Group Blog
 
All blogs
 

วิธีป้องกันสิวจ้า

วิธีป้องกันสิวจ้า




1. ล้างหน้าวันละสองครั้ง โดยเฉพาะเวลากลางคืนยิ่งต้องเน้นให้มาก เพื่อกำจัดความมันและเมคอัพให้หมดเกลี้ยงเกลาจริงๆ

2. ลอกหน้า มาส์กหน้าเป็นประจำ เพื่อกำจัดผิวภายนอกที่ตายแล้ว เพราะต่อให้คุณล้างหน้าดีแค่ไหนก็มักมีส่วนของผิวที่ตายแล้ว ที่การล้างหน้าธรรมดากำจัดออกได้ไม่หมด

3. อย่าเข้าใจผิดว่าสาวผิวมันไม่ต้องใช้ครีมบำรุง moisturizer ต่างๆ นะคับ เพียงแต่ให้เลือกใช้ balanced moisturizer จะไม่ทำให้เกิดสิว

4. เวลาไปเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ประทินผิว ต้องมองหาผลิตภัณฑ์ประเภท noncomedogenic หรือ nonacnegenic ซึ่งหมายความว่าเมื่อเราเอามาทาบนใบหน้าแล้ว จะไม่ให้อุดตันรูขุมขนจนเกิดการสั่งสมและเกิดสิวเสี้ยนในที่สุดไง

5. อย่าใช้นิ้วไปแตะหรือเอามือไปบีบสิวเสี้ยนตลอดเวลา ต่อให้มันจะนอนด์แค่ไหนก็ตาม เพราะน้ำมันจากมือคุณจะยิ่งไปเร่งให้แบคทีเรียบริเวณนั้นขยายวงกว้างออกไป จนอาการหนักยิ่งขึ้น ไปกระตุ้นให้เกิดการอักเสบและเพิ่มปริมาณสิวกันไปใหญ่ ที่สำคัญการล้วง แคะ แกะ เกานี้เป็นสาเหตุของการเกิดแผลเป็นตัวดีเลย

6. พยายามใช้เครื่องสำอางค์ประเภท water-based กันนะ มองหาผลิตภัณฑ์ที่มีเขียนไว้ข้างกล่องว่า oil-free

7. การใช้สเปรย์ฉีดผมและเจลจัดแต่งทรงผมก็เป็นสาเหตุที่ใครๆ อาจคิดไม่ถึง เพราะผลิตภัณฑ์จัดแต่งทรงผมต่างๆ มักมีส่วนประกอบของ oil อยู่ ซึ่งทำให้เกิดสิวเสี้ยนได้ ดังนั้น เวลาใช้ให้ระวัง อย่าให้สเปรย์หรือเจลมาโดนหน้า

8. อย่าปล่อยให้ผิวหน้าต้องเผชิญกับแดดแรงๆ บ่อยๆ ต่อให้คุณใช้ครีมกันแดดป้องกันแล้วก็ตาม ถ้ารู้ตัวว่าต้องไปออกแดดก็พยายามกางร่มหรือหาหมวกปีกกว้างใส่สักหน่อย จะช่วยได้เยอะขึ้นอีกขั้น ถ้าผิวหน้าดีแล้วจะมีส่วนช่วยป้องกันสิวไปในตัวค่ะ เพราะแสงแดดเป็นตัวเพิ่มปริมาณผิวที่ตาย ทำให้มีการอุดตันของสิวมากขึ้นตามมา

ขอบคุณเนื้อหาดีดีจาก spicy งับ




 

Create Date : 12 กันยายน 2551    
Last Update : 12 กันยายน 2551 23:04:44 น.
Counter : 486 Pageviews.  

10 วิธี ทำร้ายผิวสวย

10 วิธี ทำร้ายผิวสวย


เป็นเรื่องธรรมดาๆ ปกติของชีวิตประจำวันที่เราทุกคนต้องประสบ แต่ละวัน หรือแต่ละกิจกรรมในชีวิตนั้น มีส่วนต่างๆ มากมายที่ทำให้ผิวพรรณของเรานั้นหม่นหมอง เมื่อเดือนสิงหาคม นิตยสารมาดาม ฟิกาโร ได้นำบันทึกเหตุการณ์ที่ทำร้ายผิวสวยของสาวมาเผยแพร่ เห็นว่าเป็นเรื่องไม่ควรมองข้าม จึงนำมาบอกต่อคับ



1. การใช้โทรศัพท์มือถือก่อนนอน ศาสตราจารย์ Bengt Arnetz จาก Wayne State University สหรัฐอเมริกา ศึกษาพบว่าจะรบกวนความสามารถในการนอนหลับของคุณ เนื่องจากสัญญาณที่ถูกส่งออกมาจะกระตุ้นให้สมองตื่นตัว และทำให้นอนหลับได้ยาก ส่งผลต่อผิวพรรณละเอียดอ่อนบริเวณใต้ตาของคุณ และที่อันตรายมากที่สุดคือ เกิดความเครียด ซึ่งมีผลกระทบโดยตรงต่อผิวพรรณ วิธีแก้ง่ายมากคือ ไม่ควรคุยโทรศัพท์ก่อนนอนอย่างน้อย 1 ชั่วโมง หรือใช้โทรศัพท์บ้านซึ่งมีสัญญาณรบกวนน้อยกว่าแทน

2. การล้างหน้าด้วยน้ำเปล่า เพราะการใช้น้ำประปาล้างหน้าเป็นประจำจะทำให้ผิวหน้าได้รับสารพิษต่างๆ ได้แก่ เหล็ก ทองแดง ตะกั่ว ฯล ฯ ที่สำคัญในแต่ละวัน ผิวหน้าของคุณต้องพบกับมลภาวะต่างๆ เรียกว่าสกปรกเกินกว่าจะทำความสะอาดได้ด้วยน้ำเปล่าธรรมดาอย่างแน่นอน วิธีที่ถูกต้อง ทุกครั้งที่ล้างหน้าควรใช้เคลนเซอร์ และโลชั่นปรับสภาพผิวเป็นประจำ เพื่อให้ผิวสะอาดสดใหม่เสมอ

3. หงุดหงิดโมโหง่าย คนเราเมื่ออายุมากขึ้น ปอดจะเริ่มอ่อนแรงลง ดังนั้น การอารมณ์เสียเมื่ออายุมากขึ้น ปอดจะทำงานหนักมากขึ้นไปด้วย และถ้าการหายใจขัดข้อง ผิวพรรณก็จะหมองหม่นไม่สดใส สิ่งที่ควรทำคือ ใช้สติ นับ 1-100 ในใจช้าๆ เพื่อคลายอารมณ์ลง

4. ทำงานเครียด ประมาณ 35% ของพนักงานในออฟฟิศ ทำงานเครียดอย่างไม่น่าเชื่อ ซึ่งส่งผลต่อผิวโดยตรง ทั้งนี้ เพราะวัยของสาวทำงานขึ้นอยู่กับเซลล์ชนิดหนึ่งในร่างกายที่เรียกว่า Telomeres ยิ่งเซลล์ชนิดนี้มีจำนวนน้อยเท่าไหร่ ทำให้ยิ่งดูอ่อนกว่าวัยมากเท่านั้น ดังนั้น ต้องอย่าทำงานด้วยความเครียด พร้อมสร้างมิตรภาพกับเพื่อนในที่ทำงาน

5. ระบบย่อยอาหาร เคยได้ยินไหมที่เขาบอกว่าภายในกระเพาะอาหารมีแบคทีเรียที่มีประโยชน์อยู่ด้วย ซึ่งช่วยระบบย่อยอาหารให้ทำงานอย่างสมบูรณ์ ถ้าแบคทีเรียลดลง ระบบย่อยก็จะติดขัด เรียกว่าความไม่สมดุลของร่างกาย อันจะส่งผลต่อผิวพรรณให้มองดูหม่นหมองไม่สดใส เพราะของเสียที่ถูกเก็บอยู่ในร่างกายไม่ได้รับการขจัดออกไป ที่อยากแนะนำคือ ควรจะดื่มนมเปรี้ยวหรือโยเกิร์ตเป็นประจำ หรือผลไม้ที่จำเป็นต่อระบบการย่อยอาหารอย่าง กล้วย มะละกอ ฯลฯ ซึ่งผลไม้เหล่านี้จะช่วยเพิ่มจำนวนแบคทีเรีย ทำให้กระเพาะทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ

6. แสงแดดส่องกระทบ สามารถทำลายชั้นผิวได้อย่างแนบเนียน โดยที่คุณอาจไม่รู้ตัวเลย อาจจะไม่ดำทันตา แต่เชื่อเถอะว่าในอนาคตหนีไม่พ้นแน่นอน สิ่งที่ควรทำคือ เลือกครีมกันแดด ทั้งแบบที่มี UVA และ UVB ควรบีบครีมออกมาประมาณ 1 ข้อนิ้วมือ แล้วค่อยๆ ไล้ลงบนผิวให้ทั่ว

7. การดื่มน้ำอัดลม ซึ่งส่งผลต่อผิวฟันของเรา ถ้าดื่มในปริมาณมากเกินไป อาจส่งผลร้ายต่อกระเพาะและระบบย่อยอาหาร เมื่อระบบการย่อยไม่ดี ผิวของคุณก็ดูเสื่อมคุณภาพ ยิ่งบวกกับผิวฟันที่ถูกทำลายก็ยิ่งทำให้คุณดูแก่ก่อนวัย ทางแก้คือ ควรดื่มน้ำสะอาดในปริมาณที่มากกว่าตามหลังการดื่มน้ำอัดลม เพื่อช่วยสร้างสมดุลให้กับร่างกาย

8. แปรงฟันให้สะอาด การแปรงฟันมิได้แค่ปกป้องสุขภาพฟันและป้องกันกลิ่นปากของคุณเท่านั้น แต่เกี่ยวเนื่องถึงระบบการย่อยอาหาร และระบบทางเดินอาหาร เพราะแบคทีเรียในช่องปากมีส่วนที่จะทำให้สุขภาพร่างกายของเราดีหรือไม่ดี ซึ่งก็กระทบอย่างเป็นลูกโซ่กับผิวพรรณด้วยค่ะ

9. การซิทอัพ หากเราไม่ซิทอัพ จะทำให้กล้ามเนื้อหน้าท้องไม่แข็งแรง ซึ่งมีผลสำคัญต่อระบบย่อยอาหาร ทำให้ผิวของคุณไม่สดใส อีกทั้งจากการศึกษาพบว่าการซิทอัพจะช่วยลดอัตราเสี่ยงของการเกิดโรคกระดูกพรุนในวัยที่มากขึ้น สาวๆ จึงควรซิทอัพเป็นประจำทุกวัน วันละ 10-20 ครั้ง เพื่อประสิทธิภาพที่ดีของระบบย่อยอาหาร และถ้าใครอยากได้ผลสูงสุด ต้องซิทอัพบนลูกบอลฟิตเนส จะทำให้คุณแข็งแรงอย่างรวดเร็วทีเดียว

10. มื้อเช้าและการย่อย จริงอยู่ที่มื้อเช้าคือมื้อสำคัญ แต่ทว่าตลอดคืนที่ผ่านมาระหว่างนอนหลับร่างกายของเราได้ทำการขจัดสารพิษต่างๆ ออกจากร่างกายสม่ำเสมอ เพื่อให้ร่างกายสะอาด และมีผิวพรรณผ่องใส ดังนั้น ช่วงเช้าจึงควรปล่อยให้ร่างกายได้พักผ่อน ด้วยการรับประทานผลไม้สดๆ แทนมื้อเช้าที่หนักและอิ่มอย่างที่เคยทำ




งั้นเรามาทำให้ผิวดีๆกันดีกว่า

เครดิต //www.dek-d.com/board/view.php?id=1153775




 

Create Date : 10 กันยายน 2551    
Last Update : 10 กันยายน 2551 19:27:05 น.
Counter : 225 Pageviews.  

ช่วงเวลาของการดื่มน้ำ(น้ำเปล่านะ)

ลองคิดดูซิ ว่าตอนไหนดื่มน้ำและให้ประโยชน์มากที่สุดกันแน่นะ?font>

แน่นอน หลายคนตอบว่า หิวน้ำก็ดื่มน้ำ (นั่นนะซิใครจะไม่คิดล่ะ หิวก็ดื่ม ผมก็ยังเป็นเลย หิวน้ำก็ดื่ม ไม่ได้คิดอะไรมากมาย)

เรามาดูดีกว่า ว่าดื่มน้ำตอนไหนแล้ว จะได้ประโยชน์กับร่างกายมากที่สุด
จะได้ดื่มน้ำตามเวลา แต่ไม่ได้บอกนะว่าเวลาอื่นไม่ให้ดื่มอ่ะ เดี๋ยวจะเหี่ยวตายซะก่อน 555+


เอ้าๆ นอกเรื่องนานล่ะ เข้าเรื่องๆ



ในทุก ๆ วัน ร่างกายจะต้องสูญเสียน้ำผ่านทางการหายใจและการขับถ่าย จึงเป็นสิ่งที่จําเป็นมากที่จะต้องรับน้ำเข้าไปเพื่อทดแทนส่วนที่เสียไป และโดยปกติเราจะเสียน้ำจากการปัสสาวะเฉลี่ยวันละประมาณ 1.5 ลิตร และอีกเกือบถึง 1 ลิตรสำหรับ การหายใจและเหงื่อ ซึ่งคุณจะต้องดื่มน้ำให้ได้วันละ 2 ลิตร (ประมาณ 8 แก้ว) (ซึ่งปกติดื่มกันไม่ถึงหรอก)

สําหรับปริมาณน้ำที่ควรดื่มให้ได้ภายใน 1 วัน ถ้าเป็นหนุ่มๆแล้ว ควรดื่มให้ได้วันละ 3 ลิตร (ประมาณ 13 แก้ว เยอะโคตรๆอ่ะ ตายๆมากสุดก็ 8 แก้วล่ะหว้า) ส่วนสาว ๆ วันละ 2.2 ลิตร (ประมาณ 9 แก้ว ดื่มๆไปเหอะ ผิวพรรณจะได้เปล่งปลั่งมีรัศมีสีทอง 555+)

ดื่มเวลาไหนดีล่ะ?



1. ตื่นนอนตอนเช้า 1 แก้ว เพราะเป็นช่วงที่มีความเข้มข้นของเลือดสูง เลือดจะมีลักษณะขาดน้ำ (ลองสังเกตดูซิเวลาตื่นนอนเราจะมึนๆใช่ม่ะ นั้นแหละ กินน้ำไป จะดีขึ้นมากๆเลย ผมก็กินทุกวันนะ แต่มากกว่า 1 แก้ว 555+ ล่อเป็นขวดอ่ะ )

2. ตอนสายๆ 2 แก้ว (เวลาประมาณ 9 โมงถึง 10 โมงเช้า) ช่วงนี้เป็นช่วงที่มีของเสียเกิดขึ้น เพราะร่างกายได้ทํางานไประยะหนึ่งแล้ว ฉะนั้น จึงควรดื่มน้ำเพื่อมาชําระของเสียเหล่านั้นออกไป (กินน้ำจะได้ปัสสาวะออกไปเยอะๆ ของเสียในตัวจะได้ออกๆไปซะ จะได้มีแต่ของดีๆในตัว ไม่น่าล่ะผมไม่ชอบกินน้ำช่วงนี้นี่เอง เลยไม่ค่อยจะเป็นคนดีสักเท่าไรเล้ยย)

3. ตอนบ่ายๆ 3 แก้ว (เวลาประมาณบ่ายโมงถึงบ่ายสอง) ประโยชน์เหมือนข้อ 2 แหละ ขับของเสียออกไป้ๆๆ

4. ตอนเย็น 3 แก้ว (เวลาประมาณ 1 ทุ่มถึง 2 ทุ่ม) เหมือนกันๆๆ ขับของเสีย

5.ก่อนนอนให้ดื่มน้ำอีก 1 แก้ว เพื่อให้น้ำที่ดื่มไหลเวียนชะล้างสิ่งตกค้างในลําไส้และกระเพาะอาหาร และยิ่งถ้าเป็นน้ำอุ่นด้วยแล้วจะยิ่งช่วยให้หลับสบายยิ่งขึ้น (ล้างๆๆๆ ลำไส้ออกไป)

เครดิตจ้า://www.dek-d.com/board/view.php?id=1027796


อ่านแล้วเป็นไงครับ? กลัวขึ้นมาหรือยัง?


ต้องฝึกดื่มน้ำให้ตรงเวลาซะล่ะ จะได้เป็นคนดีๆกันนะ

แล้วก็จะได้ผิวดีๆๆ ลื่นๆ ขาวๆๆ 555+

อ่ะๆลืมๆ อย่าดื่มน้ำเย็นกันมานะเพราะร่างกายข้างในเรามันร้อนใช่ป่ะ อืม...คิดดูดิของเย็นๆเข้าไปทันที ปั๊บ.... เท่านั้นแหละพวกหลอดอาหาร กะเพาะหดตัวทันที ถ้าดื่มมากๆนะ หึหึ ระวังๆๆ มะเร็งจะมาหาน่ะจ้ะ สมองก็จะไม่ดีด้วยแหละ โทษเยอะแยะมากมายเลย




 

Create Date : 08 กันยายน 2551    
Last Update : 8 กันยายน 2551 16:23:39 น.
Counter : 415 Pageviews.  

มือ..บอกสุขภาพ

มือ..บอกสุขภาพ




อาการนิ้วชา

คุณรู้สึกว่ามือเย็นและชาๆ บ่อยไหม แม้ว่าอากาศจะไม่ได้หนาวก็ตาม ถ้ามีปัญหานี้อาจแสดงว่าคุณกำลังเผชิญกับโรคเรย์นอยด์ (Raynaud’s Disease) ซึ่งเป็นสาเหตุให้เส้นเลือดบริเวณมือตีบ ส่งผลให้การไหลเวียนของเลือดไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ไม่ดี ทำให้เกิดอาการชา นิ้วมือซีดขาวแล้วเปลี่ยนเป็นสีม่วงคล้ำ ในทางการแพทย์ยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัดของโรคนี้ แต่น่าจะเชื่อมโยงกับการเป็นรูมาตอยด์ และมีแนวโน้มว่ายิ่งอายุมากขึ้นอาการของโรคจะยิ่งเลวร้ายตามไปด้วย

คุณจะทำอะไรได้บ้าง การปรับระบบการไหลเวียนโลหิตคือกุญแจสำคัญ ขิงสามารถช่วยปรับการไหลเวียนให้ดีขึ้นได้ ลองดื่มน้ำขิงร้อนๆ วันจะแก้ว ส่วนใบแปะก๊วยก็ช่วยการไหลเวียนเลือดได้ดีเช่นเดียวกัน หรือรับประทานผลไม้จำพวกผลเบอร์รี่ ซึ่งอุดมไปด้วยวิตามินซีที่ช่วยขยายหลอดเลือด

เหงื่อออกที่ฝ่ามือ

สำหรับบางคนอาการที่เกิดขึ้นในวัยหมดประจำเดือนทำให้เหงื่อออกที่มือได้ เนื่องจากการลดลงของฮอร์โมนเอสโตรเจนทำให้อุณหภูมิภายในร่างกายเปลี่ยนแปลง อาจปรับตัวไม่ทัน มีเหงื่อออกมาเพื่อระบายหรือปรับความร้อนในร่างกายให้เย็นลง หรืออาจเกิดขึ้นเมื่อคุณมีความเครียดด้วยก็ได้

คุณจะทำอะไรได้บ้าง สมุนไพรบางอย่างสามารถช่วยลดอาการเหงื่อออกในวัยหมดประจำเดือนได้ ควรหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มร้อนๆ และอาหารรสจัด ซึ่งจะไปเพิ่มความร้อนในร่างกาย หากรู้สึกเครียด ให้หยดน้ำมันหอมกลิ่นลาเวนเดอร์สัก 2-3 หยดลงบนกระดาษทิชชู เอาไว้สูดดมเมื่อรู้สึกเครียด


จุดสีน้ำตาล และริ้วรอยเ่ยวย่น

รอยจุดสีน้ำตาลที่ปรากฏบนมือ เป็นผลจากการเปลี่ยนแปลงของเม็ดสี เนื่องจากโดนแสงแดดเป็นเวลานาน มักจะเกิดขึ้นกับคนในวัย 40 ขึ้นไป หากเกิดขึ้นกับผิวของคุณ แสดงว่าถึงเวลาแล้วที่คุณต้องหันมาใส่ใจกับการทาครีมกันแดดให้มากขึ้น ส่วนริ้วรอยเ่ยวๆ ย่นๆ บนมือก็บ่งชี้ว่าผิวพรรณกำลังขาดความชุ่มชื้นอย่างหนัก

คุณจะทำอะไรได้บ้าง
จุดเหล่านี้สามารถจางลงได้ง่ายๆ ด้วยการใช้น้ำมะนาวมานวดถูมือเป็นประจำ และอย่าลืมทาครีมสำหรับทามือที่มีส่วนผสมของสารกันแดด แม้ว่าจะเป็นหน้าฝนก็ตาม การเลือกรับประทานอาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ อย่างผัก ผลไม้สดก็เป็นสิ่งจำเป็น เพราะสามารถช่วยป้องกันไม่ให้เซลล์ผิวโดนแผดเผาทำลายจากแสงแดดได้วิธีหนึ่ง หรือถ้าต้องการป้องกันอย่างล้ำลึกก็อาจทานอาหารเสริมร่วมด้วยก็ได้

คุณสามารถวัดอายุผิวด้วยวิธีง่ายๆ โดยการดึงผิวหนังบริเวณหลังมือแล้วปล่อย หากผิวไม่กลับคืนเหมือนเดิมในทันที แสดงว่ากำลังขาดความชุ่มชื้นอย่างหนัก ควรดื่มน้ำให้มากขึ้นให้ได้อย่างน้อยวันละ 2 ลิตร เพื่อคืนความเปล่งปลั่งชุ่มชื้นให้ผิวเหมือนสมัยสาวๆ


ปวดมือ

หากคุณเป็นคนหนึ่งที่ใช้คอมพิวเตอร์เป็นประจำ และเริ่มรู้สึกปวดหรือเมื่อยล้าบริเวณมือและข้อ นั่นเป็นเพราะคุณพิมพ์ดีดเป็นเวลานานเกิน ทำให้เส้นเอ็นถูกใช้งานมากเกินไป จนรู้สึกร้อนผ่าวบริเวณมือ

คุณจะทำอะไรได้บ้าง
ควรพักจากการใช้คอมพิวเตอร์ไปทำอย่างอื่นเสียบ้าง เปลี่ยนอิริยาบถ ลุกขึ้นบิดขี้เกียจคลายความเมื่อยล้า หรือเดินบ้าง อาจลุกไปชงกาแฟ หรือจะนั่งออกกำลังให้มือด้วยวิธีง่ายๆ ก็ได้ เริ่มโดยกำมือให้แน่นประมาณ 10 วินาที จากนั้นคลายมือออกโดยพยายามกางนิ้วมือให้ยืดออกมากที่สุดเท่าที่จะยืดได้ แล้วปล่อยมือตามปกติ ก่อนจะทำซ้ำตั้งแต่เริ่มอีก 5-10 ครั้ง


ผื่นแดง

ผื่นแดง และอาการแสบร้อนที่มักเกิดบริเวณหลังมือ ส่วนใหญ่เป็นผลจากการแพ้สารเคมี อย่าง ผงซักฟอก หรือพวกน้ำยาทำความสะอาดต่างๆ และบางครั้งอาจจะเกิดจากการใช้ถุงมือยางเป็นเวลานาน จนทำให้ผิวอ่อนบาง แพ้ง่าย โดนอะไรนิดหน่อยก็คันและเป็นผื่นง่าย

คุณจะทำอะไรได้บ้าง
ทาครีมสำหรับลดผื่นคัน หากต้องการป้องกันไม่ให้เกิดอาการผื่นแดงขึ้นอีก สามารถเสริมสร้างความแข็งแรงให้ผิวด้วยการนวดด้วยน้ำมันมะกอกหรือน้ำมันจากเมล็ดอัลมอนด์เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้น และพยายามหลีกเลี่ยงสารเคมีที่แพ้ ไปใช้พวกผลิตภัณฑ์สำหรับผิวแพ้ง่ายที่ไม่มีส่วนผสมของสารเคมีนั้นๆ แทน ล


หัตถศาสตร์ : ศาสตร์แห่งการดูลายมือ

นักอ่านลายมือเชื่อว่าเส้นสำคัญที่เชื่อมโยงกับสุขภาพของคนเราคือ

เส้นชีวิต ลองมองดูที่มือข้างซ้ายสิ จะเห็นจุดเริ่มต้นของเส้นชีวิตจะอยู่ระหว่างนิ้วหัวแม่มือกับนิ้วชี้โค้งยาวลงไปถึงฐานของมือ เส้นนี้แสดงถึงระดับพลังอันเข้มแข็ง ขณะที่เส้นเล็กๆ ที่แยกออกไปจากเส้นนี้บ่งชี้ว่าเจ้าของฝ่ามือกำลังเผชิญกับความเครียด เส้นสมอง

ถัดขึ้นไปจากเส้นชีวิต เชื่อมโยงกับเรื่องของอารมณ์ สุขภาพจิต หากมีเส้นตัดจนเกิดเป็นแท่งเล็กๆ แสดงว่าคุณกำลังอยู่ในภาวะซึมเศร้าหรือกังวลเรื่องใดเรื่องหนึ่งอยู่

เส้นหัวใจ เป็นเส้นที่อยู่บนเส้นสมอง เส้นนี้จะบอกเกี่ยวกับชีวิตรักและสุขภาพของหัวใจ ถ้ามีจุดๆ เกาะกลุ่มกันเหมือนเกาะเล็กๆ แสดงว่าคุณมีแนวโน้มที่จะมีปัญหาเกี่ยวกับหลอดเลือด

ส่วนเส้นสุขภาพ คือเส้นระหว่างนิ้วก้อยและนิ้วนางที่โค้งลงไปถึงฐานของนิ้วหัวแม่มือ เป็นเส้นที่บ่งชี้ถึงสุขภาพกาย ถ้าเห็นไม่ชัดหรือไม่มีเส้นนี้ แสดงว่าสุขภาพของคุณยังแข็งแรงดีอยู่ ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง


นวดกดจุด
นักนวดกดจุดเชื่อว่าจุดต่างๆ บนฝ่ามือนั้นเชื่อมโยงกับอวัยวะส่วนต่างๆของร่างกาย การนวดกดจุดเหล่านี้สามารถช่วยวิเคราะห์และรักษาอาการผิดปกติต่างๆ ของอวัยวะเหล่านั้นได้ อย่างอวัยวะที่เป็นคู่ เช่น ปอด จะเชื่อมโยงกับจุดบนมือทั้งสองข้าง ขณะที่อวัยวะใดที่อยู่ด้านซ้ายของร่างกายก็จะเชื่อมโยงกับจุดบนมือซ้าย เช่นเดียวกับอวัยวะด้านขวาก็จะปรากฏตำแหน่งของมันอยู่ที่มือขวา นักบำบัดจะรู้เมื่อกดลงไปเจอจุดบอบบางหรือก้อนเล็กๆ ว่ามันกำลังบ่งชี้ถึง “พลังอันอ่อนล้า” ของอวัยวะส่วนใด

คุณสามารถนวดกดจุดฝ่ามือได้ด้วยตัวเอง โดย

- ลดอาการคั่งของเลือด : นวดปลายนิ้วโดยเริ่มจากนิ้วก้อยแล้วไล่ไปเรื่อยๆ จนถึงนิ้วหัวแม่มือ จะช่วยลดอาการของไซนัสได้

- ลดความเครียด : บริเวณที่ติดกับฐานของนิ้วหัวแม่มือเชื่อมโยงกับต่อมควบคุมเกลือและน้ำของร่างกายซึ่งจะทำงานหนักเมื่อคุณเครียด ลองนวดเบาๆ สิ จะช่วยลดความตึงเครียดในวันอันแสนยุ่งเหยิงของคุณได้ดีทีเดียว


เครดิตจาก.. //www.ladynaka.com

เป็นไงบ้างครับลองสังเกตตัวเองดูว่ามีอาการพวกนี้หรือป่าว นะครับ




 

Create Date : 07 กันยายน 2551    
Last Update : 7 กันยายน 2551 14:28:32 น.
Counter : 193 Pageviews.  

ห้ามกินเมื่อท้องว่าง

อาหารอันตรายเมื่อท้องว่าง

ทราบไหมว่าเมื่อท้องของคุณว่างแล้วคุณรับประทานอาหารเข้าไป อาจส่งผลร้ายต่อสุขภาพของคุณได้ เพราะฉะนั้น ก่อนที่จะรับประทานอาหาร ควรเลือกชนิดของอาหารเสียก่อน อาหารที่ไม่ควรรับประทาน ขณะท้องว่างมีชนิดใดบ้าง มีบางชนิดที่เราแทบไม่เชื่อเลยล่ะ

กล้วย.. เพราะกล้วยอุดมไปด้วยธาตุแมกนีเซียม การรับประทานกล้วย ขณะท้องว่าง จะทำให้ปริมาณธาตุแมกนีเซียมในเลือดสูงขึ้น ทำให้้สูญเสียสัดส่วนของแคลเซียมและแมกนีเซียมไป เป็นการยับยั้ง การทำงานของหลอดเลือดหัวใจเป็นอันตรายต่อสุขภาพ อย่างยิ่ง



กระเทียม .. เพราะจะทำให้เยื่อบุกระเพาะอาหาร ได้รับการกระตุ้นเกิด โรคกระเพาะอาหารอักเสบอย่างรุนแรง



ผัก.. การรับประทานผักอย่างเดียวขณะท้องว่าง จะทำให้กระเพาะอาหารเกิดอาการผิดปรกติ นอกจากนั้น ยังไม่ควรอาบน้ำ และออกกำลังกายด้วยเช่นกัน เพราะการอาบน้ำและการออกกำลังกาย ในขณะที่ท้องว่าง จะทำให้เกิดอาการช็อก เนื่องจากน้ำตาลในเลือดต่ำได้ง่าย



นมและนมถั่วเหลือง .. แม้ว่านมถั่วเหลืองจะอุดมไปด้วยโปรตีน แต่จะเกิดประสิทธิภาพมากที่สุด เมื่อกระเพาะอาหาร มีสารอาหารประเภทแป้งอยู่ด้วย



เหล้า .. หากดื่มเหล้าในขณะท้องว่าง จะไปกระตุ้นเยื่อบุกระเพาะอาหาร ทำให้เป็นโรคกระเพาะอาหารอักเสบ และเป็นแผลในกระเพาะอาหารได้




น้ำตาลหรืออาหารหวาน. ..
ไม่ควรรับประทานอาหารหวาน หรือน้ำตาล เช่น น้ำอัดลม ช็อกโกแลต เพราะหากรับประทานขณะท้องว่าง จะทำให้โปรตีนรวมตัวกับน้ำตาลส่งผลต่อการดูดซึมโปรตีนทุกชนิด และลดสมรรถภาพการทำงานของระบบหมุนเวียนเลือดและไต



ชา. .. ที่แก่เกินไป ชาทำให้กรดเกลือในน้ำย่อย ในกระเพาะอาหารเจือจาง ส่งผลให้การทำงาน ของระบบย่อยอาหารลดลง และเกิดอาการใจสั่น เวียนศีรษะ มือเท้าไม่มีแรง จิตใจไม่สงบ




ลูกพลับ .. ไม่ควรรับประทานลูกพลับในขณะที่ท้องว่าง เพราะกระเพาะอาหารจะหลั่งกรดเกลือออกมามาก หากไปรวมตัวกับยาง และสารแขวนลอยในลูกพลับแล้วจะทำให้เจ็บหน้าอก คลื่นไส้ และเป็นแผลในกระเพาะอาหาร




เครดิต //www.dek-d.com/content/view.php?id=10622

รู้แล้วก็อย่ากินตอนท้องว่างละครับ อิอิ

อยากได้เรื่องอะไรอีกก็บอกนะครับ จะหามาให้งับ




 

Create Date : 06 กันยายน 2551    
Last Update : 6 กันยายน 2551 11:32:42 น.
Counter : 627 Pageviews.  

1  2  

Q@AC125
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]


ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




ผมชื่อ คิวนะครับ หรือจะเรียกว่าหัวลูกชิ้นก็ได้
มันเป็นฉายาที่ได้จากที่โรงเรียนตอนม.ต้น
เนื่องจากสมัยก่อน อ้วนและหัวกลม --*
(แต่ตอนนี้ผอมแล้วนะ)(แต่หัวก็ยังกลมอยู่ ไม่รู้ทำไม)
ผมนั้นก็เป็นคนฮาๆนะครับ ชอบเที่ยวมากกว่าการเรียน
จะเรียนมากทำไมเน๊อะ! น่าปวดหัวจะตาย
ทั้งวิชานู้นวิชานี้ จะสอบทีก็อ่านหนังสือเป็นวันๆ
เหนื่อยจะตายๆ ดังนั้นส่วนใหญ่ก็จะชอบไปเที่ยว
ต่างจังหวัด เพราะอากาศก็ดี ลมเย็นสบายๆ
น่านอน 555+ ไปเที่ยวก็อยากจะนอน
แต่เมื่อไปเที่ยวแล้วจะไปนอนมันก็ยังไงอยู่นะ
จะนอนก็นอนอยู่บ้านดีกว่า แต่ส่วนตัวผมนะ
ชอบไปล่องแก่งมากที่สุดเลย ทั้งสนุก
มัน ฮานิดๆ เวลาตกน้ำ 555+ ว่ายกันไม่ถูกเลย
ผมจึงอยากจะมาเล่าความสนุก มันส์ ฮา
ของผมให้ฟังถึงจะเคยไปไม่กี่ที่ก็ตาม --*
ดังนั้นใครเป็นคนดี สวย หล่อ ก็ช่วยฟังหน่อยละกัน อิอิ
Friends' blogs
[Add Q@AC125's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.