|
เรื่องของความฉลาดกับความขยัน
นานแล้วที่กระผมไม่ได้เข้ามาทำการปรับปรุง เปลี่ยนแปลง แก้ไข 'Blog' เนื่องด้วยหน้าที่การงาน การเรียน ของกระผมนี้(ขออภัย ขออภัย) แม้ทราบดีว่าแม้เขียนไปอาจไม่มีใครอ่านหรือรำคาญในใจ แต่กระผมจะหน้าด้านหน้าทนมือกัด ตีนถีบ นิ้วจิ้มตา และอื่นๆ สู้ต่อไป... ตอนนี้เข้าเีื่รื่องที่กระผมได้ประสบ เมื่อไม่นานมานี้ (แน่เร้อ...)โอเค...อาจจะเดือนสองเดือนแล้ว เนื่องด้วยตัวผมได้สังกัดในตำแหน่ง โฆษก-พิธีกรครับ และวันนั้นเป็นวันที่รุ่นพี่จะเลือกรุ่นน้องที่จะมารับหน้าที่เป็นหัวหน้าฝ่ายต่อ(อืมๆว่าไป) นี่เป็นสิ่งที่ผมภูมิใจ ด้วยความสามารถที่ผมมีอยู่ ประสบการณ์ที่ช่ำชอง ผมมั่นใจ ผมทำได้ และแล้วก็ถึงเวลาตััดสิน รุ่นพี่มีสองทางเลือก หนึ่งตัวผม ประสบการณ์ 67% ความสามารถ+สกิลต่างๆ 58% สองเพื่อนผม ที่ผมเป็นคนชวนมันมาทำงานนี้ ใช่ผมชวนมันมาเอง ประสบการณ์ 43% ความสามารถ+สกิลอันน้อยนิด 30% (เห้ย...ใช้อะไรเป็นเกณฑ์...?) แล้วพี่ก็ชี้เพื่อนผม ฮ่าฮ่าฮ่า ผมว่าแล้ว......เห้ย!!!~ไม่ใช่ดิ อะไรกัน...??? ถูกต้องแล้วครับ แทนที่จะเลือกผมผู้มีความสามารถ กลับเลือก...(เหอะๆสมควร)เห้ย..เอ็งอยู่ฝั่งไหนกันแน่(ฝั่งที่ชนะ...)ดูมันต่อปากต่อคำ... แน่นอน นอนแน่ครับผมค่อนข้างเกิดความขัดข้องใจในบางประการ...ทำไมล่ะ? ทำไมไม่ใช่ผม รุ่นพี่จึงแถลงไขให้ฟัง บัดนั้น ท่านประธานชาญเชี่ยวตอบคำซัก คนที่เจ๋งเก่งกาจมีมากนัก พี่รู้จักมากมายหลายชายหญิง หากแต่ไม่เจอคนที่เจ๋งจริง อันเป็นสิ่งดีเลิศประเสริฐใจ จึงเป็นว่าคนเก่งจริงหายากแล้ว ยังไม่แคล้วมีสิ่งหนึ่งหายากหลาย คือคนที่ขยันหมั่นฝึกกาย ประเสริืฐหลายกว่าคนเจ๋งเก่งไม่จริง
๘ คำ เชิด (หยึย...ไม่ใช่แล้วล่ะ) เอาเป็นว่านี่เป็นเหตุการณ์จำลอง สำหรับท่านที่อ่านอาจไม่เข้าใจกระผมขอตีความ(ไม่เอาเดี๋ยวความจะเจ็บ)เป็นร้อยแก้วเสียเล็กน้อย ท่านประธานตอบคำซักถามของนายเอ(นามสมมุติ)ว่าเขาได้พบเจอคนมามากมาย และหลายคนที่เก่ง แต่...คนที่เก่งไม่สามารถสู้คนขยันได้...
เมื่อได้ฟังแล้วผมต้องเงียบไป...จริงสินะ...ถ้าทำงาน10วันเราลงมา เอ่อ...7วันได้ (ขี้โม้)โอเค...3วัน เมื่อลองคิดไปคิดมา สามตลบสี่ตลบ นั่งคิดยืนคิด ขัดหลัง หมอบ หอบบันได สไลด์ตัว ถัวกำแพง ทะแยงยืน ฝืนคุกเข่า เกาคางคิด ก็พบว่า(โห...นานนะนั่น...) เป็นอย่างที่พี่ท่านได้บอก ผมต้องยอมรับนับถือในอุดมการณ์มองการณ์ไกลดั่งผู้รู้ดินฟ้ามหาสมุทร ว่า พี่ทำถูกแล้ว... จนถึงทุกวันนี้ ผมต้องคอยเป็นกระจ๊อกของคนที่ผมลากมันเข้ามา แต่... ผมเป็นกระจ๊อกโดยเต็มใจ ผมกล้าพูดเต็มปากว่า เขาคือคนที่ถูกเลือกโดยไตร่ตรองมาดีแล้วจริงๆ ผมร่วมมือกับเขาอย่างเต็มที่ งานทั้งหมดราบรื่น เพราะการทำงานที่นับถือและเคารพกันและกัน แม้อาจมีการขัดแย้งด้านมุมมอง และความคิดบ้าง แต่เราก็จะปรับให้ได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่าย... ครับนี่คือเรื่องที่ผมได้มาเป็นบทเรียน...แน่นอน นอกจากนี้ยังมีอีกหลายงานที่ผม มีโอกาส แต่ผมกลับปฏิเสธ(อันนี้จริงๆ) หรือถูกปฏิเสธ(อันนี้จริงยิ่งกว่า) จึงอยากที่จะเตือนคนที่ยังมีโอกาส ให้รีบทำซะ ความขยันไม่ฆ่าคุณ แน่นอน มันกลับเป็นการฝึก ทั้งร่างกาย และจิตใจให้เข้ม แข็ง สำหรับผู้ที่ 'ทน' อ่านมาถึงตอนนี้ ก็ขอให้นำประสบการณ์อันน้อยนิดของผมไปทำประโยชน์ ไม่ใช่ได้ที่ใคร ได้ที่ตัวคุณเองนั่นแหละ... ขอบคุณฮะ(ขอบคุณ ขอบคุณ)

Create Date : 02 ธันวาคม 2551 | | |
Last Update : 2 ธันวาคม 2551 21:25:22 น. |
Counter : 696 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
การแสวงบุญของข้าำพเจ้า
ในวันนี้ กระผมได้มีโอกาสไป "แสวงบุญ" กับกลุ่มนักเรียน คาทอลิก โรงเรียนอัสสัมชัญ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 และ 5 โดยแผนการได้วางไว้ว่าเราจะไปกัน 3 สถานที่ ได้แก่ วัดนักบุญอันนา วัดนักบุญอันตน และวัดเพลง โดยเริ่มออกเดินทางตั้งแต่ 7.30 น. ออกจากโรงเรียน แบ่งรถเป็น2คัน แหละเช่นเดียวกับงานกรีฑาสี(หากท่านอ่านแล้ว) เพื่อนๆทุกคนต่างมีเครื่อง "ผ่อนคลายอารมณ์" เป็นของตนเอง ในครั้งนี้ข้าพเจ้าไม่ลืมที่จะนำไปด้วย คือ โทรศัพท์มือถือและหูฟัง...(ตอนแรกคิดว่าจะช่วยได้) และนิยายลึกลับอีกเล่มหนึ่ง (อันนี้ขอบอกว่า เอาไปถ่วงกระเป๋า กลัวมันปลิว...ล้อเล่นน่ะ...) แต่เมื่อกระผมได้เห็นเครื่องผ่อนคลายของเพื่อนๆแล้ว จำต้องง่อยไปโดยปริยาย ทั้งpsp ds โดยpspเป็นที่นิยมมากๆ ลองลงมาคือโทรศัพท์มือถือ ที่ใช้เล่นเกม(โทรศัพท์เค้าไว้โทรนะครับ เอาไว้ฟังเพลงก็พอแล้ว...อ้าว...) เนื่องด้วยโทรศัพท์ของกระผม เป็นเครื่องที่ถูก "เลย์ออฟ"จากท่านมารดาของกระผม ทำให้ "ออปชัน"ของมันไม่ไกลเท่าไรนัก กระผมพอใจในสิ่งที่ ตัวมีอยู่ แต่เราก็ไม่เคยเล่น ไอ้pspมาก่อน อยากรู้ว่าเป็นไง เลย"ยืม"ของเพื่อนมานั่งเล่นเองสักครู่(แล้ว...) นี่...นี่มัน...เทคโนโลยีของยุคศตวรรษที่ 21 ความศิวิลัยของอาณาประชาราช กระผมเริ่มเอ่อ...เอาเหอะ เอาเป็นว่ากระผมเปลี่ยนจาก"ยืม"เป็น"ยึด"ละกัน... เข้าเรื่องกันต่อเดี๋ยวจะไม่จบ... เราไปที่วัดนักบุญอันนาเป็นที่แรก วัดนี้เป็นที่รู้จักกันดีในนามวัด ยาย เพราะท่านเป็นแม่ของแม่พระ จึงเป็นเหมือน ยาย ของเรา มีเรื่องเล่าว่า ท่านได้ตั้งครรถ์ ในตอนที่แก่มากแล้ว ทำให้เป็นที่เล่าลือที่ว่าคนที่ต้องการมี "ลูก" จะมาบนกับท่าน นอกจากนี้ บริเวณนี้ยังเป็น ปากอ่าวทำให้มีชาวประมงมากเป็นพิเศษ ก่อนที่พวกเขาจะออกเรามักจะมา สักการะ รูปปั้นของท่านก่อน เราทำมิสซาที่นั่น ต่อจากนั้นเราไปตลาดนำ้ ดำเนินสดวก เพื่อทานอาหารกลางวัน และเที่ยวเล่นเล็กน้อย กระผมได้อาวุธสงครามมาหนึ่งกระบอก ปืนเก่าแก่ทำด้วยไม้ กระสุนไม่ใช่อื่นไกลหาได้ใกล้ตัว หนังสติ๊กนั่นเอง (มันอาวุธสงครามตรงไหน...) แล้วเราก็ไปที่วัดเพลง มีคุณพ่อมาพูดเรื่อง ความคิด...น่าจะเป็นเรื่องนี้นะ รายละเอียดขอผ่านไปเนื่องจาก กระผมไม่สามารถเล่าทางการเขียนนี้ได้(หลับก็บอกเหอะ...) แล้วเราก็มาที่สุดท้าย คือ วัดนักบุญอันตน ที่นี่มีเรื่องเล่าว่า ท่านเป็นผู้อุปการะคนที่ทำ "ของหาย" เมื่อมีคนมาบนแล้วพบของก็จะมาจุดประทัดแก้บน นอกจากนี้ยังมีเรื่องที่พ่อแม่ มาบนลูกเวลาจับ ใบดำใบแดง โดยส่วนมากจะสมหวัง ได้ที่กระผมจึงสวดขอ...ขอช่วยหาของให้ผมที ผมทำ"หัวใจ"หายไป(เน่า...)ขอคะแนนของผมกลับคืนมา(เพ้อเจ้อ...) เอ๊ะ!ไอนี่ขัดตลอด(เงารึยังล่ะ ขัดซะแทบตาย...) เอาเถอะ... แล้วเราก็เดินทางกลับโรงเรียน เป็นเวลา 17.00 น.ถึงโดยประมาณ ขอบคุณทุกท่านที่ฟัก กระผม ฝอยมาถึงตอนนี้ ท่านเป็นผู้มีความอดทนมากๆๆๆ หากมีข้อติ-ชมแนะนำอนฃย่างไรก็ขอความกรุณาด้วยครับ
Create Date : 12 กันยายน 2551 | | |
Last Update : 12 กันยายน 2551 21:44:22 น. |
Counter : 428 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
เรื่องของกรีฑาสี
เมื่อวันเสาร์ที่ 6 กันยายน ที่ผ่านมา โรงเรียนของกระผมได้มีงาน "กรีฑาสี" ประจำปี 2551 แน่นอนว่าเป็นงานที่ นักเรียนทุกคนควร ให้ความร่วมมือไป (ไม่ขอใช้คำว่า "บังคับ") เนื่องเพราะทุกคนคงจะมีงาน เรียน เจ็บ ป่วย ซึ่งมักจะเป็นในวันนั้นๆ ในงานกรีฑาสีนี้เมื่อ 2 ปีก่อน มีทั้งกีฬาประเภทลู่ และ ประเภทลาน ขว้างจักร ทุ่มน้ำหนัก แต่ในปัจจุบันมีเพียงกีฬาวิ่งเท่านั้น (กระผมต้องขอบอกว่า น่าเบื่อ มากๆ) งานนี้จัดตั้งแต่เช้ายันบ่าย ทุกท่านคงนึกภาพออกว่าการที่ ต้องนั่งบนสแตน ทั้งวันมันเป็นอย่างไร...ใช่...มัน สนุกเลื้อเกิน เพื่อนๆแต่ละคนล้วน มีสิ่งที่ทำเล่นระหว่างเวลาว่าง อาทิเช่น psp การ์ตูน I-phone Ipod มือถือ ฯลฯ ละไว้ในฐานที่เข้าใจ ทำให้เราเกิดความสัมพันธ์กับรุ่นพี่รุ่นน้อง อาทิเช่น น้องขอทางหน่อย พี่จะรีบไปเข้าห้องนำ้...และแล้วไม่มีใครกลับออกมาจากห้องน้ำได้อีกเลย...อวสาน...เอ้ย!!!ไม่ใช่ หรือจะเป็น พี่ๆเกม'ไรอะ เล่นบ้างดิ...อ้าวได้เลยน้อง คอบอล คอโค้ก คอเดียวกัน...รู้เลยว่าเกมอะำไร...กลับเข้าเรื่องต่อ เรื่องทั้งหมดมีอยู่ว่า(อ้าว!?เพิ่งเข้าเรื่องเหรอ) กระผม ในฐานะชายไทย อายุ 15 ปีบริบูรณ์ จึงต้องเข้าร่วมการแข่งขันในครั้งนี้(เอ้ย...ยังไม่บรรจุเป็นกฏหมาย...) เวลาที่ข้าพเจ้าแข่งคือ 13.30น.โดยประมาณ เป็นการแข่ง 4x100 งานอื่นไม่สำคัญ ข้าพเจ้าพร้อมแข่ง แต่ จาก4คน ไหงมร ตัวข้าพเจ้าลงชื่อคนเดียวเล่า...กระผมจึงมีหน้าที่ตามนักวิ่งทั้งหลายที่เป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บตาย(เอ้ย...ไม่ใช่อีกแล้ว...) เอาเป็นว่าเพื่อนที่วิ่ง 4x400 ของผมมาช่วยอีกแรง เมื่อไม้ผลัดมาถึงผม ซึ่งเป็นไม้สุดท้าย ข้าพเจ้าเริ่มวิ่งจาก ความเร็วต้น 0 m/s ความเร่ง 120m2/s และด้วยความเร่งขนาดนั้น คูณด้วย ระยะทาง 100 m หากข้าพเจ้าล้มละก็...จะล้มด้วยแรง ประมาณ 12000N (อันนี้มั่วนะขรับ ให้ดูเยอะเฉยๆ) และแล้วก็เป็นอย่างนั้นจริง...ใช่ครับ กระผมล้มลง และทำให้เกิดบาดแผลถลอกเล็กๆน้อย กระผมวิ่งต่อ มันเป็นเรื่องของศักดิ์ศรี สปิริต และ ลูกผู้ชาย!!!~ หลังจากนั้นข้าพเจ้าไปทายา ไอ้แผลถลอกเล็กน้อยนั้น ใย มันจึงรวดร้าวขนาดนั้น...และแล้วก็ถึงพิธีปิด...เราร้องเพลง สรรเสริญพระบารมี และปิดท้ายด้วยการบูมอัสสัม หลังจากนั้น ข้าพเจ้าแบกสังขา่รอันบอบช้ำและไม่เที่ยงของข้าพเจ้า ไปเรียนกวดวิชาที่โรงเรียนมีชื่อแห่งหนึ่ง(ไม่ขอเอ่ยนามว่าเป็นโรงเรียน su..เอ้ยเกือบหลุด) ปัญหาเกิดขึ้นอีกครั้ง ที่ว่าเมื่อกระผมเตรียมเปลี่ยนเสื้อเป็นเสื้อไปรเวท ทันใด หางตากระผมเห็น เห็นเลือด สีแดงที่ไหล่ของตัวเอง ผมถอดใจ ใส่ตัวเดิมแล้วเข้าเรียน ยังดีที่มีสิ่งปลอบประโลมใจที่ว่า มีคนนำชีทมาคืน อ้อ ลืมบอกไปว่าเมื่อเสาร์ที่แล้วมีเด็กผู้หญิงหน้าตาน่ารักคนหนึ่งมายืมชีทกระผมไป วันนี้เขานำมาคืน แถมเย็บรูปเล่ม แถมอีกโดยจดส่วนที่กระผมมาช้าให้ด้วย อย่างนี้แหละที่ เมืองไทยต้องการ นึกแล้วน้ำตาใหล นึกถึงถ้า10ปีที่แล้วเราเจอกันคง...(เอ้ยอีกทีหนึ่ง...ขออถัยที่นอกเรื่อง) แหม่ มาถึงตอนนี้เราก็ใจชื้นขึ้นแล้ว แล้วกระผมก็นั้งเรียนจน 20.30น.จึงกลับบ้าน ใช่ เรายิ้มให้กัน เรามีพรหมลิขิต เรามีด้ายแดงผูกกันไว้ (ไอ้ฝอย...ว่าไปนั่น) นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ชีวิตคนเรา มีขึ้นก็ต้องมีลง เอ้า ขึ้นแล้วก็ลงแล้วก็ขึ้นแล้วก็ลง...ขอขอบพระคุณที่ท่านฟังผมฝอยถึงตอนนี้...ด้วยบุญบารมีที่ผมสะสมมา บวกกับสิ่งดีที่ท่านทำ ขอให้ท่านประสบแต่ความสุข ร่ำรวย สวยขึ้น หล่อขึ้นกันทุกคนนะครับผม
Create Date : 08 กันยายน 2551 | | |
Last Update : 8 กันยายน 2551 20:11:41 น. |
Counter : 275 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
ชีวิตนักเรียนโรงเรียนอัสสัมชัญ
ชีวิตนักเรียนในโรงเรียนอัสสัมชัญ ตัวข้าพเจ้านี้ เข้ามาเรียนในโรงเรียนนี้ได้ 4 ปีแล้ว เข้ามาตั้งแต่ชั้นม.1 ข้าพเจ้าได้ประสบกับสิ่งต่างๆมากมาย ทั้งการมีเพื่อน การเรียนกับครู การพบปะระหว่างหมู่มิตรสหาย ทำให้ข้าพเจ้าเข้าใจความสำคัญ ของคำว่า เพื่อน ได้มากยิ่งขึ้น ข้าพเจ้าเข้ามาเรียนครั้งแรกอยู่ห้อง ม.1/4 เพื่อนอีก 50 ชีวิตของข้าพเจ้า จะอยู่ร่วมกันอีก 3 ปี แรกเริ่มนั้นข้าพเจ้า ไม่รู้จักใครสักคน จนกระทั่งพวกเราทุกคนเริ่มพูดคุยกันและทำความรู้จักกันและ กัน ข้าพเจ้าไม่ใช่แค่นักเรียนที่ไม่มีหน้าที่ทำในโรงเรียนนะ ข้าพเจ้าก็เคยร่วมกิจกรรมหลายๆอย่างในโรงเรียนเหมือนกัน ตอนนี้ข้าพเจ้าเป็น หนึ่งในแปดโฆษก ของโรงเรียน อัสสัมชัญ ฟังดูยิ่งใหญ่ใช่ไหม ข้าพเจ้ายังเป็นนักขับร้องอัสสัมชัญด้วย (แม้ข้าพเจ้าจะไม่ได้ไปซ้อมสักเท่าไหร่ก็เถอะ) ข้าพเจ้ามีความสุขในการทำงานให้แก่โรงเรียน แต่ข้าพเจ้าก็ไม่ละทิ้งในเรื่อง การเรียน และ กีฬา ข้าพเจ้ายอมรับว่าข้าพเจ้าไม่ใช่คนที่ตั้งใจเรียนเท่าใดนัก แต่เมื่อถึงคราวสอบ ข้าพเจ้าก็จะตั้งใจเต็มที่ แม้ผลจะออกมาดีหรือไม่ดี ข้าพเจ้าก็ไม่เสียใจกับสิ่งที่ข้าพเจ้าได้ทำไปแล้ว เพื่อนๆของข้าพเจ้า ทุกคน ต่างก็มีนิสัยแตกต่างกันไป แต่ข้าพเจ้าขอพูดตรงๆเลยว่า สำหรับเพื่อนๆทุกคน ไม่มีใครที่ ข้าพเจ้า เกลียดหรือไม่ชอบ เลย ข้าพเจ้าเชื่อว่ามีอาจบางคนที่ไม่ชอบข้าพเจ้า แต่สักวันข้าพเจ้าจะทำให้เขาเลิกคิดอย่างนั้นให้ได้ ข้าพเจ้าคุยได้กับทุกคน เล่นได้กับทุกคน ความแตกต่างของทุกๆคนทำให้ข้าพเจ้ารู้จักการปรับตัวให้เข้ากับคนอื่น คุณครูของข้าพเจ้า ทุกคนต่างมีนิสัย และวิธีการสอนไม่เหมือนกัน แต่ข้าพเจ้า ก็เคารพ และนับถือทุกคนเช่นกัน ข้าพเจ้ารักครูทุกคนของข้าพเจ้า แม้ตั้งแต่อดีต จนกระทั่งถึงตอนนี้ ข้าพเจ้าจะเคารพ รักท่านเช่นนี้เสมอไป โรงเรียนของข้าพเจ้า เป็นโรงเรียนที่ใหญ่โตมโหฬาร หากท่านมาที่นี้ครั้งแรกก็ระวังหลง เพราะเรามี 5 ตึก ตึกใหญ่ที่สุดมี 12 ชั้น ตึกเล็กที่สุดมี 3 ชั้น ข้าพเจ้า เรียนอยู่ตึก อัสสัมชัญ2003 (ตึกใหญ่ที่สุดนั่นแหละ) ข้างๆตึกนี้มีตึกที่ใหม่ที่สุดในโรงเรียนเราอยู่ ตึกหลุยส์มารีย์ อาคารอเนกประสงค์ มีทั้งห้องสมุด ห้องอาหาร ห้องประชุม โรงยิม และอื่นๆอีกมากมาย เพิ่งสร้าเสร็รจสมบูรณ์เมื่อปี 2550 นี้เอง โรงเรียนข้าพเจ้ามีการซ่อม ทุบ สร้างหลายครั้งมากในช่วงนี้ สุดท้ายนี้ไม่ว่าโรงเรียนนี้จะเป็นอย่างไรต่อไป แต่ ที่นี่ยังคงเป็น โรงเรียน ของข้าพเจ้าตลอดไป
Create Date : 01 กันยายน 2551 | | |
Last Update : 1 กันยายน 2551 11:32:04 น. |
Counter : 605 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
| |
|
|
Location :
กรุงเทพฯ Thailand
[Profile ทั้งหมด]
|
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]

|
ข้าพเจ้าไม่ใช่คนที่ "เชื่อ" เรื่องผี แต่ ข้าพเจ้า "สนใจ" ในสิ่งนี้ ข้าพเจ้า ไม่ได้ "หมกมุ่น" ในเรื่องผีจนกระทั่งข้าพเจ้าบ้าคลั่งไป แต่ ข้าพเจ้า "หลงไหล" ต่างหาก พวกเราเคยสงสัยไหมว่า ทำไม โลกนี้ต้องมี ผี ด้วย ข้าพเจ้าก็สงสัย ข้าพเจ้าจึงดำเนินการค้นหา นี่คือจุดเริ่มต้น ของทุกสิ่งใน blog นี้
|
|
|
|
|
|
|