทุกครั้งที่ออกจากบ้านคงเพราะอารมณ์หงุดหงิดชั่ววูบทำให้ลืมทุกอย่างหมดสิ้น


บานประตูหนาถูกเคาะเป็นจังหวะส่งสัญญาณให้คนด้านในรับรู้ถึงการมาเยือน ทว่าไม่มีการตอบรับใดหรือศาสวัตรจะไม่อยู่ในห้องเวลานี้ วราลีระบายลมหายใจเหนื่อยล้าพร้อมหมุนตัวกลับและเดินคอตกกลับไปที่หน้าลิฟต์


วันนี้คงไม่ได้พบกับศาสวัตรเขาคงมีธุระเดินทางไปที่อื่น วราลีเชื่ออย่างนั้น


นักเขียนสาวเดินออกจากลิฟต์เมื่อลงมาถึงโถงล็อบบี้ของคอนโดและหยุดยืนอยู่หน้าตึกสูง สายตาทอดมองไปตามท้องถนน นึกคิดถึงสถานที่ซึ่งอยากไปนั่งเล่นเพื่อฆ่าเวลาเบื่อหน่ายแต่แล้วหางตาก็เห็นรถยนต์คันหรูหราซึ่งคุ้นชิน


‘พี่ศาส’ วราลีพึมพำกับตัวเองเมื่อเห็นศาสวัตรขับรถยนต์คันนั้น และมีหญิงสาวอีกคนนั่งอยู่ด้านข้าง...



To be continued...





Create Date : 19 มิถุนายน 2557
Last Update : 19 มิถุนายน 2557 12:55:02 น.
Counter : 530 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

มาโซคิส
Location :
กรุงเทพฯ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 16 คน [?]



เ ร า ต่ า ง กั น แ ส น ไ ก ล

Blood A_Blood Type Series
เรียบง่าย อยู่บนเหตุและผล สันติ ยุติธรรม

ถ้าในฝันนั้น.. ฉันได้มีเธอ.. ขอนอนหลับไม่ตื่นได้ไหม..
เ ว ล า คิ ด ถึ ง ใ ค ร บ า ง ค น ม า ก ๆ อ ย า ก ดึ ง เ ค้ า อ อ ก ม า จ า ก โ ล ก แ ห่ ง ค ว า ม ฝั น แ ล้ ว ก อ ด ซ ะ !! ใ ห้ ห า ย คิ ด ถึ ง





หากวันใด อ่อนแอ ท้อแท้ ผิดหวัง ให้ลองย้อนนึกถึงวันที่เคยตะเกียกตะกาย . .



ถ้าคนๆ หนึ่ง มีอิทธิพลมากพอที่จะทำให้เรายิ้มออกมาได้โดยไม่ตั้งใจ.. มานก็ไม่แปลกเลยที่เขาสามารถทำให้เราน้ำตาไหลได้โดยไม่รู้ตัว..

Online Now




New Comments