|
| 1 |
2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 |
9 | 10 | 11 | 12 | 13 | 14 | 15 |
16 | 17 | 18 | 19 | 20 | 21 | 22 |
23 | 24 | 25 | 26 | 27 | 28 | 29 |
30 | 31 | |
|
|
|
|
|
|
|
วิ่งเพื่อสุขภาพกันเถอะ
ปัจจุบันการวิ่งเพื่อสุขภาพมีคนนิยมกันมากขึ้น เนื่องจากไม่มีความยุ่งยากเรื่องของสถานที่ และความพร้อมของหมู่คณะ เพราะท่านสามารถวิ่งเพื่อสุขภาพเพียงคนเดียวได้ แต่ถ้าหากท่านมีน้ำหนักมากและยังไม่เคยวิ่งมาก่อนเลย ขอแนะนำให้ท่านเริ่มต้นด้วยการเดินก่อนนะคะ และค่อยๆ เปลี่ยนเป็นเดินเร็วๆ แล้วจึงจะเป็นวิ่ง การวิ่งเป็นการออกกำลังกายที่ค่อยๆ เพิ่มความคงทนต่อร่างกาย เป้าหมายของการวิ่งไม่ได้อยู่ที่ความเร็วแต่อยู่ที่ระยะทาง และความสม่ำเสมอในการวิ่ง จึงจะได้ประโยชน์ต่อการทำงานของหัวใจและปอด - See more at: //www.bangkokhealth.com/bhr/th/content_detail.php?id=1812&types=#sthash.AnBpDbrI.dpuf ปัจจุบันการวิ่งเพื่อสุขภาพมีคนนิยมกันมากขึ้น เนื่องจากไม่มีความยุ่งยากเรื่องของสถานที่ และความพร้อมของหมู่คณะ เพราะท่านสามารถวิ่งเพื่อสุขภาพเพียงคนเดียวได้ แต่ถ้าหากท่านมีน้ำหนักมากและยังไม่เคยวิ่งมาก่อนเลย ขอแนะนำให้ท่านเริ่มต้นด้วยการเดินก่อนนะคะ และค่อยๆ เปลี่ยนเป็นเดินเร็วๆ แล้วจึงจะเป็นวิ่ง การวิ่งเป็นการออกกำลังกายที่ค่อยๆ เพิ่มความคงทนต่อร่างกาย เป้าหมายของการวิ่งไม่ได้อยู่ที่ความเร็วแต่อยู่ที่ระยะทาง และความสม่ำเสมอในการวิ่ง จึงจะได้ประโยชน์ต่อการทำงานของหัวใจและปอด
วิธีการวิ่งที่ถูกต้อง :
1.1 การลงเท้าที่ถูกวิธีเป็นสิ่งที่สำคัญมาก เพื่อป้องกันการบาดเจ็บสำหรับนักวิ่งเพื่อสุขภาพ โดยส้นเท้าจะสัมผัสพื้นก่อนทั้งฝ่าเท้าจะตามลงมา และเมื่อปลายเท้าหมุนลงมาแตะพื้นก็เป็นจังหวะที่ส้นเท้าเปิดขึ้น ปลายเท้า ก็จะคล้ายตะกุยดิน ถีบตัวเหมือนสปริงดีดตัวขึ้นบนและเคลื่อนไปข้างหน้า
จุดที่เท้าสัมผัสพื้นควรจะตรงกับหัวเข่างอเข่านิดๆ เท้าควรจะสัมผัสพื้นหลังจากที่ได้เหยียดออกไป ข้างหน้า ส่วนอีกเท้าเหวี่ยงไปข้างหลัง ควรจะลงแตะพื้นเบาๆ นักวิ่งส่วนใหญ่จะลงพื้นด้วยริมนอกของเท้า และหมุนเข้าด้านใน ซึ่งการหมุนเข้าด้านในช่วยเป็นเกราะกันกระแทก
1.2 ท่าทางในการวิ่ง ควรวิ่งให้หลังตรงและเป็นธรรมชาติมากที่สุด ศีรษะตรง ตามองตรงไปข้างหน้า ให้ส่วนต่างๆ จากศีรษะลงมาหัวไหล่และสะโพกจนถึงพื้นเป็นเส้นตรง ลำตัวไม่โน้มไปด้าน หน้าหรือเอนไปด้านหลัง
1.3 การเคลื่อนไหวของแขน จะช่วยเป็นจังหวะและการทรงตัวในการวิ่งขณะวิ่งแขนแกว่งไปมาเหมือนกับลูกตุ้มนาฬิกาไปตามแนวหน้าหลัง พยายามอย่าให้ข้อศอกงอเข้ามาแคบกว่า 90 องศา หัวแม่โป้งวางบนนิ้วชี้สบายๆ กำนิ้วหลวมๆ ข้อมือไม่เกร็ง บางครั้งอาจเหยียดแขนตรงลงมา หรือเขย่าแขนเพื่อให้กล้ามเนื้อคลายตัวบ้าง หลังจากยกแขนไว้นานๆ
1.4 การหายใจ หายใจเข้าทางจมูกและปล่อยลมหายใจออกพร้อมกันทั้งทางจมูกและปาก ยึดกฎง่ายๆ คือ การหายใจควรเป็นไปตามสบายและพยายามหายใจด้วยท้อง การหายใจด้วยท้อง
คือสูดหายใจเข้าไปในปอดจนท้องขยายและบังคับปล่อยลม ให้ออกมาด้วยการแขม่วท้อง การหายใจไม่ถูกวิธีอาจจะทำให้เกิดการจุกเสียดขณะวิ่งได้
2. ความหนัก ความนาน และความบ่อยของการวิ่ง ความหนักหรือความเร็ว ควรใช้ความเร็วที่ทำให้รู้สึกเหนื่อยจนต้องหายใจแรง แต่ไม่ถึงกับต้องหายใจทางปากหรือมีอาการหอบ เมื่อวิ่งไปแล้ว 4-5 นาทีควรมีเหงื่อออก ยกเว้นในอากาศเย็นจัดอาจยังไม่มี แต่สามารถวิ่งต่อไปได้เกิน 10 นาที อาจใช้ความเร็วคงที่ตลอดระยะทางหรือวิ่งเร็วสลับช้าบ้างก็ได้ แต่การวิ่งติดต่อกันโดยไม่หยุดถึง 10 นาที เป็นสิ่งที่ไม่ง่ายนักสำหรับผู้ที่ไม่ได้เล่นกีฬาหรือวิ่งเป็นประจำอยู่ก่อน ผู้ที่เริ่มวิ่งทุกคนจึงไม่ควรตั้งความหวังสำหรับการวิ่งครั้งแรกไว้ว่าจะวิ่งให้ได้ตลอดมากกว่า 10 นาที โดยไม่สลับด้วยการเดินวิ่ง
ซึ่งจริงๆ แล้วการวิ่งสลับกับการเดินยาวๆ โดยไม่หยุดวิ่งใน วันแรกๆ เป็นสิ่งถูกต้อง เป็นการผ่อนคลายร่างกายที่ไม่ทำให้เกิดความเครียดมากจนเกินไป แต่ในวันต่อๆ ไป ควรเพิ่มระยะเวลาของการวิ่งให้มากขึ้น ลดระยะเวลาของการเดินให้น้อยลง จนในที่สุดสามารถวิ่งเหยาะได้ติดต่อกันไม่น้อยกว่า 10 นาที โดยไม่ต้องสลับด้วยการเดิน ทำเช่นนี้อย่างน้อย 3 วันต่อสัปดาห์ จึงถือได้ว่าเป็นการวิ่งเพื่อสุขภาพ
3. การอบอุ่นร่างกายก่อนวิ่งและการผ่อนคลายร่างกายหลังวิ่ง ก่อนและหลังการวิ่งทุกครั้งควรอบอุ่นร่างกายและผ่อนคลายร่างกาย ประมาณ 4-5 นาที โดยวิ่งเหยาะๆ ด้วยความเร็วที่น้อยกว่าที่ใช้ในการวิ่งจริง พร้อมกายบริหารยืดเหยียดกล้ามเนื้อส่วนต่างๆ ของร่างกาย
ที่มา - bangkokhealth.com - thaihealth.or.th
Create Date : 08 สิงหาคม 2558 |
Last Update : 8 สิงหาคม 2558 11:06:17 น. |
|
0 comments
|
Counter : 529 Pageviews. |
|
|
|
|
|
|
|